Site icon Digital Learning Classroom

การบริหารเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา: แนวปฏิบัติและเครื่องมือสำหรับผู้บริหารยุคใหม่

แชร์เรื่องนี้

การบริหารเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา: แนวปฏิบัติและเครื่องมือสำหรับผู้บริหารยุคใหม่


ภาคที่ 1: แนวทางการบริหารเครือข่ายและการประสานความร่วมมือ

บทที่ 1: กรอบทฤษฎีและกระบวนทัศน์การบริหารเครือข่ายการศึกษา

1.1 ความสำคัญของการบริหารเครือข่ายในบริบทการศึกษาศตวรรษที่ 21

ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การจัดการศึกษาแบบดั้งเดิมที่จำกัดขอบเขตอยู่เพียงภายในรั้วสถานศึกษาไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้างและบริหารเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรและบุคคลภายนอกได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารการศึกษา การก้าวข้ามขอบเขตขององค์กรช่วยให้สามารถระดมทรัพยากร ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายจากภายนอก เพื่อรับมือกับปัญหาเชิงโครงสร้างทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ยังคงเป็นวาระสำคัญของประเทศ 1 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเรียนการสอน 3 หรือความต้องการทักษะแห่งอนาคตที่หลักสูตรปกติอาจไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเต็มที่ 4

ประโยชน์ของการบริหารจัดการแบบเครือข่ายนั้นมีหลายมิติที่สำคัญ ประการแรก เครือข่ายช่วยให้การตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาท่ามกลางความไม่แน่นอนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประการที่สอง สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและเพิ่มคุณค่าการบริการให้แก่ผู้เรียนและชุมชน ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ คือการสร้างความร่วมมือทำให้สามารถให้บริการทางการศึกษาที่ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง และยังเป็นการสร้าง “ทุนทางสังคม” (Social Capital) ที่เข้มแข็งให้แก่หน่วยงานและประเทศชาติในระยะยาว 5

1.2 การสังเคราะห์กรอบทฤษฎีหลักในการบริหารเครือข่าย

ความสำเร็จของการบริหารเครือข่ายตั้งอยู่บนรากฐานของกรอบทฤษฎีที่สำคัญหลายประการ ซึ่งช่วยอธิบายถึงแรงจูงใจและกลไกของการทำงานร่วมกัน ดังนี้

1.3 กระบวนทัศน์ใหม่: การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile Network Management)

แม้ว่าทฤษฎีดั้งเดิมจะให้กรอบความเข้าใจที่ดี แต่ในภูมิทัศน์การศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การบริหารเครือข่ายแบบเดิมที่เน้นข้อตกลงที่ตายตัวอาจขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทันท่วงที 9 จึงเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ที่เรียกว่า 

การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile Network Management) ซึ่งประยุกต์ใช้หลักการบริหารแบบ Agile ที่เน้นความสามารถในการปรับตัว การทำงานเป็นรอบสั้นๆ (Sprints) การสื่อสารที่โปร่งใส และการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาการขาดการสื่อสารและการประสานงานที่มักเกิดขึ้นในเครือข่ายขนาดใหญ่ 9

การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมองเครือข่ายเป็นเพียง “ข้อตกลงที่หยุดนิ่ง” (Static Agreement) ซึ่งกำหนดโครงสร้างและผลประโยชน์ไว้ล่วงหน้า ไปสู่การมองว่าเป็น “ระบบนิเวศที่มีชีวิตและปรับตัวได้” (Living, Adaptive Ecosystem) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทฤษฎีดั้งเดิมอย่าง Synergy และ Exchange Theory ช่วยอธิบาย “เหตุผล” ของการเข้าร่วม แต่แนวคิด Agile ให้ความสำคัญกับ “กระบวนการ” ที่ยืดหยุ่นซึ่งทำให้เครือข่ายสามารถดำรงอยู่และสร้างคุณค่าได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะแวดล้อมที่ผันผวน เช่น วิกฤตโรคระบาดที่บีบให้ทุกสถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนอย่างฉับพลัน 3 ดังนั้น บทบาทของผู้บริหารยุคใหม่จึงต้องเปลี่ยนจาก “ผู้สร้างข้อตกลง” (Deal Maker) ไปสู่การเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกของระบบนิเวศ” (Ecosystem Facilitator) ที่คอยกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร การเรียนรู้ และการปรับตัวร่วมกันอย่างสม่ำเสมอภายในเครือข่าย

1.4 ปัจจัยแห่งความสำเร็จและหลักการพื้นฐานของเครือข่ายความร่วมมือ

เพื่อให้เครือข่ายดำเนินงานไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน จำเป็นต้องยึดมั่นในหลักการและปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ ดังนี้ 5

นอกจากนี้ หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกฝ่ายในเครือข่ายต้องมีเกียรติ ศักดิ์ศรี สิทธิ และโอกาสที่เท่าเทียมกัน 5

บทที่ 2: ยุทธศาสตร์การสร้างความร่วมมือสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ

สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา การสร้างความร่วมมือกับองค์กรภายนอกและชุมชนให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยยุทธศาสตร์เชิงรุกและขั้นตอนการดำเนินงานที่เป็นระบบ แทนที่จะรอรับการสนับสนุนเพียงฝ่ายเดียว

2.1 ขั้นตอนการสร้างความร่วมมือเชิงรุก (Proactive Engagement Strategy)

ยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองจากการเป็น “ผู้รับ” มาเป็น “หุ้นส่วน” 10

แนวทางทั้ง 5 ขั้นตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการทำงานแบบ “จากภายในสู่ภายนอก” (Inside-Out) ที่โรงเรียนเป็นศูนย์กลางและคิดว่าต้องการอะไรจากชุมชน ไปสู่แนวทางแบบ “จากภายนอกสู่ภายใน” (Outside-In) ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจศักยภาพและความต้องการของชุมชนก่อน 10 การปรับเปลี่ยนมุมมองนี้ทำให้สถานศึกษาสามารถวางตำแหน่งตนเองในฐานะ “หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาชุมชน” (Partner in Community Development) ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกว่าการเป็นเพียง “ผู้รับบริการ” (Recipient of Services)

2.2 การออกแบบและบริหารจัดการโครงการความร่วมมือ

เมื่อสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบโครงการความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมและมีระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน

2.3 การนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

การสร้างความร่วมมือที่แท้จริงคือการบูรณาการชุมชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการศึกษา ซึ่งสามารถทำได้สองแนวทางหลัก 14

  1. การนำโรงเรียนออกสู่ชุมชน: เช่น การนำนักเรียนและครูเข้าร่วมกิจกรรมประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น, การจัดกิจกรรมจิตอาสาเพื่อพัฒนาชุมชน, และการรายงานผลการดำเนินงานของโรงเรียนให้ชุมชนทราบอย่างสม่ำเสมอ 11
  2. การนำชุมชนเข้าสู่โรงเรียน: เช่น การเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนมาร่วมพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของท้องถิ่น 14, การเชิญปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้ประกอบการในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากรพิเศษ, และการจัดตั้งสมาคมผู้ปกครองและศิษย์เก่าเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนโรงเรียน

บทที่ 3: บทบาทผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการขับเคลื่อนและสนับสนุนเครือข่าย

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็น “ตัวกลาง” และ “ผู้ขับเคลื่อน” การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับมหภาค โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายจากส่วนกลางเข้ากับการปฏิบัติในระดับสถานศึกษาและบริบทของท้องถิ่น

3.1 บทบาทในฐานะผู้กำหนดนโยบายและผู้ประสานงานหลัก (Policy-Maker and Chief Coordinator)

ผอ.สพท. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการจัดทำนโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาของเขตพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายชาติและตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่น 16 ในมิตินี้ บทบาทสำคัญคือการกำหนดนโยบายที่ “ส่งเสริม” และ “เปิดช่อง” ให้สถานศึกษาสามารถสร้างเครือข่ายความร่วมมือได้อย่างคล่องตัว นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ประสานงานหลักเพื่อระดมทรัพยากรจากทุกภาคส่วนในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนขนาดใหญ่ เพื่อนำมาสนับสนุนการจัดการศึกษาในภาพรวมของเขตพื้นที่ 16

3.2 บทบาทในฐานะผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler and Supporter)

นอกจากการกำหนดนโยบายแล้ว ผอ.สพท. ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler) ให้สถานศึกษาในสังกัดสามารถสร้างและบริหารเครือข่ายของตนเองได้อย่างเข้มแข็ง 19 การสนับสนุนนี้ครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่:

3.3 บทบาทในฐานะผู้นิเทศและประเมินผล (Supervisor and Evaluator)

ผอ.สพท. และทีมศึกษานิเทศก์มีบทบาทในการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของสถานศึกษา 16 ในบริบทของการสร้างเครือข่าย บทบาทนี้ควรเปลี่ยนจากการ “จับผิด” ไปสู่การ “นิเทศเพื่อการพัฒนา” (Developmental Supervision) โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่สถานศึกษาในการดำเนินงานเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กระบวนการนิเทศควรเป็นไปอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การร่วมศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ, การวางแผน, การปฏิบัติการนิเทศ, ไปจนถึงการประเมินผลเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 23 การนิเทศวิถีใหม่ควรใช้พื้นที่เป็นฐานและใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างตรงจุดและทันต่อการเปลี่ยนแปลง 25

3.4 การบูรณาการกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ

ผอ.สพท. มีหน้าที่สำคัญในการนำนโยบายระดับชาติมาแปลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ โดยเฉพาะนโยบายที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างความร่วมมือ เช่น หลักการ “TRUST” ซึ่งประกอบด้วย ความโปร่งใส (Transparency), ความรับผิดชอบ (Responsibility), ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว (Unity), และการยึดผู้เรียนเป็นเป้าหมาย (Student-Centricity) 26 การนำหลักการเหล่านี้มาใช้ในการบริหารเขตพื้นที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจให้กับสังคมและภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ การขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยในสถานศึกษาจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง 27

เพื่อให้เห็นภาพความเชื่อมโยงของบทบาทที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบความรับผิดชอบในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและ ผอ.สพท. ได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 3.1: เปรียบเทียบบทบาทและความรับผิดชอบในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและ ผอ.สพท.

มิติของความร่วมมือบทบาทผู้บริหารสถานศึกษา (ระดับปฏิบัติการ – Micro-level)บทบาท ผอ.สพท. (ระดับนโยบาย/ระบบ – Macro-level)ตัวอย่างการทำงานร่วมกัน
การวางแผนยุทธศาสตร์กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายความร่วมมือที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและชุมชนกำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ภาพรวมของเขตพื้นที่ที่ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายผอ.สพท. จัดเวทีให้ผู้บริหารสถานศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์เครือข่ายของเขตพื้นที่
การระดมทรัพยากรสร้างความสัมพันธ์และระดมทรัพยากรจากชุมชนและองค์กรในพื้นที่ใกล้เคียงประสานงานกับองค์กรขนาดใหญ่ ภาครัฐ และ อปท. ในระดับจังหวัด/ประเทศ เพื่อทำข้อตกลงความร่วมมือในภาพรวมผอ.สพท. ประสานงานกับบริษัทใหญ่เพื่อทำ MOU ด้านการพัฒนาอาชีพ และผู้บริหารสถานศึกษานำ MOU มาออกแบบเป็นโครงการฝึกงานสำหรับนักเรียนในโรงเรียนของตน
การพัฒนาวิชาการนำชุมชนและพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นในภาพรวม ประสานความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อสนับสนุนทางวิชาการสพท. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะโดยเชิญวิทยากรจากมหาวิทยาลัยและตัวแทนจากสถานประกอบการเข้าร่วมกับคณะครู
การนิเทศและประเมินผลดำเนินการนิเทศภายใน ติดตามและประเมินผลโครงการความร่วมมือในระดับโรงเรียนกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายในภาพรวมของเขตพื้นที่ พัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาศึกษานิเทศก์ (สพท.) ร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษา (โรงเรียน) ออกแบบเครื่องมือประเมินผลโครงการความร่วมมือ และร่วมกันสะท้อนผลเพื่อการพัฒนา

ตารางนี้ช่วยสร้างความชัดเจนในขอบเขตความรับผิดชอบและชี้ให้เห็นจุดที่ทั้งสองระดับต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การขับเคลื่อนเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อจากระดับนโยบายสู่การปฏิบัติจริง

บทที่ 4: กรณีศึกษา บทเรียน และแนวทางการจัดการความท้าทาย

การเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จและทำความเข้าใจอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถนำทางเครือข่ายความร่วมมือไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

4.1 กรณีศึกษาความสำเร็จ: โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project)

โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ 29 หลักการสำคัญของโครงการคือการให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการ โดยมีภาคีเครือข่ายเข้ามาเป็น “หุ้นส่วน” ในการพัฒนา

4.2 รูปแบบความร่วมมือกับภาคเอกชน (Corporate Social Responsibility – CSR)

ภาคเอกชนเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพสูงในการสนับสนุนการศึกษาผ่านกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถศึกษาและนำเสนอโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ CSR ขององค์กรต่างๆ ได้ 33 รูปแบบความร่วมมือมีได้หลากหลาย ตั้งแต่การให้ทุนการศึกษา, การสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนและเทคโนโลยี, การพัฒนาทักษะอาชีพ, การปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้างแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน เช่น สนามเด็กเล่น ห้องสมุด หรือสนามฟุตบอล ไปจนถึงการจัดกิจกรรมอาสาสมัครโดยพนักงานของบริษัท 32

4.3 การวิเคราะห์อุปสรรคและความท้าทายในบริบทของไทย

แม้ว่าการสร้างเครือข่ายจะมีประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ในทางปฏิบัติก็มักเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายหลายประการที่ผู้บริหารต้องเตรียมพร้อมรับมือ:

เมื่อเปรียบเทียบกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จอย่างโรงเรียนบ้านสันดาบ 31 ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ กับอุปสรรคที่มักถูกอ้างถึง จะเห็นได้ว่าปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จอาจไม่ใช่ขนาดของโรงเรียนหรือปริมาณทรัพยากรภายนอกเสมอไป แต่เป็น 

“ภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง” และ “ทัศนคติที่ถูกต้อง” ของผู้บริหารเป็นสำคัญ การได้รับเงินทุนหรือการสนับสนุนจากภายนอกจะไม่มีประสิทธิภาพสูงสุดหากผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับชุมชน ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพผู้บริหารจึงไม่ควรเน้นเพียงทักษะการบริหารจัดการ (Managerial Skills) แต่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงปรับเปลี่ยน (Transformational Leadership) และความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence) เพื่อให้สามารถนำพาองค์กรและชุมชนไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้อย่างแท้จริง


ภาคที่ 2: แบบทดสอบวัดความรู้การคิดวิเคราะห์ขั้นสูงและแนวทางการพัฒนา

บทที่ 5: หลักการและโครงสร้างการคิดเชิงลึก 3 ชั้นสำหรับการบริหารการศึกษา

5.1 นิยามและความสำคัญของการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking Skills – HOTS)

การคิดขั้นสูง (HOTS) คือกลุ่มทักษะการคิดที่มีความซับซ้อนและอยู่เหนือกว่าการคิดขั้นพื้นฐาน เช่น การจดจำข้อมูลหรือการท่องจำ (Rote Memorization) 40 ตามแนวคิดอนุกรมวิธานของบลูม (Bloom’s Taxonomy) ฉบับปรับปรุง ทักษะการคิดขั้นสูงจะประกอบด้วย การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) 42 สำหรับผู้บริหารการศึกษา ทักษะเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน, การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีข้อมูลรองรับ, และการนำพานวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่องค์กรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน 43

5.2 การสังเคราะห์กรอบแนวคิด “การคิดเชิงลึก 3 ชั้น”

เพื่อให้การประเมินทักษะการคิดของผู้บริหารเป็นไปอย่างชัดเจนและวัดผลได้ รายงานฉบับนี้ได้สังเคราะห์กรอบแนวคิด “การคิดเชิงลึก 3 ชั้น” ขึ้น โดยบูรณาการทฤษฎี Bloom’s Taxonomy 44 เข้ากับแนวคิดการคิดระดับสูง 46 และกระบวนการคิดวิเคราะห์ 47 ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

กรอบแนวคิดนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างทฤษฎีที่เป็นนามธรรมกับแบบทดสอบที่เป็นรูปธรรม โดยให้คำนิยามและตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับการคิดแต่ละชั้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประเมินในบทต่อไป

ตารางที่ 5.1: กรอบแนวคิดการคิดเชิงลึก 3 ชั้น พร้อมตัวอย่างพฤติกรรมบ่งชี้และคำกริยาตามแนวคิดของ Bloom’s Taxonomy

ชั้นของการคิดนิยามเชิงปฏิบัติการทักษะย่อยตาม Bloom’s Taxonomyตัวอย่างคำถาม/พฤติกรรมบ่งชี้สำหรับผู้บริหาร
ชั้นที่ 1: วิเคราะห์การแยกแยะองค์ประกอบและค้นหาความสัมพันธ์เชิงลึกของปัญหาAnalyze(วิเคราะห์, เปรียบเทียบ, จัดประเภท, หาเหตุผล)“ท่านจะวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา…อย่างไร?” “จงเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแนวทาง ก. และ ข.” “ข้อมูลนี้มีข้อสมมติฐานอะไรซ่อนอยู่?”
ชั้นที่ 2: ประเมินค่า/สังเคราะห์การตัดสินคุณค่าของข้อมูลและบูรณาการเพื่อสร้างข้อสรุปEvaluate(ประเมิน, ตัดสิน, ให้เหตุผลสนับสนุน, วิจารณ์)“ท่านจะประเมินว่าทางเลือกใดดีที่สุด เพราะเหตุใด?” “จงให้เหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน” “แหล่งข้อมูลนี้มีความน่าเชื่อถือเพียงใด?”
ชั้นที่ 3: สร้างสรรค์/กลยุทธ์การออกแบบแนวทางแก้ปัญหาใหม่และวางแผนเพื่ออนาคตCreate (สร้าง, ออกแบบ, วางแผน, เสนอแนวทางใหม่)“ท่านจะออกแบบโครงการใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างไร?” “จงวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืน” “จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าหากเราทำเช่นนี้?”

บทที่ 6: แบบทดสอบวัดความรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง

6.1 คำชี้แจงและวัตถุประสงค์ของแบบทดสอบ

แบบทดสอบต่อไปนี้เป็นแบบทดสอบสถานการณ์ (Scenario-Based Test) ซึ่งไม่ได้มุ่งวัดความสามารถในการจดจำทฤษฎีหรือระเบียบข้อบังคับ แต่มุ่งประเมิน “กระบวนการคิด” ของท่านในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน มีความไม่แน่นอนสูง และมักจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว ขอให้ท่านตอบคำถามโดยอธิบายกระบวนการคิดและเหตุผลประกอบการตัดสินใจของท่านอย่างละเอียด

6.2 ชุดข้อสอบสถานการณ์ (Scenario-Based Test)

สถานการณ์ที่ 1: การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่เสี่ยงต่อการถูกยุบรวม

โจทย์: ท่านในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ได้รับข้อมูลว่าโรงเรียน ก. ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล มีจำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (O-NET) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของเขตพื้นที่ฯ 3 ปีซ้อน นโยบายจากส่วนกลางมีแนวโน้มที่จะพิจารณายุบรวมโรงเรียนดังกล่าวกับโรงเรียน ข. ที่อยู่ห่างออกไป 15 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ แต่กลุ่มผู้นำชุมชนและผู้ปกครองในพื้นที่โรงเรียน ก. ได้รวมตัวกันคัดค้านอย่างหนัก โดยให้เหตุผลว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นโรงเรียนแห่งเดียวในตำบล หากถูกยุบจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสร้างภาระค่าเดินทางให้นักเรียนอย่างมาก

คำถาม: จงวิเคราะห์สถานการณ์และเสนอแนวทางการบริหารจัดการในประเด็นต่อไปนี้

  1. เพื่อทำความเข้าใจรากของปัญหาที่แท้จริงของโรงเรียน ก. ท่านจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากฝ่ายใดบ้าง และจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร? (วัดการคิดชั้นที่ 1)
  2. จงประเมินข้อดี-ข้อเสียของทางเลือก 3 ทางต่อไปนี้: (ก) ดำเนินการยุบรวมตามนโยบายเพื่อประสิทธิภาพด้านงบประมาณ, (ข) คงโรงเรียนไว้ตามเดิมและจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อพัฒนา, (ค) ผลักดันให้โรงเรียน ก. พัฒนาเป็นโรงเรียนรูปแบบพิเศษตามแนวทาง “โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)” โดยอาศัยความร่วมมือจากชุมชนและภาคส่วนอื่น พร้อมให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจของท่านว่าทางเลือกใดเหมาะสมที่สุด (วัดการคิดชั้นที่ 2)
  3. หากท่านเลือกทางเลือก (ค) จงออกแบบ “กรอบแนวคิดโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา” สำหรับโรงเรียน ก. โดยระบุถึง: พันธมิตรหลักที่ท่านจะเชิญเข้าร่วม, กิจกรรมหรือจุดเน้นของหลักสูตรที่จะพัฒนา, และตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญที่ท่านคาดหวังในระยะ 3 ปี (วัดการคิดชั้นที่ 3)

สถานการณ์ที่ 2: การจัดการความขัดแย้งในเครือข่ายความร่วมมือ

โจทย์: ท่านในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา ได้ริเริ่มและจัดทำโครงการความร่วมมือ (MOU) กับบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง เพื่อจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ทักษะดิจิทัล” ในโรงเรียน โดยบริษัทจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอนและบริจาคอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อดำเนินโครงการไปได้ 6 เดือน ปัญหาเริ่มปรากฏขึ้น คณะครูในโรงเรียนส่วนหนึ่งเริ่มร้องเรียนว่าผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทเข้ามาแทรกแซงการสอนและไม่เข้าใจวัฒนธรรมของโรงเรียน ในขณะเดียวกัน ตัวแทนจากบริษัทก็แสดงความไม่พอใจว่านักเรียนขาดความกระตือรือร้นและโรงเรียนไม่ให้ความร่วมมือในการปรับตารางสอนเท่าที่ควร ทำให้บรรยากาศความร่วมมือเริ่มตึงเครียดและเสี่ยงที่โครงการจะล้มเหลว

คำถาม:

  1. จงวิเคราะห์ “สาเหตุเชิงระบบ” ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาจากมุมมองของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (ครู, นักเรียน, ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท) (วัดการคิดชั้นที่ 1)
  2. ในฐานะผู้บริหาร ท่านจะประเมินสถานการณ์และตัดสินใจดำเนินการอย่างไรเป็น “ลำดับแรก” เพื่อคลี่คลายความตึงเครียดที่เกิดขึ้น? จงอธิบายเหตุผลว่าทำไมท่านจึงเลือกแนวทางนั้น (วัดการคิดชั้นที่ 2)
  3. จงเสนอแนวทางการปรับปรุง “ระบบการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน” ภายในเครือข่ายความร่วมมือนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกในระยะยาว (วัดการคิดชั้นที่ 3)

บทที่ 7: เฉลยและคำอธิบายเชิงลึก

7.1 แนวทางการตอบสถานการณ์ที่ 1 (การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก)

7.2 แนวทางการตอบสถานการณ์ที่ 2 (การจัดการความขัดแย้ง)


แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก: การบริหารเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา

คำชี้แจง: โปรดเลือกคำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดเพียงข้อเดียว


ส่วนที่ 1: กรอบทฤษฎีและกระบวนทัศน์ (ข้อ 1-12)

1. ข้อใดคือประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการบริหารจัดการศึกษาแบบเครือข่ายในศตวรรษที่ 21 ตามที่ระบุไว้ในเอกสาร?

ก. ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนของบุคลากรครู

ข. ทำให้สถานศึกษามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ค. สร้าง “ทุนทางสังคม” และให้บริการการศึกษาที่ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

ง. เพิ่มโอกาสในการได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ

คำตอบ: ค. สร้าง “ทุนทางสังคม” และให้บริการการศึกษาที่ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่าหัวใจสำคัญของการสร้างความร่วมมือคือการให้บริการทางการศึกษาที่ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และเป็นการสร้าง “ทุนทางสังคม” (Social Capital) ที่เข้มแข็งให้แก่หน่วยงานและประเทศชาติในระยะยาว 1 ส่วนข้ออื่นเป็นเพียงผลพลอยได้หรือไม่ได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นประโยชน์ที่สำคัญที่สุด

2. โรงเรียน A และโรงเรียน B ซึ่งมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรทวิศึกษาที่ผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้รับความรู้ที่กว้างขวางและมีคุณภาพสูงกว่าการเรียนที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งเพียงแห่งเดียว แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด?

ก. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory)

ข. แนวคิดการผนึกกำลัง (Synergy)

ค. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management)

ง. การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile Network Management)

คำตอบ: ข. แนวคิดการผนึกกำลัง (Synergy)

คำอธิบาย: แนวคิด Synergy อธิบายว่าผลลัพธ์ที่เกิดจากการทำงานร่วมกันย่อมมีคุณค่ามากกว่าผลรวมของการทำงานแบบแยกส่วน หรือ “หนึ่งบวกหนึ่งต้องมากกว่าสอง” (1+1>2) 2 การที่สองโรงเรียนร่วมมือกันแล้วเกิดหลักสูตรที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม คือตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิดนี้

3. องค์กรเอกชนแห่งหนึ่งตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับโรงเรียน โดยบริษัทจะมอบทุนการศึกษาและส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมทักษะอาชีพให้นักเรียน แลกกับการที่บริษัทได้ภาพลักษณ์ที่ดีด้าน CSR และมีโอกาสได้บุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต การตัดสินใจเข้าร่วมนี้อธิบายได้ดีที่สุดด้วยทฤษฎีใด?

ก. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory)

ข. แนวคิดการผนึกกำลัง (Synergy)

ค. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management)

ง. การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile Network Management)

คำตอบ: ก. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory)

คำอธิบาย: ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนอธิบายว่าเครือข่ายจะเกิดขึ้นเมื่อแต่ละฝ่ายมองเห็นถึง “ผลประโยชน์” ที่ตนจะได้รับจากการเข้าร่วม ซึ่งมีค่ามากกว่า “ต้นทุน” ที่เสียไป 2 ในกรณีนี้ ทั้งโรงเรียนและบริษัทต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Situation) ซึ่งเป็นหัวใจของทฤษฎีนี้

4. การที่ผู้บริหารสถานศึกษาเชิญตัวแทนผู้ปกครอง ชุมชน และครู มาร่วมกันวางแผน กำหนดนโยบาย และประเมินผลการดำเนินงานของโรงเรียน เป็นการประยุกต์ใช้หลักการใดอย่างชัดเจน?

ก. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory)

ข. แนวคิดการผนึกกำลัง (Synergy)

ค. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management)

ง. การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile Network Management)

คำตอบ: ค. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management)

คำอธิบาย: การบริหารแบบมีส่วนร่วมเน้นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในกระบวนการบริหารจัดการ ตั้งแต่การร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ไปจนถึงการร่วมประเมินผล 3

5. ข้อใดคือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง “การบริหารเครือข่ายแบบดั้งเดิม” กับ “การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile)”?

ก. แบบดั้งเดิมเน้นการทำข้อตกลงระยะสั้น แต่ Agile เน้นข้อตกลงระยะยาว

ข. แบบดั้งเดิมเน้นการทำงานแบบแยกส่วน แต่ Agile เน้นการทำงานร่วมกัน

ค. แบบดั้งเดิมมองเครือข่ายเป็น “ข้อตกลงที่หยุดนิ่ง” แต่ Agile มองว่าเป็น “ระบบนิเวศที่ปรับตัวได้”

ง. แบบดั้งเดิมมีผู้นำคนเดียว แต่ Agile มีผู้นำหลายคน

คำตอบ: ค. แบบดั้งเดิมมองเครือข่ายเป็น “ข้อตกลงที่หยุดนิ่ง” แต่ Agile มองว่าเป็น “ระบบนิเวศที่ปรับตัวได้”

คำอธิบาย: เอกสารระบุชัดเจนว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่สำคัญของ Agile คือการมองเครือข่ายว่าเป็น “ระบบนิเวศที่มีชีวิตและปรับตัวได้” (Living, Adaptive Ecosystem) แทนที่จะเป็นเพียง “ข้อตกลงที่หยุดนิ่ง” (Static Agreement) ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า 5

6. บทบาทของผู้บริหารยุคใหม่ตามแนวคิด Agile Network Management ควรเป็นอย่างไร?

ก. ผู้สร้างข้อตกลง (Deal Maker)

ข. ผู้อำนวยความสะดวกของระบบนิเวศ (Ecosystem Facilitator)

ค. ผู้ควบคุมและสั่งการ (Commander and Controller)

ง. ผู้ประเมินผลลัพธ์ (Result Evaluator)

คำตอบ: ข. ผู้อำนวยความสะดวกของระบบนิเวศ (Ecosystem Facilitator)

คำอธิบาย: ตามแนวคิด Agile บทบาทของผู้บริหารต้องเปลี่ยนจาก “ผู้สร้างข้อตกลง” ไปสู่การเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกของระบบนิเวศ” ที่คอยกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร การเรียนรู้ และการปรับตัวร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ 5

7. ข้อใด ไม่ใช่ ปัจจัย 5 ประการในการจัดการกระบวนการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์?

ก. มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน (Shared Purpose)

ข. สมาชิกเครือข่ายมีอิสระ (Voluntary Membership)

ค. มีผู้นำเพียงคนเดียวเพื่อการตัดสินใจที่เด็ดขาด (Single Leader)

ง. มีความสัมพันธ์ติดต่อกันทุกระดับ (Multi-level Connection)

คำตอบ: ค. มีผู้นำเพียงคนเดียวเพื่อการตัดสินใจที่เด็ดขาด (Single Leader)

คำอธิบาย: หนึ่งในปัจจัย 5 ประการคือ “มีผู้นำหลายคน” (Multiple Leaders) ซึ่งภาวะผู้นำจะกระจายตัวไปตามความเชี่ยวชาญและสถานการณ์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บุคคลเดียว 1

8. หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเครือข่ายความร่วมมือคืออะไร?

ก. การระดมทุนให้ได้มากที่สุด

ข. การที่ทุกฝ่ายมีเกียรติ ศักดิ์ศรี สิทธิ และโอกาสที่เท่าเทียมกัน

ค. การมีข้อตกลง (MOU) ที่รัดกุมและชัดเจน

ง. การมีผู้ประสานงานกลางที่มีประสิทธิภาพ

คำตอบ: ข. การที่ทุกฝ่ายมีเกียรติ ศักดิ์ศรี สิทธิ และโอกาสที่เท่าเทียมกัน

คำอธิบาย: เอกสารเน้นย้ำว่า หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกฝ่ายในเครือข่ายต้องมีเกียรติ ศักดิ์ศรี สิทธิ และโอกาสที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรากฐานของการเป็น “หุ้นส่วน” ที่แท้จริง 1

9. การที่เครือข่ายส่งเสริมให้มีการแบ่งปันข้อมูลอย่างโปร่งใสและทั่วถึง สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานข้อใดมากที่สุด?

ก. ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น

ข. ทำให้ “เห็น” ข้อมูลข่าวสาร

ค. เพลินและสนุกกับการคิดและทำร่วมกัน

ง. สมาชิกเครือข่ายมีอิสระ

คำตอบ: ข. ทำให้ “เห็น” ข้อมูลข่าวสาร

คำอธิบาย: หลักการ “ทำให้ ‘เห็น’ ข้อมูลข่าวสาร” หมายถึงการสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครือข่ายทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น 1

10. สถานการณ์โรคระบาดที่ทำให้โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนการสอนเป็นแบบออนไลน์อย่างรวดเร็ว เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกระบวนทัศน์การบริหารเครือข่ายแบบใดมากที่สุด?

ก. การบริหารแบบมีส่วนร่วม

ข. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน

ค. การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile)

ง. แนวคิดการผนึกกำลัง (Synergy)

คำตอบ: ค. การบริหารเครือข่ายแบบคล่องตัว (Agile)

คำอธิบาย: เอกสารยกตัวอย่างวิกฤตโรคระบาดที่บีบให้ทุกสถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนอย่างฉับพลัน เพื่อชี้ให้เห็นว่าแนวคิด Agile ที่เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัว สามารถช่วยให้เครือข่ายดำรงอยู่และสร้างคุณค่าได้แม้ในสภาวะแวดล้อมที่ผันผวน 5

11. “การที่สมาชิกสามารถสร้างความเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง” คือคำอธิบายของปัจจัยแห่งความสำเร็จข้อใด?

ก. มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน (Shared Purpose)

ข. เชื่อมโยงกันตามความสมัครใจ (Self-Organization)

ค. มีผู้นำหลายคน (Multiple Leaders)

ง. สมาชิกเครือข่ายมีอิสระ (Voluntary Membership)

คำตอบ: ข. เชื่อมโยงกันตามความสมัครใจ (Self-Organization)

คำอธิบาย: Self-Organization หมายถึงการที่สมาชิกสามารถจัดระเบียบและสร้างความร่วมมือกันเองได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ 1

12. การที่ผู้บริหารสถานศึกษาจัดทำโครงการร่วมกับ อบต. เพื่อพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชน โดยโรงเรียนให้ความรู้ทางวิชาการ และ อบต. สนับสนุนงบประมาณ ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบใดตามทฤษฎีการแลกเปลี่ยน?

ก. แบบพึ่งพาฝ่ายเดียว (Dependency)

ข. แบบแข่งขัน (Competition)

ค. แบบที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Situation)

ง. แบบไม่มีผู้ใดได้หรือเสียประโยชน์ (Zero-Sum Game)

คำตอบ: ค. แบบที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Situation)

คำอธิบาย: สถานการณ์นี้สะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน โดยโรงเรียนได้พัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียน และ อบต. ได้พัฒนาชุมชนตามภารกิจของตน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ Win-Win Situation ตามทฤษฎีการแลกเปลี่ยน 2


ส่วนที่ 2: ยุทธศาสตร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา (ข้อ 13-27)

13. ข้อใดคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่สำคัญที่สุดของ “ยุทธศาสตร์การสร้างความร่วมมือเชิงรุก (Proactive Engagement Strategy)”?

ก. จากการทำงานแบบ “จากภายนอกสู่ภายใน” (Outside-In) ไปสู่ “จากภายในสู่ภายนอก” (Inside-Out)

ข. จากการเป็น “ผู้ให้” ไปสู่การเป็น “ผู้รับ”

ค. จากการมองหา “ผู้บริจาค” ไปสู่การมองหา “หุ้นส่วนทางความรู้และประสบการณ์”

ง. จากการเน้นโครงการระยะยาว ไปสู่การเน้นโครงการระยะสั้นเท่านั้น

คำตอบ: ค. จากการมองหา “ผู้บริจาค” ไปสู่การมองหา “หุ้นส่วนทางความรู้และประสบการณ์”

คำอธิบาย: หัวใจของยุทธศาสตร์นี้คือการเปลี่ยนมุมมองจากการมองหาผู้สนับสนุนหรือผู้บริจาค มาเป็นการมองหา “หุ้นส่วน” ที่จะมาร่วมพัฒนาการศึกษาด้วยกัน โดยเฉพาะในขั้นที่ 1 (Community Asset Mapping) 6

14. ผู้บริหารสถานศึกษาที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ต้องการสร้างความร่วมมือกับชุมชน ตามหลัก Proactive Engagement Strategy สิ่งแรกที่ควรทำคืออะไร?

ก. จัดทำร่างข้อตกลง (MOU) กับผู้นำชุมชนทันที

ข. สำรวจและวิเคราะห์ว่าในชุมชนมี “สินทรัพย์” (Assets) ใดบ้างที่สามารถเป็นพันธมิตรได้

ค. จัดงานระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อประชาสัมพันธ์โรงเรียน

ง. นำเสนอปัญหาและความต้องการของโรงเรียนต่อที่ประชุมชุมชน

คำตอบ: ข. สำรวจและวิเคราะห์ว่าในชุมชนมี “สินทรัพย์” (Assets) ใดบ้างที่สามารถเป็นพันธมิตรได้

คำอธิบาย: ขั้นตอนแรกของยุทธศาสตร์คือ “การสำรวจและวิเคราะห์ทรัพยากรในชุมชน” (Community Asset Mapping) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมุมมองจากการมองว่า “โรงเรียนขาดอะไร” ไปสู่ “ชุมชนมีอะไร” 6

15. คำถามใดที่ทรงพลังที่สุดที่ผู้บริหารควรใช้ในการเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรในชุมชน?

ก. “โรงเรียนของเราขาดแคลนงบประมาณด้านคอมพิวเตอร์ ชุมชนพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง?”

ข. “โรงเรียนจะสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ดีขึ้นอย่างไร?”

ค. “ท่านต้องการให้โรงเรียนจัดกิจกรรมอะไรให้บุตรหลานของท่าน?”

ง. “ท่านเห็นด้วยกับนโยบายใหม่ของโรงเรียนหรือไม่?”

คำตอบ: ข. “โรงเรียนจะสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ดีขึ้นอย่างไร?”

คำอธิบาย: เอกสารเน้นว่าคำถามนี้จะเปิดประตูไปสู่การแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และค้นหาเป้าหมายร่วมกันที่แท้จริง ซึ่งเป็นรากฐานของความร่วมมือแบบสองทางที่ยั่งยืน แทนที่จะเป็นการนำเสนอความต้องการของโรงเรียนฝ่ายเดียว 6

16. การกระทำใดของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการสร้าง “ศรัทธาและความไว้วางใจ” (Trust Building) ได้อย่างยั่งยืนที่สุด?

ก. การให้คำมั่นสัญญาว่าจะพัฒนาโรงเรียนให้ดีที่สุด

ข. การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กับผู้นำชุมชนอย่างสม่ำเสมอ

ค. การแสดงความจริงใจ มุ่งมั่น และทำให้เห็นผลงานจริงก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ

ง. การประชาสัมพันธ์ผลงานของตนเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์

คำตอบ: ค. การแสดงความจริงใจ มุ่งมั่น และทำให้เห็นผลงานจริงก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ

คำอธิบาย: ศรัทธาและความไว้วางใจเกิดจาก “การกระทำที่สม่ำเสมอ” ซึ่งประกอบด้วยความจริงใจ ความมุ่งมั่น และการทำให้เห็นผลงานจริง 7

17. เหตุใดการเริ่มต้นความร่วมมือจึงควรเริ่มจาก “โครงการนำร่อง” (Pilot Project)?

ก. เพื่อให้ได้งบประมาณสนับสนุนจำนวนมากตั้งแต่แรก

ข. เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนอย่างรวดเร็ว

ค. เพื่อพิสูจน์แนวคิด สร้างความเชื่อมั่น และเป็นบทเรียนก่อนขยายผล

ง. เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ

คำตอบ: ค. เพื่อพิสูจน์แนวคิด สร้างความเชื่อมั่น และเป็นบทเรียนก่อนขยายผล

คำอธิบาย: โครงการนำร่องขนาดเล็กที่เห็นผลเร็ว จะช่วยพิสูจน์ว่าแนวคิดความร่วมมือสามารถทำได้จริง สร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่าย และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกัน ก่อนที่จะขยายไปสู่โครงการที่ใหญ่ขึ้น 6

18. การที่ผู้บริหารเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจศักยภาพและความต้องการของชุมชนก่อน แล้วจึงนำมาวางแผนพัฒนาโรงเรียน เป็นการทำงานตามกระบวนทัศน์แบบใด?

ก. แบบจากภายในสู่ภายนอก (Inside-Out)

ข. แบบบนลงล่าง (Top-Down)

ค. แบบจากภายนอกสู่ภายใน (Outside-In)

ง. แบบแยกส่วน (Silo)

คำตอบ: ค. แบบจากภายนอกสู่ภายใน (Outside-In)

คำอธิบาย: แนวทางนี้สะท้อนกระบวนทัศน์แบบ “จากภายนอกสู่ภายใน” (Outside-In) ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจชุมชนก่อน ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกว่า 6

19. ข้อใด ไม่ควร เป็นส่วนประกอบสำคัญในข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ตามคำแนะนำในเอกสาร?

ก. หน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย

ข. ระบบการบริหารจัดการ เช่น ช่องทางการสื่อสาร การติดตามประเมินผล

ค. บทลงโทษที่ชัดเจนหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้

ง. การบริหารจัดการเงินและทรัพยากร

คำตอบ: ค. บทลงโทษที่ชัดเจนหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้

คำอธิบาย: เอกสารระบุองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วนของ MOU ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐาน, หน้าที่ความรับผิดชอบ, การจัดการทรัพยากร, และระบบบริหารจัดการ 1 การเน้น “บทลงโทษ” ขัดแย้งกับหลักการสร้างเครือข่ายบนฐานของความสมัครใจและความไว้วางใจ

20. การที่โรงเรียนเชิญปราชญ์ชาวบ้านมาสอนการจักสานให้นักเรียน เป็นตัวอย่างของการนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบใด?

ก. การนำโรงเรียนออกสู่ชุมชน

ข. การนำชุมชนเข้าสู่โรงเรียน

ค. การระดมทรัพยากรจากชุมชน

ง. การประเมินผลโดยชุมชน

คำตอบ: ข. การนำชุมชนเข้าสู่โรงเรียน

คำอธิบาย: เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำทรัพยากรบุคคล (ปราชญ์ชาวบ้าน) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนภายในโรงเรียน 8

21. การที่โรงเรียนนำนักเรียนไปร่วมกิจกรรมประเพณีแห่เทียนพรรษาของวัดในชุมชน เป็นตัวอย่างของข้อใด?

ก. การนำโรงเรียนออกสู่ชุมชน

ข. การนำชุมชนเข้าสู่โรงเรียน

ค. การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น

ง. การสร้างเครือข่ายกับองค์กรเอกชน

คำตอบ: ก. การนำโรงเรียนออกสู่ชุมชน

คำอธิบาย: เป็นการนำบุคลากรของโรงเรียน (ครูและนักเรียน) ออกไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมและวัฒนธรรมของชุมชนภายนอกโรงเรียน 9

22. ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งต้องการสร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่ใกล้เคียง การกระทำใดสอดคล้องกับขั้นตอน “การสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์” มากที่สุด?

ก. ส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้ รพ.สต. มาตรวจสุขภาพนักเรียน

ข. นำทีมครูเข้าพบผู้อำนวยการ รพ.สต. เพื่อสอบถามว่า “โรงเรียนจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชนร่วมกับ รพ.สต. ได้อย่างไรบ้าง”

ค. จัดทำโครงการ “โรงเรียนปลอดโรค” แล้วเชิญ รพ.สต. เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา

ง. สำรวจข้อมูลว่า รพ.สต. มีงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมชุมชนหรือไม่

คำตอบ: ข. นำทีมครูเข้าพบผู้อำนวยการ รพ.สต. เพื่อสอบถามว่า “โรงเรียนจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชนร่วมกับ รพ.สต. ได้อย่างไรบ้าง”

คำอธิบาย: การกระทำในข้อ ข. สะท้อนถึงการเข้าหาเพื่อสร้างความสัมพันธ์และใช้คำถามที่ทรงพลังในการค้นหาเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจของขั้นที่ 2 ในยุทธศาสตร์เชิงรุก 6

23. หลังจากทำโครงการนำร่อง “คัดแยกขยะ” ร่วมกับเทศบาลประสบความสำเร็จด้วยดี ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรทำตามหลัก PDCA คืออะไร?

ก. เริ่มโครงการใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการเดิมทันที

ข. จัดเวทีสรุปผลการทำงานร่วมกับเทศบาล เพื่อประเมินความสำเร็จและความท้าทายที่เกิดขึ้น

ค. หยุดดำเนินโครงการไว้ชั่วคราวเพื่อรอดูผลกระทบระยะยาว

ง. ขยายผลโครงการไปสู่ทุกโรงเรียนในเขตพื้นที่ทันที

คำตอบ: ข. จัดเวทีสรุปผลการทำงานร่วมกับเทศบาล เพื่อประเมินความสำเร็จและความท้าทายที่เกิดขึ้น

คำอธิบาย: ขั้นตอนที่ 5 (Continuous Improvement) ซึ่งสอดคล้องกับวงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act) คือการประเมินและสรุปผลการทำงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง 6 การสรุปผล (Check) จึงเป็นขั้นตอนที่ต้องทำก่อนการขยายผลหรือปรับปรุง (Act)

24. การที่ผู้บริหารโรงเรียนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและมองว่าชุมชนมีหน้าที่เพียงสนับสนุนตามที่โรงเรียนร้องขอ สะท้อนถึงอุปสรรคสำคัญด้านใด?

ก. ปัญหาด้านทรัพยากร

ข. ปัญหาด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์

ค. ปัญหาด้านทัศนคติและวัฒนธรรม

ง. ปัญหาด้านนโยบายจากส่วนกลาง

คำตอบ: ค. ปัญหาด้านทัศนคติและวัฒนธรรม

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดมักเกิดจาก “คน” โดยเฉพาะทัศนคติที่มองว่าชุมชนเป็นเพียง “ผู้สนับสนุน” แทนที่จะเป็น “หุ้นส่วน” ที่เท่าเทียมกัน 11

25. โรงเรียนแห่งหนึ่งประสบปัญหาชุมชนไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากไม่ทราบว่าโรงเรียนกำลังทำกิจกรรมอะไรและมีเป้าหมายอย่างไร ปัญหานี้น่าจะมีสาเหตุหลักมาจากข้อใด?

ก. โรงเรียนขาดภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง

ข. โรงเรียนขาดการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

ค. ชุมชนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อโรงเรียน

ง. โรงเรียนขาดแคลนงบประมาณในการจัดกิจกรรม

คำตอบ: ข. โรงเรียนขาดการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

คำอธิบาย: ปัญหาที่ชุมชนไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร ไม่เข้าใจเป้าหมายและกิจกรรมของโรงเรียน เป็นลักษณะเฉพาะของ “ปัญหาด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์” 13

26. ข้อใดคือเป้าหมายสูงสุดของการนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา?

ก. เพื่อลดภาระงานของครูในการจัดทำหลักสูตร

ข. เพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับบริบทและความต้องการของท้องถิ่น

ค. เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ง. เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโรงเรียน

คำตอบ: ข. เพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับบริบทและความต้องการของท้องถิ่น

คำอธิบาย: การเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนมาร่วมพัฒนาหลักสูตร มีเป้าหมายเพื่อให้หลักสูตรที่ได้นั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการและบริบทของท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง 8

27. การที่ผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันดาบสามารถพลิกฟื้นโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในภาวะวิกฤตได้สำเร็จ ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคืออะไร?

ก. การได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนมากจากภายนอก

ข. การมีที่ตั้งโรงเรียนอยู่ในชุมชนที่เข้มแข็ง

ค. การมีจำนวนครูและนักเรียนที่เหมาะสม

ง. “ภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง” และ “ทัศนคติที่ถูกต้อง” ของผู้บริหาร

คำตอบ: ง. “ภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง” และ “ทัศนคติที่ถูกต้อง” ของผู้บริหาร

คำอธิบาย: กรณีศึกษาของโรงเรียนบ้านสันดาบถูกนำมาใช้เพื่อสรุปว่า ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จอาจไม่ใช่ทรัพยากรภายนอก แต่เป็น “ภาวะผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง” และทัศนคติที่ถูกต้องของผู้บริหารเป็นสำคัญ 16


ส่วนที่ 3: บทบาทผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) (ข้อ 28-40)

28. บทบาทหลักของ ผอ.สพท. ในการขับเคลื่อนเครือข่ายความร่วมมือคืออะไร?

ก. เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักในโครงการความร่วมมือของแต่ละโรงเรียน

ข. เป็น “ตัวกลาง” และ “ผู้ขับเคลื่อน” ในระดับมหภาค เชื่อมโยงนโยบายสู่การปฏิบัติ

ค. เป็นผู้จัดหางบประมาณให้กับทุกโครงการที่โรงเรียนเสนอมา

ง. เป็นผู้อนุมัติการจัดตั้งเครือข่ายของโรงเรียนเพียงอย่างเดียว

คำตอบ: ข. เป็น “ตัวกลาง” และ “ผู้ขับเคลื่อน” ในระดับมหภาค เชื่อมโยงนโยบายสู่การปฏิบัติ

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่า ผอ.สพท. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็น “ตัวกลาง” และ “ผู้ขับเคลื่อน” การสร้างเครือข่ายในระดับมหภาค (Macro-level) โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายจากส่วนกลางเข้ากับการปฏิบัติในระดับสถานศึกษา 17

29. การที่ ผอ.สพท. จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาของเขตพื้นที่โดยกำหนดให้ “การสร้างเครือข่ายกับสถานประกอบการ” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก ถือเป็นการทำหน้าที่ในบทบาทใด?

ก. ผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler and Supporter)

ข. ผู้นิเทศและประเมินผล (Supervisor and Evaluator)

ค. ผู้กำหนดนโยบายและผู้ประสานงานหลัก (Policy-Maker and Chief Coordinator)

ง. ผู้บริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (HR Manager)

คำตอบ: ค. ผู้กำหนดนโยบายและผู้ประสานงานหลัก (Policy-Maker and Chief Coordinator)

คำอธิบาย: การจัดทำนโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาของเขตพื้นที่ เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ ผอ.สพท. ในฐานะผู้กำหนดนโยบาย 17

30. เมื่อ ผอ.สพท. ประสานงานกับมหาวิทยาลัยในจังหวัดเพื่อจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ” ให้กับครูในสังกัด เป็นการแสดงบทบาทในด้านใดชัดเจนที่สุด?

ก. ด้านงบประมาณและทรัพยากร

ข. ด้านวิชาการ

ค. ด้านการบริหารงานบุคคล

ง. ด้านการประชาสัมพันธ์

คำตอบ: ข. ด้านวิชาการ

คำอธิบาย: การประสานความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถานศึกษากับองค์กรภายนอก เช่น มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรและการสอน เป็นบทบาทการสนับสนุน “ด้านวิชาการ” ของ ผอ.สพท. 15

31. แนวคิดการนิเทศของ สพท. ในบริบทของการสร้างเครือข่าย ควรเป็นไปในลักษณะใด?

ก. การนิเทศเพื่อตรวจสอบและจับผิด (Controlling Supervision)

ข. การนิเทศเพื่อการพัฒนาและให้คำปรึกษา (Developmental Supervision)

ค. การนิเทศแบบสั่งการ (Directive Supervision)

ง. การนิเทศตามคำร้องขอของสถานศึกษาเท่านั้น (On-demand Supervision)

คำตอบ: ข. การนิเทศเพื่อการพัฒนาและให้คำปรึกษา (Developmental Supervision)

คำอธิบาย: บทบาทการนิเทศควรเปลี่ยนจากการ “จับผิด” ไปสู่การ “นิเทศเพื่อการพัฒนา” โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่สถานศึกษาในการดำเนินงานเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 20

32. การที่ ผอ.สพท. นำหลักการ “TRUST” (Transparency, Responsibility, Unity, Student-Centricity) มาใช้ในการบริหารเขตพื้นที่ เป็นการดำเนินการในบทบาทใด?

ก. การสร้างเครือข่ายกับภาคเอกชน

ข. การบูรณาการกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ

ค. การนิเทศและประเมินผลสถานศึกษา

ง. การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร

คำตอบ: ข. การบูรณาการกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ

คำอธิบาย: หลักการ “TRUST” เป็นนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการ การที่ ผอ.สพท. นำมาปรับใช้ ถือเป็นการทำหน้าที่นำนโยบายระดับชาติมาแปลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ 21

33. ตามตารางเปรียบเทียบบทบาท ข้อใดคือความรับผิดชอบหลักของผู้บริหารสถานศึกษา (ระดับปฏิบัติการ)?

ก. กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ภาพรวมของเขตพื้นที่

ข. ประสานงานกับองค์กรขนาดใหญ่ในระดับประเทศ

ค. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายความร่วมมือที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและชุมชน

ง. พัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาในภาพรวม

คำตอบ: ค. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายความร่วมมือที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและชุมชน

คำอธิบาย: ตารางที่ 3.1 ระบุชัดเจนว่าการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายในระดับโรงเรียน (Micro-level) เป็นบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ในขณะที่ข้ออื่นๆ เป็นบทบาทของ ผอ.สพท. (Macro-level)

34. ข้อใดคือตัวอย่างการทำงานร่วมกันระหว่าง ผอ.สพท. และผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีประสิทธิภาพที่สุด?

ก. ผอ.สพท. สั่งให้ทุกโรงเรียนทำโครงการเหมือนกันทั้งหมด

ข. ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินโครงการโดยไม่แจ้งให้ สพท. ทราบ

ค. ผอ.สพท. ประสานงานกับบริษัทใหญ่เพื่อทำ MOU กลาง และผู้บริหารสถานศึกษานำ MOU นั้นไปต่อยอดเป็นโครงการที่เหมาะสมกับโรงเรียนของตน

ง. ผู้บริหารสถานศึกษาของบประมาณจาก สพท. โดยไม่มีแผนงานที่ชัดเจน

คำตอบ: ค. ผอ.สพท. ประสานงานกับบริษัทใหญ่เพื่อทำ MOU กลาง และผู้บริหารสถานศึกษานำ MOU นั้นไปต่อยอดเป็นโครงการที่เหมาะสมกับโรงเรียนของตน

คำอธิบาย: นี่คือตัวอย่างการทำงานร่วมกันที่ระบุไว้ในตารางที่ 3.1 ซึ่งแสดงให้เห็นการเชื่อมต่อระหว่างบทบาทระดับนโยบาย (ผอ.สพท.) กับระดับปฏิบัติการ (ผู้บริหารสถานศึกษา) ได้อย่างชัดเจน

35. “การนิเทศวิถีใหม่” ที่ สพท. ควรนำมาใช้ มีลักษณะสำคัญอย่างไร?

ก. เน้นการตรวจสอบเอกสารเป็นหลัก

ข. ใช้พื้นที่เป็นฐานและใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน

ค. ดำเนินการโดยศึกษานิเทศก์เพียงคนเดียว

ง. จัดทำปีละหนึ่งครั้งตามปฏิทินที่กำหนดตายตัว

คำตอบ: ข. ใช้พื้นที่เป็นฐานและใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่า “การนิเทศวิถีใหม่” ควรใช้พื้นที่เป็นฐาน (Area-based) และใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างตรงจุดและทันต่อการเปลี่ยนแปลง 22

36. การที่ ผอ.สพท. จัดสรรงบประมาณพิเศษเพื่อสนับสนุนโรงเรียนที่ริเริ่มโครงการความร่วมมือกับชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการทำหน้าที่ในบทบาทใด?

ก. ผู้กำหนดนโยบาย

ข. ผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler and Supporter)

ค. ผู้นิเทศและประเมินผล

ง. ผู้ประสานงานหลัก

คำตอบ: ข. ผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler and Supporter)

คำอธิบาย: การวิเคราะห์และจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการที่เกิดจากความร่วมมือ เป็นบทบาทในฐานะผู้ส่งเสริมและสนับสนุนด้านงบประมาณและทรัพยากร 19

37. หากโรงเรียนในสังกัดหลายแห่งประสบปัญหาในการสร้างเครือข่ายเนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจ ผอ.สพท. ควรดำเนินการอย่างไรเป็นอันดับแรกในฐานะผู้สนับสนุน?

ก. ออกระเบียบให้ทุกโรงเรียนต้องมีเครือข่ายความร่วมมือ

ข. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา

ค. ตำหนิผู้บริหารโรงเรียนที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามนโยบาย

ง. ตัดงบประมาณของโรงเรียนที่ไม่มีผลงานด้านการสร้างเครือข่าย

คำตอบ: ข. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา

คำอธิบาย: ในฐานะผู้ส่งเสริมและสนับสนุน (Enabler) การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ (ด้านวิชาการ/การบริหาร) เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์และตรงจุดที่สุด เพื่อช่วยให้สถานศึกษาสามารถสร้างเครือข่ายของตนเองได้อย่างเข้มแข็ง 23

38. การขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยในสถานศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยใดมากที่สุดตามที่เอกสารระบุ?

ก. งบประมาณจากส่วนกลาง

ข. การบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่

ค. การออกกฎระเบียบที่เข้มงวด

ง. การติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย

คำตอบ: ข. การบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่าการขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยในสถานศึกษาจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง 24

39. กระบวนการนิเทศที่เป็นระบบของ สพท. ควรเริ่มต้นจากขั้นตอนใดเป็นอันดับแรก?

ก. การประเมินผลเพื่อสรุปรายงาน

ข. การปฏิบัติการนิเทศในสถานศึกษา

ค. การร่วมกับสถานศึกษาวางแผนการนิเทศ

ง. การร่วมกับสถานศึกษาศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ

คำตอบ: ง. การร่วมกับสถานศึกษาศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ

คำอธิบาย: กระบวนการนิเทศที่เป็นระบบควรเริ่มต้นจากการร่วมกันศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ (Need Assessment) ก่อนที่จะนำไปสู่การวางแผน การปฏิบัติ และการประเมินผลตามลำดับ 26

40. ข้อใดคือบทบาทของ ผอ.สพท. ในมิติ “การระดมทรัพยากร” ที่แตกต่างจากผู้บริหารสถานศึกษา?

ก. สร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและร้านค้าในชุมชน

ข. ประสานงานกับองค์กรขนาดใหญ่และ อปท. ในระดับจังหวัดเพื่อทำข้อตกลงภาพรวม

ค. จัดกิจกรรมผ้าป่าเพื่อการศึกษาของโรงเรียน

ง. ขอความร่วมมือจากปราชญ์ชาวบ้านมาเป็นวิทยากร

คำตอบ: ข. ประสานงานกับองค์กรขนาดใหญ่และ อปท. ในระดับจังหวัดเพื่อทำข้อตกลงภาพรวม

คำอธิบาย: ตามตารางเปรียบเทียบ บทบาทของ ผอ.สพท. จะเน้นการประสานงานในระดับที่ใหญ่กว่า (Macro-level) เช่น กับองค์กรระดับจังหวัดหรือประเทศ ในขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะเน้นที่ชุมชนใกล้เคียง (Micro-level) 17


ส่วนที่ 4: กรณีศึกษาและความท้าทาย (ข้อ 41-50)

41. หลักการสำคัญของ “โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project)” คืออะไร?

ก. การแปรรูปโรงเรียนรัฐบาลให้เป็นเอกชนเต็มรูปแบบ

ข. การให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระและความคล่องตัว โดยมีภาคีเครือข่ายเป็น “หุ้นส่วน”

ค. การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อให้บริหารจัดการง่ายขึ้น

ง. การเน้นการสอนภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีเป็นหลัก

คำตอบ: ข. การให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระและความคล่องตัว โดยมีภาคีเครือข่ายเป็น “หุ้นส่วน”

คำอธิบาย: หลักการสำคัญของโครงการคือการให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการ โดยมีภาคีเครือข่ายจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามาเป็น “หุ้นส่วน” ในการพัฒนา 28

42. บทเรียนสำคัญจากกรณีศึกษา “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” คืออะไร?

ก. การมุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ

ข. การเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนสูง

ค. การมุ่งสร้างพลเมืองดีและเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคนในชุมชน

ง. การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในการจัดการเรียนการสอน

คำตอบ: ค. การมุ่งสร้างพลเมืองดีและเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคนในชุมชน

คำอธิบาย: โรงเรียนมีชัยพัฒนาเป็นต้นแบบที่มุ่งเน้นการสร้างคนดี มีความซื่อสัตย์ รู้จักแบ่งปัน และเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคนในชุมชน ไม่ใช่แค่สำหรับนักเรียน 16

43. ข้อใดคือรูปแบบความร่วมมือกับภาคเอกชน (CSR) ที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการศึกษา?

ก. การให้ทุนการศึกษาและการสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยี

ข. การพัฒนาทักษะอาชีพและการปรับปรุงภูมิทัศน์โรงเรียน

ค. การจัดกิจกรรมอาสาสมัครโดยพนักงานของบริษัท

ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ: ง. ถูกทุกข้อ

คำอธิบาย: เอกสารได้ยกตัวอย่างรูปแบบความร่วมมือผ่าน CSR ที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมทั้งการให้ทุน, การสนับสนุนอุปกรณ์, การพัฒนาทักษะ, การปรับปรุงภูมิทัศน์ และกิจกรรมอาสาสมัคร 31

44. อุปสรรคสำคัญที่เกิดจาก “คน” ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในบริบทของไทยคือข้อใด?

ก. การขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร

ข. ท่าทีของผู้บริหารและครูที่ไม่แสดงออกถึงความจริงใจ

ค. การขาดช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ

ง. นโยบายที่ไม่เอื้ออำนวยจากส่วนกลาง

คำตอบ: ข. ท่าทีของผู้บริหารและครูที่ไม่แสดงออกถึงความจริงใจ

คำอธิบาย: เอกสารระบุว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดมักเกิดจาก “คน” เช่น ท่าทีที่ไม่จริงใจ การไม่ทำความเข้าใจวัฒนธรรมชุมชน หรือทัศนคติที่ไม่ให้เกียรติชุมชนในฐานะหุ้นส่วน 9

45. โรงเรียนแห่งหนึ่งต้องการเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชนผ่านงบประมาณ CSR ผู้บริหารควรทำอย่างไรเพื่อให้มีโอกาสได้รับการสนับสนุนมากที่สุด?

ก. เสนอโครงการที่ใช้งบประมาณน้อยที่สุด

ข. เสนอโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ CSR ขององค์กรนั้นๆ

ค. เสนอโครงการที่เน้นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้บริหารและโรงเรียน

ง. เสนอโครงการที่เหมือนกับโรงเรียนอื่น ๆ ที่เคยได้รับทุน

คำตอบ: ข. เสนอโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ CSR ขององค์กรนั้นๆ

คำอธิบาย: การจะได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ผู้บริหารควรศึกษาและนำเสนอโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ CSR ขององค์กรนั้นๆ เพราะจะทำให้องค์กรเห็นประโยชน์ร่วมกันและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนมากกว่า 34

46. จากการเปรียบเทียบกรณีศึกษาที่สำเร็จกับอุปสรรคที่พบ สรุปได้ว่าปัจจัยใดมีความสำคัญ “น้อยที่สุด” ต่อความสำเร็จในการสร้างการเปลี่ยนแปลง?

ก. ภาวะผู้นำของผู้บริหาร

ข. ทัศนคติที่ถูกต้องต่อชุมชน

ค. ขนาดของโรงเรียน

ง. ความมุ่งมั่นในการทำงาน

คำตอบ: ค. ขนาดของโรงเรียน

คำอธิบาย: เอกสารสรุปโดยเปรียบเทียบกรณีโรงเรียนบ้านสันดาบซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแต่สำเร็จ ว่าปัจจัยชี้ขาดอาจไม่ใช่ “ขนาดของโรงเรียน” หรือปริมาณทรัพยากร แต่เป็นภาวะผู้นำและทัศนคติของผู้บริหาร 16

47. การพัฒนาศักยภาพผู้บริหารให้สามารถสร้างเครือข่ายได้อย่างยั่งยืน ควรเน้นการพัฒนาทักษะด้านใดเป็นพิเศษ นอกเหนือจากทักษะการบริหารจัดการ (Managerial Skills)?

ก. ทักษะการจัดทำเอกสารและรายงาน

ข. ภาวะผู้นำเชิงปรับเปลี่ยน (Transformational Leadership) และความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence)

ค. ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ง. ทักษะการระดมทุนและการเจรจาต่อรอง

คำตอบ: ข. ภาวะผู้นำเชิงปรับเปลี่ยน (Transformational Leadership) และความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence)

คำอธิบาย: บทสรุปของภาคที่ 1 เน้นย้ำว่าการพัฒนาผู้บริหารควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงปรับเปลี่ยนและความฉลาดทางวัฒนธรรม เพื่อให้สามารถนำพาองค์กรและชุมชนไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้

48. สถานการณ์: ผู้บริหารโรงเรียน A ต้องการสร้างความร่วมมือกับชุมชน แต่พบว่าชุมชนไม่ไว้ใจเนื่องจากผู้บริหารคนก่อนเคยมีปัญหากับชุมชน ผู้บริหาร A ควรทำอย่างไรเป็นอันดับแรกเพื่อแก้ปัญหานี้?

ก. จัดทำโครงการใหม่ทันทีเพื่อแสดงผลงาน

ข. ไม่สนใจเสียงวิจารณ์และทำงานตามแผนของตนเอง

ค. ใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ แสดงความจริงใจ และทำผลงานเล็กๆ ให้ชุมชนเห็นเป็นที่ประจักษ์ก่อน

ง. ขอให้ ผอ.สพท. ใช้อำนาจสั่งให้ชุมชนให้ความร่วมมือ

คำตอบ: ค. ใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ แสดงความจริงใจ และทำผลงานเล็กๆ ให้ชุมชนเห็นเป็นที่ประจักษ์ก่อน

คำอธิบาย: สถานการณ์นี้คือปัญหาด้าน “ศรัทธาและความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด วิธีแก้คือต้องใช้การกระทำที่สอดคล้องกับหลัก Trust Building ได้แก่ การแสดงความจริงใจ มุ่งมั่น และทำให้เห็นผลงานจริงก่อน 6

49. ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาที่เกิดขึ้นกับ “ชุมชน” คืออะไร?

ก. ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าให้โรงเรียน

ข. สถานศึกษากลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

ค. ผู้นำชุมชนมีบทบาทในการบริหารโรงเรียนมากขึ้น

ง. ชุมชนได้รับเงินสนับสนุนจากโรงเรียน

คำตอบ: ข. สถานศึกษากลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

คำอธิบาย: เอกสารระบุผลลัพธ์เชิงประจักษ์ว่า สถานศึกษาสามารถกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้อย่างแท้จริง 29

50. สถานการณ์: โรงเรียนแห่งหนึ่งขาดแคลนบุคลากรที่รับผิดชอบงานชุมชนสัมพันธ์โดยตรง ทำให้การสร้างเครือข่ายไม่ต่อเนื่องและไม่เป็นระบบ นี่คืออุปสรรคและความท้าทายในด้านใด?

ก. ปัญหาด้านทัศนคติและวัฒนธรรม

ข. ปัญหาด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์

ค. ปัญหาด้านภาวะผู้นำ

ง. ปัญหาด้านทรัพยากร

คำตอบ: ง. ปัญหาด้านทรัพยากร

คำอธิบาย: การขาดแคลนงบประมาณและ “บุคลากรที่รับผิดชอบโดยตรง” จัดเป็นปัญหาด้านทรัพยากร ซึ่งทำให้การดำเนินงานไม่เป็นระบบและขาดความต่อเนื่อง 11

ยุทธศาสตร์และแนวปฏิบัติสู่ความเป็นเลิศในการบริหารเครือข่ายและความร่วมมือทางการศึกษา: ฉบับสมบูรณ์ (ข้อ 51-100)

ส่วนที่ 1: รากฐานและหลักการสำคัญของการสร้างความร่วมมือ (ข้อ 51-60)

การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือทางการศึกษาที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องวางอยู่บนรากฐานและหลักการที่มั่นคง ส่วนนี้จะวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบเชิงลึกที่สำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดความสำเร็จของความร่วมมือในระยะยาว โดยข้ามพ้นจากแนวคิดผิวเผินไปสู่การพิจารณาปัจจัยที่จับต้องได้ยาก เช่น ความไว้วางใจ วิสัยทัศน์ร่วม และภาวะผู้นำ

51. การสร้างศรัทธาและความไว้วางใจ (Trust and Credibility Building) เป็นสินทรัพย์ตั้งต้นที่สำคัญที่สุด

จุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพไม่ได้อยู่ที่แผนงานที่สวยหรู แต่อยู่ที่ “ศรัทธา” ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อผู้นำและองค์กร 1 ศรัทธานี้เป็นผลพวงมาจากการแสดงออกถึงความจริงใจ ความมุ่งมั่น และความโปร่งใสในการทำงาน 2 ความไว้วางใจเปรียบเสมือนสกุลเงินในระบบเศรษฐกิจของความร่วมมือ หากปราศจากซึ่งความไว้วางใจแล้ว ภาคีเครือข่ายย่อมไม่ลงทุนทั้งเวลา ทรัพยากร หรือชื่อเสียงของตนเองเข้ามาในความร่วมมือนั้น ดังนั้น ภารกิจเชิงกลยุทธ์ประการแรกของผู้นำเครือข่ายจึงไม่ใช่การร่างแผนงาน แต่เป็นการดำเนิน “ปฏิบัติการสร้างความไว้วางใจ” (Trust-Building Campaign) อย่างเป็นรูปธรรม

ในหลายกรณี ภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะชุมชน มักมีความกังขาต่อโครงการของหน่วยงานราชการจากประสบการณ์ในอดีต การสร้างความไว้วางใจจึงต้องอาศัยการกระทำที่จับต้องได้และมองเห็นชัดเจน เช่น การลงมือแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้สำเร็จลุล่วง หรือ “ทำให้เห็น” ก่อนที่จะร้องขอความร่วมมือ 1 การแสดงความเคารพต่อวัฒนธรรมและให้เกียรติคนในชุมชนอย่างแท้จริง 2 ถือเป็นการลงทุนสร้างทุนทางสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยทลายกำแพงของความไม่เข้าใจระหว่างสถานศึกษากับชุมชน อันเป็นอุปสรรคสำคัญที่มักถูกค้นพบในภายหลัง 3

52. การเปลี่ยนผ่านภาวะผู้นำจากผู้สั่งการสู่ “ผู้นำเชิงความร่วมมือ” (From Commander to Collaborative Leader)

รูปแบบความร่วมมือในยุคปัจจุบันไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยภาวะผู้นำแบบสั่งการจากบนลงล่าง (Top-down) เนื่องจากแนวทางที่ใช้ลำดับชั้นบังคับบัญชาอย่างเข้มงวดมักจะล้มเหลวในบริบทของความร่วมมือระหว่างภาคส่วน 5 ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก “ผู้บัญชาการ” (Commander) มาเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) และ “ผู้เสริมพลัง” (Enabler) โดยมุ่งเน้นการแบ่งปันความรับผิดชอบและมอบอำนาจให้ผู้อื่นสามารถจัดการกับประเด็นที่ท้าทายได้ 5 ซึ่งหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้แสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง 6 และสร้างเวทีสำหรับการเจรจาอย่างสม่ำเสมอ 7

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ “ภาวะย้อนแย้งของอำนาจในการนำแบบร่วมมือ” (The Paradox of Power in Collaborative Leadership) กล่าวคือ ผู้นำที่มีอำนาจตามตำแหน่ง (Positional Power) จะได้รับอำนาจที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเลือกที่จะ “แบ่งปัน” อำนาจนั้นออกไปอย่างมีกลยุทธ์ การมอบอำนาจให้ภาคีเครือข่ายได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ไม่เพียงแต่จะสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) ในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 8 แต่ยังเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนร่วม (Collective Will) ซึ่งทรงพลังกว่าการสั่งการแต่เพียงฝ่ายเดียว นี่คือหัวใจของการ “ทำงานกับอำนาจ” (Work with Power) อย่างสร้างสรรค์ 5

53. การกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วม (Shared Vision and Goal Setting) ที่ตอบโจทย์ทุกฝ่าย

ความร่วมมือที่ไร้ทิศทางร่วมกันย่อมไม่อาจยั่งยืนได้ การสร้าง “เป้าหมายร่วม” (Shared Purpose) จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง 10 วิสัยทัศน์นี้จะต้องไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเป็นผลมาจากการ “สร้างสรรค์ร่วมกัน” (Co-creation) ผ่านการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และทำความเข้าใจความต้องการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 12 ดังตัวอย่างของโรงเรียนรวมมิตรวิทยาในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ที่กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ว่า “ยุวทูตรักท้องถิ่น ทำกินด้วยสัมมาชีพ มีจิตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ซึ่งสะท้อนบริบทและความต้องการของชุมชนอย่างชัดเจน 13 กระบวนการนี้จะนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย (Win-Win Scenario) ตามหลักทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory) 8

54. การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Analysis) และการออกแบบการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม

ก่อนเริ่มต้นความร่วมมือใดๆ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบ เพื่อระบุว่าใครคือผู้ที่เกี่ยวข้อง มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีอิทธิพล และสามารถสนับสนุนโครงการได้บ้าง 6 ซึ่งครอบคลุมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้ปกครอง ครู และนักเรียน จากนั้นจึงออกแบบระดับของการมีส่วนร่วมให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม ตั้งแต่การให้ข้อมูล (Information) การปรึกษาหารือ (Consultation) ไปจนถึงการเป็นหุ้นส่วนในการตัดสินใจ (Partnership) 14กระบวนการทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนหลักการของความเท่าเทียม (Inclusion) และพยายามลดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ เพื่อให้ทุกเสียงมีความหมายอย่างแท้จริง 6

55. หลักการสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เพื่อสร้างความเข้าใจที่แท้จริง

การสื่อสารคือเส้นเลือดใหญ่ของความร่วมมือ 5 แต่สถานศึกษาจำนวนมากยังคงติดอยู่กับการสื่อสารทางเดียวในรูปแบบของการ “ประชาสัมพันธ์” (Public Relations) ซึ่งมักเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ทำให้ความสัมพันธ์กับชุมชนไม่ราบรื่น 16 ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงต้องการการสื่อสารสองทางที่เปิดกว้าง จริงใจ เคารพซึ่งกันและกัน และพร้อมรับฟังคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ 5 ซึ่งรวมถึงการตั้งคำถามเพื่อรับฟังความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง เช่น “โรงเรียนจะสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ดีขึ้นอย่างไร” 12 และการสร้างกลไกรับฟังความคิดเห็นเพื่อการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง 9

56. การเริ่มต้นจากโครงการเล็กๆ ที่สร้างผลลัพธ์ชัดเจน (Start Small, Scale Smart)

แทนที่จะริเริ่มโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและใช้ทรัพยากรมหาศาล แนวทางที่มีประสิทธิภาพกว่าคือการเริ่มต้นจากโครงการนำร่องขนาดเล็กที่สามารถบริหารจัดการได้ง่ายและสร้างผลสำเร็จที่มองเห็นได้ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น 12 แนวทาง “ชัยชนะอย่างรวดเร็ว” (Quick Wins) นี้จะช่วยสร้างแรงส่ง (Momentum) พิสูจน์ความเป็นไปได้ของรูปแบบความร่วมมือ และที่สำคัญคือการตอกย้ำความไว้วางใจในหมู่ภาคีเครือข่าย ตัวอย่างเช่น แทนที่จะจัดทำโครงการส่งเสริมอาชีพสำหรับนักเรียนทั้งโรงเรียน อาจเริ่มต้นทดลองกับนักเรียนเพียงหนึ่งระดับชั้นก่อน 12

57. การสร้าง “ข้อตกลงความร่วมมือ” (Partnership Agreement) ที่เป็นลายลักษณ์อักษร

เพื่อสร้างความชัดเจนและพันธสัญญาที่แน่วแน่ ควรจัดทำข้อตกลงความร่วมมือที่เป็นลายลักษณ์อักษร 10 เอกสารดังกล่าวควรกำหนดรายละเอียดที่สำคัญ เช่น วัตถุประสงค์ร่วมกัน บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย การจัดสรรทรัพยากร ช่องทางการสื่อสาร และกลไกการกำกับติดตามและประเมินผล 10 การมีข้อตกลงที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและสร้างกรอบความรับผิดชอบที่โปร่งใส

58. การยอมรับความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (Embracing Systemic Change) และความไม่แน่นอน

ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนดำเนินไปภายใต้ระบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การยึดติดกับแผนงานที่ตายตัวและเป็นเส้นตรงจึงมีแนวโน้มที่จะล้มเหลว 5 เครือข่ายความร่วมมือต้องมีความยืดหยุ่น (Agile) และพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อโอกาสและอุปสรรคที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ซึ่งหมายถึงการมีกระบวนทัศน์ที่มองว่าความหลากหลายทางความคิดและมุมมองเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ แม้ว่าบางครั้งจะนำมาซึ่งความขัดแย้ง แต่ก็ช่วยให้เกิดความเข้าใจในระบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 5

59. การส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของภาคี (Fostering Participatory Learning)

ความร่วมมือที่ดีคือความร่วมมือที่มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกลไกที่ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายได้เรียนรู้จากประสบการณ์ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ 5 ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการจัดเวทีถอดบทเรียน (Reflection Session) การวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกัน หรือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการทำงานจริง กระบวนการนี้จะเปลี่ยนสถานะของความร่วมมือจากการเป็นเพียงกลไกเพื่อดำเนินโครงการให้สำเร็จ ไปสู่การเป็น “ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้” (Learning Ecosystem) ที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง

60. การเชื่อมโยงเป้าหมายความร่วมมือสู่การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง (HOTS) ของผู้เรียน

เป้าหมายสูงสุดของความร่วมมือทางการศึกษาต้องไปไกลกว่าการระดมทรัพยากร 3 แต่ต้องเชื่อมโยงโดยตรงกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking Skills – HOTS) 18 ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) 21

กระบวนทัศน์ต้องเปลี่ยนจาก “การหาทรัพยากรเพื่อสถานศึกษา” ไปสู่ “การสร้างประสบการณ์เพื่อผู้เรียน” ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือกับสถานประกอบการในท้องถิ่นไม่ควรจบลงที่การรับเงินบริจาค แต่ควรพัฒนาไปสู่การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) ที่นักเรียนจะได้รับโจทย์ปัญหาจริงจากธุรกิจนั้นๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ ประเมินแนวทางแก้ไข และสร้างสรรค์ข้อเสนอเพื่อนำกลับไปเสนอต่อสถานประกอบการ 12 ดังนั้น ทุกข้อเสนอโครงการความร่วมมือควรถูกประเมินผ่าน “เกณฑ์ HOTS” ว่า โครงการนั้นๆ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะการคิดในสามระดับสูงสุดของ Bloom’s Taxonomy หรือไม่ 21 เพื่อให้มั่นใจว่าทุกความร่วมมือได้รับใช้ภารกิจหลักทางการศึกษาอย่างแท้จริง ดังที่ปรากฏในโมเดล P-TECH ที่นักเรียนได้แก้ปัญหาจากโลกแห่งความเป็นจริง 24

ส่วนที่ 2: กลไกการบริหารจัดการเครือข่ายสถานศึกษาเชิงระบบ (ข้อ 61-70)

การบริหารจัดการเครือข่ายสถานศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องมีกลไกเชิงโครงสร้างและกระบวนการที่ชัดเจน ส่วนนี้จะลงรายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ในฐานะผู้ริเริ่มและสนับสนุนเครือข่าย รวมถึงกระบวนการที่เป็นระบบในการกำกับดูแล ติดตาม และพัฒนาเครือข่ายให้เติบโตอย่างยั่งยืน

61. บทบาทของ สพท. ในฐานะ “สถาปนิกเครือข่าย” (ESAO as a Network Architect)

บทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการกำกับดูแลสถานศึกษาเป็นรายแห่ง แต่ยังรวมถึงการเป็น “สถาปนิก” ผู้ออกแบบและอำนวยความสะดวกให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาอย่างมีกลยุทธ์ 26 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดรูปแบบและวัตถุประสงค์ของเครือข่าย การประสานการระดมทรัพยากร และการวางกรอบการทำงานร่วมกัน 29 สพท. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่ช่วยลดช่องว่างในการบริหารจัดการ ทำให้สถานศึกษาสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 30

62. การออกแบบโครงสร้างเครือข่ายที่หลากหลายและยืดหยุ่น (Designing Diverse and Flexible Network Structures)

ไม่มีรูปแบบเครือข่ายใดที่เหมาะสมกับทุกบริบท สพท. ควรออกแบบโครงสร้างเครือข่ายที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น อาจเป็นการจัดกลุ่มตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (กลุ่มโรงเรียน) ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามเป้าหมายการพัฒนาเฉพาะด้าน หรือผสมผสานหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน 28 ในการออกแบบควรคำนึงถึงปัจจัยในทางปฏิบัติ เช่น ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างสถานศึกษาในเครือข่าย (เช่น ไม่เกิน 30 นาที) เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้จริง 30

63. การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ (Information Systems) เพื่อการตัดสินใจในเครือข่าย

การบริหารเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและทันท่วงที 31 สพท. มีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศกลาง เพื่อให้สถานศึกษาในเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล สถิติ แนวปฏิบัติที่ดี และติดตามความก้าวหน้าร่วมกันได้ 33 การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making) จะช่วยยกระดับคุณภาพของเครือข่ายโดยรวม

64. กระบวนการนิเทศ ติดตาม และประเมินผลเชิงกัลยาณมิตร (Supportive Supervision, Monitoring, and Evaluation)

การนิเทศ ติดตาม และประเมินผลในบริบทของเครือข่ายควรเป็นกระบวนการที่มุ่ง “สนับสนุนและพัฒนา” มากกว่าการ “ควบคุมและจับผิด” โดยเริ่มต้นจากการศึกษาสภาพปัจจุบันและวิเคราะห์ความต้องการของสถานศึกษาในเครือข่าย 34 จากนั้นจึงร่วมกันวางแผนการพัฒนา ให้การโค้ชชิ่ง (Coaching) และให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) อย่างสร้างสรรค์ 35 เป้าหมายหลักคือการสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ให้กับสถานศึกษาและบุคลากรภายในเครือข่าย เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 37

65. การใช้เครือข่ายเป็นฐานในการพัฒนาวิชาชีพครู (Network-Based Professional Development)

เครือข่ายสถานศึกษาเป็นเวทีที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาวิชาชีพครู สพท. สามารถใช้เครือข่ายเป็นฐานในการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Communities: PLC) การสร้างระบบพี่เลี้ยงโดยใช้ “ครูแกนนำ” หรือ “ครูต้นแบบ” เป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ 28 และการจัดเวทีวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากรในเครือข่าย 28แนวทางนี้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับบริบทจริงมากกว่าการจัดอบรมที่แยกส่วนจากหน้างาน

66. การบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณร่วมกันในเครือข่าย (Joint Resource and Budget Management)

เครือข่ายช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Economies of Scale) ผ่านการแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน เช่น ครูผู้สอนในสาขาที่ขาดแคลน สื่อการสอน อุปกรณ์เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งอาคารสถานที่ 29 สพท. มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในกระบวนการนี้ โดยการประสานงานจัดทำคำของบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาร่วมของเครือข่าย 31

67. การพัฒนานวัตกรรมและการวิจัยร่วมกัน (Collaborative Innovation and Research)

เครือข่ายควรเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมทางการศึกษา สพท. ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาในเครือข่ายทำวิจัยในชั้นเรียน (Action Research) หรือโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญร่วมกันและแสวงหาแนวทางการจัดการศึกษาใหม่ๆ 26 การทำงานวิจัยร่วมกันไม่เพียงแต่จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่ยังสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งให้เกิดขึ้นในเครือข่าย 35

68. การสร้างแบรนด์และอัตลักษณ์ร่วมของเครือข่าย (Building a Collective Network Identity and Brand)

เครือข่ายที่เข้มแข็งควรมีอัตลักษณ์และเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแบรนด์ร่วมกัน การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ผลงานและความสำเร็จของเครือข่ายให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน 31 การสร้างอัตลักษณ์ร่วมจะช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความผูกพันของสถานศึกษาสมาชิก และทำให้เครือข่ายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

69. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของเครือข่าย (Evaluating Network Performance) ด้วยตัวชี้วัดที่ชัดเจน

ความสำเร็จของเครือข่ายจำเป็นต้องวัดผลได้ สพท. และสถานศึกษาสมาชิกควรร่วมกันกำหนดดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicators: KPIs) ที่ชัดเจน 28 ซึ่งควรครอบคลุมมากกว่าผลสัมฤทธิ์ของแต่ละสถานศึกษา เช่น อาจวัดจากความถี่ในการจัดกิจกรรมร่วมกัน ระดับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ผลสำเร็จของโครงการที่ทำร่วมกัน หรือการยกระดับคุณภาพผู้เรียนโดยเฉลี่ยของทั้งเครือข่าย กระบวนการประเมินผลควรให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดการยอมรับและนำผลไปใช้ในการปรับปรุงอย่างแท้จริง 39

70. การวางแผนสืบทอดและสร้างความยั่งยืนของเครือข่าย (Succession Planning and Sustainability)

บ่อยครั้งที่ความสำเร็จของเครือข่ายขึ้นอยู่กับผู้นำเพียงไม่กี่คน เพื่อให้เครือข่ายมีความยั่งยืนในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนพัฒนาผู้นำรุ่นต่อไป 39 ซึ่งทำได้โดยการกระจายบทบาทความเป็นผู้นำ (Distributed Leadership) ไปยังบุคคลต่างๆ ในเครือข่าย 10 และสร้างระบบการทำงานร่วมกันให้เป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง เพื่อให้เครือข่ายสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในตำแหน่งผู้นำ

ส่วนที่ 3: ยุทธศาสตร์การระดมทรัพยากรและการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนภายนอก (ข้อ 71-80)

การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนภายนอก ทั้งภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ส่วนนี้จะนำเสนอแนวทางเชิงปฏิบัติในการสร้างความสัมพันธ์กับภาคีภายนอก ตั้งแต่การทำความเข้าใจกรอบกฎหมาย ไปจนถึงการพัฒนารูปแบบความร่วมมือที่สร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย

71. การทำความเข้าใจภูมิทัศน์ CSR ของภาคเอกชน (Understanding the Corporate CSR Landscape)

องค์กรภาคเอกชนดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ด้วยแรงจูงใจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคุณค่าให้แบรนด์ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน หรือความมุ่งมั่นในการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริง 40 ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลขององค์กรเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจแนวทาง CSR ขององค์กรนั้นๆ และออกแบบข้อเสนอความร่วมมือให้สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น โครงการของคิง เพาเวอร์ ที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา 42 โครงการของธนาคารกรุงไทย ที่มุ่งเน้นการให้ทุนการศึกษาและความรู้ทางการเงิน 43 หรือโครงการของมิตรผล ที่เป็นการพัฒนาโรงเรียนแบบองค์รวม 44

72. การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก “การขอรับบริจาค” สู่ “การสร้างหุ้นส่วน” (Shifting from Donation-Seeking to Partnership-Building)

การเสนอโครงการเพื่อขอรับบริจาคแบบครั้งคราวมีประสิทธิผลน้อยกว่าการเสนอตัวเป็น “หุ้นส่วน” ในระยะยาว ข้อเสนอความเป็นหุ้นส่วนควรเน้นการสร้างคุณค่าร่วมกัน (Shared Value) โดยสถานศึกษาต้องสามารถระบุได้ว่าตนเองสามารถมอบประโยชน์อะไรกลับคืนให้แก่องค์กรภาคเอกชนได้บ้าง เช่น การเป็นพื้นที่ให้พนักงานได้ทำกิจกรรมอาสา 40 การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร หรือการเป็นแหล่งบ่มเพาะบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต ดังเช่นที่ปรากฏในโมเดล P-TECH 23

73. การใช้ประโยชน์จากกรอบกฎหมายการระดมทรัพยากรอย่างถูกต้อง (Leveraging the Legal Framework for Resource Mobilization)

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 58 ได้วางรากฐานทางกฎหมายให้สถานศึกษาสามารถระดมทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ ได้ 46 ประเด็นสำคัญคือ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุว่า การระดมทรัพยากรภายใต้ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ 46

ความชัดเจนทางกฎหมายนี้ไม่ได้เป็นเพียงรายละเอียดเชิงขั้นตอน แต่เป็น “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่สำคัญ ผู้บริหารสถานศึกษาอาจลังเลที่จะระดมทุนเพราะกังวลเรื่องความซับซ้อนของระเบียบราชการ ดังกรณีข้อหารือจากจังหวัดศรีสะเกษ 46 คำวินิจฉัยของกฤษฎีกาจึงเปรียบเสมือน “ไฟเขียว” ที่มอบอำนาจและความคล่องตัวให้สถานศึกษาสามารถดำเนินการระดมทรัพยากรได้อย่างมั่นใจ ตราบใดที่ยังปฏิบัติตามขั้นตอนที่ พ.ร.บ. การศึกษาฯ กำหนดไว้ (เช่น การได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา การรายงานผลอย่างโปร่งใส) สิ่งนี้ช่วยปลดล็อกให้ผู้บริหารสามารถดำเนินงานเชิงรุกและสร้างสรรค์ในการแสวงหาความร่วมมือจากภายนอกได้อย่างเต็มศักยภาพ

74. บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในฐานะ “ทูตสัมพันธ์” (The Role of the School Board as Ambassadors)

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการให้ความเห็นชอบและสนับสนุนการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา 48 สมาชิกคณะกรรมการซึ่งมักเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในชุมชนจึงอยู่ในสถานะที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำหน้าที่เป็น “ทูตสัมพันธ์” (Ambassador) ให้กับโรงเรียน 49 พวกเขาสามารถช่วยเปิดประตูสู่เครือข่ายต่างๆ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโครงการของโรงเรียน ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องทำงานร่วมกับคณะกรรมการอย่างใกล้ชิดและส่งเสริมให้พวกเขามีบทบาทในภารกิจนี้อย่างเต็มที่ 50

75. การสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (Partnering with Local Administrative Organizations)

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ได้ระบุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นภาคีที่สำคัญในการจัดการศึกษา 3 ความร่วมมือกับ อปท. สามารถทำได้หลากหลายมิติ นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านงบประมาณ เช่น การใช้สถานที่ราชการร่วมกัน การประสานงานจัดกิจกรรมในชุมชน หรือการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น 31

76. การพัฒนา “โครงการเรือธง” (Flagship Projects) ที่ดึงดูดความร่วมมือ

แทนที่จะขอรับการสนับสนุนแบบภาพรวม สถานศึกษาควรพัฒนา “โครงการเรือธง” ที่มีเป้าหมายชัดเจน มีผลกระทบสูง และง่ายต่อการสื่อสารให้ภาคีภายนอกเข้าใจและอยากมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น โครงการ “Learning Coin” ของ กสศ. และ UNESCO ที่ใช้เกมเพื่อส่งเสริมการอ่าน 51 หรือการจัดตั้งคลินิกสุขภาพในโรงเรียนแบบจำลอง Community Schools ของสหรัฐอเมริกา 52 โครงการที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจและมีเป้าหมายที่จับต้องได้จะสามารถดึงดูดการสนับสนุนได้ดีกว่าการร้องขอแบบทั่วไป

77. การสร้างระบบการยอมรับและยกย่องเชิดชูเกียรติภาคี (Creating a System for Partner Recognition)

การแสดงความขอบคุณและยกย่องเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายอย่างเป็นทางการเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาสัมพันธภาพที่ดีในระยะยาว 38 สถานศึกษาสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมขอบคุณ การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ การกล่าวถึงในจดหมายข่าวหรือสื่อสังคมออนไลน์ของโรงเรียน การกระทำเหล่านี้จะช่วยตอกย้ำให้ภาคีเห็นคุณค่าของการสนับสนุนและเป็นแรงจูงใจให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง

78. การบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญในชุมชน (Integrating Local Wisdom and Community Experts)

ทรัพยากรไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินทุนหรือสิ่งของ แต่ยังรวมถึง “ทุนมนุษย์” ที่มีค่าในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ประกอบการ ศิลปิน หรือผู้สูงอายุที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 3 สถานศึกษาควรออกแบบกิจกรรมที่เชิญบุคคลเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอน เช่น การเป็นวิทยากรพิเศษ การเป็นที่ปรึกษาโครงงาน หรือการเป็นพี่เลี้ยงนักเรียน 12 ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงให้แก่นักเรียน แต่ยังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

79. การใช้โรงเรียนเป็นศูนย์บริการชุมชน (Using the School as a Community Hub)

ความสัมพันธ์ที่ดีควรเป็นไปในลักษณะสองทาง (Reciprocal) นอกจากโรงเรียนจะขอรับการสนับสนุนจากชุมชนแล้ว โรงเรียนก็ควรตอบแทนชุมชนด้วยการเปิดพื้นที่และทรัพยากรของตนเพื่อให้บริการแก่ชุมชนเช่นกัน 11 เช่น การจัดอบรมอาชีพระยะสั้นสำหรับผู้ใหญ่ การเปิดห้องสมุดหรือห้องคอมพิวเตอร์ให้คนในชุมชนเข้ามาใช้บริการ หรือการเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสาธารณะ แนวทางนี้จะเปลี่ยนสถานะของโรงเรียนจากสถาบันที่แยกตัวออกจากชุมชน ไปสู่การเป็นศูนย์กลางของชุมชนอย่างแท้จริง ดังเช่นในโมเดล Full-Service Extended Schools ของสหราชอาณาจักร 53

80. การวัดผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Measuring Social Return on Investment – SROI)

เพื่อรักษาความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะภาคเอกชน ในระยะยาว สถานศึกษาควรพัฒนาศักยภาพในการนำเสนอ “ผลกระทบทางสังคม” ที่เกิดจากความร่วมมือ ซึ่งไม่ใช่แค่การรายงานว่าได้รับเงินบริจาคเท่าไหร่ (Input) แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ (Outcome) ที่เกิดขึ้น เช่น อัตราการมาเรียนของนักเรียนที่ดีขึ้น อัตราการเรียนต่อที่สูงขึ้น หรือการมีส่วนร่วมของชุมชนที่เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน แต่การนำเสนอข้อมูลในลักษณะนี้จะช่วยสร้างเรื่องราวที่ทรงพลังและแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการลงทุนที่คุ้มค่า

ส่วนที่ 4: การประยุกต์ใช้แนวคิดและโมเดลขั้นสูงเพื่อการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง (ข้อ 81-90)

เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของการบริหารจัดการแบบดั้งเดิม ผู้นำทางการศึกษาจำเป็นต้องศึกษาและประยุกต์ใช้แนวคิดและเครื่องมือการบริหารจัดการสมัยใหม่ ส่วนนี้จะสำรวจแนวคิดขั้นสูง เช่น Agile, Scrum และ Kanban รวมถึงกลยุทธ์การจัดการความขัดแย้งและการประเมินผลที่ซับซ้อน เพื่อสร้างเครือข่ายทางการศึกษาที่ยืดหยุ่นและมีพลวัตสูง

81. การนำหลักการ Agile มาใช้ในการบริหารเครือข่าย (Adopting Agile Principles for Network Management)

Agile คือกรอบแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น การปรับตัว และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 54ในบริบทของการบริหารเครือข่ายการศึกษา การนำหลักการ Agile มาใช้หมายถึงการเปลี่ยนจากการวางแผนระยะยาวที่ตายตัว ไปสู่การทำงานเป็นรอบๆ สั้นๆ ที่เรียกว่า “วงจรการทำงานซ้ำ” (Iterative Cycles) ซึ่งประกอบด้วยการวางแผน-ลงมือทำ-ทบทวนผล 54 แนวทางนี้ช่วยให้เครือข่ายสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูงในสภาวะแวดล้อมที่ผันผวน 54

82. การใช้ Scrum Framework ในการบริหารโครงการความร่วมมือ (Using the Scrum Framework for Collaborative Projects)

Scrum คือกรอบการทำงาน (Framework) ที่เป็นรูปธรรมภายใต้แนวคิด Agile ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี 55 โดยโครงการขนาดใหญ่ เช่น การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นร่วมกันทั้งเครือข่าย จะถูกแบ่งย่อยออกเป็นช่วงการทำงานสั้นๆ ที่เรียกว่า “Sprint” (ปกติใช้เวลา 2-4 สัปดาห์) 57 ในแต่ละวัน ทีมงานจะมีการประชุมสั้นๆ ที่เรียกว่า “Daily Scrum” เพื่อรายงานความคืบหน้าและอุปสรรค รายการงานทั้งหมดของโครงการจะถูกรวบรวมไว้ใน “Product Backlog” และงานที่จะทำในแต่ละ Sprint จะถูกดึงมาไว้ใน “Sprint Backlog” 57 กระบวนการนี้ช่วยสร้างวินัยในการทำงาน ทำให้ทุกคนเห็นภาพรวมและมีความก้าวหน้าที่วัดผลได้สม่ำเสมอ 58

83. การใช้ Kanban Board เพื่อบริหารจัดการภาระงานและสร้างความโปร่งใส (Using Kanban Boards for Workflow Management and Transparency)

Kanban เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารจัดการกระแสงาน (Workflow) เป็นเรื่องง่ายและมองเห็นได้ชัดเจน 57 โดยใช้บอร์ดที่แบ่งเป็นช่องต่างๆ เช่น “งานที่ต้องทำ” (To Do), “กำลังทำ” (In Progress), และ “ทำเสร็จแล้ว” (Done) 61 ทีมงานของเครือข่ายหรือสถานศึกษาสามารถใช้กระดาน Kanban เพื่อติดตามสถานะของงานทุกชิ้น ทำให้ทุกคนเห็นภาพรวมของภาระงานทั้งหมด ช่วยป้องกันปัญหาคอขวด และสร้างความโปร่งใสในการทำงาน 63

84. การยอมรับความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ (Accepting Conflict as a Natural Part of the Process)

ในความร่วมมือที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่ม ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และในบางครั้งก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก 5 เนื่องจากแต่ละภาคส่วนย่อมมีผลประโยชน์และมุมมองที่แตกต่างกัน 64 เป้าหมายของการบริหารความร่วมมือจึงไม่ใช่การกำจัดความขัดแย้งให้หมดไป แต่คือการบริหารจัดการความขัดแย้งนั้นอย่างสร้างสรรค์

85. การสร้างกลไกการจัดการความขัดแย้งเชิงรุก (Establishing Proactive Conflict Resolution Mechanisms)

แทนที่จะรอให้ความขัดแย้งบานปลายจนกลายเป็นวิกฤต เครือข่ายความร่วมมือควรสร้างกลไกในการจัดการความขัดแย้งไว้ล่วงหน้า เช่น การกำหนดกติกาการทำงานร่วมกัน (Ground Rules) และช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจน 7 อาจมีการตกลงเรื่องกระบวนการไกล่เกลี่ย หรือการใช้บุคคลที่สามที่เป็นกลางเข้ามาช่วยในกรณีที่จำเป็น การทำความเข้าใจรูปแบบการจัดการความขัดแย้งต่างๆ เช่น การร่วมมือ การประนีประนอม หรือการยอมให้ จะช่วยให้ผู้นำสามารถเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ 65

86. การเจรจาต่อรองแบบ “Win-Win” (Principled Negotiation) เพื่อหาทางออกที่สร้างสรรค์

เป้าหมายในการแก้ไขความขัดแย้งไม่ควรเป็นการเอาชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ควรเป็นการหาทางออกที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Solution) 8 โดยใช้หลักการเจรจาต่อรองที่มุ่งเน้นไปที่ “ผลประโยชน์ร่วม” (Shared Interests) แทนที่จะยึดติดกับ “จุดยืน” (Positions) ของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยการแยกแยะตัวบุคคลออกจากปัญหา การระดมสมองเพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายก่อนตัดสินใจ และการหาเกณฑ์ที่เป็นกลางในการวัดผล

87. การออกแบบความร่วมมือที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และโครงงานเป็นฐาน (PBL)

ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ความร่วมมือควรเป็นเครื่องมือในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการออกแบบกิจกรรมความร่วมมือในรูปแบบของการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning: PBL) 66 เช่น ความร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสามารถพัฒนาเป็นโครงงานที่ให้นักเรียนรับบทบาทเป็นภัณฑารักษ์น้อย ทำการวิจัยประวัติศาสตร์ชุมชน ออกแบบนิทรรศการ และนำเสนอผลงานต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงโดยตรง 24

88. การประเมินผลแบบ 360 องศา (360-Degree Evaluation) ในโครงการความร่วมมือ

การประเมินผลโครงการไม่ควรมาจากมุมมองของผู้บริหารหรือหน่วยงานกำกับดูแลแต่เพียงฝ่ายเดียว การประเมินผลแบบ 360 องศา คือการรวบรวมข้อมูลป้อนกลับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และภาคีเครือข่าย 13 ซึ่งจะให้ภาพสะท้อนที่ครบถ้วนและสมดุลเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาของโครงการความร่วมมือนั้นๆ

89. การใช้ “Theory of Change” ในการวางแผนและประเมินผลโครงการที่ซับซ้อน

สำหรับโครงการที่มีความซับซ้อนและมีเป้าหมายระยะยาว เช่น โครงการโรงเรียนบริการครบวงจร (Full-Service Extended Schools) การประเมินผลแบบวัดแค่ปัจจัยนำเข้า-ผลผลิต (Input-Output) นั้นไม่เพียงพอ 53 การใช้กรอบแนวคิด “ทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลง” (Theory of Change) จะมีประสิทธิภาพมากกว่า โดยเป็นการวางแผนที่ระบุเส้นทางของเหตุและผลอย่างชัดเจนว่า “กิจกรรมที่เราทำ (Actions) จะนำไปสู่ผลลัพธ์ระยะสั้น (Immediate Changes) และระยะกลาง (Intermediate Changes) อะไรบ้าง และผลลัพธ์เหล่านั้นจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด (Ultimate Outcomes) ที่เราต้องการได้อย่างไร” แนวทางนี้ช่วยให้สมมติฐานเบื้องหลังโครงการมีความชัดเจนและสร้างกรอบการประเมินผลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 53

90. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization Culture) ในเครือข่าย

เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างเครือข่ายที่สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัย “วัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้” ที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) ที่สมาชิกกล้าที่จะแบ่งปันความล้มเหลว ตั้งคำถามต่อสมมติฐานเดิมๆ และทดลองแนวทางใหม่ๆ โดยไม่กลัวการถูกตำหนิ เครือข่ายจะกลายเป็นองค์กรที่มีชีวิตที่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ 9

ส่วนที่ 5: การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาเพื่อการประยุกต์ใช้ (ข้อ 91-100)

การศึกษาต้นแบบความสำเร็จจากทั้งในและต่างประเทศเป็นหนทางลัดในการเรียนรู้และพัฒนารูปแบบความร่วมมือที่เหมาะสมกับบริบทของไทย ส่วนนี้จะทำการสังเคราะห์บทเรียนจากกรณีศึกษาที่สำคัญ วิเคราะห์เปรียบเทียบจุดเด่นและความท้าทาย และนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการขับเคลื่อนในระดับชาติต่อไป

91. บทเรียนจาก “โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา” (Partnership School Project): พลังของความเป็นอิสระและการมีส่วนร่วม

โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาของไทยเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า เมื่อสถานศึกษาได้รับความเป็นอิสระในการบริหารจัดการมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมให้สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและชุมชนอย่างจริงจัง จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญได้ 68 ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญได้แก่ ภาวะผู้นำที่เข้มแข็งของผู้บริหาร วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนซึ่งพัฒนาร่วมกับชุมชน และความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษาที่ 벗어난จากกรอบของระบบราชการเดิม 13 โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบที่ทรงพลังของการกระจายอำนาจทางการศึกษาในประเทศไทย

92. บทเรียนจาก “Community Schools” (สหรัฐอเมริกา): โรงเรียนในฐานะศูนย์กลางของระบบนิเวศชุมชน

โมเดล Community Schools ของสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า การจะทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จด้านการเรียนได้นั้น จำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานด้านอื่นๆ ของนักเรียนด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ โภชนาการ และการสนับสนุนครอบครัว 52 นวัตกรรมที่สำคัญของโมเดลนี้คือการบูรณาการบริการทางสังคมต่างๆ เข้ามาไว้ในโรงเรียน ทำให้โรงเรียนกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน (Community Hub) 52 โดยมีบทบาทของ “ผู้ประสานงานชุมชนของโรงเรียน” (Community School Coordinator) เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการความร่วมมือที่ซับซ้อนเหล่านี้

93. บทเรียนจาก “P-TECH Model” (สหรัฐอเมริกา): การเชื่อมโยงการศึกษา-อาชีพอย่างเป็นระบบ

โมเดล P-TECH (Pathways in Technology Early College High School) ได้สร้างเส้นทางที่เชื่อมโยงการศึกษาระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เข้ากับการทำงานอย่างเป็นระบบและไร้รอยต่อ 23 หัวใจของโมเดลนี้คือความเป็นหุ้นส่วนในระยะยาวและลึกซึ้งกับภาคอุตสาหกรรม เช่น บริษัท IBM ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผู้บริจาค แต่เป็นผู้ร่วมออกแบบหลักสูตร จัดหาพี่เลี้ยง (Mentor) จัดหาที่ฝึกงานแบบมีค่าตอบแทน และรับประกันการสัมภาษณ์งานเมื่อสำเร็จการศึกษา ซึ่งทำให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง 23

94. บทเรียนจาก “Full-Service Extended Schools” (สหราชอาณาจักร): การขยายบทบาทของโรงเรียนเพื่อบริการองค์รวม

โมเดลนี้มีความคล้ายคลึงกับ Community Schools คือการขยายบทบาทของโรงเรียนจากการสอนตามหลักสูตร ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการแบบองค์รวมแก่เด็ก ครอบครัว และชุมชน 53 บทเรียนที่สำคัญจากการประเมินผลโครงการนี้คือความท้าทายในการวัดผลลัพธ์ที่เป็นองค์รวมและเกิดขึ้นในระยะยาว ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือประเมินผลที่ซับซ้อนขึ้น เช่น กรอบแนวคิด Theory of Change เพื่อให้สามารถจับภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ 67

95. บทเรียนจากระบบนิเวศความร่วมมือของฟินแลนด์: ความไว้วางใจและวิชาชีพครูเป็นฐาน

ความสำเร็จของระบบการศึกษาฟินแลนด์ตั้งอยู่บนรากฐานของ “ความไว้วางใจ” ที่สังคมมีต่อ “ครู” ซึ่งเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและมีความเป็นอิสระทางวิชาชีพ 72 วัฒนธรรมความร่วมมือถูกฝังลึกอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่กระบวนการผลิตครูไปจนถึงการตัดสินใจในระดับโรงเรียน ระบบนิเวศทางการศึกษาของฟินแลนด์ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย ตั้งแต่หน่วยงานระดับชาติ ท้องถิ่น ผู้ปกครอง ไปจนถึงบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดทำงานร่วมกันภายใต้กรอบนโยบายและเป้าหมายเดียวกัน 74

96. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ: การเลือกใช้หลักการที่เหมาะสมกับบริบทไทย

แต่ละโมเดลจากต่างประเทศล้วนมีบทเรียนที่ทรงคุณค่า แต่การนำมาปรับใช้ในบริบทไทยจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ การลอกเลียนแบบโมเดลใดโมเดลหนึ่งมาใช้โดยตรงอาจไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และโครงสร้างทางสังคม การนำโมเดล P-TECH มาใช้โดยปราศจากภาคอุตสาหกรรมที่ทุ่มเทอย่างจริงจังย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการนำโมเดลฟินแลนด์มาใช้โดยปราศจากระบบการผลิตครูและความไว้วางใจในวิชาชีพครูที่เข้มแข็ง

ดังนั้น แนวทางที่ชาญฉลาดจึงไม่ใช่การตั้งคำถามว่า “เราควรลอกเลียนแบบโมเดลไหน” แต่ควรถามว่า “เราสามารถสกัด ‘หลักการ’ ที่สำคัญจากแต่ละโมเดลมาปรับใช้อย่างไร” เช่น เราสามารถนำ “หลักการบูรณาการบริการสนับสนุนผู้เรียน” จาก Community Schools, “หลักการเชื่อมโยมหลักสูตรกับภาคอุตสาหกรรม” จาก P-TECH, และ “หลักการเสริมอำนาจครูในฐานะผู้ขับเคลื่อนความร่วมมือ” จากฟินแลนด์ มาสร้างเป็น “โมเดลลูกผสม” (Hybrid Model) ที่มีเอกลักษณ์และเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

ตารางเปรียบเทียบโมเดลความร่วมมือทางการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์

ชื่อโมเดล (Model Name)ประเทศต้นแบบ (Country of Origin)ปรัชญาหลัก (Core Philosophy)ภาคีหลัก (Key Stakeholders)แนวปฏิบัติสำคัญ (Key Practices)ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Success Factors)ความท้าทายและการปรับใช้ในบริบทไทย (Challenges/Adaptation for Thailand)
โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)ไทยการกระจายอำนาจและความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ เพื่อสร้างนวัตกรรมผ่านความร่วมมือสถานศึกษา, ภาคเอกชน, ชุมชน, สพฐ.การบริหารจัดการที่เป็นอิสระ, การพัฒนาหลักสูตรร่วม, การระดมทรัพยากร, การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง 68ภาวะผู้นำของผู้บริหาร, ความยืดหยุ่นของนโยบาย, ความมุ่งมั่นของภาคเอกชน 13การขยายผลให้ครอบคลุม, การสร้างความยั่งยืนของความร่วมมือเมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร, การสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้าร่วม
Community Schoolsสหรัฐอเมริกาโรงเรียนเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่บูรณาการบริการด้านการศึกษา สุขภาพ และสังคม เพื่อพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมสถานศึกษา, ครอบครัว, องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, หน่วยงานบริการสุขภาพและสังคมการมีผู้ประสานงานชุมชน, การประเมินความต้องการของชุมชน, การให้บริการสุขภาพจิตและกายภาพในโรงเรียน, การมีส่วนร่วมของครอบครัว 52การมีตำแหน่งผู้ประสานงานที่ชัดเจน, ความร่วมมือที่เข้มแข็งกับหน่วยงานบริการ, การสนับสนุนจากระดับเขตพื้นที่ 69ต้องมีการลงทุนในตำแหน่ง “ผู้ประสานงานความร่วมมือ” และต้องสร้างกลไกการทำงานร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมอย่างเป็นระบบ
P-TECHสหรัฐอเมริกาการสร้างเส้นทางที่ไร้รอยต่อจากมัธยมสู่การศึกษาระดับสูงและอาชีพในสาขา STEMสถานศึกษา, วิทยาลัยชุมชน, ภาคอุตสาหกรรม (เช่น IBM)หลักสูตร 6 ปี (ม.3-ปวส.), การเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย, การมีพี่เลี้ยงจากภาคอุตสาหกรรม, การฝึกงานจริง, การรับประกันการสัมภาษณ์งาน 23ความร่วมมือที่ลึกซึ้งและระยะยาวกับภาคอุตสาหกรรม, การออกแบบหลักสูตรร่วมกัน, การสนับสนุนจากภาครัฐ 23ความท้าทายในการหาภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลงทุนในระยะยาว, การปรับแก้กฎระเบียบด้านหลักสูตรและการเทียบโอนหน่วยกิต
Full-Service Extended Schoolsสหราชอาณาจักรการขยายเวลาและขอบเขตการให้บริการของโรงเรียน เพื่อตอบสนองความต้องการของเด็ก ครอบครัว และชุมชนสถานศึกษา, หน่วยงานท้องถิ่น, องค์กรบริการต่างๆ, ครอบครัวการให้บริการดูแลเด็กนอกเวลาเรียน, การจัดกิจกรรมเสริมทักษะ, การให้คำปรึกษาครอบครัว, การเป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน 53การมีเป้าหมายที่ชัดเจน, การประเมินผลที่อิงตามหลักฐาน, การสนับสนุนด้านงบประมาณที่ต่อเนื่อง 71ความซับซ้อนในการประเมินผลกระทบแบบองค์รวม, ความท้าทายด้านความยั่งยืนของงบประมาณสนับสนุน
Finnish Collaborative Ecosystemฟินแลนด์ความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนฐานของความไว้วางใจในวิชาชีพครูที่มีคุณภาพสูงและมีความเป็นอิสระครู, ผู้บริหาร, หน่วยงานการศึกษาระดับชาติและท้องถิ่น, ผู้ปกครอง, ภาคเอกชน (EdTech)การให้อำนาจครูในการตัดสินใจ, การพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่อง, การทำงานร่วมกันเป็นทีม, การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับ 72คุณภาพและอิสระของครู, ความไว้วางใจในระบบ, วัฒนธรรมความร่วมมือที่เข้มแข็ง 74ต้องมีการปฏิรูประบบการผลิตและพัฒนาครูครั้งใหญ่ และสร้างวัฒนธรรมความไว้วางใจในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม

97. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1: การสร้างกลไกสนับสนุนความเป็นอิสระของสถานศึกษา (Policy Rec: Enabling School Autonomy)

จากความสำเร็จของโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา 68 นโยบายระดับชาติควรมุ่งส่งเสริมและขยายผลการให้ความเป็นอิสระแก่สถานศึกษาที่มีศักยภาพและความพร้อมในการบริหารจัดการตนเองและสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ซึ่งรวมถึงการให้ความยืดหยุ่นด้านการบริหารหลักสูตร งบประมาณ และบุคลากร เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการสร้างนวัตกรรม

98. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 2: การลงทุนในบทบาท “ผู้ประสานงานความร่วมมือ” (Policy Rec: Investing in Partnership Coordinator Roles)

บทเรียนจากโมเดล Community Schools 69 ชี้ชัดว่าการมีบุคลากรที่รับผิดชอบงานด้านความร่วมมือโดยเฉพาะเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ นโยบายจึงควรสนับสนุนให้มีการจัดตั้งและจัดสรรงบประมาณสำหรับตำแหน่ง “ผู้ประสานงานความร่วมมือ” หรือ “เจ้าหน้าที่สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน” ในระดับสถานศึกษาหรือระดับเครือข่าย เพื่อให้การสร้างและบริหารจัดการความเป็นหุ้นส่วนเป็นไปอย่างมืออาชีพและยั่งยืน

99. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 3: การปรับปรุงตัวชี้วัด PA ของผู้บริหารและครู (Policy Rec: Reforming PA Metrics)

ข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) สำหรับผู้บริหารและครู ควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้มีน้ำหนักและความจำเพาะมากขึ้นในด้านการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมกับชุมชน 49 ตัวชี้วัดไม่ควรหยุดอยู่แค่จำนวนกิจกรรมหรือยอดเงินบริจาค แต่ควรวัดผลในเชิงคุณภาพ เช่น ความลึกซึ้งของความสัมพันธ์กับภาคีเครือข่าย และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง 49

100. วิสัยทัศน์อนาคต: จากเครือข่ายสถานศึกษาสู่ “ระบบนิเวศการเรียนรู้” ของชุมชน (Future Vision: From School Networks to Community Learning Ecosystems)

วิสัยทัศน์สูงสุดคือการก้าวข้ามจากแนวคิดเครือข่ายที่มีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ไปสู่การสร้าง “ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ของชุมชน” (Community Learning Ecosystem) อย่างแท้จริง ในระบบนิเวศนี้ การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทั้งในสถานประกอบการ ศูนย์วัฒนธรรม หรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ โดยสถานศึกษาจะเปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้เชื่อมโยงและอำนวยความสะดวก” ที่สำคัญในระบบนิเวศ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในชุมชนร่วมกันรับผิดชอบต่อการศึกษาและการพัฒนาเด็กทุกคน 11 นี่คือภาพอนาคตของการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมที่สมบูรณ์ที่สุด

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version