Site icon Digital Learning Classroom

สรุปงานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”

แชร์เรื่องนี้

งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) ที่ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2565 – 2566 (2022–2023) โดย นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ

งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ได้นำเสนอแนวคิดสำคัญหลายประการ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการออกแบบหลักสูตรและการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยสามารถสรุปแนวคิดสำคัญในบริบทของงานวิจัยนี้ได้ดังต่อไปนี้:

1. แนวคิดการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถนะ (Competency-Based Reform)

แนวคิดพื้นฐานของงานวิจัยนี้คือการตอบสนองต่อ แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่มุ่งเน้นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่ การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based learning) แทนที่หลักสูตรอิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) ในปัจจุบัน

2. แนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL)

การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (AL) ถูกนำมาใช้เป็น กระบวนการสำคัญ ในการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน

3. แนวคิดการฝึกอบรม การโค้ช และการเป็นพี่เลี้ยง (Training, Coaching, and Mentoring)

การฝึกอบรม (Training) ถูกกำหนดให้เป็น วิธีการหลัก ในการพัฒนาครูให้มีสมรรถนะ AL โดยใช้แนวคิดการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงเป็นแกนหลักในการออกแบบหลักสูตร:

3.1 การฝึกอบรม (Training)

3.2 การโค้ช (Coaching)

3.3 การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring)

4. แนวคิดเชิงนโยบายสำหรับการประกันคุณภาพ (Policy and Quality Code)

ผลการวิจัยนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงการพัฒนาครูเข้ากับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (Internal Quality Assurance: IQA)

การบูรณาการกับ IQA: เนื่องจากครูมีทักษะ AL และผู้บริหารมีการติดตาม/ให้คำปรึกษาทางวิชาการ (C&M) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน หน่วยงานต้นสังกัดจึง ควรปรับกรอบมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำหรับการประกันคุณภาพภายในในรอบถัดไป.

กรอบมาตรฐานใหม่ (Guideline/Quality Code): ควรมีการกำหนดกรอบของมาตรฐานโดยใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline)” หรือ “รหัสคุณภาพ (quality code)” ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ:

การขับเคลื่อนแบบเป็นระบบ: ควรวางระบบการพัฒนาครูที่นำผู้เกี่ยวข้อง ทุกระดับของสถานศึกษา (ครู, ผู้บริหาร, ศึกษานิเทศก์) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.

วัตถุประสงค์การวิจัย (4 ข้อ) เป็นตัวกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยทั้งหมด ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาไทยให้เปลี่ยนจากการเรียนรู้ตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) ไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (competency-based learning) เนื่องจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทยยังไม่น่าพอใจ

วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ มีรายละเอียดและบริบทที่เกี่ยวข้องดังนี้


1. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

วัตถุประสงค์ข้อแรกนี้มุ่งเน้นที่ การสร้างเครื่องมือ (Product Development) สำหรับการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริบทการวิจัย:

2. เพื่อดำเนินการฝึกอบรมและศึกษาผลการฝึกอบรม ตามหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

วัตถุประสงค์ข้อนี้เป็นขั้นตอน การนำหลักสูตรไปใช้และประเมินผลการเรียนรู้เบื้องต้น (Implementation and Initial Outcomes)

บริบทการวิจัย:

3. เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง

วัตถุประสงค์ข้อนี้มุ่งเน้น การศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน (Impact Study) ทั้งในด้านทักษะความสามารถของครู และคุณภาพของผู้เรียน โดยศึกษาทั้งในช่วงระหว่างภาคเรียนและสิ้นสุดภาคเรียน.

บริบทการวิจัย:

4. เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

วัตถุประสงค์สุดท้ายนี้มุ่งเน้น การนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดทิศทางนโยบาย (Policy Proposal) สำหรับ สพฐ. ในการพัฒนาครูและการประกันคุณภาพภายใน.

บริบทการวิจัย:


สรุปความเชื่อมโยงกับบริบทโดยรวม

วัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้าง กลไกที่ครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้การพัฒนาวิชาชีพครูเป็นหัวใจสำคัญ:

  1. O1 (พัฒนาหลักสูตร): สร้าง “สิ่งที่ต้องทำ” ที่ทันสมัยและเน้นการปฏิบัติ (AL) พร้อมกลไกสนับสนุน (C&M) เพื่อให้ครูมีเครื่องมือในการทำงาน.
  2. O2 (ดำเนินการและประเมินผลฝึกอบรม): ตรวจสอบว่า “สิ่งที่สร้างขึ้น” (หลักสูตร) สามารถถ่ายทอดความรู้และความมั่นใจให้กับบุคลากรได้จริงในวงกว้าง.
  3. O3 (ศึกษาผลลัพธ์): ติดตามและยืนยันว่าการพัฒนาครูส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชั้นเรียน (ครูใช้ AL และเกิด C&M ในโรงเรียน) และคุณภาพผู้เรียนดีขึ้นจริง.
  4. O4 (ข้อเสนอเชิงนโยบาย): นำผลลัพธ์ทั้งหมดมาจัดทำเป็นข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปรับใช้ในระดับนโยบายของ สพฐ. โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทักษะ AL และ C&M เข้ากับมาตรฐานการประกันคุณภาพภายใน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน.

งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) ที่ดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2565–2566 โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ เพื่อสร้าง พัฒนา นำไปใช้ ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning: AL) และกลไกการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring: C&M).

ในบริบทของการวิจัย ขั้นตอนทั้ง 4 นี้แสดงถึงกระบวนการที่ครบวงจรในการนำนโยบายการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based learning) สู่การปฏิบัติจริงในโรงเรียน สังกัด สพฐ.

ขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย 4 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ของ สพฐ.

ขั้นตอนนี้เป็น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ซึ่งดำเนินการในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 1

กระบวนการดำเนินงาน:

  1. การศึกษาและกำหนดโครงสร้าง: ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นของครู และหลักสูตรฝึกอบรม.
  2. การระดมความคิดเห็น: กำหนดองค์ประกอบและโครงสร้างของหลักสูตรฝึกอบรมโดยการประชุมระดมสมอง (brainstorming) ร่วมกับคณะทำงาน จำนวน 27 คน.
  3. ผลลัพธ์หลักสูตร: หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย เนื้อหาสาระ กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบการอบรม และการวัดและประเมินผล โดยมี เนื้อหาครอบคลุม 5 เรื่อง. เนื้อหาเน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรวม 18 ชั่วโมง โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติจริง (learning by doing) และการสะท้อนคิด (reflect).
  4. การตรวจสอบคุณภาพ: มีการจัดทำคู่มือและประเมินหลักสูตรฝึกอบรมด้านความสอดคล้องเหมาะสมของเนื้อหาหลักสูตรฝึกอบรมกับโครงสร้างเนื้อหา (Index of Item – Objective Congruence: IOC) โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ. ผลการตรวจสอบพบว่า ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้.

ขั้นตอนที่ 2: การดำเนินการฝึกอบรมและศึกษาผลการฝึกอบรม ตามหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูฯ

ขั้นตอนนี้เป็น การนำหลักสูตรไปใช้และตรวจสอบผลลัพธ์การฝึกอบรม (Implementation and Training Outcomes) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.

กระบวนการดำเนินงาน:

  1. กลุ่มเป้าหมาย: นำหลักสูตรไปใช้ฝึกอบรมกับ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ สังกัด สพฐ. ใน 10 จุดอบรม จาก 19 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 9 จังหวัด.
  2. จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม: มีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมฝึกอบรมทั้งสิ้น 3,477 คน (ครู 1,994 คน, ผู้บริหารสถานศึกษา 1,277 คน, และศึกษานิเทศก์ 206 คน).
  3. ระยะเวลาดำเนินการ: จัดฝึกอบรมระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2565.
  4. การเก็บรวบรวมข้อมูล: เก็บข้อมูลผลการฝึกอบรมผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรม โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 1,814 คน (รวมครู 1,814 คน, ผู้บริหาร 252 คน, และศึกษานิเทศก์ 156 คน).
  5. ผลลัพธ์ที่ได้:
    • ผู้เข้ารับการฝึกอบรมโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก (High level) ทั้งช่วงก่อนและหลังการฝึกอบรม.
    • ศึกษานิเทศก์ มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากระดับ มาก เป็นระดับ มากที่สุด หลังการฝึกอบรม.
    • ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับเนื้อหาหลักสูตร กระบวนการฝึกอบรม ประโยชน์ที่ได้รับ และความมั่นใจในการปฏิบัติงานหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมอยู่ในระดับ มาก.

ขั้นตอนที่ 3: การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง

ขั้นตอนนี้เป็นการ ศึกษาผลกระทบและการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ (Impact and Monitoring) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.

กระบวนการดำเนินงาน: แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ

  1. ระยะที่ 1 (ระหว่างภาคเรียน): ติดตามผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 (พฤศจิกายน 2565 – มีนาคม 2566).
    • กิจกรรม: ติดตามผลครู 23 คน ผ่าน Zoom Meeting และเยี่ยมสถานศึกษาแกนนำ 13 แห่ง ใน 4 จังหวัด.
    • การขับเคลื่อน: พบว่าทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษามีการขับเคลื่อน AL/C&M อย่างชัดเจน เช่น การกำหนดผู้รับผิดชอบ/คณะทำงาน, การจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อน AL ในระดับสถานศึกษา, การจัดกิจกรรม PLC หลังเลิกเรียน, และการปรับหลักสูตรให้สนับสนุน AL. ครูมีการออกแบบ AL ที่หลากหลาย เช่น GPAS 5 Step, STAP MODEL, 5W1H.
  2. ระยะที่ 2 (สิ้นสุดภาคเรียน): ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงสิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565.
    • กลุ่มเป้าหมาย: รวบรวมข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 1,592 คน (ครู 1,032 คน, ผู้บริหารสถานศึกษา 410 คน, ศึกษานิเทศก์ 150 คน).
    • ผลลัพธ์ด้านครู: ครูมีทักษะและความสามารถเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ มาก (High level) ทั้งในภาพรวมและรายด้าน. แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูที่ประเมินตนเอง ทุกแผน (100 แผน) อยู่ในระดับคุณภาพ ดี. คุณภาพผู้เรียนโดยรวมที่เกิดจาก AL ของครูอยู่ในระดับ มาก.
    • ผลลัพธ์ด้านผู้บริหาร (Mentoring): ผู้บริหารสถานศึกษามีทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (Mentoring) อยู่ในระดับ มาก. ส่วนใหญ่ใช้รูปแบบการติดตามและให้คำปรึกษาแบบ ผสมผสานทั้ง online และ face to face.
    • ผลลัพธ์ด้านศึกษานิเทศก์ (Coaching & Mentoring): ศึกษานิเทศก์มีสภาพการปฏิบัติในการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงอยู่ในระดับ มากที่สุด (Highest level) และมีความสามารถในการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงอยู่ในระดับ มาก.

ขั้นตอนที่ 4: การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูฯ

ขั้นตอนนี้เป็น การสังเคราะห์เพื่อการกำหนดนโยบาย (Policy Synthesis) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 4.

กระบวนการดำเนินงาน:

  1. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล: ใช้การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัยที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1–3 (ขั้นตอนที่ 1–3) ทั้งหมด.
  2. วิธีการวิเคราะห์: ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) แล้วนำเสนอข้อเสนอเป็นความเรียง.
  3. ผลลัพธ์ (ข้อเสนอเชิงนโยบาย): ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายรวม 32 ข้อ ครอบคลุม 6 ด้าน.
  4. ความเชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา: ข้อเสนอสำคัญคือ หน่วยงานต้นสังกัดควรปรับกรอบมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการประกันคุณภาพภายในในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline)” หรือ “รหัสคุณภาพ (quality code)” ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ:
    • คุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู (ครอบคลุมทักษะ AL 6 ด้าน).
    • การบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา (ครอบคลุมทักษะ C&M 3 ด้าน ของผู้บริหาร).
  5. แนวทางการพัฒนาครู: ควรวางระบบการพัฒนาครูที่นำผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ (ครู ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์) มาพัฒนาร่วมกันผ่านรูปแบบ การฝึกอบรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (school-based training) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานทั้งระบบโรงเรียน.

งานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) มีผลงานหลัก (Output) ที่ชัดเจน 4 ด้าน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยทั้ง 4 ข้อ ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นรายงานสรุป แต่ยังเป็นเครื่องมือและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการจัดการศึกษาที่เน้นสมรรถนะ (competency-based learning) ในวงกว้าง

ผลงานหลักของงานวิจัยนี้สามารถสรุปและอภิปรายในบริบทของการพัฒนาครูและการปฏิรูปการเรียนรู้ได้ดังนี้:


1. ผลงานหลักด้านหลักสูตรฝึกอบรมและการรับรองคุณภาพ (The Training Course and Materials)

ผลงานหลักแรกคือ หลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และขั้นตอนการวิจัยที่ 1

องค์ประกอบและโครงสร้างหลักสูตร:

2. ผลงานหลักด้านผลลัพธ์จากการฝึกอบรม (Training Outcomes)

ผลงานนี้เป็นผลจากการดำเนินการฝึกอบรมกับกลุ่มเป้าหมายรวม 3,477 คน ใน 10 จุดอบรม 19 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 9 จังหวัด ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.

3. ผลงานหลักด้านผลลัพธ์ในชั้นเรียนและระบบนิเทศ (In-Class Outcomes and C&M Implementation)

ผลงานนี้เป็นผลจากการติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในช่วงระหว่างและสิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.

3.1 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียน (Teacher and Student Quality)

3.2 ผลลัพธ์ด้านการขับเคลื่อนและการนิเทศ (Driving and Supervision)

4. ผลงานหลักด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย (Proposed Policy Guidelines)

ผลงานสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ซึ่งได้จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมด โดยมีจำนวนรวม 6 ด้าน 32 ข้อ.

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษา (IQA Integration): หน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่พัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรนำผลการวิจัยนี้ไปกำหนด กรอบของมาตรฐานเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในรอบถัดไป โดยกำหนดให้ใช้ประเด็น “แนวทาง (guideline) หรือ รหัสคุณภาพ (quality code)” ใน 2 มิติสำคัญ ดังนี้:

  1. มิติคุณภาพและมาตรฐานการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู: ให้ครอบคลุม ทักษะและความสามารถของครูเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จำนวน 6 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย: ด้านการใช้คำถาม, ด้านการจัดกิจกรรมกลุ่ม, ด้านการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง, ด้านการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน, ด้านการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้, และด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้.
  2. มิติการบริหารและการจัดการคุณภาพสถานศึกษา: ให้ครอบคลุม ทักษะและความสามารถในการติดตามและให้คำปรึกษาทางวิชาการ (Coaching & Mentoring) ของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย: ด้านความรู้ความเข้าใจ, ด้านทักษะกระบวนการ, และด้านคุณลักษณะที่ดี.

ข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาครูและระบบสนับสนุน:

จากการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” หากท่านต้องการดำเนินการวิจัยตามแนวทางนี้ในครั้งต่อไป มีข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์และเชิงนโยบายที่ได้จากงานวิจัยฉบับนี้อย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดขอบเขตและวิธีการวิจัยในอนาคต

ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในครั้งต่อไปสามารถแบ่งออกเป็น 2 มิติหลัก คือ มิติการวิจัยและพัฒนาต่อยอด (R&D Extension) และ มิติข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการขับเคลื่อน (Policy Implementation)

1. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยและพัฒนาต่อยอดโดยตรง (R&D Extension)

งานวิจัยครั้งต่อไปควรเน้นการตรวจสอบความเข้มแข็งของข้อเสนอแนะที่ได้จากงานวิจัยปัจจุบัน และขยายขอบเขตของกระบวนการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงไปยังมิติอื่น ๆ:

1.1 การตรวจสอบและทดลองใช้ข้อเสนอเชิงนโยบาย

1.2 การขยายขอบเขตการใช้การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring)

2. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการขับเคลื่อนและพัฒนาต่อยอดในทางปฏิบัติ (Policy Implementation)

งานวิจัยครั้งต่อไปควรใช้ข้อเสนอเชิงนโยบายเหล่านี้เป็นกรอบในการออกแบบโปรแกรมพัฒนาครูและกลไกสนับสนุนที่เข้มแข็ง โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้านหลัก:

2.1 ด้านแนวคิดและกระบวนการพัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์

2.2 ด้านแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู

2.3 ด้านกลยุทธ์และแนวทางการบริหารจัดการของสถานศึกษา (บทบาทผู้บริหาร)

2.4 ด้านแนวทางการขับเคลื่อนของ สพฐ. และเขตพื้นที่การศึกษา

2.5 ด้านการพัฒนามาตรฐานการเรียนการสอนเพื่อการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (IQA)

ข้อเสนอแนะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิจัยในรอบถัดไป หากต้องการบูรณาการผลการพัฒนาครูเข้ากับระบบประกันคุณภาพ:

2.6 ด้านปัจจัยความสำเร็จและข้อเสนอแนะ (การคงอยู่ของผลลัพธ์)

ขอขอบคุณผลงานลำดับที่ 3 ของ นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ
เรื่อง “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครู เพื่อพัฒนาสมรรถนะสําคัญ ของผู้เรียน ผ่านการฝึกอบรมโดยใช้การโค้ช (coaching) และการเป็นพี่เลี้ยง (mentoring) ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
https://drive.google.com/file/d/1DcaaHTKVxdFuB6fwoyANFFPtBkOybb4g/view?usp=drive_link

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version