Site icon Digital Learning Classroom

แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

Model
แชร์เรื่องนี้

แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

รูปแบบการบริหารสถานศึกษา หมายถึง โครงสร้างหรือแบบแผนที่แสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ดีควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษา

ประเภทของโมเดลสามารถสรุปได้ดังนี้

1. โมเดลภาษา (Verbal Model)

– เป็นการพรรณนาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยคำบรรยาย
– ตัวอย่าง: รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง

2. โมเดลรูปภาพ (Image Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ:

a) ลักษณะสาเหตุ (Causal) ตัวอย่าง: โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
b) ลักษณะแผนภาพ (Diagrams) ตัวอย่าง: รูปแบบการบริหารจัดการภาคเอกชน

3. โมเดลคณิตศาสตร์ (Mathematical Model)

– แสดงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
– ตัวอย่าง: แบบจำลองสมการ, โปรแกรมเชิงเส้น

4. โมเดลกายภาพ (Physical Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ

a) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อจำลองสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น  แบบจำลองรถยนต์ หุ่นไล่กา  หุ่นร้านเสื้อผ้า แบบจำลองอาคาร
b) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อการผลิตสิ่งนั้น ๆ (ขนาดเท่าของจริง) ตัวอย่างเช่น แบบจำลองต้นแบบผลิตรถยนต์ ตัวแบบผลิตสินค้า ตัวแบบผลิตอุปกรณ์

ประเภทของโมเดลเหล่านี้เรียงลำดับจากนามธรรมไปสู่รูปธรรม ตามเกณฑ์ของความเสมือนจริง โดยโมเดลภาษามีลักษณะเป็นนามธรรมมากที่สุด ในขณะที่โมเดลกายภาพมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากที่สุด

ดัดแปลงจาก ชัยวิชิต เชียรชนะ : 2560

แนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล

การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความเป็นระบบ นักวิจัยและนักพัฒนาควรเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน ขั้นตอนการดำเนินงาน และลักษณะของโมเดลที่ดี เพื่อสามารถสร้างหรือพัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การค้นพบองค์ความรู้ใหม่และการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิผล

ดังนั้นในการวิจัยและพัฒนา การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถอธิบาย ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

ความหมายและจุดมุ่งหมาย

การสร้างโมเดล หมายถึง การริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในขณะที่

การพัฒนาโมเดล คือ การปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น

ทั้งสองกระบวนการมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์ต่างๆ โดยศึกษาองค์ประกอบ ตัวแปร และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น

แนวคิดหลักในการสร้างและพัฒนาโมเดล

แนวคิดการสร้างและพัฒนาโมเดลประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ดังนี้

การค้นหาโมเดล เริ่มจากการศึกษาสภาพปรากฏการณ์ รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การสร้างโมเดลสมมติฐาน

การทดสอบโมเดล นำโมเดลที่สร้างขึ้นหรือมีอยู่แล้วไปทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อสรุปผลและอาจนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาต่อไป

นักวิจัยอาจเลือกดำเนินการตามแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือทั้งสองแนวทางก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย

ลักษณะของโมเดลที่ดี

โมเดลที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้

การประยุกต์ใช้ในการวิจัยและพัฒนา

สรุปแนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล ตามประเด็นได้ดังนี้

1. นิยาม

– การสร้าง คือ การริเริ่มดำเนินการสิ่งที่ศึกษาใหม่ ไม่ซ้ำซ้อนกับสิ่งที่มีมาก่อน
– การพัฒนา การนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงหรือแก้ไขให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ มีประโยชน์ และทันสมัยยิ่งขึ้น

2. จุดเริ่มต้น

– เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือสังคมที่มีความแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง
– มีความน่าสนใจและมีอิทธิพลต่อสิ่งอื่น ๆ

3. วัตถุประสงค์

– เพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์
– ศึกษาส่วนประกอบ/องค์ประกอบ/ตัวแปร/หลักการ/แนวคิด/ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
– วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ

4. แนวคิดหลัก 2 ประการ

a) การค้นหาโมเดล

– ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
– รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
– วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล
– สร้างโมเดลสมมติฐาน

b) การนำโมเดลไปทดสอบ/ทดลอง/พิสูจน์

– ใช้โมเดลที่สร้างขึ้นหรือโมเดลที่มีอยู่แล้ว
– ทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้
– สรุปผลการใช้โมเดล
– อาจนำไปสู่การปรับปรุงหรือพัฒนาโมเดลต่อไป

5. ความยืดหยุ่นในการดำเนินการ

– นักวิจัยอาจเลือกทำเพียงแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรือทำทั้งสองแนวคิดก็ได้

6. เป้าหมาย

– ได้โมเดลที่สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

7. ลักษณะของโมเดลที่ดี

– สะท้อนปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สร้างความคิดรวบยอดใหม่ได้
– เพิ่มองค์ความรู้ได้
– แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้ถูกต้องและเชื่อถือได้
– สามารถตรวจสอบและทดสอบได้
– สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้

แนวคิดนี้เน้นกระบวนการที่เป็นระบบในการสร้างและพัฒนาโมเดล โดยมุ่งเน้นทั้งการค้นหาความรู้ใหม่และการทดสอบความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้ได้โมเดลที่มีประสิทธิภาพในการอธิบายปรากฏการณ์ที่สนใจ

องค์ประกอบสำคัญของรูปแบบ

1. โครงสร้างหรือแบบแผน

– เป็นกรอบแนวคิดที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการบริหารสถานศึกษา
– มีการจัดระเบียบและลำดับขั้นตอนของการทำงานอย่างเป็นระบบ

2. ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ

– แสดงการเชื่อมโยงระหว่างส่วนต่างๆ ของสถานศึกษา
– รวมถึงการประสานงานระหว่างบุคลากร ทรัพยากร และกระบวนการทำงาน

3. การบริหารจัดการ

– ครอบคลุมกระบวนการวางแผน การจัดองค์กร การนำ และการควบคุม
– รวมถึงการตัดสินใจในด้านต่างๆ ของสถานศึกษา

4. เป้าหมายทางการศึกษา

– กำหนดทิศทางและผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา
– อาจรวมถึงการพัฒนาผู้เรียน การยกระดับคุณภาพการศึกษา และการพัฒนาชุมชน

5. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล

– ประสิทธิภาพ คือ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในการดำเนินงาน
– ประสิทธิผล คือ ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ผมจะอธิบายวิธีการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นขั้นตอน ดังนี้

วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน

กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย

ออกแบบรูปแบบการบริหาร

พัฒนาบุคลากร

สร้างวัฒนธรรมองค์กร

นำรูปแบบไปทดลองใช้

ประเมินผลและปรับปรุง

จัดทำคู่มือและเผยแพร่

กระบวนการวิจัยโมเดล

กระบวนการวิจัยโมเดลประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก

  1. ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
  2. สร้างหรือพัฒนาโมเดล
  3. ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล
  4. ทดลองใช้โมเดล
  5. ประเมินการทดลองใช้โมเดล

ศึกษาสภาพปรากฏการณ์

แนวคิด  เพื่อให้ได้สารสนเทศของบริบทสิ่งที่ศึกษาทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
เทคนิควิธีที่ใช้ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง การประชาพิจารณ์  การระดมสมอง การวิจัยเอกสาร การสำรวจ

เช่น

สร้างหรือพัฒนาโมเดล

แนวคิด การสร้างโมเดลใหม่หรือพัฒนาโมเดลที่มีอยู่
เทคนิควิธีที่ใช้  เช่น

ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล

แนวคิด ประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำไปใช้
มาตรฐานการประเมิน ความเป็นไปได้ (Feasibility) และความเหมาะสม (Propriety) ดังนี้

เทคนิควิธีที่ใช้ เช่น

 ทดลองใช้โมเดล

หลักการ

1) การเตรียมโมเดล (แผนการทดลองและคู่มือการนำไปใช้)
2) การกำหนดพื้นที่การทดลอง
3) การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย

ประเมินการทดลองใช้โมเดล

เมื่อทำการทดลองใช้ หรือทดสอบโมเดลแล้ว การประเมินก็เข้ามามีบทบาทอีกครั้งแต่บทบาทในขั้นตอนนี้จะเป็นไปเพื่อการพิสูจน์ตรวจสอบ ทดลองใช้ โดยสามารถนำแนวคิดการประเมินของ Joint Committee on Standard of Educational Evaluation (1994) มาประยุกต์ใช้ในการประเมินโมเดลประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้านที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาใช้ได้ แต่จะขอให้นิยามการประเมินเพิ่มเติม 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานด้านอรรถะประโยชน์ และมาตรฐานด้านความถูกต้องแม่นยา ดังนี้

แนวคิด ประเมินเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบ ทดลองใช้
มาตรฐานการประเมิน อรรถประโยชน์ (Utility) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ความเหมาะสม (Propriety) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)

–  เทคนิควิธีที่ใช้ 

 แนวคิดการประเมินอื่นๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้

– แบบจำลองการประเมินที่เน้นจุดมุ่งหมาย (Objective Based Model)
– แบบจำลองการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal-Free Evaluation Model)
– การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
– การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation)
– การประเมินที่เน้นการนำผลไปใช้ประโยชน์ (Utilization-Focused evaluation)
– การประเมินแบบเสริมพลังอำนาจ (Empowerment Evaluation)
– การประเมินอิงการขับเคลื่อนทางทฤษฎี (Theory-Driven Evaluation)
– การประเมินแบบมีส่วนร่วม (Participatory Evaluation)
– การประเมินแบบร่วมมือรวมพลัง (Collaborative Evaluation)

การใช้สถิติในการตรวจสอบประเมินโมเดล

– สถิติทดสอบที (t-test)
– การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance)
– การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis)
– การวิเคราะห์จำแนก (Discriminant Analysis)
– การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis)
– การวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis)
– การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling)

ข้อพึงระวังในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงเรียน อย่างไรก็ตาม การพัฒนารูปแบบดังกล่าวมีความซับซ้อนและอาจเกิดปัญหาได้ หากไม่ได้รับการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ และนี่คือการนำเสนอข้อพึงระวังที่สำคัญในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพครับ

1. การละเลยบริบทเฉพาะของสถานศึกษา

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือการนำรูปแบบการบริหารสำเร็จรูปมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทเฉพาะของสถานศึกษา แต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างทั้งในด้านวัฒนธรรม ทรัพยากร และความต้องการของชุมชน การพัฒนารูปแบบการบริหารจึงควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและความต้องการเฉพาะของสถานศึกษานั้นๆ อย่างละเอียด

 2. การขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยผู้บริหารเพียงฝ่ายเดียวอาจนำไปสู่การต่อต้านและความไม่เข้าใจจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะช่วยให้รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและได้รับการยอมรับมากขึ้น

3. การตั้งเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

การกำหนดเป้าหมายที่สูงเกินไป หรือต่ำเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนารูปแบบการบริหาร เป้าหมายที่สูงเกินไปอาจสร้างความกดดันและท้อแท้  ในขณะที่เป้าหมายที่ต่ำเกินไปอาจไม่สร้างแรงจูงใจในการพัฒนา ควรตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้จริง โดยพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงและทรัพยากรที่มีอยู่

4. การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป

การพยายามเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทั้งหมดในคราวเดียวอาจสร้างความสับสนและต่อต้านจากบุคลากร ควรวางแผนการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากส่วนที่สำคัญและจำเป็นก่อน และให้เวลาแก่บุคลากรในการปรับตัวและเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยลดแรงต้านและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการนำรูปแบบใหม่มาใช้

5. การละเลยการพัฒนาบุคลากร

การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่เตรียมความพร้อมของบุคลากรเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ควรจัดให้มีการอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับรูปแบบการบริหารใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรสร้างระบบสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่บุคลากรในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน

6. การขาดความยืดหยุ่น

แม้ว่าการมีรูปแบบการบริหารที่ชัดเจนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยึดติดกับรูปแบบจนไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะและพร้อมปรับปรุงอยู่เสมอจะช่วยให้รูปแบบการบริหารมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7. การละเลยการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ อาจทำให้ไม่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ควรมีระบบการประเมินผลที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาทั้งผลลัพธ์เชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

8. การไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่

การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ต้องใช้ทรัพยากรเกินกว่าที่มีอยู่อาจนำไปสู่ปัญหาในการนำไปปฏิบัติจริง ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการหาแนวทางในการระดมทรัพยากรเพิ่มเติมอย่างสร้างสรรค์

9. การละเลยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบทางการศึกษาอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและการถูกตรวจสอบ ควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ และออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย ในขณะเดียวกัน ก็ควรพิจารณาหาช่องทางในการสร้างนวัตกรรมภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่

10. การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ทั่วถึงอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการต่อต้านจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรมีแผนการสื่อสารที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม การสื่อสารควรมีความชัดเจน ต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้มีการซักถามและแสดงความคิดเห็น

บทสรุป

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรอบคอบ การมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น การตระหนักถึงข้อพึงระวังที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาสถานศึกษาอย่างยั่งยืน

 

งานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

1. การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management):

– Caldwell, B. J. (2005). School-based management. International Academy of Education.
– สุรินทร์ จีนสด (2560). รูปแบบการบริหารโรงเรียนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 13(1), 161-186.

2. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management):

– Somech, A. (2010). Participative decision making in schools: A mediating-moderating analytical framework for understanding school and teacher outcomes. Educational Administration Quarterly, 46(2), 174-209.
– วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วม: แนวคิดทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา. วารสารบริหารการศึกษา มศว, 11(21), 1-9.

3. การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management in Education):

– Sallis, E. (2014). Total quality management in education (3rd ed.). Routledge.
– รัตนา ดวงแก้ว (2556). การบริหารคุณภาพทั้งองค์การในสถานศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 15(4), 150-160.

4. การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถานศึกษา (Strategic Management in Education):

– Davies, B., & Davies, B. J. (2006). Developing a model for strategic leadership in schools. Educational Management Administration & Leadership, 34(1), 121-139.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2558). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถาบันการศึกษา: แนวคิดและการปฏิบัติ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(3), 1-14.

5. การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา (Change Management in Schools):

– Fullan, M. (2016). The new meaning of educational change (5th ed.). Teachers College Press.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2562). การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา: บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, 9(1), 208-220.

6. การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล (School Management in the Digital Era):

– Sheninger, E. (2019). Digital leadership: Changing paradigms for changing times. Corwin Press.
– ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ (2561). การบริหารการศึกษาไทย 4.0 เป็นยุคของการบูรณาการข้ามศาสตร์. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี, 12(28), 1-8.

7. การพัฒนาภาวะผู้นำทางการศึกษา (Educational Leadership Development):

– Leithwood, K., & Sun, J. (2012). The nature and effects of transformational school leadership: A meta-analytic review of unpublished research. Educational Administration Quarterly, 48(3), 387-423.
– รัตนา ดวงแก้ว (2559). การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลง. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 18(2), 201-214.

8. การประกันคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assurance):

– Cheng, Y. C. (2003). Quality assurance in education: Internal, interface, and future. Quality Assurance in Education, 11(4), 202-213.
– สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และคณะ (2556). ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทย. วารสารวิธีวิทยาการวิจัย, 26(3), 261-290.

References

ที่มาของข้อมูล

ชัยวิชิต เชียรชนะ (2560) การสร้างและการพัฒนาโมเดล/รูปแบบ/แบบจำลอง/ตัวแบบ วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย ปี ที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2560) 

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version