สรุปจุดเด่น/จุดแข็งของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถสรุปจุดเด่นและจุดแข็งของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ได้ดังนี้
1. ความเข้มแข็งทางวิชาการ
ศึกษานิเทศก์ที่มีจุดเด่นด้านนี้จะแสดงคุณลักษณะดังต่อไปนี้
- มีความแตกฉานในหลักวิชา – มีความรู้ลึกและกว้างในเรื่องหลักสูตร การสอน และการวัดประเมินผล
- สามารถแปลงหลักวิชาให้เป็นรูปธรรม – นำเสนอแนวคิดทางการศึกษาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย เปรียบเสมือน “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ที่ครูนำไปใช้ได้ทันที
- มีหลากหลายวิธีปฏิบัติ – เสนอทางเลือกหลากหลายที่เหมาะกับบริบทแตกต่างกันของแต่ละโรงเรียน
- เป็นผู้นำในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน – สามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตร แผนการสอน และกระบวนการจัดการเรียนรู้
- มีนวัตกรรมทางการศึกษา – สามารถเป็นแบบอย่างในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาที่เป็นประโยชน์
2. ทักษะการสื่อสารและการประสานงาน
จุดเด่นของศึกษานิเทศก์ในด้านนี้ประกอบด้วย
- มีทักษะการสื่อสารที่ดี – พูดจูงใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีศิลปะในการพูดที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจและเห็นความสำคัญ
- มีวาทศิลป์ – สามารถสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ พูดจาไพเราะ และให้ข้อเสนอแนะที่สร้างแรงบันดาลใจ
- การสื่อสารที่ชัดเจน – สื่อสารกระชับ ตรงประเด็น และเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ
- ความสามารถในการประสานงาน – เป็นตัวกลางที่มีประสิทธิภาพระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานต้นสังกัด “เก่งประสานงาน 10 ทิศ”
- เป็นผู้ประสานความร่วมมือ – สามารถประสานความร่วมมือระหว่างโรงเรียนในเครือข่าย และระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงานภายนอก
3. การเป็นที่ปรึกษาและให้ความช่วยเหลือ
ศึกษานิเทศก์ที่เป็นเลิศในด้านนี้มีลักษณะดังนี้
- เป็นที่พึ่ง เป็นที่ไว้วางใจ – ครูและผู้บริหารสามารถปรึกษาปัญหาและขอความช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง
- ช่วยอำนวยความสะดวก – ทำให้การทำงานของครูและผู้บริหารง่ายขึ้น ลดอุปสรรคในการทำงาน
- ให้คำแนะนำที่ปฏิบัติได้จริง – เสนอแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้จริงตามบริบทของโรงเรียน
- ช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลน – ให้การสนับสนุนเป็นพิเศษแก่โรงเรียนที่ขาดแคลนครูหรือทรัพยากร
- ช่วยประสานงานระหว่างโรงเรียนและเขตพื้นที่ – เป็นตัวกลางในการสื่อสารและแก้ไขปัญหาระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงานต้นสังกัด
4. การพัฒนาและแบ่งปันความรู้
จุดเด่นในด้านนี้ของศึกษานิเทศก์ได้แก่
- ให้ความรู้เกี่ยวกับการนิเทศ – ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคที่ส่งผลต่อการยกระดับการศึกษา
- นำเสนอและพัฒนาสื่อที่เป็นประโยชน์ – สร้างและแบ่งปันสื่อการสอนและเครื่องมือที่ช่วยให้ครูทำงานได้ดีขึ้น
- มีศิลปะการถ่ายทอด – สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะให้แก่ครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พัฒนาตนเองและขยายผล – ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอและนำมาเผยแพร่ให้กับโรงเรียน
- จัดอบรมและพัฒนาที่ตรงความต้องการ – จัดกิจกรรมพัฒนาที่ตรงกับความต้องการของครูและสถานศึกษา
5. ทัศนคติและคุณธรรมในการทำงาน
ศึกษานิเทศก์ที่มีจุดเด่นด้านนี้จะแสดงออกซึ่ง
- ความรับผิดชอบและอุทิศเวลา – ทุ่มเทการทำงานและมีความรับผิดชอบสูงต่อหน้าที่
- ความเป็นกัลยาณมิตร – มีความเป็นมิตร เข้าถึงง่าย ไม่ถือตัว และให้เกียรติครูและผู้บริหาร
- ความเอาใจใส่ – ใส่ใจดูแลโรงเรียนอย่างจริงใจ ติดตามช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
- การให้กำลังใจ – เสริมแรงทางบวก ให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่ครูและผู้บริหาร
- ความจริงใจและยุติธรรม – ปฏิบัติต่อทุกโรงเรียนด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียง
6. การนำทีมและการขับเคลื่อนงาน
จุดเด่นของศึกษานิเทศก์ในบทบาทของการนำและขับเคลื่อนงาน
- การนำพาโรงเรียน – สามารถนำพาโรงเรียนและกลุ่มโรงเรียนขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ ให้บรรลุผล
- ความสามารถในการทำงานเป็นทีม – ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี และสร้างการมีส่วนร่วม
- การสร้างเครือข่าย – พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การเป็นแบบอย่างที่ดี – วางตนเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านวิชาการและการปฏิบัติงาน
- ความมุ่งมั่นในการพัฒนา – มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง
ศึกษานิเทศก์ที่มีจุดเด่นดังกล่าวเหล่านี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา และได้รับการยอมรับจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียนและสถานศึกษา
สรุปจุดด้อย/จุดที่ควรพัฒนาของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถสรุปจุดด้อยและจุดที่ควรพัฒนาของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ได้อย่างดังนี้
1. การสื่อสารและประสานงานที่ขาดประสิทธิภาพ
ปัญหาในด้านนี้ประกอบด้วย
- การขาดทักษะการสื่อสารที่ดี – ไม่มีวาทศิลป์ พูดจาขาดการสร้างแรงบันดาลใจ บางคนถูกมองว่า “ด่าเก่ง ประดิษฐ์คำพูดเจ็บๆ”
- การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน – ให้คำแนะนำที่คลุมเครือ ทำให้ผู้รับไม่เข้าใจวัตถุประสงค์หรือความคาดหวัง
- ไม่ประสานความเข้าใจ – มุ่งแต่จะเอางาน โดยไม่สนใจความเข้าใจหรือบริบทของโรงเรียน
- ขาดความจริงใจในการสื่อสาร – เจ้าอารมณ์ ใส่อารมณ์กับผู้อื่น พูดจาไม่ให้เกียรติ
- การติดต่อประสานงานที่ไม่เป็นระบบ – ขาดการประสานงานล่วงหน้า ทำให้โรงเรียนไม่มีเวลาเตรียมตัว
2. การขาดความเชี่ยวชาญและการพัฒนาตนเอง
จุดด้อยที่สำคัญในด้านนี้ได้แก่
- ไม่มีความรู้ความสามารถในหน้าที่อย่างแท้จริง – ขาดความเชี่ยวชาญในเนื้อหาและเทคนิคการสอนที่ทันสมัย
- ไม่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – ไม่แสวงหาความรู้ใหม่ ไม่ปรับปรุงทักษะให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
- ขาดความเป็นผู้นำทางวิชาการ – ไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางวิชาการให้กับโรงเรียนได้
- บุคลิกภาพไม่น่าเชื่อถือ – วางตัวไม่เหมาะสม ขาดความน่าเชื่อถือในฐานะนักวิชาการ
- การมองตนเองสูงกว่าคนอื่น – ยกตนข่มท่าน ทำตัวเป็นผู้ตรวจสอบมากกว่าเป็นผู้สนับสนุน
3. การสร้างภาระงานโดยไม่จำเป็นให้กับโรงเรียน
ปัญหาสำคัญในประเด็นนี้คือ
- การเพิ่มภาระงานเอกสาร – เรียกขอเอกสารจำนวนมากเมื่อมานิเทศ ทำให้ครูต้องเตรียมเอกสารมากเกินจำเป็น
- การขอข้อมูลซ้ำซ้อน – ขอข้อมูลเดิมๆ ที่ซ้ำซ้อนกัน ไม่มีการบูรณาการข้อมูล
- การจัดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมกับช่วงเวลา – จัดอบรมตอนใกล้สิ้นปีงบประมาณ หรือในช่วงที่โรงเรียนมีภาระงานมาก
- การสั่งงานด่วนโดยไม่คำนึงถึงภาระงานของโรงเรียน – มอบหมายงานด่วนๆ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
- การรบกวนการเรียนการสอน – มานิเทศโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้ครูต้องทิ้งชั้นเรียนมารับการนิเทศ
4. การขาดการลงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดด้อยในด้านนี้ประกอบด้วย
- ไม่เคยออกเยี่ยมโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ – นานๆ ไปเยี่ยมทีหนึ่ง แต่พอมีภาระงานกลับมาติดตามจนน่ารำคาญ
- เยี่ยมโรงเรียนแต่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือจริง – มาเพียงเพื่อถ่ายรูปและเบิกเบี้ยเลี้ยง หรือมาเพื่อขอข้อมูล
- ไม่เคยลงมารับรู้ปัญหาที่แท้จริง – ไม่สนใจทำความเข้าใจบริบทและปัญหาของโรงเรียน
- การนิเทศแบบจู่โจม – นิเทศแบบไม่แจ้งล่วงหน้า อ้างว่าต้องการเห็นสภาพจริง แต่กลับส่งผลเสียต่อการบริหารจัดการชั้นเรียน
- ไม่ให้ความรู้หรือคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ – เมื่อออกเยี่ยมโรงเรียนไม่ได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ มุ่งแต่จะเอางาน
5. ทัศนคติและวิธีการทำงานที่ไม่เหมาะสม
จุดด้อยในด้านนี้ได้แก่
- สั่งการและบังคับ – สั่งการบังคับให้ครูทำตามความต้องการของตนเองจนครูเครียด
- ลุกล้ำและแทรกแซง – เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงวัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียนมากเกินไป
- ติติงในทางลบ – มุ่งแต่จะจับผิด วิจารณ์ในทางลบ แทนที่จะให้คำแนะนำที่สร้างสรรค์
- ทำตัวเป็นเจ้านาย – วางตัวเป็นผู้บังคับบัญชาของครูและผู้บริหาร เข้าโรงเรียน “ยังกะเจ้านาย”
- ขาดความยุติธรรม – เลือกปฏิบัติ ลำเอียง โดยเฉพาะในการตัดสินการประกวดแข่งขันต่างๆ
6. การขาดความรับผิดชอบและจิตวิญญาณในวิชาชีพ
ปัญหาสำคัญในประเด็นนี้คือ
- นำผลงานของโรงเรียนไปเป็นผลงานตนเอง – ขอให้โรงเรียน ผู้บริหารและครูช่วยทำงานแล้วนำไปอ้างเป็นผลงานตนเอง
- ขาดแรงจูงใจในการทำงาน – ทำงานเฉพาะเมื่อมีงบประมาณ “ถ้าไม่มีเงินไม่มีงบประมาณไม่ดำเนินการ”
- เบียดบังทรัพยากรของโรงเรียน – ใช้สถานที่และทรัพยากรของโรงเรียนโดยไม่คำนึงถึงภาระของโรงเรียน
- ขาดความใส่ใจในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา – มุ่งแต่จะทำงานให้เสร็จตามหน้าที่ ไม่ได้สนใจผลกระทบที่แท้จริง
- ภาพลักษณ์ไม่ดี – ถูกมองว่าเป็น “ครูที่ขี้เกียจสอนแล้วไปสอบเป็นศึกษานิเทศก์”
7. การประเมินและติดตามที่ไม่มีประสิทธิภาพ
จุดด้อยในด้านนี้ประกอบด้วย
- การประเมินที่ไม่สะท้อนคุณภาพจริง – ประเมินเพียงเพื่อให้ได้ตามตัวชี้วัด ไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง
- การขาดการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ – “ไม่เคยนำข้อมูลมาวิเคราะห์อะไรเลย นอกจากขอข้อมูลตัวเลขใหม่ทุกปี”
- การติดตามที่สร้างความกดดัน – ติดตามงานในลักษณะที่สร้างความกดดันมากกว่าการช่วยเหลือ
- การประเมินที่ขาดความเป็นธรรม – ลำเอียงในการประเมิน “ใครใกล้นายก็จะดีเด่น”
- การขาดการให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์ – ประเมินแล้วไม่ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
8. โครงสร้างองค์กรและระบบที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน
ประเด็นสำคัญในด้านนี้ได้แก่
- ภาระงานที่มากเกินไป – งานตามคำสั่งจากหน่วยงานต่างๆ ที่มากเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลโรงเรียน
- งานนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบท – ต้องขับเคลื่อนนโยบายที่ไม่ตรงกับความต้องการของโรงเรียน
- การขาดทรัพยากรและงบประมาณ – ไม่มีงบประมาณในการดำเนินงาน ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากโรงเรียน
- ระบบอุปถัมภ์ – การทำงานที่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าผลงาน
- บทบาทที่ไม่ชัดเจน – ความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ระหว่างการเป็นผู้ให้คำแนะนำและผู้ประเมิน
ศึกษานิเทศก์ที่มีจุดด้อยเหล่านี้จะส่งผลให้ขาดความน่าเชื่อถือและศรัทธาจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ทำให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาไม่บรรลุผลตามที่ควรจะเป็น หากได้รับการพัฒนาและแก้ไขจุดด้อยเหล่านี้ จะช่วยให้ศึกษานิเทศก์สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวม
ความคาดหวังต่อการพัฒนาการศึกษาของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถสรุปความคาดหวังต่อการพัฒนาการศึกษาจากการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ได้ดังนี้
1. การเป็นผู้นำทางวิชาการอย่างแท้จริง
ผู้บริหารสถานศึกษาคาดหวังให้ศึกษานิเทศก์
- เป็นผู้มีความลุ่มลึกในองค์ความรู้ทางการศึกษา สามารถถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ได้จริง
- เป็นผู้นำในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ที่ทันสมัย
- มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงในการถ่ายทอดความรู้ให้กับโรงเรียน
- พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการและนวัตกรรมการศึกษา
- เป็นแบบอย่างในการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
2. การให้คำปรึกษาและสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ
สถานศึกษาต้องการให้ศึกษานิเทศก์
- เป็นที่พึ่งทางวิชาการที่เข้าถึงได้ง่ายและพร้อมให้ความช่วยเหลือ
- ให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้จริง และเหมาะกับบริบทของโรงเรียน
- ช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาการศึกษา
- เป็นกัลยาณมิตรที่ช่วยชี้แนะและให้กำลังใจในการพัฒนางาน
- ส่งเสริม สนับสนุนครูและผู้บริหารในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเป็นองค์รวม
3. การสื่อสารและประสานงานที่มีประสิทธิภาพ
ความคาดหวังในด้านนี้ประกอบด้วย
- การสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย และสร้างแรงบันดาลใจ
- การประสานงานที่ราบรื่นระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานต้นสังกัด
- การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานภายนอก
- การแนะนำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การชี้ถูกผิด
- การให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
4. การนิเทศที่ตอบสนองความต้องการของโรงเรียน
ผู้บริหารคาดหวังให้การนิเทศมีลักษณะดังนี้
- การนิเทศที่เน้นการช่วยเหลือและพัฒนา ไม่ใช่การตรวจสอบหรือจับผิด
- การนิเทศที่มีการวางแผนร่วมกันและแจ้งล่วงหน้าอย่างเหมาะสม
- การนิเทศที่ลดภาระงานเอกสารและไม่รบกวนการจัดการเรียนการสอน
- การนิเทศที่นำไปสู่การพัฒนาที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
- การนิเทศที่คำนึงถึงบริบทและข้อจำกัดของโรงเรียน
5. การลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
สถานศึกษาต้องการให้ศึกษานิเทศก์ช่วย
- ลดการรายงานข้อมูลเดิมๆ ที่ซ้ำซ้อน
- บูรณาการการเก็บข้อมูลและการรายงานต่างๆ
- ปรับระยะเวลาและช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทการทำงานของโรงเรียน
- ช่วยกลั่นกรองงานนโยบายให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน
- ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ในการลดภาระงานธุรการ
6. การสร้างนวัตกรรมและแนวปฏิบัติที่ดี
ความคาดหวังในด้านนี้ได้แก่
- การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถเป็นแบบอย่างให้ครู
- การรวบรวมและเผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดีระหว่างโรงเรียน
- การสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของครูและสถานศึกษา
- การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน
- การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่มีประสิทธิภาพ
7. การประเมินที่นำไปสู่การพัฒนา
ผู้บริหารสถานศึกษาคาดหวังระบบการประเมินที่
- เน้นการประเมินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อตัดสินหรือจับผิด
- มีความโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นกลาง
- ใช้เกณฑ์ที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน
- มีการให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นประโยชน์
- นำผลการประเมินไปสู่การพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
8. การทำงานด้วยจิตวิญญาณของความเป็นนักการศึกษา
ความคาดหวังด้านคุณค่าและจริยธรรมวิชาชีพ
- การทำงานด้วยหัวใจ มีความรักและศรัทธาในวิชาชีพ
- การเสียสละและอุทิศตนเพื่อการพัฒนาการศึกษา
- การมีจิตวิญญาณของความเป็นครูของครู
- การมีความเป็นกัลยาณมิตร ให้เกียรติและยอมรับในศักยภาพของครูและผู้บริหาร
- การทำงานโดยยึดประโยชน์ของผู้เรียนและการศึกษาเป็นสำคัญ
9. การพัฒนาระบบการสนับสนุนที่ยั่งยืน
สถานศึกษาคาดหวังให้ศึกษานิเทศก์ช่วย
- วางระบบการพัฒนาที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
- เชื่อมโยงทรัพยากรและความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก
- สร้างเครือข่ายการพัฒนาระหว่างโรงเรียน
- ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์
- พัฒนาศักยภาพของโรงเรียนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
ความคาดหวังเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริหารสถานศึกษาต้องการให้ศึกษานิเทศก์เป็นมากกว่าผู้ตรวจสอบหรือผู้ประเมิน แต่ควรเป็น “หุ้นส่วนในการพัฒนา” ที่ทำงานร่วมกับโรงเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ด้วยความเป็นมืออาชีพ มีหัวใจของความเป็นนักการศึกษา และมีความเข้าใจในบริบทที่แตกต่างของแต่ละโรงเรียน
ข้อเสนอแนะของผู้บริหารในการพัฒนาการศึกษาของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถสรุปข้อเสนอแนะในการพัฒนาการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ได้ดังนี้
1. การพัฒนาความเป็นผู้นำทางวิชาการ
- ศึกษานิเทศก์ควรเป็นผู้นำทางวิชาการอย่างแท้จริง มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการถ่ายทอดความรู้ให้กับโรงเรียน
- ควรพัฒนาองค์ความรู้ของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
- ควรมีนวัตกรรมที่เป็นแบบอย่างให้ครูอย่างน้อยคนละหนึ่งอย่าง ไม่ใช่ให้แต่ครูและโรงเรียนหาเอง
- ควรเป็นวิทยากรเองได้ ไม่ใช่ให้ผู้บริหารมาเป็นวิทยากรแทน เพราะศึกษานิเทศก์ต้องเป็นที่พึ่งทางวิชาการให้กับโรงเรียน
2. การปรับปรุงกระบวนการนิเทศ
- ควรแจ้งโรงเรียนล่วงหน้าก่อนออกนิเทศ ระบุภารกิจและสิ่งที่ต้องการดูให้ชัดเจน เพื่อโรงเรียนจะได้จัดเตรียมบุคลากรและข้อมูลได้อย่างเหมาะสม
- ไม่ควรนิเทศแบบจู่โจม เพราะทำให้การบริหารจัดการชั้นเรียนเกิดปัญหา ครูต้องทิ้งห้องเรียนมารับการนิเทศ
- ควรใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น การนิเทศออนไลน์ เพื่อลดภาระและให้ทุกฝ่ายใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควรนิเทศจริงๆ ไม่ใช่ออกไปโรงเรียนเพื่อเอางานของตัวเอง หรือไปเพียงเพื่อถ่ายรูปเบิกเบี้ยเลี้ยง
3. การลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
- ควรลดการรายงานข้อมูลซ้ำซ้อน และไม่ควรขอข้อมูลเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา
- ข้อมูลที่ขอจากโรงเรียนควรนำไปจัดเก็บเป็นระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อเก็บและรายงานอย่างเดียว
- ไม่ควรจัดอบรมในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ เพราะครูมีหน้าที่สอน ไม่ใช่มีหน้าที่นั่งอบรมตามโครงการ
- ไม่ควรสร้างภาระงานเอกสารโดยไม่จำเป็น เมื่อมานิเทศบอกว่าไม่ต้องเตรียมอะไร แต่พอมาถึงกลับถามหาเอกสารจำนวนมาก
4. การปรับวิธีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์
- ควรแนะนำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การชี้ถูกผิดให้ครู
- ควรมีการสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ และเข้าใจความหมายได้ง่าย
- ไม่ควรยกตนข่มท่าน หรือทำตัวเป็นเจ้านาย ควรระลึกว่าตนเองก็มาจากครู
- ควรมีกริยามารยาทที่ดี มีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ และพูดจาดี ไม่ใช้วาจาที่ทำให้ครูหรือผู้บริหารรู้สึกถูกตำหนิ
5. การเสริมสร้างความเป็นกัลยาณมิตร
- ควรทำงานด้วยหัวใจ ไม่ใช่มุ่งหวังผลงานจากโรงเรียนเพื่อนำไปอ้างเป็นของตนเอง
- ควรเป็นกัลยาณมิตร ให้ความช่วยเหลือด้วยความจริงใจ และเต็มใจ
- ควรเอาใจใส่ ใส่ใจดูแลโรงเรียนด้วยความจริงใจ
- ควรให้กำลังใจครู เสริมแรงทางบวก แทนที่จะติติงในความไม่พร้อม
6. การทำงานอย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม
- ควรมีความรับผิดชอบและอุทิศเวลาให้กับราชการ
- ไม่ควรนำผลงานของโรงเรียนไปอ้างเป็นผลงานของตนเอง โดยที่โรงเรียนไม่ได้รับรู้
- ควรมีความยุติธรรม ไม่เอนเอียง โดยเฉพาะในการตัดสินการประกวดแข่งขัน
- ควรทำงานโดยมุ่งประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษา ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
7. การพัฒนาระบบการทำงาน
- ควรทำงานแบบเป็นทีมและมีการประสานงานที่ดี
- ควรเป็นที่พึ่ง เป็นที่ไว้วางใจ และเป็นผู้ประสานงานที่ดีระหว่างโรงเรียนและเขตพื้นที่
- ศึกษานิเทศก์ควรทำหน้าที่ในศูนย์เครือข่ายต่างๆ อย่างเต็มที่
- ควรมีการวางแผนและบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่รอให้มีงบประมาณก่อนจึงจะทำงาน
8. การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาของโรงเรียน
- ควรส่งเสริม สนับสนุนครูและผู้บริหารในการพัฒนาผู้เรียน
- ควรช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้
- ควรให้คำแนะนำ ช่วยเหลือรายบุคคลได้ดี
- ควรเป็น “ศน. เคียงข้าง เคียงคู่ โรงเรียน” เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสนอแนะเหล่านี้จากผู้บริหารสถานศึกษาสะท้อนให้เห็นความคาดหวังที่มีต่อศึกษานิเทศก์ในฐานะผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปปรับใช้จะช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวม
ภาระงานที่ไม่ใช่ภารกิจของศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถระบุภาระงานที่ได้รับมอบหมายแต่ไม่ใช่ภารกิจหลักของศึกษานิเทศก์ ดังนี้
1. งานธุรการและการรวบรวมข้อมูล
- การเก็บรวบรวมข้อมูลซ้ำซ้อนและการขอข้อมูลเดิมๆ จากโรงเรียนทุกปี
- การให้โรงเรียนกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน โดยไม่มีการบูรณาการฐานข้อมูล
- งานที่มุ่งเน้นแค่การขอข้อมูลโดยไม่ได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์หรือใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง
- ภาระงานที่เกี่ยวกับการรายงานเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
2. งานนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบท
- งานนโยบายที่ไม่ตรงกับรูปแบบหรือบริบทของโรงเรียน
- การขับเคลื่อนนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา
- งานฝากจากหน่วยงานอื่นหรือบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการนิเทศการศึกษา
- งานที่เป็นไปตามความต้องการส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูง ไม่ใช่ความต้องการของโรงเรียน
3. งานบริหารทั่วไปและงานสนับสนุนผู้บริหาร
- การ “เดินตามหลังและคอยถือกระเป๋า กางร่มให้ รองเขตฯ ผอ.เขตฯ”
- งานที่เป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริหารระดับสูง
- การต้อนรับและดูแลแขกของเขตพื้นที่การศึกษา
- งานพิธีการและงานประชาสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิชาการ
4. งานประเมินเชิงซ้อน
- การประเมินโครงการเพื่อแลกงบประมาณต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
- งานประเมินต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นการตรวจสอบมากกว่าการพัฒนา
- การประเมินที่เน้นการจับผิดการทำงานของสถานศึกษา
- การประเมินที่มีกระบวนการซ้ำซ้อนกับการประเมินของหน่วยงานอื่น
5. งานอบรมที่ไม่ตรงกับความต้องการ
- การจัดอบรมเร่งด่วนในช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณเพื่อเร่งใช้งบประมาณ
- การจัดอบรมที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของครูและสถานศึกษา
- งานอบรมที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้าและแจ้งให้โรงเรียนเตรียมตัว
- การจัดอบรมเพียงเพื่อให้มีกิจกรรมรองรับงบประมาณ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริง
6. งานเอกสารและรายงานที่ไม่จำเป็น
- การตรวจเอกสารและการเรียกดูเอกสารจำนวนมากจากโรงเรียน
- การให้โรงเรียนจัดทำรายงานที่ซ้ำซ้อนและไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์
- การสร้างแบบฟอร์มและเอกสารที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น
- การให้ครูเตรียมเอกสารมากมายเพื่อรองรับการนิเทศ
7. งานที่เป็นภาระให้กับโรงเรียนโดยไม่จำเป็น
- การขอใช้สถานที่และทรัพยากรของโรงเรียนโดยไม่จำเป็น
- การมอบหมายงานให้โรงเรียนทำแทนในส่วนที่เป็นงานของศึกษานิเทศก์
- การขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนในการทำผลงานส่วนตัว
- การสั่งงานด่วนแก่โรงเรียนโดยไม่คำนึงถึงภาระงานและความพร้อมของโรงเรียน
8. งานนอกเหนือจากการนิเทศ
- งานที่นอกเหนือจากการนิเทศและไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
- งานตามคำสั่งของหน่วยงานต่างๆ ที่มากจนเกินไป จนศึกษานิเทศก์ไม่มีเวลาดูแลโรงเรียน
- ภารกิจที่ซ้ำซ้อนกับงานของหน่วยงานอื่น
- งานที่ไม่ตรงกับความเชี่ยวชาญและบทบาทหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
ภาระงานเหล่านี้ทำให้ศึกษานิเทศก์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หลักในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างเต็มที่ การปรับลดหรือบูรณาการงานเหล่านี้จะช่วยให้ศึกษานิเทศก์มีเวลาและทรัพยากรในการทำหน้าที่หลักในการเป็นผู้นำทางวิชาการและพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ SWOT จากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถามที่ได้รับจากผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่มีประสบการณ์การบริหารมากกว่า 10 ปี ผมได้ทำการวิเคราะห์ SWOT เพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ดังนี้
1. จุดแข็ง (Strengths)
1.1 ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ
ผู้บริหารสถานศึกษาให้ความเห็นว่าศึกษานิเทศก์ที่ดีจะมีความเข้มแข็งทางวิชาการ เป็นผู้แตกฉานในหลักวิชา สามารถแปลงหลักวิชาให้เป็นรูปธรรมที่เข้าใจง่าย มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตร แผนการจัดการเรียนรู้ และการจัดการศึกษา ศึกษานิเทศก์ที่มีความเข้มแข็งด้านวิชาการสามารถเป็นผู้นำในการยกระดับการศึกษาได้อย่างแท้จริง
1.2 ทักษะการสื่อสารและประสานงาน
จุดแข็งอีกประการที่ผู้บริหารมองเห็นคือ ทักษะการสื่อสารที่ดี มีศิลปะการพูดจูงใจ “พูดจาไพเราะอ่อนหวาน” และมีความสามารถในการประสานงานที่ยอดเยี่ยม “เก่งประสานงาน 10 ทิศ” ศึกษานิเทศก์ที่มีความสามารถด้านนี้สามารถเชื่อมประสานระหว่างโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 การให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ
หลายความเห็นระบุว่า ศึกษานิเทศก์ที่ดีจะช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ครูทำงานง่ายขึ้น เอาใจใส่ดูแลโรงเรียนด้วยความจริงใจ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ไว้วางใจ และช่วยจัดหาเครื่องมือเพื่อพัฒนาการศึกษา รวมถึงช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้
1.4 คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี
ศึกษานิเทศก์ที่ได้รับการยกย่องจะมีความรับผิดชอบ อุทิศเวลาให้กับราชการ เป็นกัลยาณมิตร ทำงานเป็นทีมได้ดี มีความจริงใจ และให้กำลังใจครู ลักษณะเหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นพื้นฐานของการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
1.5 ความสามารถในการนำและพัฒนา
จุดแข็งอีกประการหนึ่งคือ ความสามารถในการนำพาโรงเรียนและกลุ่มโรงเรียนขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ การพัฒนาสื่อที่เป็นประโยชน์แก่โรงเรียน และการถ่ายทอดความรู้ที่มีประสิทธิภาพ “ให้เห็นภาพง่ายๆ เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
2. จุดอ่อน (Weaknesses)
2.1 การขาดความเชี่ยวชาญและการพัฒนาตนเอง
ผู้บริหารหลายท่านระบุว่า ศึกษานิเทศก์บางคน “ไม่มีความรู้ความสามารถในหน้าที่” “ไม่เก่งงานวิชาการจริงๆ” และ “ไม่มีความเป็นผู้นำทางวิชาการ” นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการไม่พัฒนาตนเอง ทั้งที่วิชาการเป็นหัวใจสำคัญของงานนิเทศ การขาดความเชี่ยวชาญนี้ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของโรงเรียนได้
2.2 พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
จุดอ่อนสำคัญที่ถูกกล่าวถึงคือ การวางตัวไม่เหมาะสม เช่น “ชอบคิดว่าตนเองเก่ง” “มีบุคลิกภาพไม่น่าเชื่อถือ” “ทำตัวเป็นหัวหน้าครู หัวหน้าผอ.” และ “มาโรงเรียนยังกะเจ้านาย” พฤติกรรมเหล่านี้สร้างความไม่พอใจและลดความน่าเชื่อถือ
2.3 การสร้างภาระงานให้โรงเรียน
หลายความคิดเห็นสะท้อนว่า ศึกษานิเทศก์สร้างภาระงานให้โรงเรียนโดยไม่จำเป็น เช่น “เพิ่มภาระงานให้โรงเรียน” “สั่งการบังคับให้ครูทำงาน” “ขอข้อมูลซ้ำซ้อน” และ “เวลามานิเทศถามหาเอกสารร้อยแปดพันเล่ม” การสร้างภาระงานเหล่านี้ทำให้ครูและผู้บริหารมีเวลาน้อยลงในการพัฒนาการเรียนการสอน
2.4 การขาดการสนับสนุนที่แท้จริง
ผู้บริหารสะท้อนว่า ศึกษานิเทศก์บางคน “ไม่แนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน” “ไม่เคยลงมารับรู้ปัญหา” “มุ่งแต่จะเอางาน โดยไม่สนใจอย่างอื่น” และ “สร้างภาระให้ครูมากกว่าเป็นที่พึ่ง” ทำให้โรงเรียนรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง
2.5 การทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
จุดอ่อนสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น “ถ้าไม่มีเงินงบประมาณก็ไม่อยากทำโครงการ” “ส่วนใหญ่เอางานของโรงเรียนไปเป็นผลงานของตนเอง” และ “นำผลงานของโรงเรียนไปเป็นผลงานตนเอง” พฤติกรรมเหล่านี้สร้างความไม่พอใจและลดความไว้วางใจจากโรงเรียน
3. โอกาส (Opportunities)
3.1 ความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
สังคมและนโยบายการศึกษาในปัจจุบันให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาเป็นอย่างมาก ทำให้ศึกษานิเทศก์มีโอกาสในการแสดงบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ผู้บริหารมีความคาดหวังให้ “ศึกษานิเทศก์เป็นผู้นำวิชาการ” และ “พัฒนาการศึกษา” ซึ่งเป็นโอกาสให้ศึกษานิเทศก์ได้แสดงศักยภาพ
3.2 การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการนิเทศ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเปิดโอกาสให้ศึกษานิเทศก์สามารถใช้เทคโนโลยีในการทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีข้อเสนอแนะให้ “ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น นิเทศออนไลน์” ซึ่งจะช่วยลดภาระการเดินทางและเพิ่มความถี่ในการให้คำปรึกษา
3.3 การส่งเสริมการทำงานเป็นเครือข่าย
แนวคิดการทำงานเป็นเครือข่ายที่กำลังได้รับความนิยมเปิดโอกาสให้ศึกษานิเทศก์สามารถประสานความร่วมมือระหว่างโรงเรียน นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน สอดคล้องกับความเห็นที่ว่า ศึกษานิเทศก์ควร “นำพาโรงเรียน กลุ่มโรงเรียน ขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ”
3.4 โอกาสในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาต้องการนวัตกรรมใหม่ๆ ศึกษานิเทศก์มีโอกาสในการพัฒนาและสนับสนุนนวัตกรรมทางการศึกษา ตามที่มีข้อเสนอว่า “ควรมีนวัตกรรมที่เป็นแบบอย่างให้ครูสักอย่างต่อคน”
3.5 การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาวิชาชีพ
แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาวิชาชีพต่อเนื่องเปิดโอกาสให้ศึกษานิเทศก์พัฒนาตนเองและสนับสนุนการพัฒนาครู ตามความเห็นที่ว่า “ศึกษานิเทศก์ควรมีการพัฒนาองค์ความรู้อยู่ตลอดเวลา” และ “พัฒนาตนเองพร้อมขยายผลสู่โรงเรียน”
4. อุปสรรค (Threats)
4.1 ภาระงานที่มากเกินไป
อุปสรรคสำคัญที่ศึกษานิเทศก์เผชิญคือ ภาระงานที่มากเกินไป “งานตามคำสั่งจากหน่วยงานต่างๆ ที่มากจนเกินไป จนศึกษานิเทศก์ไม่มีเวลาดูแลโรงเรียน” และ “งานที่นอกเหนือจากการนิเทศ” ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างเต็มที่
4.2 งบประมาณที่จำกัด
ปัญหาด้านงบประมาณเป็นอุปสรรคสำคัญ “ถ้าไม่มีเงินงบประมาณก็ไม่อยากทำโครงการ” และ “ไม่มีเงินไม่มีงบประมาณไม่ดำเนินการ” สะท้อนให้เห็นว่างบประมาณที่จำกัดส่งผลต่อการทำงานและการริเริ่มโครงการใหม่ๆ
4.3 ระบบอุปถัมภ์และการเมืองในองค์กร
ระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคสำคัญ ดังที่มีความเห็นว่า “ใครใกล้นายก็จะดีเด่น” และ “เดินตามหลังและคอยถือกระเป๋า กางร่มให้ รองเขตฯ ผอ.เขตฯ เพื่อเลียนายแล้วได้ดี” ระบบนี้ทำให้การทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถและผลงาน แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว
4.4 การขาดการยอมรับและความเชื่อถือ
ศึกษานิเทศก์เผชิญกับการขาดการยอมรับและความเชื่อถือ มีภาพลักษณ์เชิงลบว่าเป็น “ครูที่ขี้เกียจสอนแล้วไปสอบเป็นศึกษานิเทศก์” และ “ศึกษานิเทศก์ถูกด้อยค่าจากผู้บริหารคณะครูเป็นอย่างมาก” ทำให้ยากต่อการสร้างความร่วมมือและการขับเคลื่อนงาน
4.5 การเปลี่ยนแปลงบริบททางการศึกษา
บริบททางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอุปสรรคที่ท้าทาย “ครูหาความรู้ได้ด้วยตนเอง กว้าง และมากหลากหลายยิ่งขึ้น” ทำให้บทบาทของศึกษานิเทศก์ในการให้ความรู้ลดความสำคัญลง ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มมูลค่าในการทำงาน
สรุปและข้อเสนอแนะ
การวิเคราะห์ SWOT จากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาชี้ให้เห็นว่า ศึกษานิเทศก์มีจุดแข็งในด้านความเชี่ยวชาญทางวิชาการและทักษะการสื่อสารประสานงาน แต่มีจุดอ่อนในด้านการสร้างภาระงานและการขาดการสนับสนุนที่แท้จริง โอกาสสำคัญคือความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ในขณะที่อุปสรรคสำคัญคือภาระงานที่มากเกินไปและระบบอุปถัมภ์
ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์:
-
กลยุทธ์เชิงรุก (SO): ใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญทางวิชาการและทักษะการสื่อสารประสานงาน ร่วมกับโอกาสด้านเทคโนโลยีและความต้องการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยพัฒนาระบบนิเทศออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและสร้างเครือข่ายวิชาการระหว่างโรงเรียน
-
กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO): แก้ไขจุดอ่อนด้านการสร้างภาระงานและการขาดการสนับสนุนที่แท้จริง โดยใช้โอกาสด้านเทคโนโลยีและการทำงานเป็นเครือข่าย พัฒนาระบบข้อมูลที่บูรณาการเพื่อลดการขอข้อมูลซ้ำซ้อน และปรับเปลี่ยนวิธีการนิเทศให้เน้นการสนับสนุนมากกว่าการตรวจสอบ
-
กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST): ใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญทางวิชาการและคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี เพื่อป้องกันอุปสรรคด้านการขาดการยอมรับและภาระงานที่มากเกินไป โดยพัฒนาตนเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่โรงเรียนต้องการและสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม
-
กลยุทธ์เชิงรับ (WT): ลดจุดอ่อนด้านการทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคด้านระบบอุปถัมภ์และการขาดการยอมรับ โดยสร้างจรรยาบรรณวิชาชีพที่เข้มแข็ง ปฏิบัติตนอย่างมืออาชีพ และทำงานด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม
การพัฒนาการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ตามแนวทางข้างต้นจะช่วยยกระดับคุณภาพการทำงาน สร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้บริหารสถานศึกษาและครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยรวม
ตารางวิเคราะห์ SWOT จากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จุดแข็ง (Strengths) | จุดอ่อน (Weaknesses) |
---|---|
1. ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ – มีความแตกฉานในหลักวิชา – แปลงหลักวิชาให้เป็นรูปธรรมเข้าใจง่าย – มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรและแผนการสอน – เป็นผู้นำในการยกระดับการศึกษา | 1. การขาดความเชี่ยวชาญและการพัฒนาตนเอง – ไม่มีความรู้ความสามารถในหน้าที่ – ไม่เก่งงานวิชาการจริงๆ – ขาดความเป็นผู้นำทางวิชาการ – ไม่พัฒนาตนเอง |
2. ทักษะการสื่อสารและประสานงาน – มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีศิลปะการพูดจูงใจ – พูดจาไพเราะอ่อนหวาน – เก่งประสานงาน 10 ทิศ – เชื่อมประสานระหว่างโรงเรียนและเขตพื้นที่ | 2. พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม – ชอบคิดว่าตนเองเก่ง – มีบุคลิกภาพไม่น่าเชื่อถือ – ทำตัวเป็นหัวหน้าครู หัวหน้าผอ. – มาโรงเรียนยังกะเจ้านาย |
3. การให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ – ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ครู – เอาใจใส่ดูแลโรงเรียนด้วยความจริงใจ – เป็นที่พึ่ง เป็นที่ไว้วางใจ – ช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนครู | 3. การสร้างภาระงานให้โรงเรียน – เพิ่มภาระงานให้โรงเรียน – สั่งการบังคับให้ครูทำงาน – ขอข้อมูลซ้ำซ้อน – ถามหาเอกสารจำนวนมากเมื่อมานิเทศ |
4. คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี – มีความรับผิดชอบ อุทิศเวลา – เป็นกัลยาณมิตร – ทำงานเป็นทีมได้ดี – มีความจริงใจ ให้กำลังใจครู | 4. การขาดการสนับสนุนที่แท้จริง – ไม่แนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ – ไม่เคยลงมารับรู้ปัญหา – มุ่งแต่จะเอางาน – สร้างภาระมากกว่าเป็นที่พึ่ง |
5. ความสามารถในการนำและพัฒนา – นำพาโรงเรียนขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ – พัฒนาสื่อที่เป็นประโยชน์แก่โรงเรียน – ถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ – มีวิธีปฏิบัติหลากหลายตามบริบท | 5. การทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว – ทำงานเฉพาะเมื่อมีงบประมาณ – เอางานของโรงเรียนไปเป็นผลงานตนเอง – ไม่หวังประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษา – เบียดบังทรัพยากรของโรงเรียน |
โอกาส (Opportunities) | อุปสรรค (Threats) |
---|---|
1. ความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา – นโยบายให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษา – ความคาดหวังให้เป็นผู้นำวิชาการ – โอกาสในการแสดงศักยภาพ – การปฏิรูปการศึกษา | 1. ภาระงานที่มากเกินไป – งานตามคำสั่งจากหน่วยงานต่างๆ มากเกินไป – งานนอกเหนือจากการนิเทศ – งานด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ – งานฝากจากคนอื่น |
2. การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการนิเทศ – นิเทศออนไลน์ – ระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ – สื่อดิจิทัลที่หลากหลาย – การสื่อสารที่รวดเร็ว | 2. งบประมาณที่จำกัด – ไม่มีงบประมาณในการดำเนินโครงการ – ต้องอาศัยทรัพยากรจากโรงเรียน – การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เหมาะสม – การใช้งบประมาณไม่ตรงกับความต้องการ |
3. การส่งเสริมการทำงานเป็นเครือข่าย – เครือข่ายระหว่างโรงเรียน – การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ – ความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก – ชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) | 3. ระบบอุปถัมภ์และการเมืองในองค์กร – “ใครใกล้นายก็จะดีเด่น” – การเดินตามหลังและคอยถือกระเป๋าผู้บริหาร – ระบบที่ไม่ให้ความสำคัญกับความสามารถ – การทำงานที่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว |
4. โอกาสในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา – การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ – การสนับสนุนนวัตกรรมของครู – แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย – การแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรม | 4. การขาดการยอมรับและความเชื่อถือ – ภาพลักษณ์เชิงลบว่าเป็น “ครูที่ขี้เกียจสอน” – การถูกด้อยค่าจากผู้บริหารและครู – ความไม่เชื่อมั่นในความสามารถ – การต่อต้านจากโรงเรียน |
5. การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาวิชาชีพ – การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – การสนับสนุนการพัฒนาครู – การขยายผลความรู้สู่โรงเรียน – การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ | 5. การเปลี่ยนแปลงบริบททางการศึกษา – ครูหาความรู้ได้ด้วยตนเองมากขึ้น – เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว – บริบทโรงเรียนที่แตกต่างและซับซ้อน – ความต้องการทางการศึกษาที่เปลี่ยนไป |
การวิเคราะห์ TOWS Matrix การปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
การวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จากข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและการวิเคราะห์ TOWS Matrix ขอนำเสนอการวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
1.1 การกำหนดบทบาทและภารกิจที่ไม่ชัดเจน
สาเหตุ: ศึกษานิเทศก์มีภาระงานที่มากเกินไปและหลากหลาย ทั้งงานนิเทศ งานนโยบาย งานประเมิน และงานธุรการต่างๆ ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทกับงานหลักคือการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในขณะเดียวกัน บทบาทของศึกษานิเทศก์ก็ไม่ได้รับการนิยามที่ชัดเจนว่าควรเป็น “ผู้ตรวจสอบ” หรือ “ผู้สนับสนุน” เมื่อบทบาทไม่ชัดเจน การปฏิบัติงานจึงมีความขัดแย้งในตัวเอง
1.2 ระบบการบริหารและโครงสร้างองค์กร
สาเหตุ: ระบบอุปถัมภ์และการเมืองในองค์กรเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของศึกษานิเทศก์ การที่ “ใครใกล้นายก็จะดีเด่น” หรือต้อง “เดินตามหลังและคอยถือกระเป๋า” สะท้อนว่าการประเมินผลงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถและผลงานที่แท้จริง แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว ทำให้ศึกษานิเทศก์บางคนไม่เห็นความจำเป็นในการพัฒนาตนเองหรือทุ่มเทกับงาน
1.3 วัฒนธรรมการทำงานและทัศนคติ
สาเหตุ: ทั้งศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษามีทัศนคติและความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน ศึกษานิเทศก์บางคนมองว่าตนเป็น “ผู้ตรวจสอบ” จึงแสดงออกในลักษณะที่เหนือกว่า “มาโรงเรียนยังกะเจ้านาย” ในขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาคาดหวังให้ศึกษานิเทศก์เป็น “ผู้สนับสนุน” ที่ช่วยเหลือและให้คำแนะนำ ความไม่สอดคล้องนี้นำไปสู่ความขัดแย้งและการไม่ยอมรับ
1.4 การขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุ: ระบบการพัฒนาศึกษานิเทศก์ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทั้งในด้านความรู้ทางวิชาการ เทคนิคการนิเทศ และทักษะการสื่อสาร ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่ “ไม่พัฒนาตนเอง” ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของโรงเรียนได้
1.5 ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ
สาเหตุ: งบประมาณที่จำกัดเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของศึกษานิเทศก์ การที่ “ถ้าไม่มีเงินงบประมาณก็ไม่อยากทำโครงการ” สะท้อนว่า ศึกษานิเทศก์ไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการทำงาน จึงต้องพึ่งพาทรัพยากรจากโรงเรียน ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกว่าศึกษานิเทศก์ “เบียดบังทรัพยากรของโรงเรียน”
2. แนวทางการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน
2.1 ปรับโครงสร้างภาระงานของศึกษานิเทศก์
แนวทาง: ทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของภาระงาน ลดงานธุรการและงานที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ศึกษานิเทศก์มีเวลาเพียงพอสำหรับงานนิเทศที่มีคุณภาพ กำหนดขอบเขตงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
2.2 พัฒนาระบบข้อมูลที่บูรณาการ
แนวทาง: สร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่โรงเรียนสามารถกรอกข้อมูลเพียงครั้งเดียวและหน่วยงานต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ เพื่อลดการขอข้อมูลซ้ำซ้อน และลดภาระงานเอกสารของครูและผู้บริหาร ใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล
2.3 ปรับวิธีการนิเทศ
แนวทาง: ปรับเปลี่ยนวิธีการนิเทศจากการตรวจสอบเอกสารเป็นการให้คำปรึกษาและสนับสนุน แจ้งแผนการนิเทศล่วงหน้าและระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ใช้การนิเทศออนไลน์เพื่อลดการรบกวนการจัดการเรียนการสอน และเพิ่มความถี่ในการให้คำปรึกษา
2.4 จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์
แนวทาง: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการสื่อสาร มนุษยสัมพันธ์ และเทคนิคการให้คำปรึกษาแก่ศึกษานิเทศก์ทุกคนโดยเร่งด่วน เน้นการสื่อสารที่สร้างสรรค์ การให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงเรียน
2.5 สร้างระบบการประเมินผลการทำงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม
แนวทาง: พัฒนาเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์ที่เน้นคุณภาพของงานและผลกระทบต่อการพัฒนาการศึกษา ให้ผู้บริหารสถานศึกษาและครูมีส่วนร่วมในการประเมิน เพื่อลดอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว
3.1 ปฏิรูประบบการคัดเลือกและพัฒนาศึกษานิเทศก์
แนวทาง: ปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกศึกษานิเทศก์ให้เน้นความเชี่ยวชาญทางวิชาการและความสามารถในการนิเทศ กำหนดให้มีการพัฒนาต่อเนื่องด้วยระบบ ID Plan (Individual Development Plan) และเชื่อมโยงกับความก้าวหน้าในวิชาชีพ สร้างระบบพี่เลี้ยงโดยให้ศึกษานิเทศก์ที่มีประสบการณ์เป็นพี่เลี้ยงให้กับรุ่นใหม่
3.2 พัฒนาศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
แนวทาง: จัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาหลักสูตร การวัดและประเมินผล เทคโนโลยีการศึกษา ฯลฯ โดยให้ศึกษานิเทศก์พัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านที่ตนถนัดและสนใจ เพื่อให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือโรงเรียนได้อย่างลึกซึ้ง
3.3 สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นคุณภาพและความร่วมมือ
แนวทาง: ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เน้นคุณภาพของงานและความร่วมมือมากกว่าการใช้อำนาจและระบบอุปถัมภ์ สร้างค่านิยมในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และยกย่องเชิดชูศึกษานิเทศก์ที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
3.4 พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ
แนวทาง: สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ สถาบันอุดมศึกษา และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อระดมทรัพยากรและองค์ความรู้ในการพัฒนาการศึกษา ใช้กระบวนการ PLC (Professional Learning Community) ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน
3.5 พัฒนานวัตกรรมการนิเทศ
แนวทาง: ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของสถานศึกษา เช่น การนิเทศออนไลน์ การโค้ชแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อเสนอแนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการนิเทศในยุคดิจิทัล
3.6 ปรับโครงสร้างการบริหารและระบบงบประมาณ
แนวทาง: ทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างการบริหารให้กระจายอำนาจและความรับผิดชอบมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น และให้ศึกษานิเทศก์มีอิสระในการทำงานมากขึ้น พัฒนาระบบงบประมาณที่มีความยืดหยุ่นและเพียงพอสำหรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
3.7 พัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลที่เน้นการพัฒนา
แนวทาง: ปรับเปลี่ยนระบบการติดตามและประเมินผลจากการตรวจสอบเป็นการพัฒนา เน้นการประเมินเพื่อปรับปรุงและพัฒนามากกว่าการตัดสิน ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งและหลายวิธีในการประเมิน และให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
4. บทสรุป
ปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์มีสาเหตุหลายประการ ทั้งจากโครงสร้างการทำงาน ระบบการบริหาร วัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาบุคลากร และข้อจำกัดด้านทรัพยากร การแก้ไขปัญหาต้องดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนบทบาทของศึกษานิเทศก์ให้เป็น “ผู้สนับสนุน” มากกว่า “ผู้ตรวจสอบ” ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น พัฒนาความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็น ปรับปรุงระบบการบริหารและวัฒนธรรมองค์กร และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเป็นภารกิจที่สำคัญและท้าทาย ศึกษานิเทศก์ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและพัฒนาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้บริหารสถานศึกษาและครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวม
การวิเคราะห์ TOWS Matrix การปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จุดแข็ง (S) 1. ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ 2. ทักษะการสื่อสารและประสานงาน 3. การให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ 4. คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี 5. ความสามารถในการนำและพัฒนา | จุดอ่อน (W) 1. การขาดความเชี่ยวชาญและการพัฒนาตนเอง 2. พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 3. การสร้างภาระงานให้โรงเรียน 4. การขาดการสนับสนุนที่แท้จริง 5. การทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว | |
โอกาส (O) 1. ความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2. การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการนิเทศ 3. การส่งเสริมการทำงานเป็นเครือข่าย 4. โอกาสในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา 5. การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาวิชาชีพ | กลยุทธ์เชิงรุก (SO) 1. พัฒนาระบบนิเทศออนไลน์ที่ใช้ความเชี่ยวชาญและทักษะการสื่อสาร (S1, S2, O2) 2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนโดยใช้ความสามารถในการประสานงาน (S2, S5, O3) 3. พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของโรงเรียน (S1, S3, O4) 4. สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) โดยใช้คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี (S4, O5) 5. จัดทำโครงการพัฒนาที่ตอบสนองนโยบายการยกระดับคุณภาพการศึกษา (S5, O1) | กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO) 1. จัดระบบพัฒนาศึกษานิเทศก์อย่างต่อเนื่องโดยใช้เทคโนโลยีและเครือข่าย (W1, O2, O3, O5) 2. ปรับเปลี่ยนวิธีการนิเทศให้เน้นการสนับสนุนมากกว่าการตรวจสอบ (W2, W3, O1) 3. พัฒนาระบบข้อมูลที่บูรณาการเพื่อลดการขอข้อมูลซ้ำซ้อน (W3, O2) 4. สร้างนวัตกรรมการนิเทศที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของโรงเรียน (W4, O4) 5. ส่งเสริมการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมผ่านระบบการยกย่องเชิดชูเกียรติ (W5, O1) |
อุปสรรค (T) 1. ภาระงานที่มากเกินไป 2. งบประมาณที่จำกัด 3. ระบบอุปถัมภ์และการเมืองในองค์กร 4. การขาดการยอมรับและความเชื่อถือ 5. การเปลี่ยนแปลงบริบททางการศึกษา | กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST) 1. ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อจัดลำดับความสำคัญของงาน (S1, T1) 2. สร้างสรรค์วิธีการทำงานที่ใช้ทรัพยากรน้อยแต่มีประสิทธิภาพสูง (S5, T2) 3. ใช้ทักษะการสื่อสารและคุณลักษณะส่วนบุคคลเพื่อสร้างความเชื่อถือ (S2, S4, T4) 4. ทำงานด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม เพื่อลดผลกระทบจากระบบอุปถัมภ์ (S4, T3) 5. ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ความสามารถในการนำและพัฒนา (S5, T5) | กลยุทธ์เชิงรับ (WT) 1. ลดความซ้ำซ้อนของงานและปรับปรุงกระบวนการทำงาน (W3, T1) 2. แสวงหาความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นเพื่อการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (W5, T2) 3. สร้างจรรยาบรรณวิชาชีพที่เข้มแข็งและปฏิบัติตนอย่างมืออาชีพ (W2, T3, T4) 4. ปรับเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตรวจสอบ” เป็น “โค้ช” หรือ “ที่ปรึกษา” (W4, T4, T5) 5. พัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ตอบสนองบริบทที่เปลี่ยนแปลง (W1, T5) |
แนวทางในการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ SWOT และ TOWS Matrix พบว่ามีปัญหาหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างละเอียด ดังนี้
แนวทางการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (ภายใน 1 ปี)
1. การปรับโครงสร้างภาระงานและบทบาทหน้าที่
ปัญหา: ศึกษานิเทศก์มีภาระงานที่มากเกินไป หลากหลาย และมีงานที่ไม่ใช่ภารกิจหลักจำนวนมาก
แนวทางแก้ไข:
- จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อทบทวนและจัดทำคำบรรยายลักษณะงาน (Job Description) ของศึกษานิเทศก์ให้ชัดเจน
- จำแนกงานหลักและงานรอง แยกงานที่เป็นภารกิจหลักและงานที่ไม่จำเป็นออกจากกัน และลดหรือกระจายงานที่ไม่จำเป็น
- กระจายอำนาจและมอบหมายงาน โดยถ่ายโอนงานบางส่วนไปยังบุคลากรอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
- จัดทำปฏิทินการนิเทศ ที่ชัดเจน มีการระบุวัตถุประสงค์ ประเด็นในการนิเทศ และรูปแบบการนิเทศที่เหมาะสมกับแต่ละโรงเรียน
- กำหนดรูปแบบการรายงานที่กระชับ ให้ใช้รูปแบบการรายงานที่สั้น กระชับ เน้นประเด็นสำคัญ เพื่อลดภาระในการเขียนรายงาน
2. การพัฒนาระบบข้อมูลและลดความซ้ำซ้อน
ปัญหา: มีการขอข้อมูลซ้ำซ้อน สร้างภาระให้กับโรงเรียนในการรายงานข้อมูลหลายครั้ง
แนวทางแก้ไข:
- พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง ที่เชื่อมโยงระหว่างเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน โดยให้โรงเรียนกรอกข้อมูลเพียงครั้งเดียว
- จัดทำทะเบียนข้อมูลพื้นฐาน ของแต่ละโรงเรียน และกำหนดให้มีการปรับปรุงข้อมูลทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี แทนการขอข้อมูลซ้ำ
- พัฒนาแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ สำหรับรายงานข้อมูลและติดตามความก้าวหน้า เพื่อลดภาระงานเอกสาร
- บูรณาการการรายงานข้อมูล ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการรายงาน
- จัดทำคลังข้อมูลสารสนเทศ ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
3. การปรับวิธีการนิเทศและการติดตาม
ปัญหา: วิธีการนิเทศแบบจู่โจม เน้นการตรวจเอกสาร และสร้างภาระให้ครูและผู้บริหาร
แนวทางแก้ไข:
- ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนิเทศ จากการตรวจสอบเอกสารเป็นการให้คำปรึกษาและสนับสนุน (Coaching & Mentoring)
- แจ้งแผนการนิเทศล่วงหน้า อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ พร้อมระบุวัตถุประสงค์และประเด็นที่จะนิเทศให้ชัดเจน
- ริเริ่มการนิเทศออนไลน์ ในบางกรณีเพื่อลดการรบกวนการจัดการเรียนการสอนและประหยัดทรัพยากร
- ลดจำนวนเอกสารที่ต้องเตรียม ให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นสำหรับการนิเทศแต่ละครั้ง
- จัดทำแบบฟอร์มการนิเทศที่กระชับ เน้นการให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์มากกว่าการจับผิด
4. การพัฒนาทักษะการสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์
ปัญหา: การสื่อสารที่ไม่เหมาะสม การวางตัว และพฤติกรรมที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริหารและครู
แนวทางแก้ไข:
- จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ด้านทักษะการสื่อสาร การฟังอย่างตั้งใจ และการให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างสร้างสรรค์
- จัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร และครู เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือ
- พัฒนาคู่มือจรรยาบรรณ ของศึกษานิเทศก์ที่เน้นการวางตัวอย่างเหมาะสม การให้เกียรติ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- จัดให้มีระบบพี่เลี้ยง โดยให้ศึกษานิเทศก์ที่มีประสบการณ์และมีมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นพี่เลี้ยงให้กับศึกษานิเทศก์ที่ยังมีปัญหา
- จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
5. การพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษา
ปัญหา: การขาดความร่วมมือที่ดีระหว่างศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษา
แนวทางแก้ไข:
- จัดประชุมร่วมระหว่างศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาร่วมกัน
- พัฒนาโครงการนำร่องความร่วมมือ ในประเด็นที่เป็นความต้องการเร่งด่วนของโรงเรียน
- สร้างทีมพัฒนาวิชาการร่วม ระหว่างศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ
- จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
- พัฒนาระบบการให้คำปรึกษาทางวิชาการ ที่ผู้บริหารสามารถขอรับคำปรึกษาได้ตามความต้องการ
แนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว (2-5 ปี)
1. การปฏิรูประบบการคัดเลือกและพัฒนาศึกษานิเทศก์
ปัญหา: ศึกษานิเทศก์บางคนขาดความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำทางวิชาการ
แนวทางแก้ไข:
- ปรับปรุงเกณฑ์การคัดเลือก ให้เน้นความเชี่ยวชาญทางวิชาการ ประสบการณ์การสอนที่มีคุณภาพ และความสามารถในการให้คำปรึกษา
- พัฒนาระบบการประเมินสมรรถนะ ที่ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำเป็น
- กำหนดให้มีการพัฒนาต่อเนื่อง ด้วยระบบ ID Plan (Individual Development Plan) ที่เชื่อมโยงกับความก้าวหน้าในวิชาชีพ
- สร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะสำหรับการพัฒนาศึกษานิเทศก์
- ส่งเสริมการศึกษาดูงานและการแลกเปลี่ยน ทั้งในและต่างประเทศเพื่อเปิดมุมมองและพัฒนาความเชี่ยวชาญ
2. การพัฒนาศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ปัญหา: ศึกษานิเทศก์ต้องดูแลงานหลากหลายด้านทำให้ไม่สามารถเชี่ยวชาญได้ลึกซึ้ง
แนวทางแก้ไข:
- จัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาหลักสูตร การวัดประเมินผล เทคโนโลยีการศึกษา การนิเทศการสอนเฉพาะกลุ่มสาระ
- ส่งเสริมให้ศึกษานิเทศก์พัฒนาความเชี่ยวชาญ ในด้านที่ตนถนัดและสนใจ ผ่านการอบรม การวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม
- สร้างทีมนิเทศที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของโรงเรียน
- พัฒนาระบบการให้คำปรึกษาเฉพาะทาง ที่โรงเรียนสามารถเข้าถึงได้ตามความต้องการ
- จัดทำคลังความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี ในแต่ละด้านเพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงและเรียนรู้
3. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นคุณภาพและความร่วมมือ
ปัญหา: ระบบอุปถัมภ์และการทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
แนวทางแก้ไข:
- พัฒนาค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร ที่เน้นคุณภาพ ความโปร่งใส และการทำงานเพื่อส่วนรวม
- ปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้มีความโปร่งใส ยุติธรรม และเน้นผลลัพธ์ของงาน
- สร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล ที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการวางแผน ดำเนินการ และประเมินผลการนิเทศ
- ยกย่องและเชิดชูศึกษานิเทศก์ ที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
4. การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ปัญหา: การทำงานแบบแยกส่วนและขาดความร่วมมือที่เข้มแข็ง
แนวทางแก้ไข:
- สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ สถาบันอุดมศึกษา และหน่วยงานอื่นๆ
- พัฒนาระบบ PLC (Professional Learning Community) ที่เชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนในเขตพื้นที่
- ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและองค์ความรู้ ระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ
- จัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาการศึกษา ที่มาจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชน
- สร้างพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ที่เป็นแหล่งทดลองและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาร่วมกัน
5. การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศและการใช้เทคโนโลยี
ปัญหา: รูปแบบการนิเทศที่ล้าสมัยและไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
แนวทางแก้ไข:
- ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมการนิเทศที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของสถานศึกษา
- พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการนิเทศ ที่ช่วยให้การนิเทศมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย
- นำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการให้คำแนะนำที่เหมาะสม
- สร้างระบบการเรียนรู้ออนไลน์ ที่ครูและผู้บริหารสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา
- พัฒนาเครื่องมือการนิเทศที่ทันสมัย เช่น แอปพลิเคชันสำหรับการสังเกตการสอน การให้ข้อมูลย้อนกลับ และการติดตามความก้าวหน้า
6. การปรับโครงสร้างและระบบงบประมาณ
ปัญหา: โครงสร้างการบริหารที่ซับซ้อนและงบประมาณที่จำกัด
แนวทางแก้ไข:
- ทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ให้มีความยืดหยุ่น กระจายอำนาจ และลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น
- พัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (Performance-Based Budgeting) ที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์การพัฒนา
- แสวงหาแหล่งทรัพยากรและความร่วมมือ จากภาคส่วนต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
- ปรับปรุงระบบการจัดสรรทรัพยากร ให้เหมาะสมกับความต้องการและบริบทของแต่ละพื้นที่
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากร ที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
การแก้ไขปัญหาทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งผู้บริหารระดับสูง ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การปรับเปลี่ยนต้องเริ่มจากการสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงบทบาทและเป้าหมายของการนิเทศ และมุ่งสู่การพัฒนาระบบการนิเทศที่มีคุณภาพ เป็นมิตร และก่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน
จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามตามประสบการณ์การทำงาน
อายุราชการ/ประสบการณ์ทำงาน | จำนวน (คน) | ร้อยละ |
---|---|---|
มากกว่า 10 ปี | 76 | 89.41% |
ระหว่าง 5-10 ปี | 9 | 10.59% |
น้อยกว่า 5 ปี | 0 | 0.00% |
รวม | 85 | 100.00% |
หมายเหตุ: ข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จากกราฟจะเห็นได้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 89.41 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ขณะที่มีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ระหว่าง 5-10 ปี คิดเป็นร้อยละ 10.59 และไม่มีผู้บริหารที่มีประสบการณ์น้อยกว่า 5 ปีตอบแบบสอบถาม
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าความคิดเห็นที่ได้จากการสำรวจมาจากผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูง ซึ่งน่าจะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ได้อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากพวกเขาได้ทำงานร่วมกับศึกษานิเทศก์มาเป็นระยะเวลานาน
สรุปภาพรวมการวิเคราะห์การปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 85 คน ซึ่งส่วนใหญ่ (89.41%) มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 10 ปี ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ พบประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคในการทำงานของศึกษานิเทศก์
สถานการณ์ปัจจุบัน
ศึกษานิเทศก์มีบทบาทสำคัญในระบบการศึกษาที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจชี้ให้เห็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างความคาดหวังของผู้บริหารสถานศึกษาและการปฏิบัติหน้าที่จริงของศึกษานิเทศก์
จุดแข็งที่โดดเด่นของศึกษานิเทศก์คือความเชี่ยวชาญทางวิชาการ ทักษะการสื่อสาร และความสามารถในการสนับสนุนช่วยเหลือโรงเรียน ขณะที่จุดอ่อนสำคัญได้แก่ การสร้างภาระงานให้โรงเรียน การขาดการพัฒนาตนเอง และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่
สาเหตุของปัญหา
สาเหตุหลักของปัญหาที่พบมาจากหลายปัจจัย อาทิ
-
โครงสร้างและระบบการทำงาน – ศึกษานิเทศก์มีภาระงานที่หลากหลายและมากเกินไป ทั้งงานนิเทศ งานนโยบาย งานประเมิน และงานธุรการต่างๆ ทำให้ไม่สามารถมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาซึ่งเป็นภารกิจหลักได้อย่างเต็มที่
-
วัฒนธรรมองค์กรและระบบอุปถัมภ์ – ระบบอุปถัมภ์และการเมืองในองค์กรส่งผลให้การประเมินผลงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว ทำให้ขาดแรงจูงใจในการพัฒนางาน
-
การขาดการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ – ไม่มีระบบการพัฒนาศึกษานิเทศก์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บางคนขาดความเชี่ยวชาญและไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
-
ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ – ทรัพยากรและงบประมาณที่จำกัดส่งผลให้ศึกษานิเทศก์ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากโรงเรียน ซึ่งสร้างความรู้สึกเชิงลบ
-
ความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ – ความไม่ชัดเจนว่าศึกษานิเทศก์ควรเป็น “ผู้ตรวจสอบ” หรือ “ผู้สนับสนุน” ทำให้เกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน
ทิศทางการแก้ไขปัญหา
การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องดำเนินการทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว
มาตรการเร่งด่วน (1 ปี)
- ปรับโครงสร้างภาระงาน – ลดงานธุรการและงานที่ไม่จำเป็น กำหนดขอบเขตงานที่ชัดเจน
- พัฒนาระบบข้อมูลที่บูรณาการ – สร้างระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อลดการขอข้อมูลซ้ำซ้อน
- ปรับวิธีการนิเทศ – เน้นการให้คำปรึกษาและสนับสนุนมากกว่าการตรวจสอบ แจ้งแผนล่วงหน้า
- พัฒนาทักษะการสื่อสาร – จัดอบรมด้านทักษะการสื่อสาร การฟังอย่างตั้งใจ และการให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวก
- ปรับปรุงระบบการประเมินผล – สร้างเกณฑ์การประเมินที่โปร่งใสและเป็นธรรม
มาตรการระยะยาว (2-5 ปี)
- ปฏิรูประบบการคัดเลือกและพัฒนา – ปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกและพัฒนาศึกษานิเทศก์อย่างเป็นระบบ
- พัฒนาศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง – ส่งเสริมให้ศึกษานิเทศก์พัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านที่ตนถนัด
- สร้างวัฒนธรรมคุณภาพ – ปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นคุณภาพ โปร่งใส และการทำงานเพื่อส่วนรวม
- พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ – สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- พัฒนานวัตกรรมการนิเทศ – ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศที่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน
การพัฒนาความร่วมมือกับผู้บริหารสถานศึกษา
ตามเกณฑ์ ว10/2564 ผู้บริหารสถานศึกษาต้องแสดงสมรรถนะในการบริหารงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านวิชาการ ด้านการจัดการสถานศึกษา ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลง และด้านการบริหารชุมชนและเครือข่าย ศึกษานิเทศก์สามารถสนับสนุนผู้บริหารในทุกด้านได้ เช่น:
- ด้านวิชาการ – ช่วยพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล
- ด้านการจัดการ – ให้คำปรึกษาในการวางแผนพัฒนา การนิเทศภายใน และการพัฒนาคุณภาพ
- ด้านการเปลี่ยนแปลง – สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและการบริหารการเปลี่ยนแปลง
- ด้านชุมชน – ช่วยสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนและแหล่งเรียนรู้
บทสรุป
การแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของศึกษานิเทศก์จำเป็นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทั้งเชิงโครงสร้าง วัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร โดยการขับเคลื่อนที่สำคัญคือการปรับบทบาทของศึกษานิเทศก์ให้เป็น “หุ้นส่วนการพัฒนา” ที่ทำงานร่วมกับผู้บริหารและครูด้วยความเป็นกัลยาณมิตร
ศึกษานิเทศก์ในอนาคตควรเป็นผู้นำทางวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นที่ปรึกษาที่โรงเรียนไว้วางใจ และเป็นผู้สนับสนุนที่ช่วยให้โรงเรียนพัฒนาได้ตามศักยภาพและบริบทของตนเอง ซึ่งจะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศโดยรวม
ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว และผลการวิเคราะห์จากการตอบแบบสอบถามของผู้บริหารสถานศึกษา ร่วมกับ AI เท่านั้น หากมีข้อผิดพลาด หรือข้อความที่ไม่เหมาะสมผู้เขียนต้องขออภัยมาณ ที่นี้
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
28 กุมภาพันธ์ 2568
Comments
comments
Powered by Facebook Comments