Site icon Digital Learning Classroom

สรุปการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา

แชร์เรื่องนี้

การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Research and Development of Basic Education Standards for Internal Quality Assurance in Educational Institutions

บทความนี้เขียนขึ้นจากการอ่านข้อมูลการนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับ การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้อำนวยการสำนักและรักษาการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการเพื่อขอรับการประเมินแต่งตั้ง

ในรายงานวิจัยฉบับนี้มีการกล่าวถึง มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉบับปี พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 รวมถึงการประเมินคุณภาพที่ครอบคลุมทั้ง การประเมินภายในและภายนอก ซึ่งผลการประเมินส่วนใหญ่ของโรงเรียนพบว่าอยู่ในระดับดีถึงดีเยี่ยม นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอ แนวทางการนำมาตรฐานสู่การปฏิบัติ เช่น การพัฒนาคู่มือ การใช้ระบบรายงานผลอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) และการมอบรางวัล IQA award แก่สถานศึกษาที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังรวมถึงข้อเสนอแนะในการพัฒนามาตรฐานในรอบถัดไปและปัญหาที่พบในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทย

ผู้เขียนขอขอบคุณแหล่งที่มาจากการเผยแพร่ของ นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ มา ณที่นี้ครับ


การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา

ประเด็นเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สามารถสรุปได้ดังนี้

ภาพรวมงานวิจัยและวัตถุประสงค์

งานนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้วิจัย และดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2557–2565 (ค.ศ. 2014–2022)

วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยมี 5 ประการ

  1. เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอแนะจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2553
  2. เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
  3. เพื่อศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ
  4. เพื่อศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 (ตามที่ระบุในบทคัดย่อ) หรือ พ.ศ. 2561 (ตามที่ระบุในขั้นตอนการวิจัย)
  5. เพื่อจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป

กระบวนการวิจัยและพัฒนามาตรฐาน

การวิจัยนี้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก

  1. การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา และข้อเสนอแนะ ศึกษาจากการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2553 โดยตรวจสอบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 ฉบับ และการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม 35 โรงเรียน. ผลการศึกษาพบปัญหาหลายด้าน เช่น มาตรฐาน/ตัวบ่งชี้/เกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับบริบท, ตัวบ่งชี้มากเกินไปสร้างภาระเอกสาร, การประเมินเน้นเอกสารมากกว่าสภาพจริง, และมาตรฐานของผู้ประเมินแตกต่างกัน
  2. การพัฒนามาตรฐาน (พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
    • มาตรฐาน พ.ศ. 2559 ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ได้แก่ คุณภาพของผู้เรียน, กระบวนการบริหารและการจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา, กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, และระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล. การพัฒนามาจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง, การทำกลุ่มโฟกัสของผู้เชี่ยวชาญ 4 กลุ่ม และการนำไปทดลองใช้ใน 600 โรงเรียนและ 60 เขตพื้นที่การศึกษา.
    • มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ได้รับการพัฒนาภายใต้นโยบายปฏิรูประบบประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นการลดจำนวนมาตรฐานและตัวชี้วัดให้กระชับและสะท้อนคุณภาพอย่างแท้จริง. มาตรฐานนี้ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ได้แก่
      • มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียน (ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการและคุณลักษณะที่พึงประสงค์)
      • มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ (ประกอบด้วย 6 ประเด็นพิจารณา)
      • มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (ประกอบด้วย 5 ประเด็นพิจารณา)
    • มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ได้มีการหลอมรวมมาตรฐานที่ 4 (ระบบการประกันคุณภาพภายใน) ของฉบับ พ.ศ. 2559 เข้าไปรวมอยู่กับมาตรฐานที่ 2 (การบริหารและการจัดการ) เพื่อให้มาตรฐานน้อยลง
  3. การศึกษาแนวทางการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ มีการสรุปแนวทางการขับเคลื่อน 8 แนวทาง (ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.) ได้แก่
    • การสื่อสารและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน พ.ศ. 2561 และการประกันคุณภาพการศึกษาแก่ผู้เกี่ยวข้อง
    • การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (มีการจัดทำ 5 เล่ม)
    • การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา (178 เครือข่าย รวม 736 แห่ง)
    • การพัฒนาระบบการรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR)
    • การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (รวม 6,876,000 บาท สำหรับ 3 โครงการ)
    • การยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษาเพื่อรับรางวัลระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA AWARD)
    • การถอดประสบการณ์ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD
    • การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียนที่ใช้สถานศึกษาเป็นฐาน (มีสถานศึกษาต้นแบบ 38 แห่ง).
  4. การศึกษาผลการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ใช้ฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) ของสถานศึกษา 28,051 แห่ง, รายงานผลการสังเคราะห์จาก 160 เขตพื้นที่การศึกษา, และฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายนอก (ปี 2562–2563) จาก สมศ
    • ผลการประเมินคุณภาพภายใน สถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ, ดี, และ ยอดเยี่ยม ตามลำดับ.
    • ผลการประเมินคุณภาพภายนอก สถานศึกษาส่วนใหญ่ถูกตัดสินให้อยู่ในระดับ ดีเลิศ สำหรับมาตรฐานที่ 2 และ ดี สำหรับมาตรฐานที่ 1 และ 3 โดยภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ดีเลิศ.
    • จุดที่ควรพัฒนา (จากการสังเคราะห์) มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ควรพัฒนาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ผลการทดสอบระดับชาติ, การคิดวิเคราะห์, และการสร้างนวัตกรรม. มาตรฐานด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนควรส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) และการใช้นวัตกรรมด้านการสอน.
  5. การจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไป รวบรวมข้อมูลจากการประชุมระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (connoisseurship) 12 คน และผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1–4.

หลักการประเมินและแนวคิดในการพัฒนามาตรฐาน

การพัฒนามาตรฐาน (ทั้ง พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561) ใช้กรอบแนวคิดตามนโยบายปฏิรูประบบการประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีการปรับมาตรฐานและตัวชี้วัดให้มีจำนวนน้อยลง, กระชับ, และสะท้อนคุณภาพอย่างแท้จริง.

หลักการประเมินที่ถูกนำมาเน้นย้ำ ได้แก่

นอกจากนี้ ข้อเสนอสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไปเน้นย้ำว่า ควรกำหนดมาตรฐานเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code) และควรใช้มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาเพียงชุดเดียวสำหรับเป็นกรอบในการประเมินทั้งคุณภาพภายในและภายนอก.

งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา มีวัตถุประสงค์หลัก 5 ข้อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตและกระบวนการดำเนินงานวิจัยที่ครอบคลุมตั้งแต่การประเมินสภาพปัญหาเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การนำไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 5 ข้อในบริบทของโครงการวิจัยนี้ มีดังต่อไปนี้

1. เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2553 วัตถุประสงค์ข้อแรกนี้ทำหน้าที่เป็น ขั้นตอนการวิจัยเบื้องต้น (ขั้นตอนที่ 1) เพื่อประเมินและวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานชุดเดิมที่ใช้ในปี พ.ศ. 2553 การศึกษานี้ดำเนินการโดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 เรื่อง (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551–2556) และการลงพื้นที่ติดตามและตรวจเยี่ยมสถานศึกษาจำนวน 35 แห่ง

2. เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็น แกนหลักของการวิจัย (ขั้นตอนที่ 2) โดยมุ่งพัฒนามาตรฐานใหม่ 2 ชุด

3. เพื่อศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ วัตถุประสงค์ข้อที่สามนี้เกี่ยวข้องกับ กระบวนการขับเคลื่อน (ขั้นตอนที่ 3) โดยมุ่งศึกษาว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำมาตรฐานใหม่ พ.ศ. 2561 ไปปฏิบัติอย่างไร

4. เพื่อศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็น ขั้นตอนการประเมินและติดตามผล (ขั้นตอนที่ 4) เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของการใช้มาตรฐานชุดล่าสุด พ.ศ. 2561

5. เพื่อจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป วัตถุประสงค์สุดท้ายนี้มุ่งเน้น การสรุปและให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (ขั้นตอนที่ 5) เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการปรับปรุงมาตรฐานและการประกันคุณภาพในอนาคต

โดยรวมแล้ว วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อนี้แสดงให้เห็นถึง วงจรของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ปัญหาจากอดีต (ข้อ 1) นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ (มาตรฐานใหม่, ข้อ 2) ตามด้วยการเผยแพร่และขับเคลื่อน (ข้อ 3) การประเมินผลลัพธ์ (ข้อ 4) และจบด้วยการเสนอแนะเพื่อเริ่มต้นวงจรการพัฒนาคุณภาพในรอบถัดไป (ข้อ 5)

งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ดำเนินการในรูปแบบของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยแต่ละขั้นตอนมีวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อของงานวิจัย งานวิจัยนี้ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2557–2565

กระบวนการวิจัยทั้ง 5 ขั้นตอน มีรายละเอียดดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553

ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2553 การดำเนินงานวิจัยในขั้นตอนนี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล

ผลลัพธ์สำคัญ การศึกษาพบปัญหาสำคัญ เช่น มาตรฐาน/ตัวบ่งชี้/เกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับบริบท, ตัวบ่งชี้มากเกินไปจนสร้างภาระเอกสาร, การประเมินเน้นเอกสารมากกว่าสภาพจริง, และเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายในและภายนอกที่ไม่สอดคล้องกัน. ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการจัดทำข้อสรุปและข้อเสนอสำหรับการพัฒนารูปแบบการประเมินสถานศึกษาในภาพรวม. ผลการวิจัยขั้นตอนนี้ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 1

ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561

ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจของงานวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาชุดใหม่ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 – เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 แบ่งเป็น 2 ระยะ

ระยะที่ 1 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 (5 ขั้นตอนย่อย)

  1. การศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 23 เรื่อง (ก่อนปี พ.ศ. 2559) และระดมความคิดเห็นจาก ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 กลุ่ม (รวม 110 คน)
  2. การยกร่างมาตรฐาน พ.ศ. 2559. ร่างมาตรฐานนี้มีแนวคิดหลักให้สอดคล้องกับ กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ พ.ศ. 2553 และ นโยบายปฏิรูประบบประเมินและการประกันคุณภาพ โดยมี 4 มาตรฐานหลัก ได้แก่ คุณภาพของผู้เรียน, กระบวนการบริหารและการจัดการ, กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, และระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล
  3. การตรวจสอบและปรับปรุงร่าง ตรวจสอบจากบุคลากรสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 97 คน
  4. การทดลองใช้และปรับปรุงร่าง ทดลองใช้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 60 เขต และสถานศึกษา จำนวน 300 แห่ง. ผลการทดลองใช้ยืนยันว่าร่างมาตรฐานนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและประเมินสถานศึกษาที่สะท้อนคุณภาพได้จริง.
  5. การประกาศใช้และนำสู่การปฏิบัติ มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ระยะที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 (4 ขั้นตอนย่อย) การพัฒนาชุดนี้เกิดจากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561.

  1. การศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 40 เรื่อง
  2. การยกร่างมาตรฐาน พ.ศ. 2561. มาตรฐานชุดนี้ ลดจำนวนมาตรฐานลงเหลือเพียง 3 มาตรฐานหลัก โดยใช้กรอบแนวคิดเดิมจากชุด พ.ศ. 2559 ที่ผ่านการทดลองใช้แล้ว และหลอมรวมมาตรฐานที่ 4 (ระบบการประกันคุณภาพภายใน) ไปรวมกับมาตรฐานด้านการบริหารจัดการ
  3. การตรวจสอบและปรับปรุงร่าง ตรวจสอบโดยคณะทำงานปฏิรูประบบการประเมินและประกันคุณภาพการศึกษาและคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ
  4. การประกาศใช้และนำสู่การปฏิบัติ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ

ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนมาตรฐานชุด พ.ศ. 2561 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563

วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล

ขั้นตอนที่ 4 การศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561

ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลลัพธ์ของการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 ไปใช้ในการปฏิบัติ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564

วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล

ผลลัพธ์สำคัญ พบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินคุณภาพภายในโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ, ดี, และ ยอดเยี่ยม ตามลำดับ. นอกจากนี้ยังพบจุดเด่นและข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาในแต่ละมาตรฐาน (เช่น ควรส่งเสริม Active Learning และการสร้างนวัตกรรมในด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน)

ขั้นตอนที่ 5 การจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมดและเสนอแนวทางการพัฒนาในอนาคต ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565

วิธีการดำเนินงาน

ผลลัพธ์สำคัญ ข้อเสนอที่ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรฐานเป็นเพียง กรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code) และควรใช้มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาเพียงชุดเดียวสำหรับเป็นกรอบในการประเมินคุณภาพสถานศึกษาทั้งภายในและภายนอก. นอกจากนี้ยังเสนอให้ใช้รูปแบบการประเมินที่หลากหลาย เช่น expert judgment, peer review, evidence based assessment, holistic assessment, และ qualitative assessment.

งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษานี้ ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ 5 ข้อ ซึ่งนำไปสู่การสรุปผลการวิจัยออกเป็น 5 ด้าน (ตอนที่ 1 ถึง ตอนที่ 5) โดยครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหาของมาตรฐานชุดเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ การประเมินผลลัพธ์ และการเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในอนาคต

ผลการวิจัยทั้ง 5 ด้าน มีรายละเอียดในบริบทของโครงการวิจัยดังนี้

1. ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553 (ขั้นตอนที่ 1)

ผลการศึกษาในขั้นตอนนี้เป็นการวิเคราะห์มาตรฐานชุดเดิมเพื่อเป็นฐานในการปฏิรูป

2. ผลการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 (ขั้นตอนที่ 2)

ผลที่ได้คือมาตรฐานใหม่ 2 ชุด ซึ่งพัฒนาขึ้นตามนโยบายปฏิรูประบบการประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นการลดจำนวนมาตรฐานและตัวชี้วัดให้กระชับ

3. ผลการศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ (ขั้นตอนที่ 3)

ผลการศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สรุปได้ 8 แนวทางหลัก

  1. การสื่อสารและสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรฐาน พ.ศ. 2561 โดยใช้ 3 วิธีการหลัก (หนังสือราชการ, เว็บไซต์, การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา)
  2. การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ของสถานศึกษา จำนวน 5 เล่ม เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
  3. การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา มีสถานศึกษาแกนนำและร่วมพัฒนา 178 เครือข่าย รวม 736 แห่ง
  4. การพัฒนาระบบการรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) ซึ่งทำให้สถานศึกษาสังกัด สพฐ. จำนวน 28,051 แห่ง จัดส่งรายงานในปีการศึกษา 2563
  5. การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา จำนวน 3 โครงการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 6,876,000 บาท
  6. การยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษา เพื่อรับรางวัลระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA AWARD)
  7. การถอดประสบการณ์ ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD
  8. การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียนที่ใช้สถานศึกษาเป็นฐาน โดยมีสถานศึกษาต้นแบบจำนวน 38 แห่ง

4. ผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 (ขั้นตอนที่ 4)

ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2561 โดยใช้ข้อมูลจาก 3 ส่วน

5. ข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป (ขั้นตอนที่ 5)

ข้อเสนอเหล่านี้ได้มาจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1–4 และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 12 คน ครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก

การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Research and Development of Basic Education Standards for Internal Quality Assurance in Educational Institutions) เป็นโครงการวิจัยที่ครอบคลุมหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวินิจฉัยปัญหาเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ และการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไป

ต่อไปนี้คือสรุปงานวิจัยพร้อมแนวทางสำคัญที่ได้จากงานวิจัยเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัยและพัฒนาในครั้งต่อไป

1. บทสรุปโดยละเอียดของงานวิจัยและพัฒนา (พ.ศ. 2557–2565)

งานวิจัยนี้ดำเนินการโดย นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ และคณะผู้ร่วมวิจัย โดยแบ่งกระบวนการออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก

ตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553

ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง พ.ย. 2557 – มี.ค. 2558) มุ่งเน้นการวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานชุดเดิม

ตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561

การพัฒนามาตรฐานใหม่ (ดำเนินการระหว่าง ม.ค. 2556 – ส.ค. 2561) เป็นไปตามนโยบายปฏิรูประบบประเมินของกระทรวงศึกษาธิการ.

ตอนที่ 3 ผลการศึกษาแนวทางการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ

ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง ก.ย. 2561 – มี.ค. 2563) ศึกษาการขับเคลื่อนของ สพฐ. โดยสรุป 8 แนวทาง

  1. การสื่อสารและสร้างความเข้าใจ.
  2. การจัดทำคู่มือดำเนินงาน (จัดทำ 5 เล่ม เช่น แนวทางการพัฒนาระบบฯ, การกำหนดมาตรฐานสถานศึกษา, การจัดทำแผนพัฒนาฯ).
  3. การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา มีสถานศึกษาแกนนำและร่วมพัฒนา 736 แห่ง (178 เครือข่าย) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือกัน.
  4. การพัฒนาระบบ e-SAR ระบบรายงานผลการประเมินตนเองแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยให้สถานศึกษา 28,051 แห่ง สามารถจัดส่งรายงานได้.
  5. การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การประกันคุณภาพภายใน (รวม 6,876,000 บาท สำหรับ 3 โครงการ).
  6. การยกย่องเชิดชูเกียรติ สถานศึกษาเพื่อรับรางวัล IQA AWARD.
  7. การถอดประสบการณ์ ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD.
  8. การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียน โดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน (มีสถานศึกษาต้นแบบ 38 แห่ง).

ตอนที่ 4 ผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561

ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง ก.ค. 2562 – มิ.ย. 2564) เป็นการประเมินผลลัพธ์

ตอนที่ 5 ข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป

ข้อเสนอแนะนี้ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมดใน 4 ขั้นตอน และจากการระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (connoisseurship) 12 คน โดยครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ

2. แนวทางในการวิจัยและพัฒนาในครั้งต่อไป (ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย)

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป ควรนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิดในการทำวิจัยและพัฒนาต่อไปอย่างละเอียด โดยครอบคลุม 6 ประเด็นหลักดังนี้

2.1 กรอบแนวคิดของมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน

2.2 รูปแบบและแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา

2.3 บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา

2.4 มาตรฐานของผู้ประเมินคุณภาพสถานศึกษา

2.5 แนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา

2.6 การขับเคลื่อนการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา


สรุปแนวทางการวิจัย/พัฒนาที่สำคัญสำหรับรอบถัดไป

งานวิจัยในรอบต่อไปควรเน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์หลัก 3 ด้าน

  1. การปรับกรอบมาตรฐาน วิจัยและพัฒนารูปแบบการกำหนดมาตรฐานที่ยืดหยุ่น (Guideline/Quality Code) และสามารถใช้ได้ชุดเดียวสำหรับการประเมินทั้งภายในและภายนอก.
  2. การปฏิรูปรูปแบบการประเมิน วิจัยวิธีการประเมินที่เน้น สภาพจริง ลดภาระเอกสาร และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอย่างเต็มรูปแบบ (เช่น e-SAR ที่มีความสามารถสูงขึ้น).
  3. การพัฒนาบุคลากรและวัฒนธรรมคุณภาพ วิจัยและพัฒนากลไกการทำงานร่วมกันระหว่าง สมศ. และหน่วยงานต้นสังกัดในการ พัฒนาผู้ประเมิน ให้มีมาตรฐานและเข้าใจบริบทของสถานศึกษา รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้ผลการประเมินเพื่อพัฒนาจริงจัง และยกเลิกการต้อนรับที่สิ้นเปลือง

อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ

ขอขอบคุณผลงานทางวิชาการ ของนายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ผ่านการประเมินแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง
“ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา(นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ)”
สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ

ผลงานลำดับที่ 1
เรื่อง “การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
https://drive.google.com/file/d/1x3xr6djOXfT0CJRzSVWatVwAnBaL5tCd/view?usp=sharing

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version