งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) ที่ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2565 – 2566 (2022–2023) โดย นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ
งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ได้นำเสนอแนวคิดสำคัญหลายประการ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการออกแบบหลักสูตรและการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยสามารถสรุปแนวคิดสำคัญในบริบทของงานวิจัยนี้ได้ดังต่อไปนี้:
1. แนวคิดการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถนะ (Competency-Based Reform)
แนวคิดพื้นฐานของงานวิจัยนี้คือการตอบสนองต่อ แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่มุ่งเน้นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่ การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based learning) แทนที่หลักสูตรอิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) ในปัจจุบัน
- ความจำเป็นในการปฏิรูป: การจัดการศึกษาของประเทศต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนที่ผ่านมา (เช่น O-NET, PISA, TIMSS) แสดงให้เห็นว่า คุณภาพผู้เรียนยังไม่น่าพึงพอใจ โดยมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและต่ำกว่าหลายประเทศในแถบเอเชีย
- เป้าหมายการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ: การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 เน้นไปที่ ผลลัพธ์การเรียนรู้ (outcome-based) ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้และสามารถทำได้ โดยมีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้มีความรู้ มีทักษะและใฝ่เรียนรู้ (learning skills) มีทักษะชีวิต (life skills) เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ (active citizen) และสามารถบรรลุ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิต และการใช้เทคโนโลยี
2. แนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL)
การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (AL) ถูกนำมาใช้เป็น กระบวนการสำคัญ ในการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน
- นิยามและหลักการ: AL คือ การจัดการเรียนรู้บนพื้นฐานของ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivism) ซึ่งกระตุ้นให้ผู้เรียน สร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่
- ลักษณะสำคัญ: AL เน้นการ ลงมือปฏิบัติจริง (hands-on learning / learning by doing) การมีส่วนร่วม การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน/ผู้สอน และการพัฒนา ทักษะการคิดระดับสูง เช่น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมิน
- บทบาทครูที่เปลี่ยนไป: ครูต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ (teacher-centered) เป็น โค้ช (coach) หรือผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ที่มีหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ และเปิดโอกาสให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูต้องใช้คำถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ และต้องมีการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนตามสภาพจริง
- รูปแบบ AL ที่หลากหลาย: การจัดการเรียนรู้เชิงรุกสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (experiential learning), การสอนแบบโครงงาน (project-based learning), การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning), การสอนที่เน้นทักษะกระบวนการคิด (thinking-based learning) รวมถึงการนำรูปแบบที่พัฒนาจากแนวคิด AL เช่น GPAS 5 Step, STAP MODEL, 5W1H มาใช้ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้
3. แนวคิดการฝึกอบรม การโค้ช และการเป็นพี่เลี้ยง (Training, Coaching, and Mentoring)
การฝึกอบรม (Training) ถูกกำหนดให้เป็น วิธีการหลัก ในการพัฒนาครูให้มีสมรรถนะ AL โดยใช้แนวคิดการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงเป็นแกนหลักในการออกแบบหลักสูตร:
3.1 การฝึกอบรม (Training)
- นิยาม: คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถ และทัศนคติ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่ต้องการ และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
- หลักการออกแบบหลักสูตร: หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นในงานวิจัยนี้ใช้เวลา 18 ชั่วโมง โดยมีเนื้อหาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และมุ่งเน้น การปฏิบัติจริง (learning by doing) การสะท้อนคิด (reflect) การทำงานกลุ่ม (group working) และการจับคู่เรียนรู้และแลกเปลี่ยน (pair and share) ประสบการณ์ร่วมกัน.
3.2 การโค้ช (Coaching)
- แนวคิดหลัก: การโค้ชคือวิธีการสอนการทำงานให้กับเพื่อนร่วมงาน การสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนางาน โดยเป็นคู่คิดในกระบวนการพัฒนาที่ สร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้ได้รับการโค้ชนำศักยภาพของตนเองออกมาใช้ ได้อย่างเต็มที่.
- การลงมือปฏิบัติและการสะท้อนคิด: การโค้ชเน้น การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และการให้เวลาแก่ครูในการ ไตร่ตรองสะท้อนคิด (reflect) เกี่ยวกับการสอนของตนเอง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน.
- บทบาทโค้ช: โค้ชทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก และมักใช้การตั้งคำถามแบบ non directive เพื่อกระตุ้นความคิด รวมถึงการใช้โมเดล GROW (การกำหนดเป้าหมาย, การตรวจสอบสภาพจริง, การกำหนดทางเลือก, และการตัดสินใจ).
3.3 การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring)
- แนวคิดหลัก: การเป็นพี่เลี้ยงหมายถึง การสอนงาน ให้คำปรึกษา และ คอยติดตามช่วยเหลือทางวิชาการ
- บทบาทพี่เลี้ยง: พี่เลี้ยงเป็นผู้ที่มี ประสบการณ์มาก ที่ดูแลผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่า โดยให้คำปรึกษา ให้การสนับสนุน และเป็นแบบอย่างที่ดี การเป็นพี่เลี้ยงยังรวมถึงการช่วยในการบริหาร การสอน การวิจัย กิจกรรมผู้เรียน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน.
- การประยุกต์ใช้: แนวคิดการเป็นพี่เลี้ยงมักถูกนำมาใช้ในการสนับสนุนและสอนงานให้แก่ ครูมือใหม่. ในงานวิจัยนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ใช้รูปแบบการติดตามและให้คำปรึกษาแบบ ผสมผสานทั้ง online และ face to face.
4. แนวคิดเชิงนโยบายสำหรับการประกันคุณภาพ (Policy and Quality Code)
ผลการวิจัยนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงการพัฒนาครูเข้ากับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Internal Quality Assurance: IQA)
การบูรณาการกับ IQA: เนื่องจากครูมีทักษะ AL และผู้บริหารมีการติดตาม/ให้คำปรึกษาทางวิชาการ (C&M) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน หน่วยงานต้นสังกัดจึง ควรปรับกรอบมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำหรับการประกันคุณภาพภายในในรอบถัดไป.
กรอบมาตรฐานใหม่ (Guideline/Quality Code): ควรมีการกำหนดกรอบของมาตรฐานโดยใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline)” หรือ “รหัสคุณภาพ (quality code)” ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ:
- คุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู (ครอบคลุมทักษะ AL 6 ด้าน).
- การบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา (ครอบคลุมทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (C&M) ของผู้บริหารสถานศึกษา 3 ด้าน: ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะที่ดี).
การขับเคลื่อนแบบเป็นระบบ: ควรวางระบบการพัฒนาครูที่นำผู้เกี่ยวข้อง ทุกระดับของสถานศึกษา (ครู, ผู้บริหาร, ศึกษานิเทศก์) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.
วัตถุประสงค์การวิจัย (4 ข้อ) เป็นตัวกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยทั้งหมด ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาไทยให้เปลี่ยนจากการเรียนรู้ตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) ไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (competency-based learning) เนื่องจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทยยังไม่น่าพอใจ
วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ มีรายละเอียดและบริบทที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วัตถุประสงค์ข้อแรกนี้มุ่งเน้นที่ การสร้างเครื่องมือ (Product Development) สำหรับการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริบทการวิจัย:
- แนวคิดหลัก: หลักสูตรนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดการ โค้ช (Coaching) และ การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) ซึ่งการโค้ชเน้นการกระตุ้นให้ผู้เข้ารับการโค้ชดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง (learning by doing) และการสะท้อนคิด (reflect) ส่วนการเป็นพี่เลี้ยงเน้นการสอนงาน ให้คำปรึกษา และติดตามช่วยเหลือทางวิชาการ โดยใช้พี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ดูแลผู้มีประสบการณ์น้อยกว่า.
- โครงสร้างหลักสูตร: หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมี 7 องค์ประกอบ คือ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย เนื้อหาสาระ กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบการอบรม และการวัดและประเมินผล โดยเน้นเนื้อหา 5 เรื่องที่ครอบคลุมตั้งแต่สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตร การออกแบบ AL การวัดและประเมินผล AL และการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง.
- การตรวจสอบคุณภาพ: ผลการตรวจสอบความสอดคล้องเหมาะสมของหลักสูตรฝึกอบรมกับโครงสร้างเนื้อหา (IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน พบว่ามีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์การพิจารณา และผลการประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด.
2. เพื่อดำเนินการฝึกอบรมและศึกษาผลการฝึกอบรม ตามหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็นขั้นตอน การนำหลักสูตรไปใช้และประเมินผลการเรียนรู้เบื้องต้น (Implementation and Initial Outcomes)
บริบทการวิจัย:
- กลุ่มเป้าหมาย: ดำเนินการฝึกอบรมกับผู้เข้ารับการฝึกอบรมรวม 3,477 คน ประกอบด้วย ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ใน 19 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 9 จังหวัด.
- ผลการฝึกอบรม (ความรู้และความเข้าใจ):
- ผู้เข้ารับการฝึกอบรมโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมโดยรวมอยู่ในระดับ มาก ทั้งช่วงก่อนและหลังการฝึกอบรม.
- เมื่อแยกตามตำแหน่ง: ครูและผู้บริหารสถานศึกษามีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับ มาก ทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม แต่ศึกษานิเทศก์มีคะแนนเฉลี่ยในช่วงก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก และเพิ่มขึ้นเป็นระดับ มากที่สุด ในช่วงหลังการฝึกอบรม.
- ผลการฝึกอบรม (ความมั่นใจ/ความคิดเห็น):
- ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อหาหลักสูตร กระบวนการฝึกอบรม ประโยชน์ที่ได้รับ และความมั่นใจในการปฏิบัติงานหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก.
- ศึกษานิเทศก์มีคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นเกี่ยวกับความมั่นใจในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด.
3. เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง
วัตถุประสงค์ข้อนี้มุ่งเน้น การศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน (Impact Study) ทั้งในด้านทักษะความสามารถของครู และคุณภาพของผู้เรียน โดยศึกษาทั้งในช่วงระหว่างภาคเรียนและสิ้นสุดภาคเรียน.
บริบทการวิจัย:
- ผลด้านการจัดการเรียนรู้ของครู: ครูมีทักษะและความสามารถเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ มาก ทั้งในภาพรวมและรายด้าน. โดยมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในด้าน การจัดบรรยากาศในชั้นเรียน และ การให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง. นอกจากนี้ แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูทั้งหมดที่ถูกประเมิน (109 แผน) อยู่ในระดับคุณภาพ ดี จากการประเมินตนเองของครู.
- ผลด้านการนิเทศและการให้คำปรึกษา (Coaching & Mentoring):
- ผู้บริหารสถานศึกษา: มีการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (Mentoring) อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้รูปแบบผสมผสานทั้ง online และ face to face. ผู้บริหารมีทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาอยู่ในระดับ มาก โดยด้านที่มีคะแนนสูงสุดคือ ด้านคุณลักษณะที่ดี.
- ศึกษานิเทศก์: ดำเนินการโค้ชและเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring) โดยใช้ศึกษานิเทศก์หลายคนกับครูเป็นกลุ่ม/โรงเรียน/สหวิทยาเขตมากที่สุด โดยเน้นเนื้อหาเรื่อง การออกแบบและจัดทำหน่วย/แผนการจัดการเรียนรู้. ศึกษานิเทศก์มีสภาพการปฏิบัติในการโค้ชอยู่ในระดับ มากที่สุด.
- ผลต่อคุณภาพผู้เรียน: คุณภาพผู้เรียนที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โดยรวมอยู่ในระดับ มาก โดยมีคะแนนสูงสุดคือ ด้านความรู้ความเข้าใจ รองลงมาคือ ด้านทักษะและกระบวนการ และ ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์.
4. เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วัตถุประสงค์สุดท้ายนี้มุ่งเน้น การนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดทิศทางนโยบาย (Policy Proposal) สำหรับ สพฐ. ในการพัฒนาครูและการประกันคุณภาพภายใน.
บริบทการวิจัย:
- กระบวนการ: วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัยที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อ 1–3 ทั้งหมด โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis).
- ผลลัพธ์: ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายรวม 32 ข้อ ครอบคลุม 6 ด้าน.
- ข้อเสนอแนะที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา: ข้อเสนอสำคัญที่เน้นย้ำถึงการนำผลที่ได้จากการวิจัยไปใช้ในการประกันคุณภาพภายในคือ หน่วยงานต้นสังกัดควรปรับกรอบมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการประกันคุณภาพภายในในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline)” หรือ “รหัสคุณภาพ (quality code)” ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ:
- คุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู (ครอบคลุมทักษะ AL 6 ด้าน เช่น การใช้คำถาม การจัดกิจกรรมกลุ่ม การให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง).
- การบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา (ครอบคลุมทักษะการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 3 ด้าน).
- ข้อเสนอแนะด้านระบบการพัฒนาครู: ควรวางระบบการพัฒนาครูที่นำผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ (ครู ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.
สรุปความเชื่อมโยงกับบริบทโดยรวม
วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้าง กลไกที่ครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้การพัฒนาวิชาชีพครูเป็นหัวใจสำคัญ:
- O1 (พัฒนาหลักสูตร): สร้าง “สิ่งที่ต้องทำ” ที่ทันสมัยและเน้นการปฏิบัติ (AL) พร้อมกลไกสนับสนุน (C&M) เพื่อให้ครูมีเครื่องมือในการทำงาน.
- O2 (ดำเนินการและประเมินผลฝึกอบรม): ตรวจสอบว่า “สิ่งที่สร้างขึ้น” (หลักสูตร) สามารถถ่ายทอดความรู้และความมั่นใจให้กับบุคลากรได้จริงในวงกว้าง.
- O3 (ศึกษาผลลัพธ์): ติดตามและยืนยันว่าการพัฒนาครูส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชั้นเรียน (ครูใช้ AL และเกิด C&M ในโรงเรียน) และคุณภาพผู้เรียนดีขึ้นจริง.
- O4 (ข้อเสนอเชิงนโยบาย): นำผลลัพธ์ทั้งหมดมาจัดทำเป็นข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปรับใช้ในระดับนโยบายของ สพฐ. โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทักษะ AL และ C&M เข้ากับมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน.
งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) ที่ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2565–2566 โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ เพื่อสร้าง พัฒนา นำไปใช้ ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL) และกลไกการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring: C&M).
ในบริบทของการวิจัย ขั้นตอนทั้ง 4 นี้แสดงถึงกระบวนการที่ครบวงจรในการนำนโยบายการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based learning) สู่การปฏิบัติจริงในโรงเรียน สังกัด สพฐ.
ขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของ สพฐ.
ขั้นตอนนี้เป็น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ซึ่งดำเนินการในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 1
กระบวนการดำเนินงาน:
- การศึกษาและกำหนดโครงสร้าง: ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นของครู และหลักสูตรฝึกอบรม.
- การระดมความคิดเห็น: กำหนดองค์ประกอบและโครงสร้างของหลักสูตรฝึกอบรมโดยการประชุมระดมสมอง (brainstorming) ร่วมกับคณะทำงาน จำนวน 27 คน.
- ผลลัพธ์หลักสูตร: หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย เนื้อหาสาระ กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบการอบรม และการวัดและประเมินผล โดยมี เนื้อหาครอบคลุม 5 เรื่อง. เนื้อหาเน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติจริง (learning by doing) และการสะท้อนคิด (reflect).
- การตรวจสอบคุณภาพ: มีการจัดทำคู่มือและประเมินหลักสูตรฝึกอบรมด้านความสอดคล้องเหมาะสมของเนื้อหาหลักสูตรฝึกอบรมกับโครงสร้างเนื้อหา (Index of Item – Objective Congruence: IOC) โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ. ผลการตรวจสอบพบว่า ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้.
ขั้นตอนที่ 2: การดำเนินการฝึกอบรมและศึกษาผลการฝึกอบรม ตามหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูฯ
ขั้นตอนนี้เป็น การนำหลักสูตรไปใช้และตรวจสอบผลลัพธ์การฝึกอบรม (Implementation and Training Outcomes) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.
กระบวนการดำเนินงาน:
- กลุ่มเป้าหมาย: นำหลักสูตรไปใช้ฝึกอบรมกับ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ สังกัด สพฐ. ใน 10 จุดอบรม จาก 19 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 9 จังหวัด.
- จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม: มีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมฝึกอบรมทั้งสิ้น 3,477 คน (ครู 1,994 คน, ผู้บริหารสถานศึกษา 1,277 คน, และศึกษานิเทศก์ 206 คน).
- ระยะเวลาดำเนินการ: จัดฝึกอบรมระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2565.
- การเก็บรวบรวมข้อมูล: เก็บข้อมูลผลการฝึกอบรมผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรม โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 1,814 คน (รวมครู 1,814 คน, ผู้บริหาร 252 คน, และศึกษานิเทศก์ 156 คน).
- ผลลัพธ์ที่ได้:
- ผู้เข้ารับการฝึกอบรมโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก (High level) ทั้งช่วงก่อนและหลังการฝึกอบรม.
- ศึกษานิเทศก์ มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากระดับ มาก เป็นระดับ มากที่สุด หลังการฝึกอบรม.
- ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อหาหลักสูตร กระบวนการฝึกอบรม ประโยชน์ที่ได้รับ และความมั่นใจในการปฏิบัติงานหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก.
ขั้นตอนที่ 3: การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง
ขั้นตอนนี้เป็นการ ศึกษาผลกระทบและการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ (Impact and Monitoring) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.
กระบวนการดำเนินงาน: แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 (ระหว่างภาคเรียน): ติดตามผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 (พฤศจิกายน 2565 – มีนาคม 2566).
- กิจกรรม: ติดตามผลครู 23 คน ผ่าน Zoom Meeting และเยี่ยมสถานศึกษาแกนนำ 13 แห่ง ใน 4 จังหวัด.
- การขับเคลื่อน: พบว่าทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษามีการขับเคลื่อน AL/C&M อย่างชัดเจน เช่น การกำหนดผู้รับผิดชอบ/คณะทำงาน, การจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน AL ในระดับสถานศึกษา, การจัดกิจกรรม PLC หลังเลิกเรียน, และการปรับหลักสูตรให้สนับสนุน AL. ครูมีการออกแบบ AL ที่หลากหลาย เช่น GPAS 5 Step, STAP MODEL, 5W1H.
- ระยะที่ 2 (สิ้นสุดภาคเรียน): ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงสิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565.
- กลุ่มเป้าหมาย: รวบรวมข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 1,592 คน (ครู 1,032 คน, ผู้บริหารสถานศึกษา 410 คน, ศึกษานิเทศก์ 150 คน).
- ผลลัพธ์ด้านครู: ครูมีทักษะและความสามารถเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ มาก (High level) ทั้งในภาพรวมและรายด้าน. แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูที่ประเมินตนเอง ทุกแผน (100 แผน) อยู่ในระดับคุณภาพ ดี. คุณภาพผู้เรียนโดยรวมที่เกิดจาก AL ของครูอยู่ในระดับ มาก.
- ผลลัพธ์ด้านผู้บริหาร (Mentoring): ผู้บริหารสถานศึกษามีทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (Mentoring) อยู่ในระดับ มาก. ส่วนใหญ่ใช้รูปแบบการติดตามและให้คำปรึกษาแบบ ผสมผสานทั้ง online และ face to face.
- ผลลัพธ์ด้านศึกษานิเทศก์ (Coaching & Mentoring): ศึกษานิเทศก์มีสภาพการปฏิบัติในการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงอยู่ในระดับ มากที่สุด (Highest level) และมีความสามารถในการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงอยู่ในระดับ มาก.
ขั้นตอนที่ 4: การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูฯ
ขั้นตอนนี้เป็น การสังเคราะห์เพื่อการกำหนดนโยบาย (Policy Synthesis) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 4.
กระบวนการดำเนินงาน:
- การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล: ใช้การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัยที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1–3 (ขั้นตอนที่ 1–3) ทั้งหมด.
- วิธีการวิเคราะห์: ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) แล้วนำเสนอข้อเสนอเป็นความเรียง.
- ผลลัพธ์ (ข้อเสนอเชิงนโยบาย): ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายรวม 32 ข้อ ครอบคลุม 6 ด้าน.
- ความเชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา: ข้อเสนอสำคัญคือ หน่วยงานต้นสังกัดควรปรับกรอบมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการประกันคุณภาพภายในในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline)” หรือ “รหัสคุณภาพ (quality code)” ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ:
- คุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู (ครอบคลุมทักษะ AL 6 ด้าน).
- การบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา (ครอบคลุมทักษะ C&M 3 ด้าน ของผู้บริหาร).
- แนวทางการพัฒนาครู: ควรวางระบบการพัฒนาครูที่นำผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ (ครู ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.
งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) มีผลงานหลัก (Output) ที่ชัดเจน 4 ด้าน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นรายงานสรุป แต่ยังเป็นเครื่องมือและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการจัดการศึกษาที่เน้นสมรรถนะ (competency-based learning) ในวงกว้าง
ผลงานหลักของงานวิจัยนี้สามารถสรุปและอภิปรายในบริบทของการพัฒนาครูและการปฏิรูปการเรียนรู้ได้ดังนี้:
1. ผลงานหลักด้านหลักสูตรฝึกอบรมและการรับรองคุณภาพ (The Training Course and Materials)
ผลงานหลักแรกคือ หลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และขั้นตอนการวิจัยที่ 1
องค์ประกอบและโครงสร้างหลักสูตร:
- หลักสูตรนี้ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล, วัตถุประสงค์, เป้าหมาย, เนื้อหาสาระ, กิจกรรมการฝึกอบรม, สื่อประกอบการอบรม, และการวัดและประเมินผล.
- มีเนื้อหาสาระรวม 5 เรื่อง และใช้เวลาฝึกอบรมรวม 18 ชั่วโมง.
- แนวคิดการออกแบบกิจกรรม: หลักสูตรถูกออกแบบโดยเน้นแนวคิดการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ ปฏิบัติจริง (learning by doing), สะท้อนคิด (reflect), ใช้กระบวนการทำงานกลุ่ม (group working), และมีการจับคู่เรียนรู้และแลกเปลี่ยน (pair and share) ประสบการณ์ร่วมกัน.
- เอกสารประกอบการฝึกอบรม: มีการจัดทำเอกสารประกอบการฝึกอบรม 2 ชุด คือ คู่มือฝึกอบรม และใบงานประกอบการฝึกอบรม จำนวน 9 ใบงาน. ใบงานเหล่านี้รวมถึง: การวางแผนปฏิบัติการ (action plan), นวัตกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน, โมเดล 70:20:10, การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, และแบบบันทึกการเรียนรู้: การสะท้อนการเรียนรู้.
- การตรวจสอบคุณภาพ: ผลการประเมินความสอดคล้องเหมาะสมของหลักสูตรฝึกอบรมกับโครงสร้างเนื้อหา (Index of Item – Objective Congruence: IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ (5 คน) พบว่าค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์การพิจารณา. นอกจากนี้ ผลการประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยรวมในด้านความถูกต้อง ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ และความเหมาะสม อยู่ในระดับ มากที่สุด.
2. ผลงานหลักด้านผลลัพธ์จากการฝึกอบรม (Training Outcomes)
ผลงานนี้เป็นผลจากการดำเนินการฝึกอบรมกับกลุ่มเป้าหมายรวม 3,477 คน ใน 10 จุดอบรม 19 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 9 จังหวัด ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.
- ด้านความรู้ความเข้าใจ: ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมโดยรวมอยู่ในระดับ มาก ทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม.
- กลุ่มศึกษานิเทศก์ มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจโดยรวมช่วงก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก และเพิ่มขึ้นเป็นระดับ มากที่สุด ในช่วงหลังการฝึกอบรม.
- ด้านความมั่นใจในการปฏิบัติงาน: ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับความมั่นใจในการปฏิบัติงานหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก.
- กลุ่มศึกษานิเทศก์ มีคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นเกี่ยวกับความมั่นใจในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด. ข้อรายการที่มีคะแนนสูงสุดคือ ความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มขึ้น, ความมั่นใจในการใช้ AL แบบบูรณาการ, และความมั่นใจเพราะมีแผนการนิเทศติดตามการจัดการศึกษา.
3. ผลงานหลักด้านผลลัพธ์ในชั้นเรียนและระบบนิเทศ (In-Class Outcomes and C&M Implementation)
ผลงานนี้เป็นผลจากการติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงระหว่างและสิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.
3.1 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียน (Teacher and Student Quality)
- ทักษะและความสามารถของครู: ครูมีทักษะและความสามารถเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ มาก ทั้งในภาพรวมและรายด้าน. ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน และ ด้านการให้นักเรียนปฏิบัติจริง.
- คุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้: แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูที่ประเมินตนเอง ทุกแผน (109 แผนจาก 109 แผน หรือ 100 แผนจากผู้ตอบแบบสอบถาม) อยู่ในระดับคุณภาพ ดี. โดยมีการระบุสาระสำคัญ 94.50% และส่วนใหญ่ (95.41%) กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ลงมือปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมาย.
- คุณภาพผู้เรียน: คุณภาพผู้เรียนโดยรวมที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ มาก. โดยคะแนนสูงสุดคือ ด้านความรู้ความเข้าใจ รองลงมาคือ ด้านทักษะและกระบวนการ และ ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์.
3.2 ผลลัพธ์ด้านการขับเคลื่อนและการนิเทศ (Driving and Supervision)
- การขับเคลื่อนในระดับสถานศึกษา: สถานศึกษาส่วนใหญ่มีการ จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน AL มีการส่งเสริมให้ครูแกนนำขยายผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก, มีการ ปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษา ที่มุ่งพัฒนาความรู้และทักษะกระบวนการคิด, มีการ นิเทศภายใน โดยผู้บริหารและครูวิชาการ, และมีการจัดประชุม PLC เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานร่วมกัน.
- บทบาทผู้บริหารสถานศึกษา (Mentoring): ผู้บริหารมีการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการให้กับครูอย่างสม่ำเสมอ โดยเนื้อหาที่ใช้ในการติดตามมากที่สุดคือ เรื่อง สื่อการเรียนรู้. ผู้บริหารมีทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาอยู่ในระดับ มาก ทั้งในภาพรวมและรายด้าน.
- บทบาทศึกษานิเทศก์ (Coaching & Mentoring): ศึกษานิเทศก์ดำเนินการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงในสภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับ มากที่สุด. เนื้อหาที่โค้ชมากที่สุดคือ เรื่อง การออกแบบและจัดทำหน่วย/แผนการจัดการเรียนรู้. ศึกษานิเทศก์ใช้รูปแบบการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงแบบ ศึกษานิเทศก์หลายคนกับครูเป็นกลุ่ม/โรงเรียน/สหวิทยาเขตมากที่สุด.
4. ผลงานหลักด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย (Proposed Policy Guidelines)
ผลงานสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ซึ่งได้จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมด โดยมีจำนวนรวม 6 ด้าน 32 ข้อ.
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา (IQA Integration): หน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่พัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรนำผลการวิจัยนี้ไปกำหนด กรอบของมาตรฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline) หรือ รหัสคุณภาพ (quality code)” ใน 2 มิติสำคัญ ดังนี้:
- มิติคุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู: ให้ครอบคลุม ทักษะและความสามารถของครูเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จำนวน 6 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย: ด้านการใช้คำถาม, ด้านการจัดกิจกรรมกลุ่ม, ด้านการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง, ด้านการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน, ด้านการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้, และด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้.
- มิติการบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา: ให้ครอบคลุม ทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (Coaching & Mentoring) ของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย: ด้านความรู้ความเข้าใจ, ด้านทักษะกระบวนการ, และด้านคุณลักษณะที่ดี.
ข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาครูและระบบสนับสนุน:
- การวางระบบการพัฒนาครู: ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการอบรมโดยนำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับของสถานศึกษา (ผู้บริหาร, หัวหน้างานวิชาการ, หัวหน้ากลุ่มสาระ, ครูผู้สอน) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.
- การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง: ควรมีการติดตามและทำหน้าที่เป็น พี่เลี้ยง (Mentoring) ให้คำแนะนำกับครูอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ตั้งแต่การวางแผนการจัดการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมเยี่ยมห้องเรียนเป็นระยะ ๆ และส่งเสริมให้มีการทำกิจกรรม PLC ที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม.
- คลังข้อมูลนวัตกรรม: ควรรวบรวมตัวอย่าง รูปแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่เป็น ต้นแบบปฏิบัติที่ดี และจัดทำเป็น คลังข้อมูลนวัตกรรม ที่สามารถเผยแพร่แก่ครูและผู้สนใจทั่วไปอย่างเป็นระบบ.
จากการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” หากท่านต้องการดำเนินการวิจัยตามแนวทางนี้ในครั้งต่อไป มีข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์และเชิงนโยบายที่ได้จากงานวิจัยฉบับนี้อย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดขอบเขตและวิธีการวิจัยในอนาคต
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในครั้งต่อไปสามารถแบ่งออกเป็น 2 มิติหลัก คือ มิติการวิจัยและพัฒนาต่อยอด (R&D Extension) และ มิติข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการขับเคลื่อน (Policy Implementation)
1. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยและพัฒนาต่อยอดโดยตรง (R&D Extension)
งานวิจัยครั้งต่อไปควรเน้นการตรวจสอบความเข้มแข็งของข้อเสนอแนะที่ได้จากงานวิจัยปัจจุบัน และขยายขอบเขตของกระบวนการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงไปยังมิติอื่น ๆ:
1.1 การตรวจสอบและทดลองใช้ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของนโยบาย: ควรมีการนำ ข้อเสนอเชิงนโยบาย จำนวน 6 ด้าน รวม 32 ข้อ ที่ได้จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยนี้ไป ศึกษาวิจัยและตรวจสอบต่อ.
- ประเด็นที่ต้องตรวจสอบ: การวิจัยครั้งต่อไปควรตรวจสอบข้อเสนอเชิงนโยบายในด้าน ความถูกต้อง (accuracy), ความเป็นประโยชน์ (usefulness), ความเป็นไปได้ (feasibility), และความเหมาะสม (appropriateness).
- วิธีการตรวจสอบ: ควรใช้วิธีการให้ ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา หรือนำไป ทดลองใช้ (field testing) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับต่าง ๆ ต่อไป.
1.2 การขยายขอบเขตการใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring)
- การประยุกต์ใช้ในมิติอื่น: เนื่องจากผลการวิจัยพบว่า การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ดังนั้น การวิจัยครั้งต่อไป ควรนำวิธีการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL) เช่น:
- การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงด้าน การพัฒนามาตรฐานและการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา.
- การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงด้าน การส่งเสริมและพัฒนาระบบแนะแนวนักเรียน.
2. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการขับเคลื่อนและพัฒนาต่อยอดในทางปฏิบัติ (Policy Implementation)
งานวิจัยครั้งต่อไปควรใช้ข้อเสนอเชิงนโยบายเหล่านี้เป็นกรอบในการออกแบบโปรแกรมพัฒนาครูและกลไกสนับสนุนที่เข้มแข็ง โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้านหลัก:
2.1 ด้านแนวคิดและกระบวนการพัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์
- หลักสูตรแบบองค์รวม: หากมีการพัฒนาครูในรูปแบบการฝึกอบรม ควรมีการกำหนด องค์ประกอบของหลักสูตรฝึกอบรมที่ครอบคลุม 7 องค์ประกอบ (หลักการและเหตุผล, วัตถุประสงค์, เป้าหมาย, เนื้อหาสาระ, กิจกรรมการฝึกอบรม, สื่อประกอบการอบรม, และการวัดและประเมินผล).
- การพัฒนาแบบโรงเรียนเป็นฐาน: ควร วางระบบการพัฒนาครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-based Training) ซึ่งเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการอบรมโดยนำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกระดับของสถานศึกษา (ผู้บริหารสถานศึกษา, รองผู้บริหารสถานศึกษา, หัวหน้างานวิชาการ, หัวหน้ากลุ่มสาระ, และตัวแทนครูผู้สอน) มาพัฒนาร่วมกัน.
- รูปแบบกิจกรรมที่เน้นปฏิบัติ: ควรกำหนดรูปแบบและลักษณะกิจกรรมการฝึกอบรมที่เน้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ ปฏิบัติจริง มีการ สะท้อนคิด ใช้ กระบวนการทำงานกลุ่ม และ การจับคู่เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมกันระหว่างครูในและต่างโรงเรียน.
- การพัฒนาตามความต้องการเฉพาะบุคคล: ควรกำหนดนโยบายในการพัฒนาครู/บุคลากรทางการศึกษาตาม ความต้องการจำเป็นของแต่ละบุคคล โดยสำรวจความสนใจและความต้องการจำเป็น และมีการออกแบบกิจกรรมที่ไม่เป็นภาระต่องานประจำ.
2.2 ด้านแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู
- การขยายผลหลักสูตร: ควรนำหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้นไป พัฒนาและขยายผลต่อยอดยังกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ นอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายนำร่อง.
- การนิเทศและการเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด: ควรพัฒนาครูให้มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทั้งระบบโรงเรียน โดยจัดให้มีการ นิเทศ กำกับ ติดตาม สนับสนุน ช่วยเหลือ และเป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการอย่างใกล้ชิด จากทีมวิชาการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา.
- การสร้างเครือข่ายวิชาการ: ควรสร้างกิจกรรม เวทีวิชาการ และสนับสนุนให้เกิด เครือข่ายครู ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ เพื่อให้ครูได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ สะท้อนประสบการณ์ ต่าง ๆ ร่วมกัน.
2.3 ด้านกลยุทธ์และแนวทางการบริหารจัดการของสถานศึกษา (บทบาทผู้บริหาร)
- การวางแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน: สถานศึกษาควรจัดทำ แผนปฏิบัติการของสถานศึกษา และกำหนด ปฏิทินกิจกรรมดำเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู.
- การสื่อสารและสร้างความเข้าใจ: ผู้บริหารควรสื่อสารและสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันกับบุคลากร ทั้งระบบโรงเรียน เกี่ยวกับแนวคิด AL โดยเฉพาะสาระสำคัญ เช่น การวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา การออกแบบหน่วยการเรียนรู้/แผนจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้.
- การกำกับติดตามด้วย C&M: ควรวางระบบการกำกับและติดตามการดำเนินงานที่เป็นระบบและต่อเนื่อง โดยนำแนวคิด การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง มาใช้กับครู (Coaching & Mentoring). การดำเนินการควรรวมถึงการจัดทำกำหนดการติดตาม, การกำหนดการนิเทศการสอนแบบกัลยาณมิตร, การนิเทศโดยใช้สหวิทยาเขตเป็นฐาน.
- ส่งเสริม PLC อย่างจริงจัง: ควรส่งเสริมครูให้มีการร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สรุปปัญหา และข้อเสนอแนะหลังจากการจัดกิจกรรม AL โดยมีการจัดกิจกรรม PLC (ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ) หลังเลิกเรียน.
- การเสริมแรงจูงใจ: ควรจัดให้มีการ เสริมแรงครู บุคลากร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีผลงานการขับเคลื่อน AL ที่มีคุณภาพด้วยวิธีการที่ดีและเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ.
2.4 ด้านแนวทางการขับเคลื่อนของ สพฐ. และเขตพื้นที่การศึกษา
- บทบาทการสนับสนุน: สพฐ. และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ควร สื่อสาร สร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และกำหนด แนวทางการสนับสนุนส่งเสริมและอำนวยความสะดวก แก่สถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ.
- การกำกับติดตามที่เป็นระบบ: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรขับเคลื่อน AL โดยเน้นการ กำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาทางวิชาการแก่สถานศึกษา อย่างชัดเจน เป็นระบบ และต่อเนื่อง.
- จัดสรรงบประมาณ: สพฐ. ควร จัดสรรงบประมาณสนับสนุน การพัฒนาความรู้และศักยภาพของครูด้าน AL ให้ครอบคลุม ทุกสาขาวิชา ตามสภาพความต้องการจำเป็นของครูในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน.
- สร้างคลังข้อมูล/ค้นหาต้นแบบ: ควรสรุปผลการวิจัยและรวบรวมตัวอย่าง/รูปแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่เป็น ต้นแบบปฏิบัติได้ดี และจัดทำเป็น คลังข้อมูลนวัตกรรม ที่สามารถเผยแพร่แก่ครูและผู้สนใจทั่วไปอย่างเป็นระบบ.
2.5 ด้านการพัฒนามาตรฐานการเรียนการสอนเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA)
ข้อเสนอแนะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิจัยในรอบถัดไป หากต้องการบูรณาการผลการพัฒนาครูเข้ากับระบบประกันคุณภาพ:
- กำหนด IQA เป็น Guideline/Quality Code: กระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่พัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรมีการกำหนดกรอบของมาตรฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายใน ของสถานศึกษาในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “guideline หรือ quality code”.
- บูรณาการทักษะครู 6 ด้านใน IQA: มาตรฐาน IQA ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู ควรครอบคลุม ทักษะและความสามารถของครูเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำนวน 6 ด้าน ได้แก่:
- ด้านการใช้คำถาม.
- ด้านการจัดกิจกรรมกลุ่ม.
- ด้านการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง.
- ด้านการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน.
- ด้านการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้.
- ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้.
- บูรณาการทักษะผู้บริหาร (C&M) ใน IQA: มาตรฐาน IQA ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา ควรครอบคลุม ทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (C&M) ของผู้บริหารสถานศึกษา.
- ขับเคลื่อน IQA อย่างจริงจัง: ควรกำหนดกลยุทธ์และแนวทางการขับเคลื่อนมาตรฐานและการประกันคุณภาพภายในในมิติการพัฒนา AL ตามบทบาทหน้าที่ของครูและผู้บริหารสถานศึกษา อย่างต่อเนื่องและจริงจัง.
2.6 ด้านปัจจัยความสำเร็จและข้อเสนอแนะ (การคงอยู่ของผลลัพธ์)
- การติดตามต่อเนื่องและ PLC: ควรมีการติดตามและทำหน้าที่ เป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำกับครูอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ตั้งแต่การวางแผนการจัดการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรม เยี่ยมห้องเรียนเป็นระยะ ๆ และส่งเสริมให้มีการทำกิจกรรม PLC (ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ) ที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม.
- การใช้ฐานข้อมูลครู: ควรนำ ฐานข้อมูลของครูที่เข้ารับการฝึกอบรม ไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดความรู้ รวมถึงดำเนินการนิเทศ ติดตาม ให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา และเป็นพี่เลี้ยงให้กับครูอย่างต่อเนื่องต่อไป.
- การพัฒนาแบบเจาะจงกลุ่มสาระ: ควรจัดให้มีโครงการพัฒนาความสามารถด้าน AL แบบ เจาะจงเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มสาระ.
ขอขอบคุณผลงานลำดับที่ 3 ของ นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ
เรื่อง “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสําคัญ ของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
https://drive.google.com/file/d/1DcaaHTKVxdFuB6fwoyANFFPtBkOybb4g/view?usp=drive_link
Comments
comments
Powered by Facebook Comments