Site icon Digital Learning Classroom

แนวทางการเตรียมความพร้อมก่อนการพัฒนาระยะที่ 3 Post-Training โครงการพัฒนาศึกษานิเทศก์ รุ่นที่ 3/2568

แชร์เรื่องนี้

แนวทางการเตรียมความพร้อมก่อนการพัฒนาระยะที่ 3 Post-Training โครงการพัฒนาศึกษานิเทศก์ รุ่นที่ 3/2568

บทนำ

การพัฒนาศึกษานิเทศก์ในยุคปัจจุบันถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงาน Post-Training ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานจริงในสนาม ที่จะทำให้ศึกษานิเทศก์สามารถนำความรู้ทักษะ และประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกอบรมมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริงอย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสาร “แนวทางการเตรียมตัว Post Training ระยะที่ 3” จัดทำโดย ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด ซึ่งเป็นศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ได้ให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับศึกษานิเทศก์ในการเข้าสู่ระยะการปฏิบัติงานจริง โดยเน้นการบูรณาการงาน 3 ด้านหลัก คือ การนิเทศการศึกษา การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา และการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ

วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของ Post-Training ระยะที่ 3

การดำเนินงาน Post-Training ระยะที่ 3 มีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการที่สำคัญ

ประการแรก เพื่อให้เป็นแนวทางสำหรับศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยงในการนิเทศ ติดตามการปฏิบัติงานจริงในเขตพื้นที่การศึกษาของผู้เข้ารับการพัฒนา

ประการที่สอง เพื่อพัฒนาทักษะการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์ที่เข้ารับการพัฒนาในการปฏิบัติงานจริง

ประการที่สาม เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะและเจตคติต่อวิชาชีพศึกษานิเทศก์ในการปฏิบัติงานจริง

และประการสุดท้าย เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการนิเทศการศึกษาแก่ศึกษานิเทศก์ที่เข้ารับการพัฒนา

เป้าหมายเหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการในการสร้างศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพ ที่ไม่เพียงแต่มีความรู้ทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบได้อย่างแท้จริง

ขอบข่ายการปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์

การปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์ตามแนวทาง ว11/2564 ได้กำหนดให้มีการบูรณาการงาน 3 ด้านให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกันอย่างมีระบบ

ด้านการนิเทศการศึกษา

ด้านแรก คือ การนิเทศการศึกษา ซึ่งประกอบด้วยทักษะสำคัญหลายประการ เริ่มต้นจากทักษะการออกแบบและจัดทำแผนการนิเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ มาตรฐานการศึกษาชาติ หลักสูตร รวมถึงนโยบาย จุดเน้น ปัญหา และความต้องการของแต่ละพื้นที่ ต่อมาคือทักษะการคัดสรร สร้าง พัฒนา สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจัย เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนครู สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษา

นอกจากนี้ยังรวมถึงทักษะการเป็นพี่เลี้ยง นิเทศ ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนางานวิชาการ รวมถึงการประสานงานและติดตามประเมินผล และทักษะการรายงานผลการนิเทศโดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสะท้อนผล เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนางานวิชาการและการจัดการศึกษา

ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา

ด้านที่สอง คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา เริ่มจากการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและความต้องการ สังเคราะห์สารสนเทศเพื่อวางแผนการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการจัดการศึกษา การประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ และผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษา และการติดตามประเมินผลการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา

ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ

ด้านที่สาม คือ การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ทักษะ (โดยเฉพาะภาษาไทย อังกฤษ และเทคโนโลยีดิจิทัล) และสมรรถนะทางวิชาชีพ การมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้และการจัดการศึกษา การนำความรู้ ความสามารถ ทักษะที่ได้จากการพัฒนาตนเองมาใช้ในการพัฒนางานนิเทศการศึกษา ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพครูและผู้เรียน

นอกจากนี้ยังต้องมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีจิตสำนึกความรับผิดชอบ

กรอบการดำเนินงาน Post-Training และการวางแผนการนิเทศ

การวางแผนการนิเทศการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน Post-Training ระยะที่ 3 โดยต้องตอบคำถามสำคัญหลายประการ ได้แก่ “ปัจจุบันเราอยู่ ณ จุดใด?” ซึ่งต้องวิเคราะห์บริบท จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา “เราต้องการไปสู่จุดใด?” ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ เป้าหมายการนิเทศ “เราจะต้องทำหรือปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง?” ซึ่งหมายถึงโครงการ/กิจกรรมการนิเทศ และ “เราจะไปจุดนั้นได้อย่างไร?” ซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบ เทคนิค วิธีการ กระบวนการ

การวางแผนนี้ยังใช้หลักการบริหารจัดการโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA (Plan-Do-Check-Action) ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ปัญหา กำหนดเป้าหมาย จัดทำแผน ดำเนินงาน ติดตามตรวจสอบ และปรับปรุงพัฒนา

รูปแบบและกระบวนการนิเทศการศึกษา

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างรูปแบบและกระบวนการนิเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับศึกษานิเทศก์

รูปแบบการนิเทศการศึกษา (Supervisory Models) หมายถึงแนวทางหรือวิธีการในการจัดระบบการนิเทศที่มีลักษณะเฉพาะ โดยเน้นที่โครงสร้าง แนวคิด และปรัชญาในการนิเทศ เป็นแนวคิดทฤษฎี (Theoretical Framework) และครอบคลุมปรัชญาการนิเทศ แนวทางการจัดระบบ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ

รูปแบบที่สำคัญได้แก่ การนิเทศแบบคลินิก (เน้นพัฒนาทักษะการสอน) การนิเทศแบบพัฒนา (พิจารณาระดับพัฒนาการของครู) การนิเทศแบบมีส่วนร่วม (ร่วมมือกันแก้ปัญหา) และการนิเทศแบบแปลงรูป (เน้นการเปลี่ยนแปลงองค์กร)

ในขณะที่กระบวนการนิเทศการศึกษา (Supervisory Process) หมายถึงขั้นตอนหรือลำดับการดำเนินงานในการนิเทศที่เป็นระบบและต่อเนื่อง โดยเน้นที่การปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินงาน เป็นการปฏิบัติจริง (Practical Implementation) และครอบคลุมขั้นตอนการวางแผน การปฏิบัติการนิเทศ การติดตามและประเมินผล

กระบวนการนิเทศมี 3 ขั้นตอนหลักคือ การวางแผน (กำหนดวัตถุประสงค์ วิเคราะห์สภาพ จัดทำแผน) การดำเนินการ (สังเกตการสอน ให้คำปรึกษา จัดกิจกรรมพัฒนา) และการติดตามและประเมินผล (ประเมินความก้าวหน้า ปรับปรุงแผน รายงานผล)

รูปแบบและกระบวนการนิเทศเสริมกันและกัน โดยรูปแบบให้ทิศทาง (How to approach) และกระบวนการให้วิธีการดำเนินงาน (What steps to follow) ทั้งสองต้องใช้ร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ระยะเวลาและกิจกรรม Post-Training (พ.ศ. 2567)

โครงการ Post-Training มีระยะเวลา 5 เดือน (สิงหาคม-ธันวาคม) แบ่งเป็น 3 ระยะหลัก ระยะที่ 1 (สิงหาคม-กันยายน) เป็นช่วงการติดตามและสำรวจ (Observation and Assessment) และการวิเคราะห์และวางแผน (Analysis and Planning) ในเดือนสิงหาคม ศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยงแจ้งภารกิจและทำปฏิทินปฏิบัติงาน ผู้เข้ารับการพัฒนาปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ มีการพบปะพูดคุย และรวบรวมข้อมูล

ในเดือนกันยายน ศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยงพบปะ ติดตามความก้าวหน้า (ครั้งที่ 1) ผู้เข้ารับการพัฒนานำเสนอแผนการนิเทศและปฏิบัติงาน มีการกำหนดแผนการนิเทศร่วมกัน

ระยะที่ 2 (ตุลาคม) เป็นช่วงการสะท้อนคิดและให้คำแนะนำ (Feedback and Advice) และการสนับสนุนและพัฒนา (Support and Development) ศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยงนิเทศ ติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน (ครั้งที่ 2) และจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยี

ระยะที่ 3 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) เป็นช่วงการติดตามผลและประเมิน (Follow-up and Evaluation) และการสื่อสารและเผยแพร่ (Communication and Dissemination) ในเดือนพฤศจิกายน ผู้เข้ารับการพัฒนานำเสนอผลการปฏิบัติงาน (ครั้งที่ 3) มีการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ความก้าวหน้า และในเดือนธันวาคม ศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยงสรุปและรายงานผล จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเสนอ Best Practice

เทคนิคการนิเทศที่หลากหลาย

จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.krukob.com พบว่ามีเทคนิคการนิเทศหลายรูปแบบที่ศึกษานิเทศก์สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเยี่ยมนิเทศชั้นเรียน

การเยี่ยมนิเทศชั้นเรียน หมายถึง การที่ผู้นิเทศไปพบและสังเกตการทำงานของครูในชั้นเรียนเพื่อร่วมกันพัฒนาการทำงานให้มีคุณภาพ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการของครู สามารถนำไปสู่การพัฒนาทักษะการสอนอย่างเป็นรูปธรรม

การสังเกตการสอนในชั้นเรียน

เทคนิคนี้มีขั้นตอนที่ชัดเจน 5 ขั้นตอน เริ่มจากขั้นที่ 1 การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้นิเทศ โดยต้องปฏิบัติตนให้เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพ เป็นเพื่อนร่วมงาน ให้ข้อมูลต่างๆ แก่ครู แก้ไขข้อขัดแย้ง รับฟังข้อแนะนำ ให้ความสนใจต่อครูในการปฏิบัติงาน ให้ความจริงใจ ให้เกียรติและยกย่อง หาทางสร้างความก้าวหน้า และให้ความรู้สนับสนุนการทำงาน

ขั้นที่ 2 การปรึกษาหารือและการเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยการปรึกษาหารือกับครูในเรื่องการจัดการเรียนรู้ วางแผนการสังเกตร่วมกัน สร้างข้อตกลงในการสังเกต และพิจารณาแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน

ขั้นที่ 3 การสังเกตการสอน โดยผู้นิเทศเข้าไปสังเกตการสอน อาจนั่งเงียบๆ รวมกับนักเรียน บันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้และบรรยากาศในห้องเรียนอย่างละเอียด บันทึกพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู และต้องสังเกตการจัดการเรียนรู้จนจบการสอนในแต่ละครั้ง

ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน ครูกับผู้นิเทศร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรม นำข้อมูลจากการบันทึกมาพิจารณาร่วมกัน พิจารณาจุดเด่นหรือจุดด้อย และร่วมกันหาทางปรับปรุงหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้ดีขึ้น

ขั้นที่ 5 การปรับปรุงการสอน ครูต้องยอมรับพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของตน นำผลการวิเคราะห์พฤติกรรมทั้งทางด้านดีและไม่ดี มาเป็นข้อมูลประกอบการเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ครั้งต่อไป และปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหา

การสนทนาทางวิชาการ

การสนทนาทางวิชาการ หมายถึง การประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจเรื่องราวข่าวสารเดียวกันโดยกำหนดให้ผู้นำสนทนาคนหนึ่ง นำสนทนาในเรื่องที่กลุ่มสนใจ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติงาน เทคนิค วิธีการแก่คณะครูในโรงเรียน และพัฒนาบุคลากรในโรงเรียน

การสนทนาทางวิชาการมีขั้นตอนการดำเนินงาน 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นที่ 1 การศึกษาปัญหา โดยสำรวจปัญหา ความต้องการในเรื่องราวที่มีความสนใจร่วมกันหรือเป็นปัญหาร่วมกัน เช่น เรื่องการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เรื่องการจัดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แล้วลำดับเรื่องที่จะใช้สนทนาทางวิชการตามความสำคัญ ความจำเป็น และความเหมาะสม

ขั้นที่ 2 การเลือกผู้นำสนทนาทางวิชาการ โดยเลือกบุคคลใดบุคลหนึ่งในโรงเรียนที่เห็นว่ามีความสามารถเป็นผู้นำสนทนาทางวิชาการได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องที่จะสนทนาได้อย่างลึกซึ้งกว่าผู้อื่น หรือเลือกบุคคลภายนอกหากเห็นว่าเรื่องที่จะสนทนานั้นค่อนข้างยาก ผู้นำทางวิชาการควรหมุนเวียนกันไป และต้องประสานงานกับผู้นำสนทนาทางวิชาการให้เข้าใจตรงกัน

ขั้นที่ 3 การปฏิบัติการ โดยกำหนดการสนทนาทางวิชาการในช่วงหลังรับประทานอาหารกลางวัน หรือช่วงว่างตอนใดตอนหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม อาจกำหนดเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนตามความต้องการ และทำปฏิทินไว้ให้ชัดเจน โดยกำหนดเวลาสนทนาครั้งละ 30-45 นาที

การนิเทศออนไลน์และการใช้เทคโนโลยี

จากข้อมูลที่ได้จาก krukob.com พบว่ามีการพัฒนารูปแบบการนิเทศออนไลน์ที่น่าสนใจ เช่น การดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียนอนุบาลวัดอู่ตะเภา ได้ประยุกต์ใช้วิธีการนิเทศแบบปกติ มาบูรณาการกับแนวคิดการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ด้วยวิธีการ “นิเทศออนไลน์ โดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน” ตามแนวดำเนินการระดับสถานศึกษา และระดับครูผู้สอนและผู้นิเทศ

รูปแบบการนิเทศออนไลน์มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Google Work Space for Education (Google Meet) ในการสื่อสาร การส่งข้อมูล การนิเทศให้คำชี้แนะ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถาม-ตอบ และการแก้ปัญหา

รูปแบบการนิเทศที่หลากหลาย

จากการศึกษาข้อมูลจาก krukob.com พบว่ามีรูปแบบการนิเทศที่หลากหลายและทันสมัย ดังนี้

1. การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) เน้นการสังเกตการสอนในชั้นเรียนและให้ข้อมูลย้อนกลับ มีขั้นตอนประกอบด้วยการประชุมก่อนการสังเกต การสังเกตการสอน การวิเคราะห์ข้อมูล การประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประเมินผลและวางแผนการพัฒนา เหมาะสำหรับการพัฒนาทักษะการสอนของครูรายบุคคล

2. การนิเทศแบบร่วมพัฒนา (Collaborative Supervision) เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ด้วยกระบวนการร่วมกันวางแผน ร่วมกันปฏิบัติ และร่วมกันประเมินผล เหมาะสำหรับสถานศึกษาที่ต้องการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกัน

3. การนิเทศแบบพัฒนาตนเอง (Self-directed Supervision) ครูเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและวิธีการพัฒนาตนเอง โดยผู้นิเทศทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทรัพยากร เหมาะสำหรับครูที่มีประสบการณ์และมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง

4. การนิเทศแบบพี่เลี้ยง (Mentoring Supervision) ครูที่มีประสบการณ์ให้คำแนะนำและสนับสนุนครูใหม่ ผ่านกิจกรรมการสังเกตการสอน การให้คำปรึกษา และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เหมาะสำหรับการพัฒนาครูใหม่หรือครูที่ย้ายมาใหม่

5. การนิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Coaching) ครูที่มีความเชี่ยวชาญใกล้เคียงกันร่วมมือกันพัฒนาการสอน ผ่านการแลกเปลี่ยนการสังเกตการสอน ให้ข้อมูลย้อนกลับซึ่งกันและกัน และร่วมกันแก้ปัญหา เหมาะสำหรับการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)

6. การนิเทศแบบใช้การวิจัยเป็นฐาน (Research-based Supervision) ใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาการเรียนการสอน ตั้งแต่การระบุปัญหา ตั้งสมมติฐาน ออกแบบและดำเนินการวิจัย วิเคราะห์ผล และนำผลไปใช้พัฒนา เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะด้านในการจัดการเรียนการสอน

7. การนิเทศแบบพัฒนาทั้งองค์กร (Whole-school Supervision) มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาทั้งระบบ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์องค์กร กำหนดเป้าหมายร่วมกัน วางแผนพัฒนาทั้งระบบ ดำเนินการพัฒนาทุกส่วน และประเมินผลและปรับปรุง

เกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงาน

การประเมินผลการปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์ที่เข้ารับการพัฒนาในพื้นที่จริง (ระยะที่ 3 Post-Training) มี 2 ส่วนหลัก รวม 200 คะแนน ซึ่งประเมินโดยศึกษานิเทศก์พี่เลี้ยง

ส่วนที่ 1: การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (100 คะแนน) แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ด้านแรกคือด้านคุณลักษณะ ประกอบด้วยความกระตือรือร้น ความมั่นใจ มนุษยสัมพันธ์ การรับฟังความคิดเห็น การให้เกียรติ ความรับผิดชอบ ความรู้ความเข้าใจ การสร้างการยอมรับ และการใช้เทคนิคการนิเทศ

ด้านที่สองคือด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ครอบคลุมการแต่งกาย มารยาท การใช้คำพูดที่สุภาพสร้างสรรค์ และการควบคุมอารมณ์

ด้านที่สามคือด้านพฤติกรรมการทำงาน ประกอบด้วยความตั้งใจ การมีส่วนร่วม การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี การเสียสละ การอุทิศเวลา และเทคนิคการพูดและการสื่อความหมาย

ส่วนที่ 2: การประเมินผลการปฏิบัติงานการนิเทศการศึกษา (100 คะแนน) แบ่งออกเป็น 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ตัวบ่งชี้รวมถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้ คุณภาพหลักสูตรและผู้เรียน การพัฒนาสมรรถนะ การสอนงานระบบพี่เลี้ยง การจัดการเรียนรู้/แก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์/นวัตกรรม การระดมทรัพยากร/เครือข่าย และภาวะผู้นำแบบร่วมกัน

ด้านที่สองคือด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาการนิเทศการศึกษา ครอบคลุมผลงานหรือผลการปฏิบัติที่เกิดจากการนิเทศ ผลที่ส่งต่อการพัฒนาครู ผลที่ส่งต่อการพัฒนาผู้เรียน และผลที่ส่งต่อคุณภาพสถานศึกษา/หน่วยงานการศึกษา

จุดมุ่งหมายสำคัญของการนิเทศการศึกษา

การนิเทศการศึกษาที่มีคุณภาพต้องยึดหลักการสำคัญ 4 ประการ ตามแนวคิดของ สงัด อุทรานันท์ (2530) ซึ่งการนิเทศจะประสบความสำเร็จได้ต้องไม่ขาดข้อใดข้อหนึ่ง

ประการแรก เพื่อพัฒนาคน เป็นกระบวนการทำงานร่วมกับครูและบุคลากรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่การแก้ไขข้อบกพร่อง แต่เป็นการส่งเสริมให้เติบโต

ประการที่สอง เพื่อพัฒนางาน เนื่องจากการนิเทศมีเป้าหมายสูงสุดที่ผู้เรียน จึงมุ่งพัฒนางาน โดยเฉพาะงานสอนให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการพัฒนาคน

ประการที่สาม เพื่อสร้างการประสานสัมพันธ์ เป็นผลจากการทำงานร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกัน และผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตาม สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาและการเรียนรู้ร่วมกัน

ประการสุดท้าย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บุคคลตั้งใจทำงาน หากขาดส่วนนี้ การนิเทศก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก

แนวโน้มการนิเทศการศึกษาในอนาคต

อนาคตของการนิเทศการศึกษาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ การนิเทศในยุคดิจิทัลจะใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ระบบติดตามออนไลน์ Big Data, VR, AI และแอปพลิเคชัน การนิเทศเชิงระบบและการประกันคุณภาพจะเชื่อมโยงกับการประกันคุณภาพ ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ และสร้างมาตรฐานสากล

การพัฒนาศึกษานิเทศก์ยุคใหม่จะเน้นทักษะดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล และทักษะการสื่อสาร การนิเทศเพื่อความยั่งยืนจะสอดคล้องกับ SDGs สร้างความเท่าเทียม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การปรับตัวสู่การศึกษายุคใหม่จะรองรับ Personalized Learning ส่งเสริม Active Learning พัฒนาทักษะอาชีพแห่งอนาคต และเตรียมพร้อมสู่การศึกษา 4.0 การวิจัยและพัฒนาจะเน้นวิจัยนวัตกรรมการนิเทศ ศึกษาผลกระทบเทคโนโลยี และพัฒนารูปแบบที่มีประสิทธิภาพ

การนิเทศแบบบูรณาการจะผสมผสานออนไลน์-ออฟไลน์ การมีส่วนร่วม เชื่อมโยงเครือข่าย และบูรณาการข้ามสาระวิชา การพัฒนาทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 จะครอบคลุมทักษะดิจิทัล ความคิดสร้างสรรค์ การคิดขั้นสูง และทักษะชีวิตและอาชีพ

การนิเทศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตจะสร้างชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ พัฒนาคลังความรู้ดิจิทัล และส่งเสริมการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น ความร่วมมือระดับนานาชาติจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดี สร้างเครือข่าย และพัฒนามาตรฐานสากล

บทสรุป

การเตรียมความพร้อมสำหรับ Post-Training ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาศึกษานิเทศก์ รุ่นที่ 3/2568 เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบ จากการศึกษาข้อมูลทั้งจากเอกสารหลักและข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.krukob.com สามารถสรุปได้ว่า ความสำเร็จของการดำเนินงาน Post-Training ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ

ปัจจัยแรกคือความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและขอบข่ายการปฏิบัติงานของศึกษานิเทศก์ในการบูรณาการงาน 3 ด้าน ปัจจัยที่สองคือการเลือกใช้รูปแบบและเทคนิคการนิเทศที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของแต่ละพื้นที่ ปัจจัยที่สามคือการมีระบบการติดตาม ประเมินผล และสะท้อนผลที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจัยสุดท้ายคือการยึดมั่นในจุดมุ่งหมายสำคัญ 4 ประการของการนิเทศการศึกษา คือ การพัฒนาคน การพัฒนางาน การสร้างการประสานสัมพันธ์ และการสร้างขวัญและกำลังใจ

ศึกษานิเทศก์ที่จะประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันและอนาคตจะต้องเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีใจรักในการพัฒนาการศึกษาและผู้เรียนอย่างแท้จริง

ดังนั้น การเตรียมความพร้อมสำหรับ Post-Training ระยะที่ 3 จึงไม่ใช่เพียงการเตรียมตัวสำหรับการสอบผ่าน แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อเป็นศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพ สามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา และส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในระยะยาวอย่างแท้จริง

เอกสารประกอบการบรยาย

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version