Site icon Digital Learning Classroom

แผนการนิเทศสู่คุณภาพการศึกษา: ความท้าทายและโอกาสเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข”

แชร์เรื่องนี้

แผนการนิเทศสู่คุณภาพการศึกษา: ความท้าทายและโอกาสเพื่อพัฒนาผู้เรียน
ตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข”

หลักการและความสำคัญของการพัฒนาแผนการนิเทศ

การนิเทศการศึกษาถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไทย โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศไทยมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข” การที่ศึกษานิเทศก์ทุกคนจะต้องมีแผนการนิเทศที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ได้จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากการเขียนแผนการนิเทศเป็นหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ทุกคนที่กำหนดอยู่ในมาตรฐานตำแหน่ง เหมือนกับคุณครูที่ต้องมีแผนการสอน หรือผู้บริหารที่ต้องทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา ศึกษานิเทศก์ก็ต้องเขียนแผนการนิเทศเช่นเดียวกัน

หน่วยศึกษานิเทศก์สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้จัดประชุมปฏิบัติการพัฒนาแพลตฟอร์มการนิเทศการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนตามนโยบายเรียนดีมีความสุข และจัดอบรมเสริมสมรรถนะนิเทศการศึกษามุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพศึกษานิเทศก์ในการสร้างนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ

การเตรียมความพร้อมก่อนการนิเทศ: หลักการ “รู้เขารู้เรา”

ศึกษานิเทศก์กิตติ กสินธารา อดีตศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญในการเตรียมความพร้อมก่อนการนิเทศว่า “รู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง” โดยการเตรียมความพร้อมนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของการนิเทศ

การรู้ตัวเองเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ศึกษานิเทศก์ต้องวิเคราะห์ความรู้ความสามารถและจุดเด่นของตนเองก่อน ว่ามีความโดดเด่นหรือความสามารถบทบาทเฉพาะในด้านใด เช่น เก่งเรื่อง ICT เรื่องการวางแผน เรื่องหลักสูตร หรือเรื่องการประกัน แล้วเตรียมตัวในส่วนนั้นให้พร้อม หากไม่มีความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็ควรเชิญเพื่อนศึกษานิเทศก์ที่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มาช่วยนิเทศร่วมกัน เช่น เรื่องการประกัน เรื่องหลักสูตร เรื่องสื่อการเรียนการสอน

ขณะเดียวกัน การรู้บริบทของโรงเรียนที่จะไปนิเทศก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ต้องศึกษาว่าโรงเรียนมีบริบทเป็นอย่างไร เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ มีปัญหาแบบไหน หรือมีจุดเด่นอยู่แล้วและมีความพร้อมอย่างไร จะพัฒนาต่อยอดสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไร โรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดความพร้อมจะไปช่วยเหลือได้อย่างไร เพราะการนิเทศแต่ละโรงเรียนจะต้องใช้รูปแบบที่แตกต่างกันตามบริบท โรงเรียนเล็กต้องไปส่งเสริมและช่วยเหลือมาก โรงเรียนใหญ่อาจเน้นการส่งเสริมสนับสนุน

หลังจากวิเคราะห์ตัวเองและบริบทโรงเรียนแล้ว จึงต้องประสานกับโรงเรียนล่วงหน้า ไม่ใช่ไปจับผิดแต่เป็นการไปช่วยเหลือ จึงต้องมีการประสานงาน คุยกัน ตกลงกันว่าจะไปนิเทศแบบไหน จะสังเกตชั้นเรียน จะช่วยเหลือคุณครูในเรื่องใด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและบรรยากาศของการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

องค์ประกอบสำคัญของการนิเทศการศึกษา

ดร.สกาวรัตน์ ไกลมาก ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ได้วิเคราะห์องค์ประกอบของการนิเทศออกเป็น 3 ส่วนหลัก ที่ศึกษานิเทศก์ต้องเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วน ดังนี้

องค์ประกอบด้านบุคคล

บุคคลในการนิเทศหมายถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนิเทศ โดยหลักแล้วคือตัวศึกษานิเทศก์เอง แต่บางครั้งการนิเทศอาจเป็นแบบทีม ที่มีศึกษานิเทศก์หลายคนลงไปนิเทศพร้อมกัน หรืออาจมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกที่เราเชิญมาร่วม หรือแม้แต่ผู้บริหารสถานศึกษาที่เราชวนมานิเทศร่วมกัน การทำงานเป็นทีมจะช่วยให้การนิเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน

องค์ประกอบด้านวิธีการ

วิธีการถือเป็นส่วนสำคัญมากของการนิเทศ เพราะเหมือนเราต้องมียุทธศาสตร์ มีเครื่องมือ มีวิธีการที่จะทำให้การนิเทศมีประสิทธิภาพ วิธีการมีความหลากหลาย แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ รูปแบบ กระบวนการ และกิจกรรม

รูปแบบการนิเทศมีทั้งรูปแบบที่มีคนทำไว้อยู่แล้วที่เราเอามาใช้ หรือรูปแบบที่เราพัฒนาขึ้นใหม่ กระบวนการเป็นขั้นตอนต่างๆ ในการนิเทศ ซึ่งกระบวนการจะอยู่ในส่วนหนึ่งของรูปแบบอยู่แล้ว ส่วนกิจกรรมการนิเทศจะเป็นกิจกรรมที่เล็กลงมา เช่น การสังเกตชั้นเรียน การสาธิต การสัมภาษณ์ การชวนคุณครูระดมสมอง ระดมความคิด หรือแม้กระทั่งการโค้ชชิ่ง

องค์ประกอบด้านเครื่องมือ

เมื่อมีวิธีการแล้ว ต้องมีเครื่องมือที่จะใช้ในการเก็บข้อมูล การประเมิน การตรวจสอบ เพื่อให้เห็นว่าการนิเทศมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ เครื่องมือเหล่านี้มีมากมายจากนโยบายต่างๆ ที่ต้องติดตาม ดังนั้นจึงควรลดจำนวนเครื่องมือลงให้เป็นลักษณะของการทำ 1-2 ชิ้น แต่ตอบได้หลายๆ ชิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มนิเทศควรมาช่วยกันหากมันเกี่ยวข้องกับหลายคน

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการออกนิเทศ

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมมีความสำคัญต่อความสำเร็จของการนิเทศ โดยมีขั้นตอนหลักที่ต้องดำเนินการตามลำดับ

การรู้เขารู้เราเป็นขั้นตอนแรก ที่ต้องรู้ตัวเองและรู้บริบทของโรงเรียนดังที่กล่าวไปแล้ว จากนั้นต้องวิเคราะห์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ วิเคราะห์ agenda และ area ให้ครบ ดูว่าในปีงบประมาณนี้ ทางเขตพื้นที่และส่วนกลางมีจุดที่จะเน้นหรือต้องการพัฒนาตรงไหน วิเคราะห์สภาพปัญหาต่างๆ

จากนั้นกำหนดเป้าหมายว่าจะไปนิเทศครั้งนี้เพื่ออะไร จะนิเทศเรื่องอะไร อย่างไร แล้วก็วางแผนการนิเทศ การประสานงานศึกษานิเทศก์ต้องประสานงานให้มีประสิทธิภาพ บางครั้งการประสานงานอาจทำให้โรงเรียนไม่พอใจ ดังนั้นต้องมีกัลยาณมิตรในการประสานงานให้โรงเรียนพร้อมและมีความยืดหยุ่น แต่ต้องชัดเจนว่าจะลงไปนิเทศกี่ครั้ง เมื่อไหร่ อย่างไร หากมีการปรับเปลี่ยนต้องประสานกับโรงเรียนทันที

การเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ก็เป็นสิ่งสำคัญ และสุดท้ายคือการลงไปนิเทศและติดตามผล ซึ่งหมายความว่าต้องเตรียม 5 อย่าง คือ เตรียมตัว เตรียมเครื่องมือ เตรียมการประสานงาน เตรียมการวางแผนนิเทศ และเตรียมการเขียนรายงานหลังจากไปนิเทศเสร็จ

แนวทางการพัฒนาแผนการนิเทศตามหลักวิชาการ

โครงสร้างและองค์ประกอบของแผนการนิเทศ

การเขียนแผนการนิเทศที่มีคุณภาพต้องมีโครงสร้างและองค์ประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่ศึกษานิเทศก์กิตติได้อธิบายจากประสบการณ์การทำงานที่ต้องรับผิดชอบโรงเรียน 47 โรงเรียนใน 2 จังหวัด ด้วยศึกษานิเทศก์เพียง 5 คน ทำให้ต้องใช้การนิเทศแบบบูรณาการ และพัฒนาแผนการนิเทศแบบบูรณาการขึ้น

แผนการนิเทศมี 3 ระดับ คือ แผนพัฒนาการนิเทศ 5 ปีของกลุ่มนิเทศ แผนปฏิบัติการประจำปี และแผนนิเทศรายบุคคลที่จะเอาไปปฏิบัติกับโรงเรียน สำหรับแผนนิเทศรายบุคคลจะต้องมีองค์ประกอบ 5 ส่วนหลัก

ส่วนที่ 1 เป็นบทนำหรือการวิเคราะห์บริบทโรงเรียน ต้องรู้เขาก่อนว่าโรงเรียนมีบริบทเป็นอย่างไร มีปัญหาแบบไหน มีจุดเด่นอะไรอยู่แล้ว มีความพร้อมอย่างไร ส่วนของเราเองเรารู้อยู่แล้วว่าเก่งอะไร มีความสามารถเรื่องอะไร หากไม่มีความสามารถในเรื่องนั้นก็เชิญเพื่อนศึกษานิเทศก์ที่มีความรู้มาช่วย

ส่วนที่ 2 เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย วิเคราะห์นโยบายที่เกี่ยวข้อง แล้วกำหนดวัตถุประสงค์ว่าจะไปนิเทศในเรื่องอะไร วัตถุประสงค์ในแต่ละปีอาจไม่เหมือนกัน กำหนดเป้าหมายในเชิงปริมาณและคุณภาพ มีตัวชี้วัดความสำเร็จ การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จไม่ได้หมายความว่าต้องได้ 80% หรือ 90% อาจต้องดูข้อมูลย้อนหลัง ดูเบสไลน์ วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย แล้วกำหนดเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ เช่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 1-2 ก็อาจเพียงพอแล้ว

ส่วนที่ 3 เป็นการวางแผนการนิเทศ มีขั้นตอน รูปแบบการนิเทศ เทคนิคการนิเทศ กิจกรรมการนิเทศ ซึ่งแตกต่างกัน สำหรับรูปแบบ จากการสังเคราะห์พบว่า PDCA, ADDIE Model, และกระบวนการอื่นๆ มีหลักการเดียวกัน P ของ plan ก็เหมือน P ของ ADDIE, D ของ develop ก็เหมือน C ของ check และ E ของ evaluate ดังนั้นจึงใช้เป็นลักษณะกระบวนการและหา How to ในแต่ละขั้นตอน

ส่วนที่ 4 เป็นเครื่องมือการนิเทศ ต้องสร้างเครื่องมือที่เหมาะสมและลดจำนวนลงให้เป็นลักษณะของการทำ 1-2 ชิ้น แต่ตอบได้หลายๆ ชิ้น การทำเครื่องมืออาจส่งไปก่อนแล้วไปขอเก็บวันที่ไปนิเทศ หรือไปเก็บข้อมูลเองโดยลงข้อมูลเชิงประจักษ์แล้วติ๊กเอง

ส่วนที่ 5 เป็นการรายงานและประเมินผล เมื่อกลับมาจากการนิเทศแล้วต้องมาวิเคราะห์และรายงาน การเขียนรายงานอาจเขียนเป็นหน้าเดียว เขียนแบบกึ่งวิชาการ หรือเขียน 5 บท หากเขียนดีจะสามารถเอาไปใช้ในการขอเลื่อนวิทยฐานะได้ และต้องเขียนให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดการประเมิน 8 ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ 4 ตัวชี้วัด

การใช้กระบวนการและรูปแบบการนิเทศ

ในการเขียนแผนการนิเทศ ส่วนสำคัญคือการเลือกใช้กระบวนการและรูปแบบการนิเทศที่เหมาะสม ดร.สกาวรัตน์ได้เสนอแนวทางที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย โดยเน้นว่าไม่มีรูปแบบตายตัว แต่สิ่งสำคัญคือแผนต้องใช้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นแนวทางสำหรับผู้นิเทศ หากมีแผนแล้วจะมีความมั่นใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะไปนิเทศเรื่องอะไรกับใคร และจะช่วยอะไรเขา

แผนการนิเทศรายบุคคลสามารถทำได้หลายวิธี บางคนอาจเอาแผนของกลุ่มมาใช้ เพราะผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว แล้วเพิ่มเติมส่วนของตัวเองเข้าไป แต่ยังมีอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือการทำแผนนิเทศเฉพาะเรื่อง ซึ่งจะชัดเจนและตรงประเด็นท้าทายที่ต้องพัฒนา

องค์ประกอบของแผนการนิเทศที่สมบูรณ์สามารถทำเป็นแผนหน้าเดียวที่มีองค์ประกอบครบ หรือเป็นแผนที่จัดเต็มมีความสมบูรณ์ในทุกหัวข้อ ยิ่งทำได้ยิ่งดี เพราะจะสะดวกและง่าย และสามารถปรับเล็กน้อยเพื่อรายงานสู่การพัฒนาวิทยฐานะต่อไปได้

กรณีศึกษา: แผนการนิเทศแบบ PICTURE Model

ศึกษานิเทศก์นุชประวี  ทัศน์สุวรรณประวี  ทัศน์สุวรรณ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้นำเสนอตัวอย่างแผนการนิเทศที่ได้พัฒนาขึ้นเองโดยใช้รูปแบบ PICTURE Model ซึ่งเป็นรูปแบบที่คิดค้นขึ้นใหม่

หลักการของ PICTURE Model

PICTURE Model ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนหลัก คือ P (Planning) การวางแผนการนิเทศ I (Informing) การให้ความรู้ C (Coaching) การให้คำแนะนำปรึกษา T (Technology) การใช้เทคโนโลยี U (Understanding) การสร้างความเข้าใจร่วมกัน R (Reflection) การสะท้อนผล และ E (Evaluation) การประเมินผล

ขั้น Planning เป็นการวางแผนการนิเทศ กำหนดเป้าหมาย จัดทำสื่อ จัดทำเครื่องมือ จัดทำปฏิทิน ขั้น Informing เป็นการให้ความรู้ มีหลายรูปแบบ เช่น แชร์ลิงก์ แชร์สไลด์ หรือแชร์ข้อมูลช่วงที่จะออกนิเทศ ขั้น Coaching เป็นการไปให้คำแนะนำให้คำปรึกษา บอกสถานศึกษาว่าสิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ มีอะไรให้ศึกษาดู ขั้น Technology เป็นการใช้เทคโนโลยีร่วมด้วย ด้วยความถนัดด้าน IT จึงใช้เทคโนโลยีในการสร้างกลุ่ม การสื่อสารโดยตรง การเผยแพร่ข้อมูล

ขั้น Understanding เป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกัน หลังจากดำเนินการขั้นที่ 1-4 มาแล้ว มาดูว่าคุณครูได้รับข้อมูลมากน้อยเพียงใด ได้รับความรู้เท่าไร หรือพบปัญหาใด ผ่านกระบวนการ PLC หรือติดต่อสื่อสารผ่าน LINE ขั้น Reflection เป็นการสะท้อนผล หลังจาก PLC แล้วสะท้อนทันที ณ ที่อยู่ตรงหน้างานที่ไปนิเทศ หรือกลับมารวบรวมข้อมูลแล้วถามโรงเรียนว่าฝากอะไร พบปัญหาอะไร ครั้งต่อไปมาอย่างไร หรือฝากอะไรถึงผู้บริหารด้านบน ขั้น Evaluation เป็นการประเมินผล รวบรวมวิเคราะห์เก็บข้อมูลต่างๆ แล้วสรุปจัดทำเป็นรายงาน

โครงสร้างแผนการนิเทศ PICTURE Model

แผนการนิเทศตามแบบ PICTURE Model มีโครงสร้างที่ใช้ทฤษฎีระบบ ประกอบด้วย Input, Process, และ Output โดย Input ได้แก่ นโยบายต่างๆ ปัญหาและความต้องการของเขตและโรงเรียน ข้อมูลสารสนเทศของโรงเรียนทั้งหมด ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน Process เป็นกระบวนการ PICTURE Model และ Output เป็นผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงมี Feedback ด้วย

องค์ประกอบของแผนประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ภาพความสำเร็จ แผนการดำเนินงานนิเทศ กิจกรรมการนิเทศ ปฏิทินการปฏิบัติงาน ปฏิทินการนิเทศ ทรัพยากรที่ต้องการ เครื่องมือการนิเทศ และผลที่คาดว่าจะได้รับ

สิ่งที่น่าชื่นชมของแผนนี้คือการเผยแพร่เป็น E-book ลงในเว็บไซต์ เพื่อให้ศึกษานิเทศก์ท่านอื่นสามารถนำไปศึกษาและปรับใช้ได้ ซึ่งสะท้อนถึงหลักการสำคัญที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้” เมื่อแบ่งปันความรู้แล้ว กลับได้รับการเรียนรู้และเครือข่ายเพิ่มขึ้น ได้กัลยาณมิตรจากที่เพื่อนๆ ได้ไปดาวน์โหลด ไปเห็น ไปทักทายมาขอแผน ทำให้ได้ Connection เพิ่ม ได้เครือข่ายเพิ่ม

ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแผนการนิเทศ

จากการวิเคราะห์แผนการนิเทศของศึกษานิเทศก์นุชประวี  ทัศน์สุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านได้ให้ข้อเสนอแนะที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงแผนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสนอแนะจากดร.สกาวรัตน์

ดร.สกาวรัตน์ได้ชื่นชมความกล้าหาญในการนำแผนมาเป็นบทเรียนให้คนอื่นได้เรียนรู้ร่วมกัน และเสนอแนะให้ปรับปรุงในหลายประเด็น ดังนี้

 ประเด็นแรก คือ การปรับวัตถุประสงค์ให้กระชับขึ้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่มีอยู่ยาวเกินไปและมีความซ้ำซ้อน ควรปรับให้เป็นแนวทางในการนิเทศติดตาม ซึ่งประเด็นในการนิเทศจะอยู่ข้างในอยู่แล้ว

ประเด็นที่สอง คือ การกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้น เป้าหมายการนิเทศต้องระบุให้ชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร เป็นรายโรงหรือรายคน ใครบ้างที่จะนิเทศด้วย หากทำได้จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ประเด็นที่สามคือการระบุการใช้รูปแบบนิเทศให้เหมาะสมกับประเด็น เนื่องจากไม่ใช่ทุกประเด็นที่จะใช้ PICTURE Model ทั้งหมด เพราะใน PICTURE Model มีกิจกรรมเรื่องการโค้ชชิ่งด้วย ซึ่งต้องใช้เวลา ดังนั้นควรระบุขอบเขตว่า PICTURE Model ใช้ในประเด็นการนิเทศใดบ้าง ส่วนประเด็นอื่นใช้กิจกรรมหรือกระบวนการอื่น

ประเด็นที่สาม คือ การเพิ่มตัวชี้วัดความสำเร็จที่วัดได้ แทนที่จะเป็นภาพความสำเร็จ ควรเขียนเป็นลักษณะของตัวชี้วัดที่กำหนดเป้าหมายไว้ว่าเท่าไหร่ที่จะพึงพอใจหรือผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด และ

ประเด็นสุดท้าย คือ การปรับรูปแบบการเขียนให้เป็นความเรียงหรือตารางที่ขึงให้เห็นชัดเจน เพิ่มช่องต่างๆ เช่น กลุ่มเป้าหมาย รูปแบบการนิเทศ กิจกรรมการนิเทศ เพื่อให้เห็นเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

ข้อเสนอแนะจากศึกษานิเทศก์กิตติ

ศึกษานิเทศก์กิตติได้เสนอแนะในแง่ของการเขียนให้ครบ 8 ตัวชี้วัดการประเมิน โดยยกตัวอย่างการใช้ PICTURE Model ที่สามารถครอบคลุมตัวชี้วัดต่างๆ ดังนี้

 ตัวชี้วัดที่ 1 เรื่องการวิเคราะห์ออกแบบการจัดทำแผนอย่างเป็นระบบ ในขั้น P (Planning) ต้องวิเคราะห์บริบทของโรงเรียนก่อนว่ามีบริบทเป็นอย่างไร มีปัญหาแบบไหน มีจุดเด่นอะไรอยู่แล้ว มีความพร้อมอย่างไร จะพัฒนาต่อยอดสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไร

ในการวิเคราะห์นี้ หากเราเก่ง ICT ก็ใช้ ICT ใช้แบบสอบถามเข้าไปถามว่ามีปัญหาอะไร ต้องการอะไร เอาข้อมูลนั้นมาใส่ในการวางแผน พร้อมกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น ผลการสอบ NT, O-NET, ผลการประกันคุณภาพ มาวิเคราะห์ด้วย เมื่อรู้เขารู้เราแล้ว ก็กำหนดยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ วิธีการนิเทศ

ตัวชี้วัดที่ 2 เมื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเสร็จ จะมีกลยุทธ์ในการนิเทศที่หลากหลาย กลยุทธ์หนึ่งคือการให้ข้อมูล (Informing) จะให้ข้อมูลเรื่องอะไร เช่น STEM, Coding หรือเรื่องอื่นๆ แทนที่จะให้เป็นเอกสาร อาจส่งเป็น E-book หรือให้เข้ามาศึกษาในแพลตฟอร์มของเรา ใส่ความเป็นตัวตนเข้าไปในขั้นตอนนี้

ตัวชี้วัดที่ 3 คือการโค้ชชิ่ง (Coaching) จะไปโค้ชเขาอย่างไร ตกลงกับโรงเรียนว่าจะไปสังเกตชั้นเรียน ให้ความรู้ สังเกตการสอน เมื่อเสร็จแล้วจะให้ความรู้กับเขาว่าข้อบกพร่องและสิ่งที่ต้องเติมเต็มคืออะไร 

ตัวชี้วัดที่ 4 การใช้เทคโนโลยี (Technology) ใช้เทคโนโลยีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องมาหาที่ออฟฟิศ สามารถติดต่อผ่าน ICT ได้ ใช้ออนไลน์ LINE แชท Skype หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ

ตัวชี้วัดที่ 5 การสร้างความเข้าใจร่วมกัน (Understanding) ก่อนที่จะเข้าไปต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน มีปฏิทินการนิเทศบอกว่าจะเข้าช่วงไหน สร้างความเข้าใจและสิ่งที่จะไปนิเทศ นิเทศเรื่องอะไร มีกรอบการนิเทศส่งไปด้วย

ตัวชี้วัดที่ 6 การสะท้อนผล (Reflection) มี PLC เอาสิ่งที่พูดกันมาสะท้อน สิ่งที่ดี สิ่งที่ต้องปรับปรุง สิ่งที่ดีอยู่แล้วจะพัฒนาต่อไปสู่ความเป็นเลิศและความยั่งยืนอย่างไร สิ่งที่ยังบกพร่องจะช่วยพัฒนาอย่างไร

ตัวชี้วัดที่ 7 การประเมินผล (Evaluation) ประเมินแผน มีการสะท้อนผลระหว่างการดำเนินการ เมื่อไปนิเทศแล้วให้สะท้อนผลในช่วงนั้นเลย ประเมินผลเสร็จเอาผลมาเผยแพร่และสะท้อนผลอีกรอบผ่าน PLC

การใช้รูปแบบ PICTURE Model เป็นการคิดค้นและปรับเปลี่ยน ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่ 4 เรื่องการคิดค้นและปรับเปลี่ยน ทำให้ครบตัวชี้วัดที่ 1 และ 4 ได้ระดับเชี่ยวชาญ ส่วนตัวชี้วัด 2, 3, 5, 6, 7, 8 ต้องเขียนให้ครบตามนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้อเดียว แต่ให้อยู่ในเล่มนั้น

ประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ควรปรับปรุง ได้แก่ องค์ประกอบที่ 3 เรื่องการพัฒนาสมรรถนะ คำที่ใช้ต้องมีความจำเป็นและบอกถึงตัวชี้วัดนี้ ในส่วนของวัตถุประสงค์ที่ยาวเกินไป จริงๆ แล้วเป็นเนื้อหา อาจตั้งเป็นหัวข้อแยกต่างหากว่าเนื้อหาที่จะใช้ในการประเมินมีเรื่องอะไรบ้าง นโยบายต่างๆ ใส่ลงไป

เป้าหมายและภาพความสำเร็จต้องเขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ภาพความสำเร็จควรเขียนในลักษณะที่เป็น Supervisory Outcome ผลลัพธ์ความสำเร็จ เป็นผลลัพธ์การนิเทศ แยกออกให้เห็นเป็นผลลัพธ์ที่เกิดกับครู ผู้เรียน ผู้บริหาร และสถานศึกษา

ในส่วนของทรัพยากรที่ต้องการ อาจไม่ควรพูดถึงงบประมาณ แต่เป็นสื่อ เครื่องมือต่างๆ ที่จะเอามาใช้ ในขั้นตอนกระบวนการแต่ละขั้น ใน How to ของแต่ละขั้นตอน ควรมีสื่อประกอบการนิเทศ คู่มือการนิเทศ เอกสารประกอบการนิเทศ เขียนที่เป็น How to ด้วย

หลักการสำคัญของการนิเทศที่มีประสิทธิภาพ

จิตใจ 4 ดวงในการนิเทศ

ดร.สกาวรัตน์ได้เสนอหลักการสำคัญของการนิเทศที่มีประสิทธิภาพด้วย “จิตใจ 4 ดวง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การนิเทศประสบความสำเร็จและทุกคนมีความสุข

จิตใจดวงที่ 1 คือ “จริงใจ” เวลาไปนิเทศต้องจริงใจ แสดงให้เห็นถึงความที่ตั้งใจไปช่วยเขา ต้องบอกว่าเราลงไปช่วย ไปหนุนเสริม ไปทำงานร่วมกัน คือ Win-Win หากเขาได้เราก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้

จิตใจดวงที่ 2 คือ “ร่วมใจ” เวลาทำงานต้องทำงานแบบมีส่วนร่วม เวลาไปนิเทศครูทุกครั้ง จะถามครูตั้งแต่ความต้องการ ถามถึงเวลานัดหมาย มีการพูดคุยกันตลอด ทำให้เขาสบายใจ ไม่ต้องเครียดมาก ไม่ต้องเฟิกซ์มาก บอกว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงสามารถปรับได้ แต่ต้องมีความชัดเจนและประสานกันทันที

จิตใจดวงที่ 3 คือ “ตั้งใจ” ต้องบอกว่าเวลาลงไปนิเทศแล้วต้องเกิดผลสัมฤทธิ์หรือเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายกันไว้ โดยความร่วมมือร่วมใจกัน

จิตใจดวงที่ 4 คือ “ให้ขวัญและกำลังใจ” ใครทำงานแล้วต้องรู้สึกว่าสบาย ไม่ต้องซีเรียส แต่ว่าจะเดินไปด้วยกัน และท้ายที่สุดต้องให้ขวัญกำลังใจ

ความเป็นกัลยาณมิตรในการนิเทศ

ความเป็นกัลยาณมิตรถือเป็นเสน่ห์ของศึกษานิเทศก์ที่สำคัญมาก เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานร่วมกับโรงเรียน ทำงานร่วมกับผู้บริหารและคุณครูให้ทุกฝ่ายมีความสุข ผู้นิเทศมีความสุข ผู้รับการนิเทศก็มีความสุขเช่นเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้จะส่งต่อไปยังนักเรียนของเราเช่นเดียวกัน

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ การมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน และการเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะการเป็นตัวอย่างที่ดีมีคุณค่ามากกว่าคำสอน จะทำให้การนิเทศประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุด

การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ

การเรียนรู้จากพี่เลี้ยงและผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ ดูจากการเรียนรู้ว่าเขาออกไปพูดอย่างไร ไปเก็บข้อมูลกับโรงเรียนอย่างไร ประสานอย่างไร การดูและการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงจะให้ประสบการณ์ที่มีค่า รวมถึงการเตรียมพร้อมกลับมารายงานการนิเทศ เพื่อให้ได้ข้อมูล ณ ทีเดียว ณ วันที่ไปประสานโรงเรียน

การนำผลการนิเทศไปใช้และพัฒนาต่อ

การวิเคราะห์และสะท้อนผลการนิเทศ

หลังจากการนิเทศเสร็จสิ้น สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์ผลที่ได้จากการนิเทศ ว่าพบอะไรบ้าง อะไรเป็นจุดเด่นของโรงเรียนที่ควรช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อให้โรงเรียนได้รับการยกย่องเผยแพร่ผลงาน โรงเรียนที่ยังมีปัญหาจะหาทางช่วยเหลือได้อย่างไร การใช้กระบวนการการนิเทศที่หลากหลายตามบริบทของแต่ละโรงเรียนจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

การสะท้อนผลควรทำทั้งระหว่างการดำเนินการและหลังจากเสร็จสิ้น ผ่านกระบวนการ PLC หรือการสื่อสารรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำผลการสะท้อนไปสู่การพัฒนาในรอบต่อไป

การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ

การนิเทศที่มีคุณภาพจะต้องมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแก้ไขปัญหา แต่ต้องส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศและความยั่งยืน สิ่งที่ดีอยู่แล้วจะพัฒนาต่อไปสู่ความเป็นเลิศอย่างไร สิ่งที่ยังบกพร่องจะช่วยพัฒนาอย่างไร ต้องมีการวางแผนและติดตามอย่างเป็นระบบ

ปรัชญาและแนวคิดสำคัญในการเป็นศึกษานิเทศก์

หลักการ “ยิ่งให้ยิ่งได้”

ศึกษานิเทศก์เป็นผู้ให้ ยิ่งให้ยิ่งได้ การให้ไม่มีที่สิ้นสุด และจะมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ ดังที่ศึกษานิเทศก์นุชประวี  ทัศน์สุวรรณได้กล่าวว่า “ยิ่งให้เท่ากับยิ่งได้” อย่างเช่นแผนนิเทศที่ทำแล้วเผยแพร่ วันนี้ได้กลับมาแล้วในสิ่งที่ได้คอมเมนต์และได้เพิ่มเติม เชื่อว่าได้กัลยาณมิตรจากที่เพื่อนๆ ได้ไปดาวน์โหลด ไปเห็น ไปทักทายมาขอแผน ได้ Connection เพิ่ม ได้เครือข่ายเพิ่ม

การรู้เขารู้เราเป็นกุญแจสำคัญ

แต่ก่อนที่จะเป็นผู้ให้ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรามีอะไรเป็นจุดแข็ง อะไรเป็นจุดอ่อน รู้เรื่องไหนดี อะไรที่ยังไม่รู้ เพราะไม่มีใครรู้ดีทุกเรื่อง ขณะเดียวกันการรู้เราไม่พอ ต้องรู้เขาด้วย รู้ว่าอะไรเป็นโอกาส อะไรเป็นอุปสรรค จุดแข็งจุดอ่อนของโรงเรียน แล้วจะไปช่วยได้ หากรู้เขารู้เราแล้ว รบ 100 ครั้งก็ชนะ 100 ครั้ง

ความสำคัญของการวางแผน

“วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” หรือจริงๆ แล้วอาจมีชัยเต็มร้อย หากวางแผนดี ไม่มีอะไรที่ศึกษานิเทศก์ทำไม่ได้ การมีแผนการนิเทศที่มีคุณภาพจะช่วยให้ศึกษานิเทศก์เกิดความมั่นใจในการทำงาน เป็นการพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสะท้อนการนำหลักสูตรสู่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ

บทสรุปและทิศทางการพัฒนาต่อไป

การพัฒนาแผนการนิเทศที่มีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ไม่มีรูปแบบที่ดีที่สุดแบบเดียว แต่ต้องปรับและยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ รวมถึงบริบทในทุกด้านทุกมิติ สิ่งสำคัญคือต้องสามารถนำไปใช้ได้จริงและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ทั้งการรู้เขารู้เรา การวางแผนที่รอบคอบ การเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสม การสร้างกัลยาณมิตร และการทำงานด้วยจิตใจ 4 ดวง จะทำให้การนิเทศเป็นไปอย่างมีความสุขและบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข” อย่างยั่งยืน

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการสร้างเครือข่ายระหว่างศึกษานิเทศก์จะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่อง การเผยแพร่และแบ่งปันความรู้ จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน ได้รับประโยชน์ร่วมกัน และร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

การพัฒนาแผนการนิเทศให้สอดคล้องกับ 8 ตัวชี้วัดการประเมินจะทำให้ “ยิงนกได้หลายตัว” เกิดประโยชน์มาก และหากเขียนดีจะสามารถเอาไปใช้ในการขอเลื่อนวิทยฐานะได้ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาตนเองและพัฒนาระบบไปพร้อมกัน เพื่อให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา และผลจากการทำงานนั้นจะเป็นอานิสงส์ให้สามารถเลื่อนวิทยฐานะที่สูงขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็สร้างประโยชน์ให้กับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศอย่างแท้จริง

สรุปในภาพรวมของแผนการนิเทศสู่คุณภาพการศึกษา: ความท้าทายและโอกาสเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข”

บทนำ

การนิเทศการศึกษาถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะการพัฒนาแผนการนิเทศที่มีคุณภาพและนำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะช่วยให้ศึกษานิเทศเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงานและสามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมความพร้อมก่อนการนิเทศ

การรู้เขารู้เรา

ศึกษานิเทศกิตติ กสินธารา อดีตศึกษานิเทศเชี่ยวชาญ เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญว่า “รู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง” โดยมีขั้นตอนดังนี้:

1. รู้ตัวเอง

2. รู้บริบทของสถานศึกษา

องค์ประกอบของการนิเทศ

ดร.สกาวรัตน์ ไกลมาก ศึกษานิเทศเชี่ยวชาญจาก สพป.พะเยา เขต 2 ได้อธิบายองค์ประกอบหลักของการนิเทศ 3 ส่วน:

1. บุคคล

2. วิธีการ

3. เครื่องมือ

แนวทางการพัฒนาแผนการนิเทศ

แผนการนิเทศตามแนวทางของศึกษานิเทศกิตติ

องค์ประกอบหลัก 5 ส่วน:

1. บทนำ/การวิเคราะห์บริบท

2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย

3. วางแผนการนิเทศ

4. เครื่องมือการนิเทศ

5. การรายงานและประเมินผล

แผนการนิเทศตามแนวทางของดร.สการรัตน์

รูปแบบการนิเทศ AIB Model:

องค์ประกอบสมบูรณ์ของแผน:

  1. ส่วนนำ (บทนำ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย)
  2. ส่วนเนื้อหา (ทิศทาง กระบวนการ วิธีดำเนินการ)
  3. ส่วนท้าย (ภาคผนวก เครื่องมือ)

กรณีศึกษา: แผนการนิเทศของศึกษานิเทศนุชประวี ทัศน์สุวรรณ

จาก สพป.พิจิตร เขต 2 ได้นำเสนอแผนการนิเทศที่พัฒนาขึ้นโดยใช้:

รูปแบบ Pi Model:

หลักการสำคัญ:

ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแผน

จากดร.สกาวรัตน์:

  1. ปรับวัตถุประสงค์ให้กระชับ หลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน
  2. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ระบุกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
  3. ระบุการใช้รูปแบบนิเทศให้เหมาะสมกับประเด็น
  4. เพิ่มตัวชี้วัดความสำเร็จที่วัดได้

จากศึกษานิเทศกิตติ:

  1. เขียนให้ครบ 8 ตัวชี้วัดการประเมิน
  2. ใส่ How to ในแต่ละขั้นตอน
  3. เพิ่มความเป็นตัวตนของผู้นิเทศ
  4. สร้างสื่อประกอบการนิเทศ
  5. จัดทำเป็น 5 บท เพื่อใช้ในการขอเลื่อนวิทยฐานะ

หลักการสำคัญของการนิเทศที่มีประสิทธิภาพ

จิตใจ 4 ดวง (จากดร.สกาวรัตน์):

  1. จริงใจ: แสดงความตั้งใจช่วยเหลือ
  2. ร่วมใจ: ทำงานแบบมีส่วนร่วม
  3. ตั้งใจ: มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์
  4. ให้ขวัญและกำลังใจ: สร้างบรรยากาศที่ดี

การเป็นกัลยาณมิตร:

บทสรุป

การพัฒนาแผนการนิเทศที่มีคุณภาพต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงบริบทของสถานศึกษาและศักยภาพของผู้นิเทศ สิ่งสำคัญคือต้องมีความเป็นกัลยาณมิตร ทำงานด้วยจิตใจ 4 ดวง และยึดหลักการ “ยิ่งให้ยิ่งได้” เพื่อให้การนิเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย “เรียนดีมีความสุข” ได้อย่างยั่งยืน

แผนการนิเทศที่ดีไม่มีรูปแบบตายตัว แต่ต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของผู้รับการนิเทศ ผสมผสานกับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้นิเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งครู ผู้เรียน และสถานศึกษา

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

เรื่อง “แผนการนิเทศ” สู่คุณภาพการศึกษา

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version