Site icon Digital Learning Classroom

กรณีศึกษาผลงานวิทยฐานะเชี่ยวชาญ: การขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศด้วย TANIWIT MODEL ของโรงเรียนตานีวิทยา

แชร์เรื่องนี้

กรณีศึกษาผลงานวิทยฐานะเชี่ยวชาญ: การขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศด้วย TANIWIT MODEL ของโรงเรียนตานีวิทยา

1. บทนำ: ภาพรวมและบริบทของโรงเรียนตานีวิทยา

เอกสารฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับ “TANIWIT MODEL” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการที่โรงเรียนตานีวิทยาพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่ซับซ้อนและขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศทางการศึกษา โมเดลดังกล่าวไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหานเฉพาะหน้าของโรงเรียน แต่ยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบที่ทรงคุณค่าสำหรับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการจัดการอย่างเป็นระบบ

โรงเรียนตานีวิทยาเป็นสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในชุมชน โดยมีข้อมูลพื้นฐานที่น่าสนใจดังนี้:

จากสถานะและศักยภาพดังกล่าว โรงเรียนได้เผชิญกับความท้าทายหลายมิติที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหารูปแบบการบริหารจัดการใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2. สภาพปัญหาและความท้าทาย: จุดเปลี่ยนสู่การพัฒนานวัตกรรม

การวินิจฉัยความท้าทายขององค์กรอย่างแม่นยำและอิงตามข้อมูลเชิงประจักษ์ ถือเป็นขั้นตอนชี้ขาดที่เป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ในส่วนนี้จะลงรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่โรงเรียนตานีวิทยาได้ระบุขึ้นจากการวิเคราะห์รายงานการประเมินตนเอง (SAR) ประจำปีการศึกษา 2565 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการ

จากการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถสรุปประเด็นความท้าทายหลักได้ 4 ด้าน ดังนี้

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ การวิเคราะห์ SWOT ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้เผยให้เห็นถึงศักยภาพที่สามารถนำมาใช้เป็นฐานในการพัฒนาได้

การตระหนักถึงปัญหาและโอกาสอย่างรอบด้านนี้ ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนฉบับใหม่ที่ชัดเจนและท้าทายยิ่งขึ้น

3. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนา: การวางรากฐานสู่มาตรฐานสากล

วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมคือเข็มทิศนำทางการเปลี่ยนแปลงขององค์กร โรงเรียนตานีวิทยาได้กำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การพัฒนาเพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศและตอบสนองต่อความท้าทายที่เผชิญอยู่

วิสัยทัศน์ของโรงเรียนตานีวิทยาถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนดังนี้:

โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพตามหลักธรรมาภิบาล น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บนพื้นฐานความเป็นไทยและการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 พัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล

เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โรงเรียนได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานหลัก 4 ประการ ได้แก่:

  1. พัฒนานักเรียนสู่มาตรฐานสากล
  2. พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  3. พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
  4. พัฒนาคุณภาพและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ

การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เหล่านี้ตั้งอยู่บนกรอบแนวคิดและนโยบายระดับชาติที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าทิศทางการพัฒนาสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ

จากวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่วางไว้นี้ โรงเรียนได้พัฒนาเครื่องมือบริหารจัดการเชิงนวัตกรรมที่มีชื่อว่า “TANIWIT MODEL” เพื่อเป็นกลไกหลักในการแปลงนโยบายและกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติจริง

4. ถอดรหัส TANIWIT MODEL: นวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา

TANIWIT MODEL คือหัวใจของกระบวนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นกรอบการบริหารจัดการที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (Output) โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพายุทธศาสตร์ของโรงเรียนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและขับเคลื่อนด้วยวงจรคุณภาพ (PDCA)

องค์ประกอบของโมเดลสามารถแยกวิเคราะห์ได้ 3 ส่วนหลัก ดังนี้

1. ปัจจัยนำเข้า (Input): ทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนกระบวนการ ได้แก่ ทรัพยากรบุคคล, วัสดุอุปกรณ์, งบประมาณ และนโยบายจากหน่วยงานต้นสังกัด

2. กระบวนการ (Process): เป็นกลไกการทำงานที่ถอดรหัสมาจากชื่อ “TANIWIT” ซึ่งแต่ละตัวอักษรมีความหมายเชิงปฏิบัติการดังตารางต่อไปนี้

Acronymคำอธิบาย (Description)
T – Teamworkการสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของโรงเรียน
A – Actionการลงมือปฏิบัติหน้าที่อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ โดยยึดมั่นในวงจรคุณภาพ (Plan-Do-Check-Act) เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
N – iNternationalการตั้งเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
I – Integrationการบูรณาการแผนงาน โครงการ และระบบสารสนเทศให้สอดประสานกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหลักสูตรที่ไม่เชื่อมโยงและสร้างความเป็นเอกภาพในการทำงาน
W – Work Ethic & Techการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรม (Work Ethic) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรมในการปฏิบัติงาน
I – Evaluationการกำหนดกระบวนการประเมินผลที่ต่อเนื่องและหลากหลาย เพื่อใช้ข้อมูลในการติดตามความก้าวหน้าและตัดสินใจปรับปรุงการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย
T – Teacher & Studentsการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Student-Centered) และปรับบทบาทครูสู่การเป็นโค้ช เพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำกว่าเป้าหมายและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์

3. ผลลัพธ์ (Output): ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้โมเดลนี้ในการบริหารจัดการ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จในมิติต่าง ๆ จะถูกนำเสนอและวิเคราะห์อย่างละเอียดในหัวข้อที่ 6

การให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ “T – Teacher & Students” ในโมเดลนี้ ได้นำไปสู่การริเริ่มโครงการพัฒนาบุคลากรครูอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นต้นแบบการปฏิบัติที่ชัดเจน

5. การลงมือปฏิบัติ: ต้นแบบการพัฒนาครูสู่ศตวรรษที่ 21

ประสิทธิผลของกรอบการบริหารเชิงกลยุทธ์วัดได้จากความสามารถในการแปลงแนวคิดนามธรรมสู่โครงการปฏิบัติที่วัดผลได้ กรณีศึกษาของโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ณ โรงเรียนตานีวิทยา แสดงให้เห็นถึงการนำองค์ประกอบ ‘T’ (Teacher & Students) ของ TANIWIT MODEL มาขยายผลในระดับปฏิบัติการได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน “รูปแบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21”

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะของครูให้สามารถจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการนิเทศภายในที่พัฒนาขึ้นนี้มีรากฐานมาจากการสังเคราะห์งานวิจัยและแนวคิดทางการศึกษา ประกอบด้วย 8 ขั้นตอนที่เป็นระบบ ดังนี้

  1. ประชุมวางแผนการนิเทศ: กำหนดเป้าหมาย ขอบเขต และปฏิทินการนิเทศร่วมกัน
  2. ให้ความรู้และความเข้าใจ: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
  3. นิเทศการสอนและสังเกตพฤติกรรม: ผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่มสาระเข้าสังเกตการณ์ในชั้นเรียนตามแผนที่วางไว้
  4. วิเคราะห์ข้อมูลจากการนิเทศ: รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ
  5. ประชุมสะท้อนผลหลังการนิเทศ: จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (PLC) เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ครูผู้สอนในบรรยากาศที่สร้างสรรค์
  6. สร้างเสริมกำลังใจ: ให้การยกย่องชมเชยและสนับสนุนครูที่มีการพัฒนาและมีความมุ่งมั่นตั้งใจ
  7. ประเมินผลการนิเทศ: ประเมินความสำเร็จของกระบวนการนิเทศทั้งในระดับบุคคลและภาพรวม
  8. รายงานผลการนิเทศ: จัดทำสรุปและรายงานผลเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนารอบต่อไป

ความมุ่งมั่นในการพัฒนาครูผ่านกระบวนการที่เป็นระบบนี้ ได้ส่งผลโดยตรงต่อการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนและนำไปสู่ความสำเร็จที่วัดผลได้ของทั้งนักเรียนและสถานศึกษาในภาพรวม

6. การประเมินความสำเร็จ: ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของการเปลี่ยนแปลง

บทพิสูจน์ที่แท้จริงของนวัตกรรมการบริหารจัดการคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การนำ TANIWIT MODEL มาใช้ในการขับเคลื่อนโรงเรียนตานีวิทยาได้สร้างผลกระทบเชิงบวกที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ คุณภาพผู้เรียน คุณภาพครูและบุคลากร และคุณภาพของสถานศึกษา

6.1 คุณภาพผู้เรียน (Student Quality)

ระดับชั้นปี 2563ปี 2564ปี 2565
มัธยมศึกษาปีที่ 332.9733.43
มัธยมศึกษาปีที่ 630.7932.5027.63

6.2 คุณภาพครูและบุคลากร (Teacher and Personnel Quality)

ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงผู้เรียน แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพของบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ

6.3 คุณภาพสถานศึกษา (School Quality)

ปีการศึกษาจำนวนนักเรียน (คน)
2564611
2565678
2566721

ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกมิตินี้เป็นเครื่องยืนยันประสิทธิภาพของ TANIWIT MODEL ในฐานะเครื่องมือขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศได้อย่างแท้จริง

7. สรุปและถอดบทเรียน: ปัจจัยแห่งความสำเร็จสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา

ความสำเร็จของโรงเรียนตานีวิทยาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการพัฒนาที่เริ่มต้นจากการยอมรับและวิเคราะห์สภาพปัญหาอย่างตรงไปตรงมา สู่การสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และลงเอยด้วยการนำนวัตกรรมการบริหารจัดการ TANIWIT MODEL มาใช้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง กรณีศึกษานี้ได้ให้บทเรียนเชิงกลยุทธ์ที่ทรงคุณค่าซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. การวินิจฉัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Diagnosis): ความกล้าหาญที่จะยอมรับจุดอ่อนโดยใช้ข้อมูลที่เป็นจริง (เช่น รายงาน SAR) เป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนกลยุทธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
  2. การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnership): ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลากรภายในเท่านั้น แต่เกิดจากการระดมทรัพยากรและความร่วมมือจากชุมชน ศิษย์เก่า และผู้นำท้องถิ่น ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งเครือข่ายสนับสนุนและกลไกสะท้อนผลจากภายนอก
  3. กรอบการทำงานเชิงกลยุทธ์ที่บูรณาการ (Integrated Strategic Framework): TANIWIT MODEL ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างวิสัยทัศน์กับแผนปฏิบัติการ ทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นเป้าหมายและวิธีการทำงานที่สอดคล้องกัน ขจัดปัญหาการทำงานแบบแยกส่วน
  4. การลงทุนในทุนมนุษย์ (Investment in Human Capital): การให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนาครูผ่านกระบวนการนิเทศภายในที่เข้มแข็ง ถือเป็นการลงทุนที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ปลายทางที่สำคัญที่สุด
  5. วัฒนธรรมการบริหารที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ (Results-Driven Management): การใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อติดตามความก้าวหน้าและสื่อสารความสำเร็จอย่างโปร่งใส ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

วิสัยทัศน์และกลยุทธ์เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสถานศึกษาของโรงเรียนตานีวิทยา โดยถูกกำหนดขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่วิเคราะห์ได้ และมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพของทุกภาคส่วนในโรงเรียน

1. บริบทของการกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์

ก่อนที่จะมีการกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม โรงเรียนตานีวิทยาได้มีการ วิเคราะห์สภาพปัญหา บริบท สภาพแวดล้อม อย่างละเอียด

ความท้าทายหลักที่ต้องแก้ไขผ่านวิสัยทัศน์และกลยุทธ์:

จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้บริหารจึงเกิด แรงบันดาลใจและแนวทางในการพัฒนา โดยมีเป้าหมายหลักคือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตในยุคศตวรรษที่ 21 ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

2. วิสัยทัศน์ (Vision): ทิศทางหลักของการพัฒนา

วิสัยทัศน์ของโรงเรียนตานีวิทยาเป็นกรอบทิศทางที่ครอบคลุมการพัฒนาทั้งระบบ โดยมุ่งเน้น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

“โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ”

นอกจากนี้ วิสัยทัศน์ยังกำหนดแนวทางการดำเนินงานบนพื้นฐานสำคัญที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลก:

3. กลยุทธ์การบริหาร (Strategies): แผนงานสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” โรงเรียนได้กำหนดกลยุทธ์การบริหารที่เน้นการพัฒนาในด้านที่สำคัญและจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาของโรงเรียน:

4. การขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การพัฒนาสถานศึกษา

กลยุทธ์เหล่านี้ถูกนำไปสู่การปฏิบัติภายใต้รูปแบบการบริหารหลักที่เรียกว่า “ธานีวิทย์โมเดล” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่ใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) และเน้นการบริหารแบบมีส่วนร่วม โดยใช้ วงจรคุณภาพ PDCA ในการดำเนินงาน:

ผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ (Output):

การที่โรงเรียนสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ผ่านกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เกิดความสำเร็จใน 3 ด้าน:

  1. ด้านคุณภาพผู้เรียน: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ 3 ขึ้นไป เพิ่มขึ้น 3.35% และผลการทดสอบ O-NET มีค่าเฉลี่ยรวม เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงนักเรียนได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ
  2. ด้านคุณภาพครู: ผู้บริหารและครูผู้สอนได้รับรางวัลระดับชาติมากมาย (สะท้อนผลจากกลยุทธ์ที่ 3)
  3. ด้านคุณภาพสถานศึกษา: โรงเรียนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ได้รับรางวัล 3 สากลไทย และได้รับรางวัลโรงเรียนสวยงามน่าอยู่ อันดับดีเยี่ยม อันดับ 1 รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง ส่งผลให้จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 611 คนในปี 2564 เป็น 721 คนในปี 2566 (สะท้อนผลจากกลยุทธ์ที่ 4 และวิสัยทัศน์โดยรวม)

กลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหารที่โรงเรียนตานีวิทยาได้นำมาใช้ส่งผลต่อการพัฒนาสถานศึกษาและคุณภาพผู้เรียนอย่างชัดเจน โดยผลลัพธ์เหล่านี้ถูกสรุปเป็นความสำเร็จในการบริหารจัดการ 3 ด้าน ดังนี้

1. ผลกระทบจากกลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหาร

โรงเรียนตานีวิทยาได้กำหนดวิสัยทัศน์เน้น “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” และได้ดำเนินการภายใต้รูปแบบการบริหารที่มีชื่อว่า ธานีวิทย์โมเดล ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่เน้นการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ผ่านการบริหารแบบมีส่วนร่วม และใช้กระบวนการพัฒนาตามวงจรคุณภาพ PDCA

กลยุทธ์สำคัญที่นำไปสู่ผลลัพธ์:

นวัตกรรมหลักที่ขับเคลื่อน:

2. ผลที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน (Output ด้านที่ 1)

การใช้กลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหารข้างต้นส่งผลให้คุณภาพผู้เรียนดีขึ้นในด้านผลสัมฤทธิ์และรางวัลต่าง ๆ:

3. ผลที่ส่งผลต่อการพัฒนาสถานศึกษา (Output ด้านที่ 3)

การดำเนินงานตามกลยุทธ์และรูปแบบการบริหาร ธานีวิทย์โมเดล ทำให้สถานศึกษามีพัฒนาการและได้รับการยอมรับในระดับสูง:

การพัฒนาบุคลากร (ปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาสถานศึกษา – Output ด้านที่ 2):

ผลลัพธ์อีกด้านหนึ่งคือคุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์:

บทบาทของ “ธานีวิทย์โมเดล” ในบริบทของการพัฒนาสถานศึกษาของโรงเรียนตานีวิทยา

นวัตกรรมการบริหาร “ธานีวิทย์โมเดล” เป็นรูปแบบการบริหารที่โรงเรียนตานีวิทยาได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ที่เน้น “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมและคุณภาพการศึกษาที่โรงเรียนประสบอยู่

1. บริบทและความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมการบริหาร

ก่อนการนำ ธานีวิทย์โมเดล มาใช้ โรงเรียนตานีวิทยาประสบปัญหาหลายด้าน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้ระดับ 3 ขึ้นไปต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ 63.52 ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 70), มีผลการเรียน “0 ร ม ส” เกินค่าเป้าหมาย, ปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของผู้เรียน เช่น การหนีเรียน ติดเกม และปัญหายาเสพติด, รวมถึงหลักสูตรที่ยังไม่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและชุมชน

จากปัญหาเหล่านี้ ผู้บริหารจึงเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนารูปแบบการบริหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ สามารถใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 และแข่งขันในเวทีโลกได้

2. หลักการและองค์ประกอบของธานีวิทย์โมเดล

ธานีวิทย์โมเดล ถูกพัฒนาขึ้นจากการศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เพื่อให้โรงเรียนเป็นองค์กรยุคใหม่ ทันสมัย และพัฒนาคุณภาพสอดคล้องกับการศึกษาในปัจจุบัน

หลักการพื้นฐานที่ยึดถือ: นวัตกรรมนี้ยึดกรอบแนวทางของ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”), ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี, และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13

รูปแบบการบริหาร: ธานีวิทย์โมเดลยึดการบริหารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ผ่านการบริหารแบบ มีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วน และนำแผนงานโครงการสู่การปฏิบัติโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA

กระบวนการพัฒนาและบริหาร (Process): นวัตกรรมนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่คือ Input, Process, และ Output โดยในส่วนของ กระบวนการ (Process) ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหาร ภายใต้รูปแบบธานีวิทย์โมเดล ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

3. ผลกระทบของโมเดลต่อการพัฒนาสถานศึกษา (Output)

ธานีวิทย์โมเดลทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์และนำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการ (Output) ใน 3 ด้าน:

A. ด้านคุณภาพผู้เรียน (ผลลัพธ์โดยตรง):

B. ด้านคุณภาพสถานศึกษา (ผลลัพธ์เชิงระบบ): การใช้นวัตกรรมนี้ทำให้สถานศึกษาพัฒนาอย่างยั่งยืนและได้รับการยอมรับสูง:

C. การขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ครู: ภายใต้การบริหารด้วยธานีวิทย์โมเดล โรงเรียนยังได้พัฒนา นวัตกรรมย่อย เพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูโดยเฉพาะ นั่นคือ การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการทำวิจัย R&D 8 ขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าครูสามารถปรับบทบาทเป็นโค้ชตามหลักการของโมเดลได้ ซึ่งส่งผลให้ครูผู้สอนได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอนในระดับชาติหลายรายการ

นวัตกรรมการพัฒนาครูที่เรียกว่า “การ พัฒนา รูป แบบ การ นิเทศ ภาย ใน เพื่อ ส่ง เสริม สมรรถนะ ครู ใน การ จัด การ เรียน รู้ ใน ศตวรรษ ที่ 21” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โรงเรียนตานีวิทยาใช้ในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ โดยเป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ครูบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน ธานีวิทย์โมเดล

บริบทและความเชื่อมโยงกับธานีวิทย์โมเดล

การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในเกิดขึ้นเนื่องจากโรงเรียนตานีวิทยามีความท้าทายด้านบุคลากร คือ ข้า ราชการ ครู ที่ มา บรรจุ ใหม่ ยัง ขาด ประสบการณ์ ใน การ สอน และ ครู มี ภาระ งาน อื่น หลาก หลาย ซึ่งส่งผลต่อการจัด การ เรียน การ สอน

เพื่อแก้ไขปัญหานี้และเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการบริหาร ธานีวิทย์โมเดล ซึ่งกำหนดให้ครูต้องปฏิรูปบทบาทเป็น ครูทศวรรษที่ 21 คือต้อง เปลี่ยน จาก ครู ผู้ สอน เป็น โค้ช หรือ ผู้ อำนวย ความ สะดวก ใน การ เรียน รู้ โรงเรียนจึงได้พัฒนานวัตกรรมการนิเทศภายในขึ้น

นวัตกรรมนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมสมรรถนะครู เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการโดยรวมของโรงเรียนจะถูกนำไปใช้สู่ตัวครูและผู้เรียนอย่างแท้จริง และสนับสนุนการสร้าง ชุม ชน แห่ง การ เรียน รู้ PLC ในโรงเรียน

องค์ประกอบและกระบวนการของนวัตกรรมการนิเทศภายใน

รูปแบบการนิเทศภายในนี้เป็นผลมาจากการทำ วิจัย R&D (Research and Development) เพื่อส่ง เสริม สมรรถนะ ครู ใน ด้าน ต่าง ๆ โดยหลังจากวิเคราะห์กระบวนการนิเทศจากนักการศึกษาแล้ว ได้สรุปกระบวนการนิเทศเป็นทั้งหมด 8 ขั้นตอน ดังนี้:

  1. ประชุมวางแผนการนิเทศ
  2. ให้ความรู้ และ ความเข้าใจ ในการจัดกิจกรรม
  3. ทำการนิเทศการสอน และสังเกตพฤติกรรมของครูผู้สอน
  4. วิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้จากการนิเทศการสอน
  5. ประชุมหลังการนิเทศ การสอน
  6. สั่งเสริมกำลัง ใจ
  7. ประเมินผลการนิเทศ
  8. รายงานผลการนิเทศ

นวัตกรรมนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสมรรถนะครู 2 สมรรถนะ ได้แก่ สมรรถนะหลัก และ สมรรถนะ ประจำสายงาน

ผลกระทบต่อการพัฒนาสถานศึกษา (ด้านคุณภาพครู)

ผลลัพธ์ของการใช้นวัตกรรมการพัฒนาครูนี้ปรากฏในความสำเร็จด้านที่ 2 คือ ด้าน คุณภาพ ครู และ บุคลากร ทาง การ ศึกษา ซึ่งเป็นการยืนยันว่ากลยุทธ์ที่ 3 (พัฒนา ครู และ บุคลากร ทาง การ ศึกษา) และนวัตกรรมย่อยนี้ประสบความสำเร็จ:

  1. ความสำเร็จของครูผู้สอน: ครูผู้สอนได้รับรางวัลระดับชาติหลายรายการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่พัฒนาขึ้นตามเป้าหมายของนวัตกรรม:
    • คุณครูได้รับรางวัล ชนะ เลิศ เหรียญ ทอง ผู้ สอน ยอด เยี่ยม ในกิจกรรมนักเรียน ด้านวิชาการ
    • คุณครูได้รับรางวัลชมเชย สพฐ. ระดับชาติ เหรียญ ทอง ในรายการ ครู ผู้ สอน ยอด เยี่ยม Active teacher ด้าน นวัตกรรม และ เทคโนโลยี การ สอน
  2. การส่งเสริม PLC โดยผู้บริหาร: ผู้บริหารโรงเรียนเองได้รับรางวัลในระดับชาติ (เหรียญทอง รอง ชนะ เลิศ อันดับ 1) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการเรียนการสอน และการส่ง เสริม การ ใช้ PLC ซึ่งเน้นย้ำว่าการบริหารคุณภาพตาม ธานีวิทย์โมเดล ได้ให้ความสำคัญกับการสร้าง ชุม ชน แห่ง การ เรียน รู้ และนวัตกรรมการนิเทศภายในนี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว

ขอขอบคุณ แผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ นวัตกรรมการบริหาร ว.PA วฐ.ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ นายสุรพงษ์ รัตนโคตร

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version