Site icon Digital Learning Classroom

กรอบแนวทางการบ่มเพาะทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในทุกระดับการศึกษา: จากการสืบเสาะเชิงพื้นฐานสู่การประยุกต์ใช้อย่างอิสระ

แชร์เรื่องนี้

กรอบแนวทางการบ่มเพาะทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในทุกระดับการศึกษา: จากการสืบเสาะเชิงพื้นฐานสู่การประยุกต์ใช้อย่างอิสระ

บทนำ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้นและความท้าทายมีความซับซ้อนขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการแก้ปัญหา (Problem-Solving) ไม่ได้เป็นเพียงทักษะเสริมอีกต่อไป แต่เป็นสมรรถนะหลักที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 1 การคิดเชิงวิพากษ์คือกระบวนการตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่คล้อยตามข้ออ้างที่นำเสนอ แต่ตั้งคำถาม โต้แย้ง และแสวงหาคำตอบที่สมเหตุสมผลกว่าเดิม 3 ซึ่งประกอบด้วยการให้เหตุผลเชิงตรรกะ การตระหนักถึงอคติ และการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล 5 ในขณะที่การแก้ปัญหาคือความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและคลุมเครือ โดยการวิเคราะห์ปัญหาออกเป็นส่วนย่อย ระบุสาเหตุที่แท้จริง และพัฒนากระบวนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ 5 ทักษะทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง โดยการคิดเชิงวิพากษ์ทำหน้าที่เป็นกลไกทางปัญญาที่ขับเคลื่อนกระบวนการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ 1

รายงานฉบับนี้เสนอว่า กรอบการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem-Solving: CTPS) จะต้องได้รับการออกแบบให้เหมาะสมตามช่วงวัยของผู้เรียนและตั้งอยู่บนการสังเคราะห์หลักปรัชญาการศึกษาที่สำคัญสามประการ ได้แก่ ปรัชญาการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของจอห์น ดิวอี้ (John Dewey), ทฤษฎีลำดับขั้นการเรียนรู้ของเบนจามิน บลูม (Benjamin Bloom’s Taxonomy) และกระบวนการแก้ปัญหาที่มีโครงสร้างของจอร์จ โพลยา (George Polya) รายงานฉบับนี้จะสำรวจอย่างละเอียดว่าการสังเคราะห์เชิงทฤษฎีนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบการสอนที่จับต้องได้และแตกต่างกันอย่างไรสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

ส่วนที่ 1: หลักการพื้นฐานเชิงทฤษฎีสำหรับการจัดการเรียนรู้

เพื่อสร้างกรอบการเรียนการสอนที่สมบูรณ์ จำเป็นต้องผสานรากฐานทางปรัชญา โครงสร้างทางปัญญา และกระบวนการที่เป็นรูปธรรมเข้าด้วยกัน หลักการสามประการต่อไปนี้จึงถูกนำมาสังเคราะห์เพื่อสร้างเป็นรากฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ

1.1 ปรัชญาของดิวอี้: การเรียนรู้ในฐานะประสบการณ์และการสืบเสาะ

ปรัชญาของจอห์น ดิวอี้ ให้คำตอบว่า “ทำไม” การเรียนรู้เชิงรุกจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยยืนยันว่าทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาไม่สามารถถูกสอนผ่านการบรรยายหรือท่องจำได้ แต่ต้องถูกพัฒนาผ่านการลงมือปฏิบัติและการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง หัวใจของปรัชญาดิวอี้ประกอบด้วยแนวคิดหลักดังนี้:

การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Experiential Learning หรือ “Learning by Doing”): ดิวอี้เชื่อว่าความรู้ไม่ได้ถูกส่งผ่านจากครูไปยังผู้เรียนแบบฝ่ายเดียว แต่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นผ่านประสบการณ์ตรง 7แนวคิดนี้ปฏิเสธรูปแบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาเป็นหลัก 8

การเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะเป็นฐาน (Inquiry-Based Learning): การศึกษาควรเริ่มต้นจากความจำเป็นหรือปัญหาที่ผู้เรียนประสบ แล้วตามด้วยการทำงานทางปัญญา เช่น การนิยามปัญหา การตั้งสมมติฐาน และการทดสอบเพื่อหาทางออกที่น่าพอใจ 9

การเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning): ดิวอี้มองว่าโรงเรียนควรเป็นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่จำลองสถานการณ์จริง ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำงานร่วมกัน การอภิปราย และการถกเถียงเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน 8

ปรัชญาของดิวอี้จึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้าง “สภาวะแวดล้อม” ที่เอื้อให้ทักษะ CTPS งอกงาม โดยเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเรียนรู้เพื่อ “เตรียมตัวสำหรับชีวิต” ไปสู่การเรียนรู้ที่เป็น “กระบวนการของชีวิต” เอง 8

1.2 ทฤษฎีลำดับขั้นการเรียนรู้ฉบับปรับปรุงของบลูม: โครงสร้างเพื่อความซับซ้อนทางปัญญา

หากปรัชญาของดิวอี้ให้คำตอบว่า “ทำไม” ทฤษฎีลำดับขั้นการเรียนรู้ของบลูม (ฉบับปรับปรุงโดย Anderson & Krathwohl, 2001) ก็ให้คำตอบว่า “อะไร” คือทักษะทางปัญญาที่เรามุ่งหวังจะพัฒนา ทฤษฎีนี้ได้จัดลำดับทักษะการคิดออกเป็นสองระดับหลัก คือ ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (Lower-Order Thinking Skills: LOTS) ซึ่งประกอบด้วย การจำ (Remembering) การเข้าใจ (Understanding) และการประยุกต์ใช้ (Applying) และทักษะการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking Skills: HOTS) ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) 13

ทักษะการคิดขั้นสูง (HOTS) ถือเป็นหัวใจของการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา:

การวิเคราะห์ (Analyzing): คือความสามารถในการแยกแยะองค์ประกอบย่อยและทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ 13 ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำความเข้าใจโครงสร้างของปัญหา

การประเมินค่า (Evaluating): คือการตัดสินคุณค่าโดยใช้เกณฑ์และมาตรฐาน 13 ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการคิดเชิงวิพากษ์ ที่ต้องประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลและข้อโต้แย้ง

การสร้างสรรค์ (Creating): คือการนำองค์ประกอบต่างๆ มาประกอบกันเป็นสิ่งใหม่ 16 ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้การแก้ปัญหาในขั้นสูงสุด คือการสร้างสรรค์แนวทางแก้ไขใหม่ๆ

จุดเด่นของทฤษฎีนี้คือการระบุ “คำกริยา” ที่สามารถวัดผลได้ (Measurable Verbs) สำหรับแต่ละระดับการคิด ทำให้นักการศึกษาสามารถออกแบบกิจกรรมและคำถามที่มุ่งเป้าไปยังทักษะการคิดแต่ละระดับได้อย่างเป็นรูปธรรม 17

1.3 กระบวนการ 4 ขั้นตอนของโพลยา: โครงสร้างสำหรับการแก้ปัญหา

ในขณะที่ดิวอี้สร้างสภาวะแวดล้อมและบลูมระบุทักษะทางปัญญา กระบวนการแก้ปัญหา 4 ขั้นตอนของจอร์จ โพลยา (Polya, 1947) ได้ให้คำตอบว่า “อย่างไร” โดยนำเสนอขั้นตอนที่เป็นระบบและสามารถทำซ้ำได้เพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ 19

ทำความเข้าใจปัญหา (Understand the Problem): อ่านปัญหาอย่างละเอียด ระบุข้อมูลที่ให้มาและสิ่งที่ต้องการหา และเรียบเรียงปัญหาด้วยภาษาของตนเอง 20

วางแผนแก้ปัญหา (Devise a Plan): ระดมสมองเพื่อหาวิธีการที่หลากหลาย เช่น การมองหารูปแบบ การวาดแผนภาพ หรือการแก้ปัญหาที่ง่ายกว่าที่เกี่ยวข้อง 20

ดำเนินการตามแผน (Carry Out the Plan): ลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเป็นระบบและอดทน 19

มองย้อนกลับ (Look Back): ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบ ทบทวนกระบวนการที่ใช้ และพิจารณาว่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาอื่นได้อย่างไร 19

แม้จะมีต้นกำเนิดในวิชาคณิตศาสตร์ แต่กรอบแนวคิดนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกสาขาวิชา ทำให้ผู้เรียนมีเครื่องมือทางความคิดที่เป็นระบบสำหรับการสืบเสาะอย่างมีโครงสร้าง 23

การสังเคราะห์หลักการทั้งสามนี้เข้าด้วยกันสร้างเป็นกรอบการทำงานที่ทรงพลังและสมบูรณ์ การใช้หลักการใดหลักการหนึ่งเพียงอย่างเดียวอาจมีข้อจำกัด เช่น การสอนแบบดิวอี้อาจขาดความเข้มข้นทางปัญญาหากไม่มีการกำหนดเป้าหมายตามทฤษฎีของบลูม การฝึกทักษะตามทฤษฎีของบลูมอาจกลายเป็นแบบฝึกหัดที่แยกขาดจากโลกจริงหากไม่ใช้บริบทของดิวอี้ และการใช้กระบวนการของโพลยาอาจกลายเป็นเพียงการทำตามขั้นตอนโดยขาดความเข้าใจเชิงลึกหากไม่ผนวกเข้ากับทักษะการคิดขั้นสูง ดังนั้น การผสานสามหลักการนี้จึงเป็นการสร้าง “สามประสานทางการสอน” (The Pedagogical Triad) ที่ดิวอี้ให้ปรัชญาและสภาพแวดล้อม (ทำไม) บลูมให้โครงสร้างทางปัญญา (อะไร) และโพลยาให้กระบวนการที่เป็นรูปธรรม (อย่างไร) ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนบทบาทของครูจาก “ผู้ถ่ายทอดความรู้” (Sage on the Stage) ไปสู่ “สถาปนิกผู้ออกแบบการเรียนรู้” (Architect of Inquiry) ที่มีหน้าที่ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ท้าทายและมีความหมาย

ส่วนที่ 2: รูปแบบการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนประถมศึกษา: การบ่มเพาะความสงสัยและทักษะพื้นฐาน

สำหรับผู้เรียนในระดับประถมศึกษา เป้าหมายหลักคือการสร้าง “เจตคติ” ที่ดีต่อการสืบเสาะและการแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนแนวคิดที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นกิจกรรมที่จับต้องได้และสนุกสนาน

2.1 แนวทางหลัก: การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการสืบเสาะแบบมีแนวทาง

การเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-Based Learning) เป็นแนวทางการสอนที่ใช้ความสงสัยตามธรรมชาติของเด็กเป็นเครื่องมือในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณค่า 25 การเล่นไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาทักษะทางปัญญา สังคม-อารมณ์ และความสามารถในการแก้ปัญหา 28 โดยครูจะมีบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ (Guide) ในการเล่นและการสืบเสาะนั้นๆ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกินกว่าจะทำได้ด้วยตนเอง 26 กิจกรรมจะเน้นการใช้นิทาน 31, เกม 33, และการแสดงบทบาทสมมติ 35 เพื่อสร้างสถานการณ์จำลองที่เด็กๆ สามารถฝึกฝนทักษะ CTPS ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

2.2 วงจรการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน: “สนามเด็กเล่นแห่งการสืบเสาะ” (The Inquiry Playground)

ขั้นสร้างความสนใจและสงสัย (Engage & Wonder) – (ระดับการจำ/การเข้าใจ): กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นด้วยสิ่งเร้า เช่น การเล่านิทานที่มีปมปัญหา 32, การให้เล่นเกมปริศนา 33, หรือการตั้งคำถามปลายเปิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในห้องเรียน 36 เพื่อดึงความรู้เดิมและสร้างความสนใจ

ขั้นสำรวจและค้นหา (Explore & Investigate) – (ระดับการประยุกต์ใช้): เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติและสำรวจปัญหาอย่างอิสระผ่านสื่อและอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ “Learning by Doing” 7

ขั้นอธิบายและเชื่อมโยง (Explain & Connect) – (ระดับการวิเคราะห์): ครูนำการอภิปรายกลุ่มเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถอธิบายสิ่งที่ตนเองค้นพบ โดยใช้คำถามชี้นำเชิงโสเครติสแบบง่ายๆ เช่น “เกิดอะไรขึ้นเมื่อลองทำแบบนั้น” “ทำไมหนูถึงคิดว่ามันเป็นแบบนั้น” 4 เพื่อเชื่อมโยงการกระทำเข้ากับการคิด

ขั้นขยายความรู้และสร้างสรรค์ (Elaborate & Create) – (ระดับการสร้างสรรค์): ท้าทายให้นักเรียนนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ที่เกี่ยวข้อง เช่น “ลองแสดงตอนจบของนิทานในแบบของหนูสิ” 35

ขั้นประเมินและสะท้อนคิด (Evaluate & Reflect) – (ระดับการประเมินค่า): นำการสะท้อนคิดอย่างง่ายๆ เช่น “ส่วนไหนที่ยากที่สุด” “ครั้งหน้าจะลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม” เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในกระบวนการคิดของตนเอง (Metacognition) 38

2.3 ตัวอย่างสถานการณ์: “กรณีศึกษาต้นไม้เหี่ยวในห้องเรียน”

ขั้นสร้างความสนใจและสงสัย: ครูชี้ไปที่ต้นไม้ในกระถางของห้องเรียนที่เริ่มเหี่ยวเฉา แล้วตั้งคำถามว่า “ครูสงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของเรา ทำไมมันถึงดูเศร้าๆ แบบนี้ล่ะ เด็กๆ คิดว่าต้นไม้ต้องการอะไรถึงจะมีความสุข”

ขั้นสำรวจและค้นหา: นักเรียนได้สำรวจดินที่แห้งในกระถางของต้นไม้ที่เหี่ยว ครูเตรียมอุปกรณ์ เช่น ถ้วยเล็กๆ ดิน เมล็ดพืช ให้นักเรียนได้ลองปลูกเมล็ดพืชของตนเอง และตัดสินใจว่าจะวางไว้ที่ใด (ริมหน้าต่างที่มีแดด, ในมุมมืด) และจะรดน้ำหรือไม่

ขั้นอธิบายและเชื่อมโยง: หลังจากผ่านไป 2-3 วัน นักเรียนมารวมกลุ่มกันเพื่ออภิปรายสิ่งที่สังเกตเห็น ครูใช้คำถามชี้นำ เช่น “เมล็ดของใครเริ่มงอกแล้ว หนูวางไว้ที่ไหน” “ดินในถ้วยที่งอกเป็นต้นอ่อนให้ความรู้สึกอย่างไร” เพื่อช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงระหว่างแสงแดด น้ำ และการเจริญเติบโตของพืช

ขั้นขยายความรู้และสร้างสรรค์: นักเรียนช่วยกันวาดภาพและเขียนประโยคง่ายๆ เพื่อสร้างโปสเตอร์ “คู่มือดูแลต้นไม้” สำหรับติดในห้องเรียน

ขั้นประเมินและสะท้อนคิด: ทั้งชั้นเรียนช่วยกันวางแผนตารางการรดน้ำต้นไม้ในห้อง ครูถามคำถามเพื่อสรุปว่า “พวกเราช่วยกันแก้ปัญหาต้นไม้เหี่ยวได้อย่างไร”

2.4 แนวทางการวัดผลตามสภาพจริง

การประเมินในระดับนี้จะเน้นที่ “กระบวนการ” มากกว่า “ผลผลิตสุดท้าย” 39 โดยมีเป้าหมายเพื่อสังเกตพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการพัฒนาทักษะ CTPS

เครื่องมือที่ใช้:

แบบสังเกตพฤติกรรม (Observational Checklists): ครูใช้ระหว่างกิจกรรมเพื่อบันทึกพฤติกรรม เช่น “การตั้งคำถาม” “การลองผิดลองถูก” “การรับฟังความคิดเห็นของเพื่อน”

แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment): เป็นการรวบรวมชิ้นงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ภาพวาด, รูปถ่ายผลงานประดิษฐ์, บันทึกคำพูดของนักเรียน และตัวอย่างชิ้นงาน 41 แฟ้มสะสมงานจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกระบวนการคิดของผู้เรียน 44

ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน: การใช้รูบริค (Rubric) ช่วยให้การประเมินมีความชัดเจนและเป็นระบบ 46 สำหรับระดับประถมศึกษา ควรใช้รูบริคแบบภาพรวม (Holistic Rubric) ที่เข้าใจง่าย

ตารางที่ 1: ตัวอย่างเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวมสำหรับการแก้ปัญหาร่วมกัน (ระดับประถมศึกษา)

เกณฑ์การประเมินระดับ 3 (ดีเยี่ยม)ระดับ 2 (กำลังพัฒนา)ระดับ 1 (เริ่มต้น)
การระบุปัญหาสามารถอธิบายปัญหาด้วยภาษาของตนเองได้ชัดเจนสามารถบอกได้ว่าปัญหาคืออะไร แต่ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนยังไม่สามารถระบุปัญหาได้ด้วยตนเอง ต้องการการชี้นำ
การเสนอแนวคิดเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างน้อย 2 วิธี และบอกเหตุผลง่ายๆ ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาได้ 1 วิธียังไม่สามารถเสนอแนวทางแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
การทำงานร่วมกันรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนและแบ่งปันความคิดของตนเองอย่างสม่ำเสมอรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนเป็นบางครั้ง หรือแบ่งปันความคิดของตนเองเมื่อถูกกระตุ้นทำงานคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ หรือมีอุปสรรคในการสื่อสารกับเพื่อน
ความพยายามเมื่อพบอุปสรรค พยายามหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาเมื่อพบอุปสรรค พยายามทำซ้ำด้วยวิธีเดิม หรือต้องการกำลังใจเพื่อทำต่อล้มเลิกความพยายามได้ง่ายเมื่อพบอุปสรรค

หมายเหตุ: เกณฑ์การประเมินนี้พัฒนาขึ้นโดยอ้างอิงแนวคิดจาก 48

2.5 หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน

ส่วนที่ 3: รูปแบบการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษา: การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นนักคิดที่ซับซ้อนและอิสระ

ในระดับมัธยมศึกษา การเรียนการสอนจะต่อยอดจากเจตคติเชิงบวกที่สร้างขึ้นในระดับประถมศึกษา โดยมุ่งเน้นการสร้าง “วินัย” ในการคิดและการประยุกต์ใช้ทักษะ CTPS ในบริบทที่ซับซ้อนและเป็นจริงมากขึ้น

3.1 แนวทางหลัก: การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานและโครงงานเป็นฐาน (PBL)

นักเรียนระดับมัธยมศึกษามีความสามารถในการคิดเชิงนามธรรมและสืบเสาะอย่างต่อเนื่องได้ดีขึ้น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) และการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกรวมว่า PBL เป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่ง 6 ในแนวทางนี้ “โครงงานคือหลักสูตร” ไม่ใช่กิจกรรมเสริม 58 ผู้เรียนจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัญหาที่ซับซ้อนและเป็นจริง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การทำงานร่วมกัน และการพัฒนาทักษะ CTPS อย่างลึกซึ้ง 59 ผู้เรียนจะต้องสืบค้นประเด็นที่ท้าทาย ประเมินข้อมูล และสร้างสรรค์ผลงานหรือแนวทางแก้ไขเพื่อนำเสนอต่อสาธารณะ 58

3.2 วงจรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน: “ความท้าทายในโลกแห่งความจริง” (The Real-World Challenge)

ขั้นเผชิญปัญหา (Problem Encounter): ครูนำเสนอปัญหาปลายเปิดที่ซับซ้อน อาจอยู่ในรูปแบบกรณีศึกษา 64 หรือคำถามขับเคลื่อน (Driving Question) ที่เชื่อมโยงกับประเด็นในชุมชน 58 เช่น “เราจะลดปริมาณขยะพลาสติกในโรงเรียนของเราลง 30% ภายในหนึ่งภาคการศึกษาได้อย่างไร”

ขั้นวิเคราะห์ปัญหาและกำหนดประเด็นการเรียนรู้ (Problem Analysis & Learning Issues Identification): นักเรียนทำงานกลุ่มเพื่อวิเคราะห์ปัญหา ระบุสิ่งที่ “รู้แล้ว” (Know) และสิ่งที่ “จำเป็นต้องรู้” (Need to Know) เพื่อแก้ปัญหานั้น 57

ขั้นสืบค้นและศึกษาด้วยตนเอง (Self-Directed Inquiry & Research): นักเรียนศึกษาค้นคว้าประเด็นที่ “จำเป็นต้องรู้” ด้วยตนเองและทำงานร่วมกับกลุ่ม ขั้นตอนนี้เน้นทักษะการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) เช่น การประเมินความน่าเชื่อถือและอคติของแหล่งข้อมูล 65

ขั้นตั้งสมมติฐานและพัฒนาแนวทางแก้ไข (Hypothesis & Solution Development) – (ระดับการวิเคราะห์/การประเมินค่า): กลุ่มกลับมารวมตัวเพื่อแบ่งปันข้อมูลที่ค้นคว้ามา สังเคราะห์ข้อมูล และระดมสมองหาแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ โดยต้องวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือกและคาดการณ์ผลที่จะตามมา 4

ขั้นประยุกต์ใช้และทดลอง (Application & Testing): กลุ่มเลือกแนวทางแก้ไขที่มีความเป็นไปได้สูงสุดและพัฒนาเป็นแผนปฏิบัติการโดยละเอียด หรือสร้างต้นแบบ (Prototype) เพื่อทดลอง

ขั้นสังเคราะห์และนำเสนอ (Synthesis & Presentation) – (ระดับการสร้างสรรค์): นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานสุดท้ายเพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขของตน พร้อมทั้งอ้างอิงหลักฐานสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ผลงานอาจอยู่ในรูปแบบการนำเสนออย่างเป็นทางการ, การโต้วาที 68, บทความวิชาการ, หรือแคมเปญรณรงค์ โดยควรนำเสนอต่อผู้ฟังที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริง 61

ขั้นสะท้อนคิดและประเมิน (Reflection & Peer/Self-Evaluation): นักเรียนสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ ประสิทธิผลของแนวทางแก้ไข และการทำงานกลุ่ม รวมถึงให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์แก่เพื่อนร่วมทีมโดยใช้เกณฑ์ที่กำหนดไว้ 69

3.3 ตัวอย่างสถานการณ์: “โครงงานชุมชน: รับมือ ‘ข่าวปลอม’ ด้านสุขภาพในท้องถิ่น”

ขั้นเผชิญปัญหา: ครูนำเสนอกรณีศึกษาเกี่ยวกับโพสต์ในโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโครงการสุขภาพในท้องถิ่น (เช่น คลินิกฉีดวัคซีนแห่งใหม่) ซึ่งสร้างความสับสนและความกังวลในชุมชน 64 คำถามขับเคลื่อนคือ “ในฐานะนักเรียน เราจะสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้กับข้อมูลสุขภาพที่บิดเบือนในชุมชนของเราได้อย่างไร”

ขั้นวิเคราะห์ปัญหา: นักเรียนระบุสิ่งที่ “รู้แล้ว” (โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง) และสิ่งที่ “จำเป็นต้องรู้” (ข่าวปลอมคืออะไร, จะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างไร, กลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคืออะไร, ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการสุขภาพนั้นคืออะไร)

ขั้นสืบค้น: นักเรียนใช้เครื่องมือ เช่น CRAAP Test เพื่อประเมินแหล่งข้อมูลออนไลน์ 67 ค้นคว้าข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการสุขภาพ ศึกษาหลักการรู้เท่าทันสื่อ 73 และวิเคราะห์ตัวอย่างแคมเปญรณรงค์ด้านสาธารณสุขที่ประสบความสำเร็จ

ขั้นพัฒนาแนวทางแก้ไข: แต่ละกลุ่มระดมสมองเพื่อออกแบบแคมเปญ เช่น สร้างวิดีโอสั้นสำหรับ TikTok เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง, จัดทำเว็บไซต์ให้ข้อมูล, นำเสนอในที่ประชุมผู้ปกครอง หรือออกแบบโปสเตอร์รณรงค์ในโรงเรียน จากนั้นอภิปรายข้อดี-ข้อเสียของแต่ละสื่อ 68

ขั้นประยุกต์ใช้: กลุ่มหนึ่งตัดสินใจสร้างเว็บไซต์ พวกเขาสร้างโครงร่างเว็บไซต์ เขียนเนื้อหา และออกแบบกราฟิก

ขั้นนำเสนอ: กลุ่มนำเสนอเว็บไซต์ต้นแบบต่อคณะครูและตัวแทนจากหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่น โดยอธิบายเหตุผลในการออกแบบและอ้างอิงหลักฐานสนับสนุนเนื้อหา

ขั้นสะท้อนคิด: นักเรียนประเมินทักษะการค้นคว้าของตนเองและประเมินการทำงานร่วมกันของเพื่อนในกลุ่มโดยใช้รูบริค และเขียนบทความสะท้อนคิดสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสื่อ สุขภาพ และการมีส่วนร่วมในชุมชน

3.4 แนวทางการวัดผลตามสภาพจริง

การประเมินในระดับนี้มีความซับซ้อนและครอบคลุมทั้งกระบวนการและผลผลิต โดยประเมินตั้งแต่ทักษะการค้นคว้า การทำงานร่วมกัน การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ไปจนถึงคุณภาพของผลงานสุดท้าย 75

เครื่องมือที่ใช้:

แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment): แฟ้มสะสมงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Portfolio) สามารถบันทึกร่องรอยการเรียนรู้ได้ตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่บันทึกการค้นคว้า บรรณานุกรมพร้อมคำอธิบาย ร่างผลงาน ข้อมูลป้อนกลับจากเพื่อน ผลงานฉบับสมบูรณ์ และบทความสะท้อนคิดสรุปโครงการ 43

เกณฑ์การประเมินแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic Rubrics): เป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่งในการให้ข้อมูลป้อนกลับที่ละเอียดและเป็นรูปธรรมสำหรับโครงงานที่ซับซ้อน โดยจะแยกประเมินในแต่ละองค์ประกอบ เช่น คุณภาพการสืบค้น, การใช้เหตุผล, ทักษะการนำเสนอ 77

ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน: รูบริคแบบแยกองค์ประกอบช่วยให้ทั้งครูและนักเรียนเห็นจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาได้อย่างชัดเจน 46

ตารางที่ 2: ตัวอย่างเกณฑ์การประเมินแบบแยกองค์ประกอบสำหรับผลลัพธ์การเรียนรู้จากโครงงาน (ระดับมัธยมศึกษา)

เกณฑ์การประเมินระดับ 4 (ดีเลิศ)ระดับ 3 (ดี)ระดับ 2 (พอใช้)ระดับ 1 (ต้องปรับปรุง)
การวิจัยและการสืบค้นใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถืออย่างเชี่ยวชาญ สามารถสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ได้ใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายแหล่งและสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ใช้แหล่งข้อมูลจำกัด หรือมีบางแหล่งที่ขาดความน่าเชื่อถือใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือคัดลอกข้อมูลโดยไม่มีการวิเคราะห์
การวิเคราะห์และการคิดเชิงวิพากษ์วิเคราะห์ประเด็นได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้าน ประเมินมุมมองที่แตกต่างและระบุอคติที่ซ่อนเร้นได้อย่างมีวิจารณญาณวิเคราะห์ประเด็นสำคัญได้ และสามารถเปรียบเทียบมุมมองที่แตกต่างกันได้การวิเคราะห์ยังเป็นไปอย่างผิวเผิน ขาดการพิจารณาในมุมมองอื่นไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูล อธิบายข้อมูลตามที่ปรากฏเท่านั้น
การแก้ปัญหาและการพัฒนาแนวทางเสนอแนวทางแก้ไขที่สร้างสรรค์และมีความเป็นไปได้สูง พร้อมให้เหตุผลสนับสนุนที่หนักแน่นและอ้างอิงหลักฐานชัดเจนเสนอแนวทางแก้ไขที่สมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้ พร้อมให้เหตุผลสนับสนุนได้เสนอแนวทางแก้ไขที่ไม่ชัดเจน หรือขาดเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอไม่สามารถเสนอแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับปัญหาได้
การทำงานร่วมกันและการสื่อสารมีบทบาทนำและเป็นผู้ตามที่ดีอย่างสม่ำเสมอ สื่อสารความคิดและนำเสนอผลงานได้อย่างชัดเจน น่าสนใจ และเป็นมืออาชีพทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี มีส่วนร่วมในการอภิปราย และนำเสนอผลงานได้ชัดเจนมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มเป็นบางครั้ง การสื่อสารหรือนำเสนอผลงานยังขาดความชัดเจนไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม หรือไม่สามารถสื่อสารความคิดของตนเองได้

หมายเหตุ: เกณฑ์การประเมินนี้พัฒนาขึ้นโดยอ้างอิงแนวคิดจาก 81

3.5 หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน

สรุป

กรอบการจัดการเรียนการสอนที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้ได้วางเส้นทางการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นลำดับขั้น โดยเริ่มต้นจากการบ่มเพาะ “เจตคติแห่งการสืบเสาะ” ในระดับประถมศึกษาผ่านการเล่นและการค้นพบแบบมีแนวทาง ไปสู่การสร้าง “วินัยแห่งการสืบเสาะ” ในระดับมัธยมศึกษาผ่านการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่ซับซ้อนและเป็นอิสระ การเปลี่ยนผ่านนี้สะท้อนถึงพัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียนที่ต้องการความท้าทายและรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย

หัวใจสำคัญของกรอบแนวทางนี้คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์บทบาทของครูผู้สอน จากเดิมที่เป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดความรู้ ไปสู่การเป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้ออกแบบหลักสูตร และโค้ชด้านกระบวนการคิด การเปลี่ยนแปลงนี้เรียกร้องให้มีการพัฒนาวิชาชีพครูที่มุ่งเน้นทักษะการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ การตั้งคำถามที่ทรงพลัง และการประเมินตามสภาพจริง

ในภาพรวม การนำกรอบการทำงานนี้ไปปรับใช้ไม่ได้เป็นเพียงการนำเทคนิคการสอนใหม่ๆ เข้ามาในห้องเรียน แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมของสถานศึกษาที่ให้คุณค่ากับความสงสัยใคร่รู้ การสนทนาเชิงวิพากษ์ และการแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีความสามารถและมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์สูงสุดทางการศึกษาของจอห์น ดิวอี้ 11

บรรณานุกรม

Anderson, L. W., & Krathwohl, D. R. (Eds.). (2001). A taxonomy for learning, teaching, and assessing: A revision of Bloom’s Taxonomy of educational objectives. Longman.

Bicer, A., Perihan, N., & Lee, Y. (2020). The impact of STEM-based problem-solving instruction on the creativity of elementary school students. Thinking Skills and Creativity, 38, 100713.

Bloom, B. S. (Ed.). (1956). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. Handbook 1: Cognitive domain. David McKay.

Dewey, J. (1916). Democracy and education: An introduction to the philosophy of education. Macmillan.

Dewey, J. (1938). Experience and education. Macmillan.

Duch, B. J., Groh, S. E., & Allen, D. E. (Eds.). (2001). The power of problem-based learning: A practical “how to” for teaching undergraduate courses in any discipline. Stylus Publishing.

Facione, P. A. (1990). Critical thinking: A statement of expert consensus for purposes of educational assessment and instruction. The Delphi Report. California Academic Press.

Flinders, D. J., & Thornton, S. J. (Eds.). (2013). The curriculum studies reader (4th ed.). Routledge.

Gutek, G. L. (2014). Philosophical, ideological, and theoretical perspectives on education (2nd ed.). Pearson.

Polya, G. (1947). How to solve it: A new aspect of mathematical method. Princeton University Press.

Savin-Baden, M. (2000). Problem-based learning in higher education: Untold stories. Open University Press.

Schiro, M. S. (2013). Curriculum theory: Conflicting visions and enduring concerns (2nd ed.). SAGE Publications.

Walsh, A. (2005). The tutor in problem-based learning: A novice’s guide. McMaster University Press.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

ไพศาล สุวรรณน้อย. (2558). การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning: PBL). สถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version