สรุปการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Research and Development of Basic Education Standards for Internal Quality Assurance in Educational Institutions
บทความนี้เขียนขึ้นจากการอ่านข้อมูลการนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับ การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้อำนวยการสำนักและรักษาการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการเพื่อขอรับการประเมินแต่งตั้ง
ในรายงานวิจัยฉบับนี้มีการกล่าวถึง มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉบับปี พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 รวมถึงการประเมินคุณภาพที่ครอบคลุมทั้ง การประเมินภายในและภายนอก ซึ่งผลการประเมินส่วนใหญ่ของโรงเรียนพบว่าอยู่ในระดับดีถึงดีเยี่ยม นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอ แนวทางการนำมาตรฐานสู่การปฏิบัติ เช่น การพัฒนาคู่มือ การใช้ระบบรายงานผลอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) และการมอบรางวัล IQA award แก่สถานศึกษาที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังรวมถึงข้อเสนอแนะในการพัฒนามาตรฐานในรอบถัดไปและปัญหาที่พบในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทย
ผู้เขียนขอขอบคุณแหล่งที่มาจากการเผยแพร่ของ นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ มา ณที่นี้ครับ
การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ประเด็นเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สามารถสรุปได้ดังนี้
ภาพรวมงานวิจัยและวัตถุประสงค์
งานนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้วิจัย และดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2557–2565 (ค.ศ. 2014–2022)
วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยมี 5 ประการ
- เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอแนะจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2553
- เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
- เพื่อศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ
- เพื่อศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 (ตามที่ระบุในบทคัดย่อ) หรือ พ.ศ. 2561 (ตามที่ระบุในขั้นตอนการวิจัย)
- เพื่อจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป
กระบวนการวิจัยและพัฒนามาตรฐาน
การวิจัยนี้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก
- การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา และข้อเสนอแนะ ศึกษาจากการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2553 โดยตรวจสอบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 ฉบับ และการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม 35 โรงเรียน. ผลการศึกษาพบปัญหาหลายด้าน เช่น มาตรฐาน/ตัวบ่งชี้/เกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับบริบท, ตัวบ่งชี้มากเกินไปสร้างภาระเอกสาร, การประเมินเน้นเอกสารมากกว่าสภาพจริง, และมาตรฐานของผู้ประเมินแตกต่างกัน
- การพัฒนามาตรฐาน (พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
- มาตรฐาน พ.ศ. 2559 ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ได้แก่ คุณภาพของผู้เรียน, กระบวนการบริหารและการจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา, กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, และระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล. การพัฒนามาจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง, การทำกลุ่มโฟกัสของผู้เชี่ยวชาญ 4 กลุ่ม และการนำไปทดลองใช้ใน 600 โรงเรียนและ 60 เขตพื้นที่การศึกษา.
- มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ได้รับการพัฒนาภายใต้นโยบายปฏิรูประบบประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นการลดจำนวนมาตรฐานและตัวชี้วัดให้กระชับและสะท้อนคุณภาพอย่างแท้จริง. มาตรฐานนี้ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ได้แก่
- มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียน (ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการและคุณลักษณะที่พึงประสงค์)
- มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ (ประกอบด้วย 6 ประเด็นพิจารณา)
- มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (ประกอบด้วย 5 ประเด็นพิจารณา)
- มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ได้มีการหลอมรวมมาตรฐานที่ 4 (ระบบการประกันคุณภาพภายใน) ของฉบับ พ.ศ. 2559 เข้าไปรวมอยู่กับมาตรฐานที่ 2 (การบริหารและการจัดการ) เพื่อให้มาตรฐานน้อยลง
- การศึกษาแนวทางการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ มีการสรุปแนวทางการขับเคลื่อน 8 แนวทาง (ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.) ได้แก่
- การสื่อสารและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน พ.ศ. 2561 และการประกันคุณภาพการศึกษาแก่ผู้เกี่ยวข้อง
- การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (มีการจัดทำ 5 เล่ม)
- การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา (178 เครือข่าย รวม 736 แห่ง)
- การพัฒนาระบบการรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR)
- การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (รวม 6,876,000 บาท สำหรับ 3 โครงการ)
- การยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษาเพื่อรับรางวัลระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA AWARD)
- การถอดประสบการณ์ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD
- การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียนที่ใช้สถานศึกษาเป็นฐาน (มีสถานศึกษาต้นแบบ 38 แห่ง).
- การศึกษาผลการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ใช้ฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) ของสถานศึกษา 28,051 แห่ง, รายงานผลการสังเคราะห์จาก 160 เขตพื้นที่การศึกษา, และฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายนอก (ปี 2562–2563) จาก สมศ
- ผลการประเมินคุณภาพภายใน สถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ, ดี, และ ยอดเยี่ยม ตามลำดับ.
- ผลการประเมินคุณภาพภายนอก สถานศึกษาส่วนใหญ่ถูกตัดสินให้อยู่ในระดับ ดีเลิศ สำหรับมาตรฐานที่ 2 และ ดี สำหรับมาตรฐานที่ 1 และ 3 โดยภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ดีเลิศ.
- จุดที่ควรพัฒนา (จากการสังเคราะห์) มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ควรพัฒนาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ผลการทดสอบระดับชาติ, การคิดวิเคราะห์, และการสร้างนวัตกรรม. มาตรฐานด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนควรส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) และการใช้นวัตกรรมด้านการสอน.
- การจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไป รวบรวมข้อมูลจากการประชุมระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (connoisseurship) 12 คน และผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1–4.
หลักการประเมินและแนวคิดในการพัฒนามาตรฐาน
การพัฒนามาตรฐาน (ทั้ง พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561) ใช้กรอบแนวคิดตามนโยบายปฏิรูประบบการประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีการปรับมาตรฐานและตัวชี้วัดให้มีจำนวนน้อยลง, กระชับ, และสะท้อนคุณภาพอย่างแท้จริง.
หลักการประเมินที่ถูกนำมาเน้นย้ำ ได้แก่
- การประเมินตามสภาพจริง (authentic assessment).
- การประเมินแบบองค์รวม (holistic assessment).
- การตัดสินคุณภาพโดยอาศัยความเชี่ยวชาญ (expert judgment).
- การตรวจทานผลการประเมินโดยคณะกรรมการประเมินในระดับเดียวกัน (peer review).
- เน้นการเก็บรวบรวมข้อมูล เชิงคุณภาพ และลดภาระการจัดทำเอกสาร.
นอกจากนี้ ข้อเสนอสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไปเน้นย้ำว่า ควรกำหนดมาตรฐานเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code) และควรใช้มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาเพียงชุดเดียวสำหรับเป็นกรอบในการประเมินทั้งคุณภาพภายในและภายนอก.
งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา มีวัตถุประสงค์หลัก 5 ข้อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตและกระบวนการดำเนินงานวิจัยที่ครอบคลุมตั้งแต่การประเมินสภาพปัญหาเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การนำไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 5 ข้อในบริบทของโครงการวิจัยนี้ มีดังต่อไปนี้
1. เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2553 วัตถุประสงค์ข้อแรกนี้ทำหน้าที่เป็น ขั้นตอนการวิจัยเบื้องต้น (ขั้นตอนที่ 1) เพื่อประเมินและวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานชุดเดิมที่ใช้ในปี พ.ศ. 2553 การศึกษานี้ดำเนินการโดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 เรื่อง (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551–2556) และการลงพื้นที่ติดตามและตรวจเยี่ยมสถานศึกษาจำนวน 35 แห่ง
- บริบทที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาในขั้นตอนนี้พบปัญหาสำคัญหลายด้าน เช่น มาตรฐาน/ตัวบ่งชี้/เกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับบริบท ตัวบ่งชี้มีจำนวนมากเกินไปจนสร้างภาระในการจัดทำเอกสารหลักฐาน และเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายในและภายนอกไม่สอดคล้องกัน ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็น ฐานข้อมูลสำคัญ สำหรับนำไปใช้ในการปฏิรูประบบและพัฒนามาตรฐานชุดใหม่.
2. เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็น แกนหลักของการวิจัย (ขั้นตอนที่ 2) โดยมุ่งพัฒนามาตรฐานใหม่ 2 ชุด
- บริบทที่เกี่ยวข้อง การพัฒนามาตรฐานชุดใหม่นี้เป็นไปตาม นโยบายปฏิรูประบบการประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเน้นการปรับมาตรฐานและตัวชี้วัดให้มีจำนวนน้อยลง กระชับ และสะท้อนคุณภาพอย่างแท้จริง
- มาตรฐาน พ.ศ. 2559 ได้รับการพัฒนาโดยผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัย การระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 กลุ่ม และการทดลองใช้กับสถานศึกษา 300 แห่ง และ 60 เขตพื้นที่การศึกษา
- มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ได้รับการพัฒนาโดยการหลอมรวมมาตรฐานที่มีความทับซ้อน (โดยนำมาตรฐานที่ว่าด้วยการประกันคุณภาพภายในของชุด พ.ศ. 2559 ไปรวมกับมาตรฐานด้านการบริหารจัดการ) เพื่อลดจำนวนมาตรฐานให้เหลือน้อยลง เหลือเพียง 3 มาตรฐานหลัก.
3. เพื่อศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ วัตถุประสงค์ข้อที่สามนี้เกี่ยวข้องกับ กระบวนการขับเคลื่อน (ขั้นตอนที่ 3) โดยมุ่งศึกษาว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำมาตรฐานใหม่ พ.ศ. 2561 ไปปฏิบัติอย่างไร
- บริบทที่เกี่ยวข้อง การศึกษานี้มุ่งเน้นแนวทางการดำเนินงานของ สพฐ. โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วย 8 แนวทางหลัก เช่น การสื่อสารและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน การพัฒนาระบบรายงานผลการประเมินตนเองแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) และการยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษา (IQA AWARD)
4. เพื่อศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็น ขั้นตอนการประเมินและติดตามผล (ขั้นตอนที่ 4) เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของการใช้มาตรฐานชุดล่าสุด พ.ศ. 2561
- (หมายเหตุ แม้ว่าบทคัดย่อฉบับภาษาอังกฤษจะระบุถึงการตรวจสอบผลการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2559 แต่ข้อมูลในส่วนของขั้นตอนและผลการวิจัยโดยละเอียดในภาษาไทยเน้นที่ผลการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2561)
- บริบทที่เกี่ยวข้อง แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาผลนี้มีขนาดใหญ่และหลากหลาย ครอบคลุมฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) ของสถานศึกษา 28,051 แห่ง และฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายนอก (ปี พ.ศ. 2562–2563) จาก สมศ.. ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินคุณภาพภายในอยู่ในระดับดีเลิศ ดี และยอดเยี่ยม ตามลำดับ
5. เพื่อจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป วัตถุประสงค์สุดท้ายนี้มุ่งเน้น การสรุปและให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (ขั้นตอนที่ 5) เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการปรับปรุงมาตรฐานและการประกันคุณภาพในอนาคต
- บริบทที่เกี่ยวข้อง การจัดทำข้อเสนอในขั้นตอนนี้เกิดจากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1–4 และจากการจัดประชุมระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (connoisseurship) จำนวน 12 คน โดยครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก เช่น กรอบแนวคิดของมาตรฐาน, รูปแบบการประเมิน, และบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง. ข้อเสนอสำคัญที่ได้คือ ควรใช้มาตรฐานการศึกษาเพียงชุดเดียวเป็นกรอบในการประเมินคุณภาพทั้งภายในและภายนอก และควรปรับมาตรฐานให้เป็นเพียงกรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code)
โดยรวมแล้ว วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อนี้แสดงให้เห็นถึง วงจรของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ปัญหาจากอดีต (ข้อ 1) นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ (มาตรฐานใหม่, ข้อ 2) ตามด้วยการเผยแพร่และขับเคลื่อน (ข้อ 3) การประเมินผลลัพธ์ (ข้อ 4) และจบด้วยการเสนอแนะเพื่อเริ่มต้นวงจรการพัฒนาคุณภาพในรอบถัดไป (ข้อ 5)
งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ดำเนินการในรูปแบบของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยแต่ละขั้นตอนมีวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อของงานวิจัย งานวิจัยนี้ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2557–2565
กระบวนการวิจัยทั้ง 5 ขั้นตอน มีรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553
ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2553 การดำเนินงานวิจัยในขั้นตอนนี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2558
วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล
- การทบทวนงานวิจัย ศึกษา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาในประเทศไทย จำนวน 10 เรื่อง ซึ่งดำเนินการวิจัยในช่วงปี พ.ศ. 2551–2556
- การลงพื้นที่จริง ลงพื้นที่ติดตามและตรวจเยี่ยมสถานศึกษา จำนวน 35 แห่ง ใน 4 ภูมิภาค 10 จังหวัด
- เครื่องมือวิจัย ใช้เครื่องมือวิจัย จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลจากรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง, แบบบันทึกข้อมูลการลงพื้นที่ติดตามและตรวจเยี่ยมสถานศึกษา, และแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษาจากตัวแทนหน่วยงานต้นสังกัด
ผลลัพธ์สำคัญ การศึกษาพบปัญหาสำคัญ เช่น มาตรฐาน/ตัวบ่งชี้/เกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับบริบท, ตัวบ่งชี้มากเกินไปจนสร้างภาระเอกสาร, การประเมินเน้นเอกสารมากกว่าสภาพจริง, และเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายในและภายนอกที่ไม่สอดคล้องกัน. ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการจัดทำข้อสรุปและข้อเสนอสำหรับการพัฒนารูปแบบการประเมินสถานศึกษาในภาพรวม. ผลการวิจัยขั้นตอนนี้ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 1
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจของงานวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาชุดใหม่ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 – เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 แบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะที่ 1 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 (5 ขั้นตอนย่อย)
- การศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 23 เรื่อง (ก่อนปี พ.ศ. 2559) และระดมความคิดเห็นจาก ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 กลุ่ม (รวม 110 คน)
- การยกร่างมาตรฐาน พ.ศ. 2559. ร่างมาตรฐานนี้มีแนวคิดหลักให้สอดคล้องกับ กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ พ.ศ. 2553 และ นโยบายปฏิรูประบบประเมินและการประกันคุณภาพ โดยมี 4 มาตรฐานหลัก ได้แก่ คุณภาพของผู้เรียน, กระบวนการบริหารและการจัดการ, กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, และระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล
- การตรวจสอบและปรับปรุงร่าง ตรวจสอบจากบุคลากรสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 97 คน
- การทดลองใช้และปรับปรุงร่าง ทดลองใช้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 60 เขต และสถานศึกษา จำนวน 300 แห่ง. ผลการทดลองใช้ยืนยันว่าร่างมาตรฐานนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและประเมินสถานศึกษาที่สะท้อนคุณภาพได้จริง.
- การประกาศใช้และนำสู่การปฏิบัติ มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ระยะที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 (4 ขั้นตอนย่อย) การพัฒนาชุดนี้เกิดจากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561.
- การศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 40 เรื่อง
- การยกร่างมาตรฐาน พ.ศ. 2561. มาตรฐานชุดนี้ ลดจำนวนมาตรฐานลงเหลือเพียง 3 มาตรฐานหลัก โดยใช้กรอบแนวคิดเดิมจากชุด พ.ศ. 2559 ที่ผ่านการทดลองใช้แล้ว และหลอมรวมมาตรฐานที่ 4 (ระบบการประกันคุณภาพภายใน) ไปรวมกับมาตรฐานด้านการบริหารจัดการ
- การตรวจสอบและปรับปรุงร่าง ตรวจสอบโดยคณะทำงานปฏิรูประบบการประเมินและประกันคุณภาพการศึกษาและคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ
- การประกาศใช้และนำสู่การปฏิบัติ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ
ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนมาตรฐานชุด พ.ศ. 2561 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563
วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล
- ศึกษาแนวทางการขับเคลื่อน ศึกษา 8 แนวทางหลัก ที่ สพฐ. ใช้ในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาสถานศึกษา.
- ตัวอย่างแนวทาง ได้แก่ การสื่อสารสร้างความเข้าใจ, การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน (จำนวน 5 เล่ม), การพัฒนาระบบ e-SAR, และการยกย่องเชิดชูเกียรติ (IQA AWARD).
- แหล่งข้อมูล ใช้คู่มือ รายงานสรุปผลโครงการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษา (ปี พ.ศ. 2561–2563) ข้อมูลจากระบบ e-SAR ปี พ.ศ. 2563 และข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง (ครู ผู้บริหาร ฯลฯ)
ขั้นตอนที่ 4 การศึกษาผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561
ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลลัพธ์ของการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 ไปใช้ในการปฏิบัติ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564
วิธีการดำเนินงานและแหล่งข้อมูล
- แหล่งข้อมูลหลัก ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และหลากหลาย
- ฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) รวมสถานศึกษา 28,051 แห่ง
- รายงานผลการสังเคราะห์ จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 160 เขต
- ฐานข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายนอก จาก สมศ. (ปี พ.ศ. 2562–2563)
- ผลการพัฒนาสถานศึกษา 3 กลุ่ม ได้แก่ เครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพ, สถานศึกษาต้นแบบระบบประกันคุณภาพระดับห้องเรียน (38 แห่ง), และสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD
- เครื่องมือวิจัย ใช้เครื่องมือวิจัย จำนวน 4 ฉบับ (แบบบันทึกข้อมูลผลการประเมินคุณภาพภายใน/ภายนอก และแบบบันทึกข้อมูลผลการพัฒนาสถานศึกษา)
ผลลัพธ์สำคัญ พบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินคุณภาพภายในโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ, ดี, และ ยอดเยี่ยม ตามลำดับ. นอกจากนี้ยังพบจุดเด่นและข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาในแต่ละมาตรฐาน (เช่น ควรส่งเสริม Active Learning และการสร้างนวัตกรรมในด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน)
ขั้นตอนที่ 5 การจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมดและเสนอแนวทางการพัฒนาในอนาคต ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565
วิธีการดำเนินงาน
- การระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) จัดประชุมระดมความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 12 คน (ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565) โดยคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด
- ประเด็นที่ศึกษา ครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ กรอบแนวคิดของมาตรฐานในรอบถัดไป, รูปแบบ/แนวทางการประเมินคุณภาพ, บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, มาตรฐานของผู้ประเมิน, แนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน, และการขับเคลื่อนการประกันคุณภาพ
- การสังเคราะห์ข้อเสนอ ข้อมูลข้อเสนอในขั้นตอนนี้เกิดจากการสังเคราะห์ข้อมูล 2 ส่วน คือ สรุปความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ (ส่วนที่ 1) และผลการวิจัยที่ได้จาก ขั้นตอนที่ 1–4 (ส่วนที่ 2)
ผลลัพธ์สำคัญ ข้อเสนอที่ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรฐานเป็นเพียง กรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code) และควรใช้มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาเพียงชุดเดียวสำหรับเป็นกรอบในการประเมินคุณภาพสถานศึกษาทั้งภายในและภายนอก. นอกจากนี้ยังเสนอให้ใช้รูปแบบการประเมินที่หลากหลาย เช่น expert judgment, peer review, evidence based assessment, holistic assessment, และ qualitative assessment.
งานวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษานี้ ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ 5 ข้อ ซึ่งนำไปสู่การสรุปผลการวิจัยออกเป็น 5 ด้าน (ตอนที่ 1 ถึง ตอนที่ 5) โดยครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหาของมาตรฐานชุดเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ การประเมินผลลัพธ์ และการเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในอนาคต
ผลการวิจัยทั้ง 5 ด้าน มีรายละเอียดในบริบทของโครงการวิจัยดังนี้
1. ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553 (ขั้นตอนที่ 1)
ผลการศึกษาในขั้นตอนนี้เป็นการวิเคราะห์มาตรฐานชุดเดิมเพื่อเป็นฐานในการปฏิรูป
- ปัญหาหลักในการดำเนินงาน
- ด้านมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และเกณฑ์การประเมิน พบว่ามาตรฐานและตัวบ่งชี้ของการประเมินคุณภาพภายนอกบางตัว ไม่สอดคล้องกับบริบท และสภาพของสถานศึกษา ตัวบ่งชี้มีจำนวนมากเกินไป ทำให้สถานศึกษาต้องสร้างหลักฐานและเอกสารจำนวนมากเพื่อรองรับการประเมิน นอกจากนี้ ตัวบ่งชี้ผลการทดสอบ O-NET สร้าง บรรยากาศทางลบ ให้กับสถานศึกษา และเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายในและภายนอกไม่สอดคล้องกัน
- ด้านรูปแบบและวิธีการประเมิน กระบวนการประเมินคุณภาพภายนอกสร้างภาระ ความยุ่งยาก และซับซ้อน และมุ่งเน้นการตรวจสอบเอกสารหลักฐานมากเกินไป
- ด้านมาตรฐานผู้ประเมิน ผู้ประเมินขาดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาและกระบวนการประเมิน
- ข้อเสนอแนะที่สำคัญ การประเมินควรเน้นการดำเนินการที่ไม่ยุ่งยาก ไม่สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย ควร ยกเลิกค่านิยมการต้อนรับผู้ประเมินที่เอิกเกริก และควรใช้ประโยชน์จากผลการประเมินเพื่อ สร้างแรงจูงใจและความรับผิดชอบของบุคลากร (accountability) รวมถึงใช้ผลการประเมินเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดสรรงบประมาณ
2. ผลการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561 (ขั้นตอนที่ 2)
ผลที่ได้คือมาตรฐานใหม่ 2 ชุด ซึ่งพัฒนาขึ้นตามนโยบายปฏิรูประบบการประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้นการลดจำนวนมาตรฐานและตัวชี้วัดให้กระชับ
- มาตรฐาน พ.ศ. 2559 ประกอบด้วย 4 มาตรฐานหลัก ได้แก่
- มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียน (รวมผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการและคุณลักษณะที่พึงประสงค์)
- มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา
- มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
- มาตรฐานที่ 4 ระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล
- มาตรฐาน พ.ศ. 2561 ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 และได้ลดจำนวนมาตรฐานลงเหลือ 3 มาตรฐานหลัก
- มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผู้เรียน
- มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ (มีการหลอมรวมมาตรฐานที่ 4 ของฉบับ พ.ศ. 2559 เข้ามาในมาตรฐานนี้)
- มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
- การพัฒนามาตรฐานทั้งสองชุดเน้นหลักการประเมินแนวใหม่ เช่น การประเมินตามสภาพจริง (authentic assessment), การประเมินแบบองค์รวม (holistic assessment), และการตัดสินคุณภาพโดยอาศัย ความเชี่ยวชาญ (expert judgment)
3. ผลการศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ (ขั้นตอนที่ 3)
ผลการศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สรุปได้ 8 แนวทางหลัก
- การสื่อสารและสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรฐาน พ.ศ. 2561 โดยใช้ 3 วิธีการหลัก (หนังสือราชการ, เว็บไซต์, การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา)
- การจัดทำคู่มือดำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน ของสถานศึกษา จำนวน 5 เล่ม เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
- การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา มีสถานศึกษาแกนนำและร่วมพัฒนา 178 เครือข่าย รวม 736 แห่ง
- การพัฒนาระบบการรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-SAR) ซึ่งทำให้สถานศึกษาสังกัด สพฐ. จำนวน 28,051 แห่ง จัดส่งรายงานในปีการศึกษา 2563
- การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา จำนวน 3 โครงการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 6,876,000 บาท
- การยกย่องเชิดชูเกียรติสถานศึกษา เพื่อรับรางวัลระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA AWARD)
- การถอดประสบการณ์ ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD
- การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียนที่ใช้สถานศึกษาเป็นฐาน โดยมีสถานศึกษาต้นแบบจำนวน 38 แห่ง
4. ผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 (ขั้นตอนที่ 4)
ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการใช้มาตรฐาน พ.ศ. 2561 โดยใช้ข้อมูลจาก 3 ส่วน
- ผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) จากสถานศึกษา 28,051 แห่ง พบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่มีผลการประเมินโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ รองลงมาคือ ดี และ ยอดเยี่ยม ตามลำดับ ผลการประเมินรายมาตรฐานทั้ง 3 มาตรฐาน (คุณภาพผู้เรียน, การบริหารจัดการ, การจัดการเรียนการสอน) เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลโดยภาพรวม
- ผลการประเมินคุณภาพภายนอก (สมศ. ปี พ.ศ. 2562–2563) พบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่ถูกตัดสินให้อยู่ในระดับ ดีมาก (overall) โดยเฉพาะมาตรฐานที่ 2 (กระบวนการบริหารและการจัดการ) ถูกประเมินในระดับ ดีเลิศ ส่วนมาตรฐานที่ 1 (คุณภาพผู้เรียน) และ 3 (กระบวนการจัดการเรียนการสอน) ถูกประเมินในระดับ ดี
- จุดที่ควรพัฒนา (ข้อเสนอแนะจากการประเมินภายใน)
- มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ควรพัฒนาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน/ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET/NT), ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ/คิดสร้างสรรค์/ตัดสินใจแก้ปัญหา, และการสร้างนวัตกรรม
- มาตรฐานด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน ควรส่งเสริม การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning), การจัดกิจกรรมให้นักเรียนเรียนรู้จากการคิดและปฏิบัติจริง, และการใช้นวัตกรรมด้านการจัดการเรียนการสอน
5. ข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป (ขั้นตอนที่ 5)
ข้อเสนอเหล่านี้ได้มาจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1–4 และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 12 คน ครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก
- กรอบแนวคิดของมาตรฐาน ควรใช้มาตรฐานการศึกษาเพียงชุดเดียวเป็นกรอบในการประเมินคุณภาพสถานศึกษาทั้งภายในและภายนอก และควรมีการกำหนดมาตรฐานเป็น กรอบแนวทางการพัฒนาคุณภาพ (guideline/quality code) และเป็นเป้าหมายกว้าง ๆ สำหรับให้สถานศึกษานำไปพัฒนาตามบริบท
- รูปแบบและแนวทางการประเมิน ควรใช้รูปแบบการประเมินที่หลากหลาย เช่น การตัดสินคุณภาพโดยอาศัยความเชี่ยวชาญ (expert judgment), การตรวจทานผลการประเมินโดยคณะกรรมการประเมินในระดับเดียวกัน (peer review), การประเมินจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (evidence based assessment), การประเมินแบบองค์รวม (holistic assessment), และ การประเมินเชิงคุณภาพ (qualitative assessment) รูปแบบการประเมินต้องไม่ยุ่งยาก ไม่ซ้ำซ้อน และลดภาระการจัดทำเอกสาร
- บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ควรปรับเปลี่ยนบทบาทไปสู่การเป็น หน่วยงานรับรองคุณภาพการศึกษา (accreditation body) ที่ทำหน้าที่กำหนดแนวทางกว้าง ๆ และมุ่งเน้นการวัดความสำเร็จที่ผลผลิต (output) และผลลัพธ์ (outcome)
- แนวทางการประกันคุณภาพภายใน ควรให้สถานศึกษาดำเนินการตามแนวทางที่กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ และการประเมินคุณภาพภายนอกควรเน้นการประเมินเพื่อพัฒนา และเป็นไปตามความสมัครใจของสถานศึกษาที่ประสงค์ขอรับรองคุณภาพ
การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Research and Development of Basic Education Standards for Internal Quality Assurance in Educational Institutions) เป็นโครงการวิจัยที่ครอบคลุมหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวินิจฉัยปัญหาเดิม การพัฒนามาตรฐานใหม่ การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ และการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาในรอบถัดไป
ต่อไปนี้คือสรุปงานวิจัยพร้อมแนวทางสำคัญที่ได้จากงานวิจัยเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัยและพัฒนาในครั้งต่อไป
1. บทสรุปโดยละเอียดของงานวิจัยและพัฒนา (พ.ศ. 2557–2565)
งานวิจัยนี้ดำเนินการโดย นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ และคณะผู้ร่วมวิจัย โดยแบ่งกระบวนการออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก
ตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอจากการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553
ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง พ.ย. 2557 – มี.ค. 2558) มุ่งเน้นการวินิจฉัยปัญหาของมาตรฐานชุดเดิม
- วิธีการศึกษา ทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษาในประเทศไทย จำนวน 10 เรื่อง และการลงพื้นที่ติดตามและตรวจเยี่ยมสถานศึกษา จำนวน 35 แห่ง.
- ผลการศึกษา (ปัญหาหลัก)
- ด้านมาตรฐานและตัวบ่งชี้ ตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการประเมินคุณภาพภายนอกบางตัว ไม่สอดคล้องกับบริบท ของสถานศึกษา (เช่น สอศ. หรือ กศน.) ตัวบ่งชี้มีจำนวนมากเกินไป สร้างภาระในการจัดทำเอกสาร หลักฐาน และตัวบ่งชี้ผลการทดสอบ O-NET ส่งผลให้เกิด บรรยากาศทางลบ ในสถานศึกษา (มุ่งเน้นการกวดวิชา). นอกจากนี้ เกณฑ์การประเมินคุณภาพภายในและภายนอกไม่สอดคล้องกัน.
- ด้านรูปแบบและวิธีการประเมิน กระบวนการประเมินภายนอก สร้างภาระ ความยุ่งยาก ซับซ้อน และเน้นการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน/ร่องรอยมากเกินไป. การประเมินมุ่งเน้นเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ.
- ด้านมาตรฐานผู้ประเมิน ผู้ประเมินมี มาตรฐานไม่เท่ากัน และผู้ประเมินภายนอก ไม่เข้าใจบริบท ของสถานศึกษาในแต่ละสังกัด.
ตอนที่ 2 การพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2561
การพัฒนามาตรฐานใหม่ (ดำเนินการระหว่าง ม.ค. 2556 – ส.ค. 2561) เป็นไปตามนโยบายปฏิรูประบบประเมินของกระทรวงศึกษาธิการ.
- มาตรฐาน พ.ศ. 2559 (4 มาตรฐาน)
- พัฒนาจากการวิเคราะห์/สังเคราะห์เอกสาร/งานวิจัย 23 เรื่อง การระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ และการทดลองใช้ในสถานศึกษา 300 แห่ง และเขตพื้นที่ 60 เขต.
- ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน 1) คุณภาพของผู้เรียน 2) กระบวนการบริหารและการจัดการ 3) กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และ 4) ระบบการประกันคุณภาพภายในที่มีประสิทธิผล.
- ผลการทดลองใช้ยืนยันว่ามาตรฐานชุดนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและประเมินที่สะท้อนคุณภาพได้จริง.
- มาตรฐาน พ.ศ. 2561 (3 มาตรฐาน)
- พัฒนาภายใต้ กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561.
- มีการ หลอมรวมมาตรฐานที่ 4 (ระบบการประกันคุณภาพภายใน) เข้ากับมาตรฐานที่ 2 (การบริหารและการจัดการ) เพื่อให้มาตรฐาน กระชับและลดจำนวนลงเหลือ 3 มาตรฐาน ตามนโยบาย.
- 3 มาตรฐานหลักคือ 1) คุณภาพของผู้เรียน 2) กระบวนการบริหารและการจัดการ (6 ประเด็นพิจารณา) และ 3) กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (5 ประเด็นพิจารณา).
- การพัฒนาชุด พ.ศ. 2561 ไม่มีขั้นตอนการทดลองใช้ เนื่องจากต้องเร่งประกาศใช้ และใช้กรอบแนวคิดเดิมของ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านการทดลองใช้แล้ว.
ตอนที่ 3 ผลการศึกษาแนวทางการนำมาตรฐาน พ.ศ. 2561 สู่การปฏิบัติ
ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง ก.ย. 2561 – มี.ค. 2563) ศึกษาการขับเคลื่อนของ สพฐ. โดยสรุป 8 แนวทาง
- การสื่อสารและสร้างความเข้าใจ.
- การจัดทำคู่มือดำเนินงาน (จัดทำ 5 เล่ม เช่น แนวทางการพัฒนาระบบฯ, การกำหนดมาตรฐานสถานศึกษา, การจัดทำแผนพัฒนาฯ).
- การพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมคุณภาพสถานศึกษา มีสถานศึกษาแกนนำและร่วมพัฒนา 736 แห่ง (178 เครือข่าย) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือกัน.
- การพัฒนาระบบ e-SAR ระบบรายงานผลการประเมินตนเองแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยให้สถานศึกษา 28,051 แห่ง สามารถจัดส่งรายงานได้.
- การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การประกันคุณภาพภายใน (รวม 6,876,000 บาท สำหรับ 3 โครงการ).
- การยกย่องเชิดชูเกียรติ สถานศึกษาเพื่อรับรางวัล IQA AWARD.
- การถอดประสบการณ์ ของสถานศึกษาที่ได้รับรางวัล IQA AWARD.
- การบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการประกันคุณภาพระดับห้องเรียน โดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน (มีสถานศึกษาต้นแบบ 38 แห่ง).
ตอนที่ 4 ผลการใช้มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561
ขั้นตอนนี้ (ดำเนินการระหว่าง ก.ค. 2562 – มิ.ย. 2564) เป็นการประเมินผลลัพธ์
- ผลการประเมินคุณภาพภายใน (e-SAR) (28,051 แห่ง) ผลการประเมินภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเลิศ, ดี, และยอดเยี่ยม ตามลำดับ.
- ผลการประเมินคุณภาพภายนอก (สมศ. พ.ศ. 2562–2563) ภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ดีมาก.
- มาตรฐานที่ 2 (กระบวนการบริหารและการจัดการ) มีคุณภาพอยู่ในระดับ ดีเลิศ.
- มาตรฐานที่ 1 (คุณภาพผู้เรียน) และ 3 (กระบวนการจัดการเรียนการสอน) มีคุณภาพอยู่ในระดับ ดี.
- จุดที่ควรพัฒนา (จากการสังเคราะห์ SAR)
- คุณภาพผู้เรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา/ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET/NT), ความสามารถในการคิดวิเคราะห์/คิดอย่างมีวิจารณญาณ/แก้ปัญหา, และ ความสามารถในการสร้างนวัตกรรม.
- กระบวนการจัดการเรียนการสอน ควรส่งเสริม การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning), การจัดกิจกรรมให้นักเรียนเรียนรู้จากการคิดและปฏิบัติจริง, และการใช้นวัตกรรมด้านการจัดการเรียนการสอน.
- กระบวนการบริหารและการจัดการ ควรมีการ พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ.
ตอนที่ 5 ข้อเสนอสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป
ข้อเสนอแนะนี้ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมดใน 4 ขั้นตอน และจากการระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (connoisseurship) 12 คน โดยครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ
2. แนวทางในการวิจัยและพัฒนาในครั้งต่อไป (ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย)
ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานในรอบถัดไป ควรนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิดในการทำวิจัยและพัฒนาต่อไปอย่างละเอียด โดยครอบคลุม 6 ประเด็นหลักดังนี้
2.1 กรอบแนวคิดของมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- การปรับสถานะของมาตรฐาน ควรมีการกำหนดมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็น กรอบ แนวทาง หรือเป้าหมายกว้าง ๆ (guideline/quality code) สำหรับให้สถานศึกษานำไปใช้พัฒนาคุณภาพการศึกษาตามบริบทของตน.
- การยึดโยงกับภาพรวม มาตรฐานต้องมีความเหมาะสม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ (เน้นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และพลเมืองที่เข้มแข็ง) และหลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551.
- มาตรฐานชุดเดียว ควรใช้ มาตรฐานการศึกษาเพียงชุดเดียว เป็นกรอบในการประเมินคุณภาพการศึกษา ทั้งการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา และประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษา.
2.2 รูปแบบและแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
- การประเมินเพื่อพัฒนา การประเมินคุณภาพสถานศึกษา ควรมุ่งเน้นเพื่อ ตรวจสอบและยืนยันผลการประเมินตนเอง ของสถานศึกษาและ ชี้ทิศทางการพัฒนา.
- ลดภาระและเอกสาร กำหนดรูปแบบและวิธีการประเมินที่ ไม่ยุ่งยาก ไม่ซ้ำซ้อน และ ลดภาระการจัดทำเอกสาร ที่ใช้ในการประเมิน.
- วิธีการประเมินที่หลากหลาย
- เน้น การประเมินสภาพจริง การประเมินแบบองค์รวม.
- ใช้ แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย (ทั้งบุคคล สถานที่ และเวลา) และเครื่องมือที่หลากหลาย เหมาะสมกับลักษณะและประเภทของข้อมูล.
- ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ มาสนับสนุนการประเมิน.
- กระบวนการประเมินต้องเปิดโอกาสให้ผู้ประเมินและผู้รับการประเมิน สะท้อนผลการประเมินร่วมกัน.
- การใช้ผลการประเมิน ควรดำเนินการอย่างจริงจังและใช้ผลการประเมินเพื่อ การพัฒนาคุณภาพ การจัดการศึกษา. ควรมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจและความรับผิดชอบ (accountability).
- วัฒนธรรมการประเมินที่ดี ยกเลิกการต้อนรับผู้ประเมินที่เอิกเกริก หรูหรา และฟุ่มเฟือย ควรมีมาตรการและกำชับอย่างเคร่งครัด.
2.3 บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา
- หน่วยงานต้นสังกัด มีหน้าที่ ให้คำปรึกษา ชี้แนะ ช่วยเหลือ เพื่อให้สถานศึกษามีการประกันคุณภาพการศึกษาที่เข้มแข็ง. ต้องมุ่งเน้นการนำผลการประเมินไปใช้เพื่อ พัฒนาคุณภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช้ผลการประเมินเพื่อจัดลำดับ ตัดสินให้คุณให้โทษ การโยกย้าย หรือการเลื่อนตำแหน่ง/วิทยฐานะ.
- สมศ. (หน่วยงานประเมินภายนอก) ควรมีบทบาทในการติดตามตรวจสอบและประเมินคุณภาพการศึกษา และ ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพการศึกษา.
- ความร่วมมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร ร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง รูปแบบ และวิธีการประเมินที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานศึกษาที่แตกต่างกัน.
2.4 มาตรฐานของผู้ประเมินคุณภาพสถานศึกษา
- คุณสมบัติของผู้ประเมิน ต้องกำหนดให้เป็นผู้ที่มี ความรู้ความเข้าใจและทักษะการประเมินแนวใหม่ (เน้นการประเมินเพื่อพัฒนา) มีความเข้าใจในหลักการจัดการศึกษาของแต่ละสังกัด และมีบุคลิกภาพที่ดีเป็น กัลยาณมิตร.
- องค์ประกอบคณะผู้ประเมิน ควรประกอบด้วยผู้ประเมินของ สมศ. และบุคลากรของหน่วยงานต้นสังกัดร่วมกันดำเนินการ.
- การพัฒนาและควบคุม ควรมีการ พัฒนาผู้ประเมินอย่างต่อเนื่อง และกำหนดขั้นตอนการคัดเลือกผู้ประเมินภายนอกที่ โปร่งใส มีมาตรฐาน และมีการควบคุมคุณสมบัติและจรรยาบรรณ.
2.5 แนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
- การดำเนินการตามกฎกระทรวง การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในให้เป็นไปตามแนวทางที่ กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ (เช่น การกำหนดมาตรฐาน การจัดทำแผน การดำเนินการตามแผน การประเมินผล การติดตามผล และการจัดส่งรายงานผลการประเมินตนเอง [SAR]).
- การประเมินภายนอก ควร เน้นการประเมินเพื่อพัฒนา และหากสถานศึกษามีความประสงค์เพื่อรับรองคุณภาพ การดำเนินการประเมินให้เป็นไปตาม ความสมัครใจ ของสถานศึกษา.
- รูปแบบการประเมินภายนอก ควรกำหนดรูปแบบที่ หลากหลาย ตามบริบท ของสถานศึกษา เช่น การประเมินจากการวิเคราะห์เอกสาร SAR โดยไม่ต้องลงพื้นที่ หรือการลงพื้นที่เพียงบางส่วน/เต็มเวลา ขึ้นอยู่กับสภาพและบริบท.
2.6 การขับเคลื่อนการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
- การทำงานแบบมีส่วนร่วม เน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน การออกแบบ และวิธีการประเมินคุณภาพการศึกษา.
- ความสอดคล้องเชื่อมโยง การออกแบบและวิธีการประเมินต้อง สอดคล้องเชื่อมโยงกัน ระหว่างการประกันคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก แต่มีจุดเน้นการประเมินที่แตกต่างกัน.
- การใช้ผลการวิจัยเป็นฐาน หน่วยงานต้นสังกัดควรนำผลการวิจัย (เช่น แนวทางการขับเคลื่อน 8 แนวทาง และจุดที่ควรพัฒนาของสถานศึกษา) ไปใช้ในการวางแผน การกำหนดนโยบาย โครงการ และกิจกรรม เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น.
สรุปแนวทางการวิจัย/พัฒนาที่สำคัญสำหรับรอบถัดไป
งานวิจัยในรอบต่อไปควรเน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์หลัก 3 ด้าน
- การปรับกรอบมาตรฐาน วิจัยและพัฒนารูปแบบการกำหนดมาตรฐานที่ยืดหยุ่น (Guideline/Quality Code) และสามารถใช้ได้ชุดเดียวสำหรับการประเมินทั้งภายในและภายนอก.
- การปฏิรูปรูปแบบการประเมิน วิจัยวิธีการประเมินที่เน้น สภาพจริง ลดภาระเอกสาร และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอย่างเต็มรูปแบบ (เช่น e-SAR ที่มีความสามารถสูงขึ้น).
- การพัฒนาบุคลากรและวัฒนธรรมคุณภาพ วิจัยและพัฒนากลไกการทำงานร่วมกันระหว่าง สมศ. และหน่วยงานต้นสังกัดในการ พัฒนาผู้ประเมิน ให้มีมาตรฐานและเข้าใจบริบทของสถานศึกษา รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้ผลการประเมินเพื่อพัฒนาจริงจัง และยกเลิกการต้อนรับที่สิ้นเปลือง
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ
ขอขอบคุณผลงานทางวิชาการ ของนายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ผ่านการประเมินแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง
“ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา(นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ)”
สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ
ผลงานลำดับที่ 1
เรื่อง “การวิจัยและพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
https://drive.google.com/file/d/1x3xr6djOXfT0CJRzSVWatVwAnBaL5tCd/view?usp=sharing
Comments
Powered by Facebook Comments