ศึกษานิเทศก์ในฐานะสถาปนิกแห่งการเปลี่ยนแปลง: การปลูกฝัง Growth Mindset เพื่อการพัฒนาครูเชิงระบบในประเทศไทย
บทนำ: การเปลี่ยนกรอบการพัฒนาครูสู่การปฏิรูปเชิงระบบ
รายงานฉบับนี้เสนอข้อโต้แย้งหลักว่า ความท้าทายที่ฝังรากลึกในการปฏิรูปการศึกษาไทย ซึ่งสะท้อนผ่านอันดับผลการประเมินนักเรียนในระดับนานาชาติที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ 1 และความล้มเหลวของมาตรการปฏิรูปจากบนลงล่าง (Top-Down) ในอดีต 2 มีต้นตอมาจากการมุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงเชิงขั้นตอนและเปลือกนอก มากกว่าการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวิชาชีพและกรอบความคิด (Mindset) ของครูอย่างถึงแก่นแท้ กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ยั่งยืนนั้น อยู่ที่การเสริมพลังให้ “ศึกษานิเทศก์” ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ตรวจสอบ แต่เป็น “สถาปนิก” ผู้ออกแบบและสร้างกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมและจิตวิทยานี้
รายงานฉบับนี้จะเริ่มต้นด้วยการนิยามบทบาทของศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ จากนั้นจะวางรากฐานทางทฤษฎีที่แข็งแกร่งโดยใช้หลักการพัฒนาองค์กร (Organizational Development: OD) และการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ต่อมา จะลงลึกในรายละเอียดถึงความสำคัญของการปลูกฝัง “Growth Mindset” ให้กับครู พร้อมนำเสนอชุดเครื่องมือเชิงปฏิบัติสำหรับศึกษานิเทศก์ (เช่น ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และการโค้ช) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ท้ายที่สุด รายงานจะเชื่อมโยงกรอบความคิดที่เปลี่ยนไปนี้เข้ากับการประยุกต์ใช้ในห้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีกรณีศึกษาของนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จในบริบทของไทยเป็นเครื่องยืนยัน และสรุปเป็นแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง เป้าหมายสูงสุดคือการก้าวข้าม “การปฏิรูปที่เป็นเพียงเหตุการณ์” ไปสู่ “การพัฒนาที่เป็นวัฒนธรรมต่อเนื่อง”
ส่วนที่ 1: ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่: จากผู้ตรวจสอบสู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ส่วนนี้จะทำการวิเคราะห์บทบาทดั้งเดิมของศึกษานิเทศก์และสร้างนิยามใหม่ให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่มีบทบาทหลากหลายและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21
บทบาทในอดีตเทียบกับพันธกิจในศตวรรษที่ 21
ในอดีต บทบาทของศึกษานิเทศก์มักถูกมองว่าเป็นผู้ตรวจสอบหรือผู้ประเมิน ซึ่งมุ่งเน้นการกำกับดูแลให้เป็นไปตามระเบียบ การติดตาม และการบังคับใช้นโยบายจากบนลงล่าง 4 แนวทางดังกล่าวบ่อยครั้งสร้างบรรยากาศของความกังวลและการต่อต้าน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางวิชาชีพอย่างแท้จริง
พันธกิจใหม่ของศึกษานิเทศก์ในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่การเป็น “ครูของครู” (The Teacher’s Teacher) ที่ปรึกษาทางวิชาการ และพี่เลี้ยงที่คอยสนับสนุน 6 ภารกิจหลักคือการนิเทศ แนะนำ ชี้แนะ และกระตุ้นให้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาเกิดความรู้ความตระหนักและมีทักษะในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ 8 การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านจากวัฒนธรรมแห่งการปฏิบัติตามคำสั่ง (Compliance Culture) ไปสู่วัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ (Learning Culture)
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนนิยามของบทบาทศึกษานิเทศก์อย่างสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นได้อย่างชัดเจน
ตารางที่ 1: วิวัฒนาการบทบาทของศึกษานิเทศก์
คุณลักษณะ | กระบวนทัศน์ดั้งเดิม (ผู้ตรวจสอบ/ผู้ประเมิน) | กระบวนทัศน์แห่งการปฏิรูป (โค้ช/ผู้นำการเปลี่ยนแปลง) |
เป้าหมายหลัก | การปฏิบัติตามระเบียบ, การสร้างมาตรฐาน, การควบคุมคุณภาพ | การเติบโตของครู, การสร้างขีดความสามารถ, การส่งเสริมนวัตกรรม |
ความสัมพันธ์หลัก | เชิงลำดับชั้น, การประเมินเพื่อตัดสิน | การร่วมมือ, การสร้างความไว้วางใจ (“กัลยาณมิตร”) |
วิธีการสำคัญ | การตรวจเยี่ยม, การสังเกตการณ์, การรายงานผล | การโค้ช, การวางแผนร่วมกัน, การอำนวยความสะดวก PLC, การวิจัยเชิงปฏิบัติการ |
จุดเน้นในการปฏิสัมพันธ์ | การค้นหาข้อบกพร่อง, การบังคับใช้นโยบาย | การระบุความต้องการ, การร่วมสร้างแนวทางแก้ไข, การส่งเสริมการสะท้อนคิด |
ตัวชี้วัดความสำเร็จ | คะแนนสอบมาตรฐาน, รายงานการปฏิบัติตามระเบียบ | การเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของครู, นวัตกรรมการสอน, การมีส่วนร่วมของผู้เรียน |
มุมมองต่อความรู้ | ศึกษานิเทศก์คือผู้เชี่ยวชาญ, ครูคือผู้รับ | ความรู้ถูกสร้างขึ้นร่วมกันผ่านกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ |
สมรรถนะหลักของศึกษานิเทศก์แห่งการเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจใหม่นี้ได้ ศึกษานิเทศก์จำเป็นต้องมีสมรรถนะที่หลากหลายและลึกซึ้ง ดังนี้
- ความเชี่ยวชาญทางวิชาการและการวิจัย: ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้ที่ “แตกฉานลึกซึ้ง” ในเนื้อหาสาระที่ตนรับผิดชอบ 8 นอกจากนี้ ต้องมีทักษะในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับครูและผู้บริหาร สามารถประเมินนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่อชี้แนะทิศทางการพัฒนาได้อย่างมีหลักการ 6 ความสามารถด้านการวิจัยนี้ทำให้ศึกษานิเทศก์สามารถทำงานบนฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดคำสั่ง
- ทักษะการโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยง: ศึกษานิเทศก์ต้องทำหน้าที่เป็นโค้ชที่ช่วยให้ครูสะท้อนการปฏิบัติงานของตนเอง 10 เป็นพี่เลี้ยงที่ให้คำปรึกษาและชี้แนะแนวทาง 11 และเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่ช่วยให้ครูค้นพบแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นการบอกคำตอบ 11
- ความรู้ด้านดิจิทัลและการสร้างเครือข่าย: ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนวิธีการสอนที่ทันสมัยและอำนวยความสะดวกในการสร้างเครือข่ายทางวิชาชีพ 8 ความสามารถในการสร้างและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการเรียนรู้ทางวิชาชีพเป็นทักษะสำคัญในการขยายผลแนวปฏิบัติที่ดีและส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสถานศึกษา 8
- ความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์: ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์กับผู้บริหารสถานศึกษา ช่วยเชื่อมโยงเป้าหมายระดับโรงเรียนเข้ากับนโยบายการศึกษาในภาพรวม และให้คำปรึกษาทางวิชาการในระดับสูง 8
การสร้างความไว้วางใจ: “กัลยาณมิตร” รากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
แนวคิดเรื่อง “กัลยาณมิตร” ถูกเน้นย้ำอยู่เสมอในฐานะหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างศึกษานิเทศก์และครู 7 นี่ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความไว้วางใจ ความเข้าอกเข้าใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับครูที่จะกล้าเปิดเผยความท้าทาย ยอมรับข้อจำกัด และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นและแนวทางใหม่ๆ 11 หากปราศจากรากฐานนี้ แม้แต่เทคนิคการนิเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ย่อมล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม ระบบการศึกษาในปัจจุบันได้สร้างความขัดแย้งเชิงบทบาท (Role Conflict) ให้กับศึกษานิเทศก์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่อุดมคติคือการเป็น “กัลยาณมิตร” ที่คอยสนับสนุนและให้กำลังใจ 8 แต่ในทางปฏิบัติ ศึกษานิเทศก์มักถูกมอบหมายให้มีบทบาทในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเลื่อนวิทยฐานะของครูหรือการประเมินคุณภาพสถานศึกษา 4 สภาวะเช่นนี้บ่อนทำลายความไว้วางใจโดยตรง เพราะครูย่อมไม่กล้าที่จะเปิดเผยปัญหาหรือทดลองสิ่งใหม่ๆ หากกังวลว่าความผิดพลาดหรือความไม่สมบูรณ์แบบจะถูกนำไปใช้ในการตัดสินเชิงลบ ดังนั้น เพื่อให้ศึกษานิเทศก์สามารถทำหน้าที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการทบทวนโครงสร้างบทบาท โดยอาจแยกหน้าที่ด้านการพัฒนา (Developmental function) ออกจากหน้าที่ด้านการประเมิน (Evaluative function) อย่างชัดเจน หรือเปลี่ยนนิยามของการประเมินให้มุ่งเน้นเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) เพียงอย่างเดียว
ในขณะเดียวกัน บทบาทของศึกษานิเทศก์ที่ต้องเข้าไปคลุกคลีกับโรงเรียนหลากหลายบริบท ตั้งแต่โรงเรียนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่พิเศษ 10 ทำให้พวกเขากลายเป็น “ตัวรับรู้” (Sensor) ที่มีค่าที่สุดในระบบนิเวศการศึกษา พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาหน้างานที่แท้จริงและความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละโรงเรียน 10 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้กำหนดนโยบายในส่วนกลางไม่สามารถมองเห็นได้ การสร้างกลไกป้อนกลับ (Feedback Loop) ที่เป็นทางการเพื่อให้ข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณจากศึกษานิเทศก์สามารถส่งผลโดยตรงต่อการทบทวนและปรับปรุงนโยบาย จะทำให้ระบบการศึกษามีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น ศึกษานิเทศก์จึงไม่ควรเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามนโยบาย แต่ควรเป็นผู้ร่วมสร้างนโยบายด้วย
ส่วนที่ 2: กรอบแนวคิดสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ: การประยุกต์ใช้หลักการพัฒนาองค์กรกับการศึกษา
ส่วนนี้จะนำเสนอรากฐานทางทฤษฎีของรายงาน โดยมีข้อเสนอว่าโรงเรียนต้องถูกทำความเข้าใจและบริหารจัดการในฐานะองค์กรที่ซับซ้อน ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่จัดการเรียนการสอน
การทำความเข้าใจโรงเรียนในฐานะองค์กรที่ซับซ้อน
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ศึกษานิเทศก์ต้องสามารถวิเคราะห์องค์กรโรงเรียนผ่านมิติที่สำคัญสองประการ:
- บรรยากาศองค์กร (Organizational Climate): หมายถึง “อารมณ์” หรือ “บุคลิกภาพ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่สังเกตได้ง่าย เช่น รูปแบบความเป็นผู้นำของผู้บริหาร ความเปิดกว้างในการสื่อสาร และวิธีการแก้ไขความขัดแย้ง 16 บรรยากาศองค์กรคือความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อเดินเข้าไปในโรงเรียน
- วัฒนธรรมองค์กร (Organizational Culture): หมายถึง บรรทัดฐาน ค่านิยม และความเชื่อที่หยั่งรากลึก ซึ่งมักเป็นสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกแต่เป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร 16 วัฒนธรรมองค์กรคือ “วิถีปฏิบัติที่เป็นปกติของเราที่นี่”
บทบาทแรกของศึกษานิเทศก์ตามหลักการพัฒนาองค์กรคือการเป็น “ผู้วินิจฉัย” (Diagnostician) 16 พวกเขาต้องช่วยให้บุคลากรในโรงเรียนสามารถระบุบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและปัจจัยด้านบรรยากาศที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของครูและขัดขวางการสร้างนวัตกรรม เช่น วัฒนธรรมที่กลัวความผิดพลาด หรือวัฒนธรรมการทำงานแบบตัวใครตัวมัน แทนที่จะเป็นการร่วมมือกัน
รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงสำหรับบริบททางการศึกษา
การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบต้องอาศัยความเข้าใจในรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน:
- การเปลี่ยนแปลงที่วางแผนไว้ (Planned Change): เป็นแนวทางจากบนลงล่าง (Top-Down) ซึ่งมีลักษณะเป็นการริเริ่มที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าและขับเคลื่อนจากส่วนกลาง เช่น รูปแบบ “ละลายพฤติกรรม-เปลี่ยนแปลง-สร้างให้แข็งตัว” (Unfreeze-Change-Refreeze) ของเคิร์ต เลวิน 17 การปฏิรูปการศึกษาของไทยในอดีตส่วนใหญ่มีลักษณะเช่นนี้ 2 แม้แนวทางนี้จะสามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนได้ แต่ก็มักล้มเหลวหากไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ปฏิบัติ และอาจขาดความยืดหยุ่น 18
- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเอง (Emergent Change): เป็นแนวทางจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ซึ่งมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการปรับตัวที่ต่อเนื่องและเกิดขึ้นจากระดับปฏิบัติการเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป 18 แนวทางนี้มีความยืดหยุ่นสูงและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ แต่ก็อาจขาดทิศทางที่ชัดเจนและขยายผลได้ยาก
กุญแจสู่ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอยู่ที่ความสามารถของศึกษานิเทศก์ในการ “สังเคราะห์” ทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน พวกเขาต้องสามารถแปลนโยบายจากบนลงล่าง (เช่น หลักสูตรฐานสมรรถนะ) ให้กลายเป็นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และปรับใช้อย่างสร้างสรรค์จากล่างขึ้นบน ซึ่งเหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละโรงเรียน 20
การวินิจฉัยและเอาชนะอุปสรรคเชิงระบบในบริบทของไทย
ศึกษานิเทศก์ต้องเผชิญและจัดการกับอุปสรรคเชิงระบบที่สำคัญ ดังนี้:
- ความเฉื่อยทางวัฒนธรรม (Cultural Inertia): แนวโน้มที่ครูจะกลับไปใช้วิธีการสอนแบบดั้งเดิม (“สอนแบบเดิมไม่พัฒนา”) เนื่องจากบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่ฝังแน่น และการขาดแรงจูงใจหรือการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ 19
- ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง (Structural Constraints): ภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน (“ภาระงานที่ทำให้เราเป็นข้าราชการมากกว่าเป็นครู”) การขาดแคลนทรัพยากร (งบประมาณ, เทคโนโลยี) และการตัดสินใจที่รวมศูนย์ซึ่งจำกัดความเป็นอิสระของโรงเรียน 19
- การต่อต้านนวัตกรรม (Resistance to Innovation): วัฒนธรรมองค์กรที่อาจไม่ให้รางวัลแก่การกล้าได้กล้าเสีย ประกอบกับการขาดกลยุทธ์ในการบริหารจัดการแรงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นเรื่องปกติ 24 ศึกษานิเทศก์จึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Manager) เพื่อจัดการกับอุปสรรคเหล่านี้ผ่านการแทรกแซงเชิงกลยุทธ์ 16
การวิเคราะห์บทบาทของศึกษานิเทศก์ผ่านกรอบการพัฒนาองค์กรเผยให้เห็นช่องว่างที่สำคัญ กล่าวคือ แม้ระบบจะคาดหวังให้ศึกษานิเทศก์เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง แต่สมรรถนะที่กำหนดไว้สำหรับตำแหน่งนี้ 8 กลับมุ่งเน้นไปที่ความสามารถทางวิชาการ การวิจัย และ ICT โดยแทบไม่ได้กล่าวถึงสมรรถนะด้านการพัฒนาองค์กรหรือการบริหารการเปลี่ยนแปลงโดยตรงเลย นี่จึงเป็นจุดที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน โดยหลักสูตรการพัฒนาศึกษานิเทศก์จำเป็นต้องบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยองค์กร การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การแก้ไขความขัดแย้ง และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้พวกเขามีเครื่องมือที่เหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาการปฏิรูปการศึกษาไทยในอดีตผ่านรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของเคิร์ต เลวิน 18 จะพบว่าความล้มเหลวส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในขั้นตอนสุดท้าย คือ “การสร้างให้แข็งตัว” (Refreeze) กล่าวคือ แม้จะมีการ “ละลายพฤติกรรม” (สร้างความตระหนักถึงปัญหา) และ “เปลี่ยนแปลง” (นำเสนอนโยบายหรือจัดการอบรม) แต่พฤติกรรมใหม่ๆ กลับไม่ถูกฝังเข้าไปในวัฒนธรรม ระบบ และโครงสร้างการให้รางวัลของโรงเรียนอย่างแท้จริง 1 ระบบยังคงให้รางวัลแก่การปฏิบัติตามระเบียบ การทำเอกสาร หรือความอาวุโส มากกว่าการสร้างนวัตกรรมการสอนหรือการทำงานร่วมกัน 19 ส่งผลให้เมื่อแรงกดดันจากภายนอกลดลง ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม (Snap-back) ดังนั้น บทบาทของศึกษานิเทศก์จึงต้องขยายไปสู่การเป็นสถาปนิกของกระบวนการ “Refreeze” โดยทำงานร่วมกับผู้บริหารโรงเรียนเพื่อออกแบบระบบภายในใหม่ ตั้งแต่ระเบียบวาระการประชุมไปจนถึงเกณฑ์การประเมินครู เพื่อให้ระบบทั้งหมดสอดคล้องและส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์อย่างยั่งยืน
ส่วนที่ 3: ตัวเร่งปฏิกิริยาแห่งการเปลี่ยนแปลง: การปลูกฝัง Growth Mindset ในนักการศึกษา
ส่วนนี้จะนำเสนอว่า “กรอบความคิด” (Mindset) ไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่สำคัญและจำเป็นที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่ต้องการ
นิยามของ Growth Mindset ในบริบทของการสอน
- Fixed Mindset (กรอบความคิดแบบตายตัว): คือความเชื่อที่ว่าสติปัญญาและความสามารถในการสอนเป็นคุณสมบัติที่คงที่และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ครูที่มีกรอบความคิดเช่นนี้มักจะหลีกเลี่ยงความท้าทาย ล้มเลิกได้ง่ายเมื่อเจอนักเรียนที่สอนยาก มองว่าความพยายามเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เพิกเฉยต่อข้อมูลป้อนกลับที่เป็นประโยชน์ และรู้สึกว่าความสำเร็จของผู้อื่นเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง 26
- Growth Mindset (กรอบความคิดแบบเติบโต): คือความเชื่อที่ว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ผ่านความทุ่มเทและการทำงานหนัก ครูที่มีกรอบความคิดเช่นนี้จะเปิดรับความท้าทาย พากเพียรเมื่อเผชิญกับอุปสรรค มองว่าความพยายามคือหนทางสู่ความเชี่ยวชาญ เรียนรู้จากคำวิจารณ์ และค้นหาบทเรียนและแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของผู้อื่น 26 กรอบความคิดนี้คือรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ผลกระทบของกรอบความคิดต่อการปฏิบัติการสอน
- นวัตกรรมและการกล้าเสี่ยง: Growth Mindset เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างนวัตกรรม ช่วยให้ครูกล้าที่จะทดลองใช้วิธีการสอนใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยพิสูจน์ (เช่น การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ) โดยมองว่าความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นไม่ใช่เครื่องตัดสินคุณค่าของตนเอง แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่มีค่า 15
- ความเข้มแข็งทางใจและประสิทธิภาพ: การสอนเป็นงานที่ท้าทาย Growth Mindset จะสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจที่จำเป็นต่อการทำงานกับผู้เรียนที่มีความหลากหลายและเอาชนะอุปสรรคในชั้นเรียนได้โดยไม่ท้อถอย อีกทั้งยังส่งเสริมความเชื่อที่ว่านักเรียน “ทุกคน” สามารถเรียนรู้ได้ และครูสามารถหาวิธีที่จะเข้าถึงนักเรียนทุกคนได้
- การเปิดรับข้อมูลป้อนกลับ: ครูที่มี Growth Mindset จะแสวงหาและเห็นคุณค่าของข้อมูลป้อนกลับจากทั้งศึกษานิเทศก์ เพื่อนครู หรือแม้กระทั่งจากนักเรียน โดยมองว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนา 26 สิ่งนี้จะเปลี่ยนกระบวนการนิเทศจากการประเมินที่น่ากลัวให้กลายเป็นการทำงานร่วมกันที่น่าปรารถนา
บทบาทของศึกษานิเทศก์ในการส่งเสริม Growth Mindset
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจ: ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นผู้นำในการสร้างบรรยากาศในโรงเรียนที่ครูรู้สึกปลอดภัยที่จะทดลอง ขอความช่วยเหลือ และพูดคุยถึงความล้มเหลวของตนเองได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องกลัวผลกระทบในทางลบ 15 ซึ่งรวมถึงการที่ศึกษานิเทศก์เองต้องแสดงความเปราะบาง (Vulnerability) และวางกรอบให้ความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้
- การใช้ภาษาและการวางกรอบเชิงกลยุทธ์: ศึกษานิเทศก์สามารถปลูกฝัง Growth Mindset ได้โดยตรงผ่านการใช้ภาษา เช่น การชื่นชม “กระบวนการและความพยายาม” แทนที่จะชื่นชม “พรสวรรค์” (“ผมประทับใจวิธีที่คุณครูลองใช้กลยุทธ์ถึง 3 แบบเพื่อช่วยนักเรียนคนนั้น” แทนที่จะพูดว่า “คุณครูเป็นครูโดยธรรมชาติจริงๆ”) และการวางกรอบให้ความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโต 15
- การเป็นแบบอย่างของผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต: ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นภาพสะท้อนของ Growth Mindset ด้วยตนเอง พวกเขาต้องแสดงให้เห็นว่าตนเองเรียนรู้อยู่เสมอ อ่านงานวิจัยใหม่ๆ ทดลองกับแนวทางการทำงานของตนเอง และแบ่งปันเส้นทางการเรียนรู้และความท้าทายของตนเองอย่างเปิดเผย 10
กรอบความคิดของครูสามารถถูกพิจารณาให้เป็น “ตัวชี้วัดนำ” (Leading Indicator) ที่สามารถวัดผลได้สำหรับความสำเร็จทางการศึกษา ในขณะที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเป็น “ตัวชี้วัดตาม” (Lagging Indicator) การเปลี่ยนแปลงในทางบวกของกรอบความคิดของครู 26 ย่อมนำไปสู่การปรับปรุงวิธีการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ Active Learning 27 ซึ่งจะส่งผลให้ผลลัพธ์ของผู้เรียนดีขึ้นในอนาคต ดังนั้น ศึกษานิเทศก์ควรมีเครื่องมือ (เช่น แบบสำรวจที่น่าเชื่อถือ หรือเกณฑ์การสังเกต) เพื่อวินิจฉัยและติดตามระดับ Growth Mindset ของคณาจารย์ในโรงเรียน ข้อมูลนี้จะช่วยให้สามารถให้การสนับสนุนเชิงรุกได้ก่อนที่ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจะปรากฏชัด
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของศึกษานิเทศก์ในการปลูกฝัง Growth Mindset อาจถูกบ่อนทำลายโดยโครงสร้างของระบบการศึกษาเอง ระบบที่เน้นการสอบแข่งขันที่มีเดิมพันสูง (High-stakes testing) เช่น O-NET 19 หลักสูตรที่ตายตัว และระบบการเลื่อนวิทยฐานะที่เน้นเอกสาร 19 ล้วนส่งเสริม Fixed Mindset โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันให้รางวัลแก่ “ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง” มากกว่า “กระบวนการเรียนรู้” และลงโทษ “ความเสี่ยง” ที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น การปฏิรูปในระดับนโยบายจึงต้องดำเนินควบคู่กันไป เช่น การเปลี่ยนสู่การประเมินฐานสมรรถนะ การให้อิสระด้านหลักสูตรมากขึ้นดังเช่นในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (Sandbox) 32 และการออกแบบระบบประเมินครูที่ให้คุณค่ากับกระบวนการ การทำงานร่วมกัน และการกล้าทดลองทาง παιδαγωγία
ส่วนที่ 4: ชุดเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของศึกษานิเทศก์เพื่อการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยกรอบความคิด
ส่วนนี้จะเปลี่ยนจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ โดยนำเสนอกลไกสำคัญที่ศึกษานิเทศก์สามารถใช้เพื่อขับเคลื่อนและรักษาวัฒนธรรมแห่งการเติบโต
ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC): เครื่องยนต์แห่งความร่วมมือ
ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ไม่ใช่แค่การประชุม แต่เป็นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกันอย่างมีวินัย โดยมุ่งเน้นที่การเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสำคัญ 33 PLC จะเปลี่ยนครูจากการทำงานอย่างโดดเดี่ยวไปสู่ความรับผิดชอบร่วมกัน โดยกระบวนการนี้ต้องขับเคลื่อนจากล่างขึ้นบน (Bottom-up) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ครูเผชิญจริงในห้องเรียน 35
รูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ “การศึกษาชั้นเรียน” (Lesson Study) เป็นแกนกลางของ PLC ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การร่วมกันวางแผนการสอน 2) ครูคนหนึ่งนำแผนไปสอน ขณะที่สมาชิกคนอื่นร่วมสังเกตการณ์ (โดยมุ่งเน้นที่การเรียนรู้ของนักเรียน ไม่ใช่การประเมินครู) และ 3) การร่วมกันสะท้อนผลจากข้อมูลที่สังเกตได้ เพื่อนำไปปรับปรุงบทเรียนให้ดียิ่งขึ้น 34
บทบาทของศึกษานิเทศก์ไม่ใช่การเป็นผู้นำ PLC แต่เป็นการเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) ซึ่งรวมถึงการช่วยกำหนดกติกาการทำงานร่วมกัน การตั้งคำถามนำที่ดี การวิเคราะห์ผลงานนักเรียนเพื่อใช้เป็นหลักฐาน และการทำให้วงสนทนามีทิศทางและเกิดประโยชน์สูงสุด 11 นอกจากนี้ ศึกษานิเทศก์ยังสามารถเชื่อมโยงกลุ่ม PLC จากต่างโรงเรียนเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเครือข่ายที่กว้างขวางขึ้น 9
แม้ว่า PLC จะถูกนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว แต่การปฏิบัติมักมีความคลาดเคลื่อนและเป็นไปอย่างผิวเผิน โดยมักกลายเป็นการประชุมเชิงบริหารหรือการรับคำสั่งจากผู้บริหาร ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิม 33 ดังนั้น บทบาทที่สำคัญที่สุดของศึกษานิเทศก์คือการเป็น “ผู้พิทักษ์กระบวนการ” (Guardian of the Process) พวกเขาต้องให้ความรู้และโค้ชทั้งผู้บริหารและครูเกี่ยวกับวิธีการดำเนินงาน PLC ที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นภาระงานเอกสารอีกชิ้นหนึ่ง
ตารางที่ 2: กรอบการดำเนินงาน PLC แบบแบ่งระยะสำหรับศึกษานิเทศก์
ระยะ | วัตถุประสงค์หลัก | บทบาทและการดำเนินการของศึกษานิเทศก์ | บทบาทและการดำเนินการของทีมครู | ข้อควรระวัง |
1. สร้างฐานและกำหนดจุดเน้น | สร้างความไว้วางใจและระบุปัญหาที่เกี่ยวกับผู้เรียนอย่างแท้จริง | อำนวยความสะดวกในการสร้างทีม; เป็นแบบอย่างของความเปราะบาง; นำการวิเคราะห์ข้อมูล (เช่น ผลงานนักเรียน) เพื่อระบุปัญหาสำคัญ | สร้างกติกาของทีม; แบ่งปันความท้าทายอย่างเปิดเผย; วิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนเพื่อตกลงร่วมกันถึงปัญหาที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ | การเลือกปัญหาที่กว้างเกินไป หรือเป็นปัญหาเพื่อความสะดวกของครู ไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน |
2. สืบเสาะและวางแผนร่วมกัน | ร่วมกันพัฒนาบทเรียนหรือแนวทางแก้ไขโดยอิงหลักการ/งานวิจัย | จัดหาหรือแนะนำงานวิจัย/แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง; นำกระบวนการวางแผนแบบ “Lesson Study”; ตั้งคำถามเพื่อให้แผนมีความชัดเจนและสังเกตได้ | ค้นคว้ากลยุทธ์ที่เป็นไปได้; ร่วมกันเขียนแผนการสอนอย่างละเอียด โดยคาดการณ์การตอบสนองและแนวคิดที่คลาดเคลื่อนของนักเรียน | การสร้างแผนทั่วๆ ไป โดยขาดการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงการกระทำและความคิดของนักเรียน |
3. ปฏิบัติและสังเกตการณ์ | นำแผนไปใช้และเก็บรวบรวมหลักฐานการเรียนรู้ของนักเรียน | ทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ตัดสิน โดยเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการกระทำและการสนทนาของนักเรียน | สมาชิกคนหนึ่งสอนตามแผน ขณะที่คนอื่นๆ สังเกตการเรียนรู้ของนักเรียน; เก็บรวบรวมหลักฐานตามที่ตกลงกันไว้ (เช่น บันทึก, ภาพถ่ายผลงาน) | ผู้สังเกตการณ์เผลอไปตัดสินการสอนของครู แทนที่จะเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของนักเรียน |
4. วิเคราะห์และสะท้อนผล | วิเคราะห์หลักฐานและสรุปบทเรียนเพื่อการปฏิบัติในอนาคต | อำนวยความสะดวกในกระบวนการสะท้อนผลที่มีโครงสร้าง; รับฟังทุกความเห็น; มุ่งเน้นที่หลักฐานและผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน | ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลที่สังเกตได้; อภิปรายว่าอะไรได้ผล/ไม่ได้ผล และ “เพราะอะไร” โดยอิงจากหลักฐาน; กำหนดขั้นตอนต่อไปในการปรับปรุงบทเรียน | วงสนทนากลายเป็นการบ่น หรือแสดงความเห็นโดยปราศจากหลักฐาน |
5. ขยายผลและแบ่งปัน | จัดทำเอกสารและแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ขององค์กร | ช่วยทีมจัดทำเอกสารการเรียนรู้ในรูปแบบที่แบ่งปันได้; เชื่อมโยงทีมกับ PLC อื่นๆ; อำนวยความสะดวกในการนำเสนอผลงานในระดับโรงเรียน | ปรับปรุงบทเรียน/กลยุทธ์จากการสะท้อนผล; แบ่งปันสิ่งที่ค้นพบกับเพื่อนร่วมงาน; สร้างฐานความรู้ของโรงเรียน | การเรียนรู้จำกัดอยู่แค่ในทีม ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนในโรงเรียนในวงกว้าง |
การโค้ชและการเป็นพี่เลี้ยงเพื่อการปฏิบัติที่ลึกซึ้ง
- รูปแบบ “สอนให้ดู”: เป็นเทคนิคที่ทรงพลังซึ่งศึกษานิเทศก์ในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่เชี่ยวชาญจะร่วมสอนหรือสาธิตกลยุทธ์ใหม่ๆ ในห้องเรียนจริง วิธีนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอบรมเชิงทฤษฎีมาก เพราะเป็นการให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับบริบท 38
- การสะท้อนการปฏิบัติและข้อมูลป้อนกลับที่ไม่ตัดสิน: เป้าหมายของการโค้ชคือการเพิ่มการตระหนักรู้ในตนเอง ศึกษานิเทศก์จะใช้เทคนิคการตั้งคำถามชี้นำ (เช่น “คุณครูสังเกตเห็นการมีส่วนร่วมของนักเรียนเป็นอย่างไรในช่วงนั้นของบทเรียน”) แทนการตัดสิน (เช่น “คุณครูควรจะทำแบบนั้น”) เพื่อกระตุ้นให้ครูกลายเป็นนักวิเคราะห์การสอนของตนเอง 10
- ระบบพี่เลี้ยงและการโค้ชโดยเพื่อนครู: เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบที่ยั่งยืนด้วยตนเอง ศึกษานิเทศก์ควรช่วยสร้างโครงสร้างการโค้ชโดยเพื่อนครู (Peer Coaching) ภายในโรงเรียน ซึ่งครูจะสังเกตและให้ข้อมูลป้อนกลับแก่กันและกัน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเติบโตทางวิชาชีพร่วมกัน 11
การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและเป็นส่วนตัว
- การคัดสรรและสร้างทรัพยากร: ศึกษานิเทศก์สามารถทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรร (Curator) ทรัพยากรดิจิทัลคุณภาพสูง แนะนำครูให้รู้จักแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน และงานวิจัยออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ 8
- PLC และเครือข่ายดิจิทัล: เทคโนโลยีสามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ทำให้ PLC สามารถประชุมออนไลน์และเชื่อมต่อกับครูจากโรงเรียนอื่นได้ ก่อให้เกิดชุมชนแห่งการปฏิบัติที่กว้างขวางขึ้น 11
- เส้นทางการพัฒนาส่วนบุคคล: เครื่องมือดิจิทัลช่วยให้ครูสามารถเลือกเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการและความสนใจของตนเองได้ ซึ่งจะมาแทนที่รูปแบบการพัฒนาวิชาชีพแบบ “หนึ่งขนาดเหมาะกับทุกคน” (One-size-fits-all) 41
เครื่องมือทั้งสามอย่างนี้—PLC, การโค้ช และแพลตฟอร์มดิจิทัล—ไม่ใช่ทางเลือกที่แยกจากกัน แต่เป็นระบบที่ทำงานเสริมกันอย่างครบวงจร PLC ช่วยระบุปัญหาและกลยุทธ์ใหม่ การโค้ชช่วยให้ครูนำกลยุทธ์นั้นไปปฏิบัติได้อย่างมั่นใจ และแพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยสนับสนุนและขยายผลการเรียนรู้ ศึกษานิเทศก์จึงต้องได้รับการฝึกฝนให้สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นชุดกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างวงจรการพัฒนาที่ต่อเนื่องและทรงพลัง
ส่วนที่ 5: การแปลกรอบความคิดสู่การปฏิบัติ: ห้องเรียนที่ถูกจินตนาการใหม่
ส่วนนี้จะเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภายใน (กรอบความคิด) และกระบวนการทางวิชาชีพ (ชุดเครื่องมือ) ไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนในห้องเรียน
จากการสอนที่เน้นครูเป็นศูนย์กลางสู่การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
Growth Mindset จะนำครูไปสู่การเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รู้หน้าชั้น” (Sage on the Stage) ไปเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกข้างกาย” (Guide on the Side) โดยปริยาย เพราะพวกเขาเข้าใจว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ที่ผู้เรียนต้องลงมือทำ ไม่ใช่การรับข้อมูลแต่เพียงฝ่ายเดียว
- การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning): หมายถึงการเปลี่ยนจากการสอนแบบบรรยายไปสู่การใช้กลยุทธ์ที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเรียนรู้ของตนเอง เช่น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL), การเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะเป็นฐาน (Inquiry-Based Learning: IBL) และการทำโครงงานร่วมกัน 27 บทบาทของศึกษานิเทศก์คือการแนะนำ สาธิต และสนับสนุนการนำกลยุทธ์การสอนที่ซับซ้อนเหล่านี้ไปใช้
- การบูรณาการดิจิทัล: เทคโนโลยีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้เชิงรุก ไม่ใช่เพื่อมาแทนที่ครู ซึ่งรวมถึงการใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อการทำงานร่วมกัน โปรแกรมจำลองสถานการณ์ และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ 27 อย่างไรก็ตาม ศึกษานิเทศก์ต้องช่วยยกระดับความเข้าใจของครูเกี่ยวกับ Active Learning ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากแค่ “ลงมือทำ” (Hands-on) ไปสู่ “ลงมือคิด” (Minds-on) โดยเน้นการออกแบบกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการคิดขั้นสูง เช่น การวิเคราะห์ การประเมิน และการสร้างสรรค์
ครูผู้มีทักษะแบบ T-Shaped ในทางปฏิบัติ
รูปแบบบุคลากรแบบ “T-Shaped” ถูกนำเสนอในฐานะภาพแทนของครูในอุดมคติ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากกระบวนการพัฒนานี้ แกนแนวตั้งของตัว “T” หมายถึงความเชี่ยวชาญเชิงลึกในสาขาวิชาและศาสตร์การสอน ส่วนแกนแนวนอนหมายถึงทักษะข้ามศาสตร์และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นในวงกว้าง 44
ตารางที่ 3: สมรรถนะหลักของครูผู้มีทักษะแบบ T-Shaped
แกนแนวตั้ง: ความเชี่ยวชาญเชิงลึก (ความรู้ในสาขาวิชาและศาสตร์การสอน) | แกนแนวนอน: สมรรถนะในวงกว้าง (ทักษะการทำงานร่วมกันและการปรับตัว) |
• ความรู้ที่ลึกซึ้งและทันสมัยในสาขาวิชาที่สอน (เช่น คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์) | การทำงานร่วมกันและการสื่อสาร: • มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันใน PLC • เข้าร่วมการโค้ชโดยเพื่อนครู • สื่อสารกับผู้ปกครอง/ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ • ทำงานในทีมสหวิทยาการ |
• ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาผสมผสานกับวิธีสอน (Pedagogical Content Knowledge) | ความรู้ด้านดิจิทัลและสื่อ: • บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเรียนรู้ • สอนให้นักเรียนเป็นผู้บริโภคและผู้สร้างสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ • ใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ทางวิชาชีพ |
• ทักษะในการออกแบบและจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (PBL, IBL) | การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา: • ออกแบบการเรียนรู้ที่ต้องใช้การคิดขั้นสูง • โค้ชนักเรียนให้ผ่านปัญหาที่ซับซ้อนและคลุมเครือ • สร้างวัฒนธรรมแห่งการสืบเสาะในห้องเรียน |
• ความเชี่ยวชาญในการประเมินผลตามสภาพจริง (รูบริก, แฟ้มสะสมงาน, การประเมินภาคปฏิบัติ) | ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: • ปรับหลักสูตรให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นและความสนใจของนักเรียน • ทดลองใช้กลยุทธ์และเครื่องมือการสอนใหม่ๆ • ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกของนักเรียน |
• ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างสำหรับผู้เรียนที่หลากหลาย | ความฉลาดทางอารมณ์และสังคม และกรอบความคิด: • สร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและไว้วางใจกับนักเรียน • จัดการบรรยากาศในชั้นเรียนให้ปลอดภัยและสนับสนุน • เป็นแบบอย่างและสอนเรื่องความอดทน, ความเข้าอกเข้าใจ, และ Growth Mindset |
การพัฒนาครูให้มีทักษะแบบ T-Shaped ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ครูมีความสามารถรอบด้านมากขึ้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์โดยตรงในการแก้ปัญหาเชิงระบบของหลักสูตรที่เนื้อหาอัดแน่นและแยกส่วน 47 ครูที่มีทักษะตามแกนแนวนอนจะสามารถทำงานร่วมกับเพื่อนครูต่างสาขาวิชาเพื่อออกแบบหน่วยการเรียนรู้เชิงบูรณาการที่สอนเนื้อหาและทักษะจากหลายวิชาไปพร้อมๆ กัน 47 เช่น โครงงานสำรวจคุณภาพน้ำในชุมชนที่บูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และสังคมศึกษาเข้าด้วยกัน แนวทางนี้ช่วยให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับชีวิตจริง และน่าสนใจยิ่งขึ้น ศึกษานิเทศก์จึงควรส่งเสริม PLC แบบสหวิทยาการให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้เชิงบูรณาการเหล่านี้
การประเมินผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
ศึกษานิเทศก์ต้องชี้นำให้ครูเปลี่ยนจากการประเมินผลแบบดั้งเดิมที่เน้นการทดสอบความจำ ไปสู่การประเมินผลตามสภาพจริงที่สามารถวัดทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ได้ ซึ่งรวมถึงการประเมินจากภาคปฏิบัติ การใช้รูบริกสำหรับโครงงาน แฟ้มสะสมงาน และการสังเกตการณ์ในชั้นเรียนที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม การคิดเชิงวิพากษ์ และการทำงานร่วมกันของนักเรียน 47 เป้าหมายคือการประเมิน “กระบวนการ” เรียนรู้ ไม่ใช่แค่ “ผลลัพธ์” สุดท้าย
ส่วนที่ 6: แบบจำลองแห่งความสำเร็จ: กรณีศึกษาจากนวัตกรรมการศึกษาไทย
ส่วนนี้จะนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงที่เสนอนั้นไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในบริบทของประเทศไทย
“พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” (Education Sandbox): บทเรียนจากความเป็นอิสระและนวัตกรรม
โครงการ “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ได้มอบความเป็นอิสระให้แก่พื้นที่ที่ได้รับคัดเลือก (เช่น ระยอง, ศรีสะเกษ, สตูล) ในการบริหารจัดการหลักสูตร การพัฒนาครู และการบริหารโรงเรียน 32 พื้นที่เหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนห้องปฏิบัติการที่มีชีวิตสำหรับการปฏิรูป ตัวอย่างเช่น จังหวัดระยองได้พัฒนาหลักสูตรของตนเองในชื่อ “ระยอง มาโคร” และจัดตั้งสถาบันพัฒนาครูขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของแนวทางการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น 49 ในพื้นที่นวัตกรรมฯ บทบาทของศึกษานิเทศก์ได้เปลี่ยนจากการบังคับใช้มาตรฐานกลางไปสู่การสนับสนุนนวัตกรรมในพื้นที่ ทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนการวิจัย และช่วยบันทึกและขยายผลแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ 14
การถอดบทเรียนจาก “โรงเรียนมีชัยพัฒนา”
กรณีศึกษาของโรงเรียนมีชัยพัฒนาแสดงให้เห็นถึงการจินตนาการนิยามและเป้าหมายของโรงเรียนขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยโรงเรียนได้กลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชน และนักเรียนได้รับบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการ 50 หลักการสำคัญคือ “การเสริมพลัง” (Empowerment) นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะชีวิตและทักษะทางธุรกิจที่จำเป็นผ่านการบริหารจัดการกิจการต่างๆ ของโรงเรียน ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างไปจนถึงการมีส่วนร่วมในการคัดเลือกครู การเสริมพลังให้นักเรียนเช่นนี้ย่อมสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ต้องเสริมพลังให้ครูกล้าคิดริเริ่มและมีความเป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน แม้ว่าทุกโรงเรียนอาจไม่สามารถลอกเลียนแบบจำลองนี้ได้ทั้งหมด แต่หลักการพื้นฐานสามารถนำไปปรับใช้ได้ ศึกษานิเทศก์สามารถชี้นำให้โรงเรียนมองหาโอกาสในการสร้างภาวะผู้นำที่แท้จริงให้กับนักเรียน และเชื่อมโยงการเรียนรู้ในห้องเรียนเข้ากับโครงงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน
การสังเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดีจากโครงการนำร่อง
การวิเคราะห์โครงการปฏิรูปอื่นๆ เช่น “โรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้” พบว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ปรากฏร่วมกันอย่างสม่ำเสมอคือ การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management: SBM) การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย การใช้วงจรคุณภาพ PDCA และการส่งเสริมการวิจัยเชิงปฏิบัติการในบริบทของโรงเรียนและชุมชน 51 กรณีศึกษาเหล่านี้ล้วนเน้นย้ำถึงความสำคัญของภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง การมีส่วนร่วมของชุมชน การมุ่งเน้นการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และวัฒนธรรมแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการทำงานร่วมกัน 32
บทเรียนจากกรณีศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “ความเป็นอิสระ” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับนวัตกรรม โรงเรียนที่ได้รับอิสระแต่ขาดขีดความสามารถในการบริหารจัดการอาจไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง 32 นี่คือจุดที่บทบาทของศึกษานิเทศก์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด พวกเขาคือกลไกหลักในการ “สร้างขีดความสามารถ” ให้กับโรงเรียน เพื่อให้สามารถใช้อิสระที่ได้รับมาอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แบบจำลองที่ประสบความสำเร็จทุกแห่งล้วนมีการทลายกำแพงระหว่างโรงเรียน ชุมชน และภาคส่วนอื่นๆ 32 ศึกษานิเทศก์จึงต้องพัฒนาสมรรถนะใหม่ในการเป็น “ผู้ประสานงานและเชื่อมโยงทรัพยากรในชุมชน” เพื่อช่วยให้ครูสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่แท้จริงและหยั่งรากในบริบทท้องถิ่นได้
ส่วนที่ 7: แผนการดำเนินงานเพื่อการปฏิรูปเชิงระบบ: ข้อเสนอแนะและภาพอนาคต
ส่วนสุดท้ายนี้จะสังเคราะห์ข้อค้นพบทั้งหมดของรายงานให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในหลายระดับ
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับศึกษานิเทศก์
- ให้ความสำคัญกับกรอบความคิดเป็นอันดับแรก: ก่อนจะนำเสนอเทคนิคใหม่ๆ ควรเริ่มต้นด้วยการสร้างความไว้วางใจ (“กัลยาณมิตร”) และการวินิจฉัยวัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียนก่อนเสมอ
- เป็นผู้อำนวยความสะดวกมืออาชีพ: มุ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญในการอำนวยความสะดวกกระบวนการ PLC การสนทนาเพื่อการโค้ช และวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างขีดความสามารถภายในของโรงเรียน ไม่ใช่การเป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียว
- ขับเคลื่อนด้วยชุดเครื่องมือแบบบูรณาการ: ใช้ชุดเครื่องมือที่ประกอบด้วย PLC-การโค้ช-ดิจิทัล อย่างเป็นระบบเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา
- นำด้วยการสืบเสาะหาความรู้: เป็นแบบอย่างของ Growth Mindset โดยการตั้งคำถามอยู่เสมอ แสวงหาข้อมูลป้อนกลับต่อการทำงานของตนเอง และแบ่งปันเส้นทางการเรียนรู้ของตนอย่างเปิดเผย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
- นิยามและปรับภาพลักษณ์บทบาทของศึกษานิเทศก์ใหม่: ปรับปรุงรายละเอียดของตำแหน่งงาน (Job Description) และตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน (KPIs) ของศึกษานิเทศก์อย่างเป็นทางการ เพื่อสะท้อนบทบาท “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” และ “โค้ช” โดยแยกบทบาทด้านการพัฒนาออกจากบทบาทด้านการประเมินผลเพื่อตัดสิน
- ลงทุนในการพัฒนาศึกษานิเทศก์: สร้างหลักสูตรการพัฒนาวิชาชีพภาคบังคับสำหรับศึกษานิเทศก์ทุกคน โดยมุ่งเน้นสมรรถนะด้านการพัฒนาองค์กร การบริหารการเปลี่ยนแปลง การโค้ช และการอำนวยความสะดวก PLC
- สร้างกลไกเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด:
- ปฏิรูประบบการประเมินและเลื่อนวิทยฐานะของครูให้รางวัลแก่การทำงานร่วมกัน การสร้างนวัตกรรม และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อการเรียนรู้ของนักเรียน มากกว่าการสะสมเอกสาร
- ขยายผลรูปแบบ “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” เพื่อมอบความเป็นอิสระให้โรงเรียนจำนวนมากขึ้น
- ลดภาระงานที่ไม่ใช่การสอนของครู เพื่อให้ครูมีเวลาสำหรับการทำงานร่วมกันและการพัฒนาวิชาชีพ 2
ภาพอนาคต: สู่วัฒนธรรมแห่งการเติบโตที่ยั่งยืนด้วยตนเอง
วิสัยทัศน์สูงสุดคือระบบนิเวศการศึกษาที่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการเติบโตทางวิชาชีพไม่ได้ถูกขับเคลื่อนจากคำสั่งภายนอก แต่ได้ฝังลึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการทำงานในทุกๆ วันของทุกโรงเรียน ในอนาคตดังกล่าว บทบาทของศึกษานิเทศก์จะวิวัฒนาการไปอีกขั้น จาก “สถาปนิกแห่งการเปลี่ยนแปลง” ไปสู่ “นักถักทอเครือข่ายและผู้จัดการความรู้” (Network Weaver and Knowledge Manager) ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงชุมชนการเรียนรู้ที่เข้มแข็งและยั่งยืนของแต่ละโรงเรียนเข้าด้วยกัน เพื่อแบ่งปันนวัตกรรมและรับมือกับความท้าทายทางการศึกษารุ่นต่อไป และในที่สุด ระบบการศึกษาทั้งหมดจะกลายเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” (Learning Organization) อย่างแท้จริง 21
ผลงานที่อ้างอิง
- ปฏิรูปการศึกษาไทย – ความล้มเหลวและความสำ เร็จ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.thaihealthreport.com/file_book/innnSp.pdf
- ชำแหละการศึกษาไทย: การเมืองฉุดปฏิรูป ทำอันดับรั้งท้ายโลก – Policy Watch, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://policywatch.thaipbs.or.th/article/education-21
- รำยงำนสภำวะกำรศึกษำไทย ป 2557/2558 จะปฏิรูปกำรศึกษำไทย ให้ทันโลกในศตวรรษที่21 ได้อย ำงไร โดย – เทศบาลเมืองลำพูน, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://lamphuncity.go.th/wp-content/uploads/2020/05/ปฎิรูปการศึกษาไทย-ที่21.pdf
- อนาคตภาพการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์ – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/download/261953/178610/1045492
- ก สภาพ ปัญหา และแนวทางการปรับปรุงการนิเทศภาย – มหาวิทยาลัยบูรพา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57990016.pdf
- ศึกษานิเทศก์ ในการศึกษาไทย คืออะไร ? – ครูเชียงราย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.kruchiangrai.net/2022/05/13/ศึกษานิเทศก์/
- โครงการศึกษานิเทศก์ดีของแผ่นดิน, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.thaisuprateacher.org/project/โครงการศึกษานิเทศก์ดีข/
- บทบาทศึกษานิเทศก์กับการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต – บ้านเมือง, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.banmuang.co.th/column/politic/7042
- คู่มือการปฏิบัติงานรายบุคคลของศึกษานิเทศก์ – Thai Education, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.thaieducation.net/csystem/pdf_news/200.pdf
- Focus on classroom เป้าหมายคุณภาพด้านการศึกษาของ “ศึกษานิเทศก์” – YouTube, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=_FkFIjYRVgo
- นวัตกรรมการนิเทศการศึกษา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.nbipeo.go.th/files/663990dd89308_นวัตกรรม_การนิเทศการศึกษา_%28ศึกษานิเทศก์%29_แบบอย่างที่ดี_ปี_2566.pdf
- 4 เทคนิค สร้างครูเป็นโค้ช กุญแจสู่สมรรถนะ – Aksorn.com, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.aksorn.com/4techniques-create-teacher-as-coach
- กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา – ศึกษานิเทศก์ – Google Sites, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://sites.google.com/secondary11.go.th/supervisor/ศกษานเทศก
- “ทำ ทัน ที” การนิเทศอย่างท้าทายสู่ความสำเร็จ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.edusandbox.com/17th-may-2022-do-it-now/
- ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต – ignitethailand, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.ignitethailand.org/content/5755/ignite
- Health Behavior and Health Education | Part Four, Chapter Fifteen: Organizational Development Theory, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.med.upenn.edu/hbhe4/part4-ch15-organizational-development-theory.shtml
- Organization development – Wikipedia, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Organization_development
- Managing Change in Education: Practical Strategies to Improve Change Outcomes in K–12 – RTI International, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.rti.org/publication/managing-change-education-practical-strategies-improve-change-outcomes-k-12/fulltext.pdf
- การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย Educational Reform in Thailand – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pnujr/article/view/53675/44508
- Organizational Change in Schools – ERIC, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://files.eric.ed.gov/fulltext/EJ1322155.pdf
- Strategies for Management of Change in Educational Management at Basic Education: A case of schools in Phitsanulok Wareerat Kaew – ThaiScience, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://thaiscience.info/Journals/Article/NUJ/10896597.pdf
- ข้อเสนอแนะประเทศไทย (2) : กรณีปฏิรูปการศึกษาไทย ตอนเหลียวหลัง ก่อนหยั่งสู่อนาคต, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://mgronline.com/daily/detail/9560000084309
- ปฏิรูปการศึกษาไทย เสียงผู้เรียนต้องมีความหมาย เน้นสิทธิและมีส่วนร่วม -, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.tcc.or.th/reform-education-act/
- กลยุทธ์การบริหารโรงเรียนเผื่อสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ – Chula Digital Collections, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=3459&context=educujournal
- Academic Leadership of School Administrators Affecting Change Management in Schools Under the Secondary Educational Service Area Office Nakhon Phanom | UBRU International Journal Ubon Ratchathani Rajabhat University – thaijo.org, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ubruij/article/view/280040
- ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้ – The Potential, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://thepotential.org/knowledge/growth-mindset-teacher/
- ครูยุคใหม่กับการศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21: ปรับตัวอย่างไรให้ทันโลก – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.starfishlabz.com/blog/1935-ครูยุคใหม่กับการศึกษาสำหรับศตวรรษที่-21-ปรับตัวอย่างไรให้ทันโลก
- กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่า เข้าใจไหม และ ไม่รีบเฉลยคำตอบ – Aksorn.com, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.aksorn.com/think-critically
- ‘กล้าที่จะไม่สอน’ สร้างห้องเรียนที่ปราศจากความกลัว – ก่อการครู, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 http://korkankru.com/bualuang-areabasedapproach04/
- ข้อเสนอ ‘ปฏิรูปการศึกษา’ คลายปมปัญหาที่ฉุดรั้งเด็กไทย : ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ – The Potential, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://thepotential.org/social-issues/recommendations-for-education-reform/
- (Active Learning) – สพฐ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://academic.obec.go.th/images/document/1603180137_d_1.pdf
- โรงเรียน Sandbox ผลลัพธ์ความร่วมมือคนในพื้นที่ รัฐ เอกชน สู่ ร.ร. ดีใกล้บ้าน – TDRI, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://tdri.or.th/2021/03/education-sandbox-event-visualnote/
- PLC ไม่ใช่แค่การประชุม แต่คือ ‘วิถีของโรงเรียน’ – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.starfishlabz.com/blog/837-plc-ไม่ใช่แค่การประชุม-แต่คือ-ว-ถ-ของโรงเร-ยน
- การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) จากกา – thaijo.org, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/download/248309/174003/
- เจาะลึกทีละขั้นตอน PLC ทำตามได้ไม่ยาก! – Learn Education, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.learneducation.co.th/เจาะลึกทีละขั้นตอน-plc-ทำต/
- เอกสาร “แนวทางการขับเคลื่อนกระบวนการ PLC (Professional Learning Community), เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.smart.nongkhai2.go.th/wp-content/uploads/2019/07/plc-อรอุมา.pdf
- การส่งเสริมกระบวนการ PLC ให้มีประสิทธิผล – หอสมุดคุรุสภา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://elibrary.ksp.or.th/index.php?lvl=cmspage&pageid=4&id_article=281
- แชร์แนวคิดศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ คิดอย่างไรถึงก้าวทันโลก? – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.starfishlabz.com/blog/1339-แชร์แนวคิดศึกษานิเทศก์ยุคใหม่-ค-ดอย-างไรถ-งก-าวท-นโลก
- แนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ สร้างครูที่พร้อมนำนวัตกรรมมาใช้ – Break Through Providence, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://breakthroughprovidence.org/education/แนวทางพัฒนาครูยุคใหม่-ส/
- Digital Learning: การเรียนรู้ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอนาคตของการศึกษา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://codegeniusacademy.com/digital-learning/
- การศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัด – มหาวิทยาลัยนเรศวร, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://nuir.lib.nu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/6379/3/RattanawadeeTingtrong.pdf
- การใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา – ศูนย์ สารสนเทศ และ นวัตกรรม ดิจิทัล, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://info-center.neu.ac.th/การใช้เทคโนโลยีทางการศ/
- ความสำเร็จของโรงเรียนนำร่องการพัฒนาทักษะ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.thaihealth.or.th/ความสำเร็จของโรงเรียนน/
- T-Shaped Skills: Transforming Organizations for the Future – Nestor, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://nestorup.com/blog/t-shaped-skills/
- What Does it Mean to be a T-Shaped Employee? – High Speed Training, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.highspeedtraining.co.uk/hub/t-shaped-employee/
- T-Shaped Skills in Agile Explained (With Examples) – Dee Project Manager, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://deeprojectmanager.com/t-shaped-skills-in-agile/
- แนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://ops.moe.go.th/wp-content/uploads/2023/05/1.-แนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่-21.pdf
- ครูยุคใหม่คือ มืออาชีพ กระตือรือร้น+มีความสามารถรอบด้าน – SD PERSPECTIVES, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.sdperspectives.com/alternative/23027-the-role-of-teachers-in-the-21st-century/
- ยกระดับการศึกษาไทย สู่ความเป็นสากล | คุยกันวันใหม่ – YouTube, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=xYpwdCWotEw
- ‘สาม’ หัวดีกว่าหัวเดียว: นวัตกรรมการศึกษาของรัฐ ทุน และชุมชน | กสศ., เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://www.eef.or.th/educational-cooperation/
- ∫—π∑÷°ª√– ∫°“√≥å – ONEC Backoffice for Administrator, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/337-file.pdf
- The Learning Organization Development Guidelines of School Administrators Under Primary Education Service Area Office 1 | Interdisciplinary Academic and Research Journal – ThaiJO, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 19, 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/IARJ/article/view/264236
Comments
comments
Powered by Facebook Comments