Site icon Digital Learning Classroom

การเตรียมตัวเพื่อการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา (ว 10/2564) 

แชร์เรื่องนี้

การเตรียมตัวเพื่อการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา (ว 10/2564) 

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 26 ตุลาคม 2568


__________________________________

บทนำ: ทำความเข้าใจภาพรวมและหัวใจสำคัญของ ว 10/2564

หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 10 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า ว 10/2564) ถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญของการประเมินเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนการศึกษาแห่งชาติ.1 หลักเกณฑ์ใหม่นี้มีหลักการและเหตุผลสำคัญที่ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพรวมระบบประเมินใหม่: มุ่งเน้นผลลัพธ์ ลดภาระเอกสาร

หัวใจสำคัญของ ว 10/2564 คือการเปลี่ยนจากการประเมินที่เน้นเอกสารจำนวนมาก ไปสู่การประเมินที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา (Based on Learning Outcomes).1 แนวคิดนี้สะท้อนผ่านหลักการสำคัญ 3 ประการคือ

Back to school: คุณภาพการศึกษาต้องเริ่มต้นที่ห้องเรียน การปฏิบัติงานของผู้บริหารต้องเชื่อมโยงและส่งผลโดยตรงต่อการเรียนการสอน

Focus on classroom: การประเมินจะพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานจริง สมรรถนะในการบริหาร (Performance) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน (Student Outcomes) เป็นสำคัญ

Digital Performance Appraisal (DPA): การนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการยื่นคำขอ ส่งหลักฐาน และดำเนินการประเมิน เพื่อลดภาระการจัดทำเอกสาร ประหยัดงบประมาณ เพิ่มความโปร่งใส และประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงนี้มีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษามีสมรรถนะในการบริหารสถานศึกษา เป็นผู้นำทางวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง สามารถปรับประยุกต์ แก้ไขปัญหา ริเริ่ม พัฒนา คิดค้น ปรับเปลี่ยน และสร้างการเปลี่ยนแปลงในการบริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ คุณภาพผู้เรียน คุณภาพครู และคุณภาพสถานศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม.1 สิ่งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการให้ความสำคัญกับ “เอกสาร” และ “ผลงานทางวิชาการ” (ซึ่งยังคงมีอยู่สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญขึ้นไป แต่ลดบทบาทลง) ในระบบเดิม มาสู่การประเมิน “สมรรถนะ” (Competency-based) และ “ผลลัพธ์การปฏิบัติงาน” (Performance-based) ที่วัดผลได้จริงผ่านข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) และสื่อดิจิทัล (วิดีทัศน์) ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านที่อนุญาตให้ใช้ผลงานเดิมได้ชั่วคราว แต่ทิศทางหลักมุ่งไปสู่การประเมินรูปแบบใหม่นี้.1

ความเชื่อมโยงของระบบ PA, การเลื่อนวิทยฐานะ (ม.54), และการคงวิทยฐานะ (ม.55): PA คือหัวใจหลัก

ว 10/2564 ได้บูรณาการระบบการประเมินที่เคยแยกส่วนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมี “ข้อตกลงในการพัฒนางาน” (Performance Agreement: PA) เป็นกลไกศูนย์กลาง.1 PA คือข้อตกลงที่ผู้บริหารสถานศึกษาเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อแสดงเจตจำนงในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษาภายในรอบการประเมิน (ปีงบประมาณ) โดยสะท้อนระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ และสอดคล้องกับเป้าหมาย บริบทสถานศึกษา รวมถึงนโยบายส่วนราชการ

PA ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ

ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง: ครอบคลุมการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่ง 5 ด้าน (บริหารวิชาการฯ, บริหารจัดการสถานศึกษา, บริหารการเปลี่ยนแปลงฯ, บริหารงานชุมชนฯ, พัฒนาตนเองฯ) และภาระงานตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด

ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทาย: มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการจัดทำรายงานและวิดีโอสำหรับการขอเลื่อนวิทยฐานะ

ผลการประเมิน PA ในแต่ละปีงบประมาณ ซึ่งประเมินโดยคณะกรรมการ 3 คน จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ 3 ด้านหลัก

1. ใช้เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน

2. ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ (ตามมาตรา 54): ผู้ขอต้องมีผลการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 70 จากกรรมการแต่ละคน) ย้อนหลังตามจำนวนรอบที่กำหนด (ปกติ 3 รอบ เว้นแต่กรณีลดหย่อน).1

3. ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อดำรงไว้ซึ่งวิทยฐานะ (ตามมาตรา 55): ผู้มีวิทยฐานะต้องได้รับการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ทุกปี เพื่อแสดงว่ายังคงมีความรู้ความสามารถตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่.1

ดังนั้น การจัดทำและปฏิบัติงานตาม PA อย่างมีคุณภาพ จึงไม่ใช่เพียงภาระงานประจำปี แต่เป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งยวดต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้

ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง (Expected Levels of Practice): บรรทัดฐานสู่ความสำเร็จ

ว 10/2564 กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีการพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น ตาม “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ที่สอดคล้องกับตำแหน่งและวิทยฐานะ.1 ระดับเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคำจำกัดความเชิงทฤษฎี แต่เป็น “บรรทัดฐาน” ที่คณะกรรมการประเมินใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาทั้งการประเมิน PA ประจำปี และการประเมินเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ.ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังเรียงตามลำดับจากระดับพื้นฐานถึงระดับสูง ได้แก่

การที่ผู้บริหารจะแสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานตามแผนพัฒนา (ด้านที่ 1) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (ด้านที่ 2) นั้น สอดคล้องและ “ถึง” ระดับที่วิทยฐานะที่ตนเองขออย่างแท้จริง ถือเป็นกุญแจสำคัญในการประเมิน การทำความเข้าใจความหมายเชิงปฏิบัติของแต่ละระดับจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

คู่มือฉบับนี้จะนำเสนอแนวทางเชิงปฏิบัติอย่างละเอียด ตั้งแต่การวางแผนระยะยาว การจัดทำรายงานด้านที่ 1 การผลิตสื่อวิดีทัศน์สำหรับด้านที่ 1 และ 2 ตลอดจนการวางแผนเก็บรวบรวมผลงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถเตรียมความพร้อมและนำเสนอผลการปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ว 10/2564 และบรรลุเป้าหมายความก้าวหน้าในวิทยฐานะตามที่มุ่งหวัง

ส่วนที่ 1: การถอดรหัสรายงานด้านที่ 1 การเขียนแผนพัฒนายุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ

รายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมทางการบริหาร (ด้านที่ 1) ในรูปแบบไฟล์ PDF ถือเป็นเอกสารหลักที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องจัดทำเพื่อเสนอขอรับการประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564.1 รายงานฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวบรวมผลงาน แต่เป็นการนำเสนอเรื่องราว (Narrative) ของการพัฒนาสถานศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริหาร ซึ่งต้องสะท้อนให้เห็นถึงทักษะการวางแผน กลยุทธ์ การใช้นวัตกรรม และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสอดคล้องกับ “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน

1.1 การเชื่อมโยงจาก PA สู่รายงานเล่มหลัก: หัวใจคือ “ประเด็นท้าทาย”

จุดเริ่มต้นและแกนกลางของรายงาน PDF ด้านที่ 1 คือ “ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา” ซึ่งปรากฏอยู่ในแบบข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA 1/บส) ที่ผู้บริหารได้จัดทำและเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในแต่ละปีงบประมาณ.1 ประเด็นท้าทายนี้ไม่ใช่เพียงหัวข้อโครงการ แต่เป็นโจทย์สำคัญที่ผู้บริหารมุ่งมั่นจะดำเนินการเพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา โดยต้องสะท้อน “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ (หรือสูงกว่า) อย่างชัดเจน

ตัวอย่างเช่น:

ผู้บริหารที่ยังไม่มีวิทยฐานะ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ ปรับประยุกต์ แนวทางการบริหารจัดการที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบริบทของสถานศึกษาตนเอง.1

ผู้บริหารวิทยฐานะชำนาญการ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ แก้ไขปัญหา ที่เป็นรูปธรรมซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียน ครู หรือสถานศึกษา.1

ผู้บริหารวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ ริเริ่ม พัฒนา สิ่งใหม่ๆ หรือปรับปรุงกระบวนการเดิมให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.1

ผู้บริหารวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ คิดค้น ปรับเปลี่ยน นวัตกรรมหรือแนวทางปฏิบัติที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และสามารถเป็นแบบอย่างได้.1

ผู้บริหารวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่ยั่งยืน สามารถขยายผลและส่งผลกระทบต่อวงวิชาชีพ.1

การเลือกและกำหนดประเด็นท้าทายที่มีคุณภาพ:

การเลือกประเด็นท้าทายที่มีคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการทำ PA ถือเป็นบันไดขั้นแรกสู่ความสำเร็จในการประเมิน ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

การออกแบบ PA และประเด็นท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง:

เพื่อให้รายงานด้านที่ 1 มีความลุ่มลึกและแสดงพัฒนาการที่ชัดเจน การออกแบบ PA และการเลือก “ประเด็นท้าทาย” ควรมีลักษณะเป็น “ยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง” (Strategic Continuity) ตลอดระยะเวลา 3 ปีงบประมาณที่คุณสมบัติกำหนดให้ต้องมีผล PA ผ่านเกณฑ์ย้อนหลัง.1 แทนที่จะเลือกประเด็นท้าทายที่ไม่เกี่ยวข้องกันในแต่ละปี ควรวางแผนให้ประเด็นท้าทายในแต่ละปีมีความเชื่อมโยง ต่อยอด หรือขยายผลซึ่งกันและกัน เช่น ปีแรกอาจเน้นการ “แก้ไขปัญหา” พื้นฐาน ปีที่สองอาจ “ริเริ่ม พัฒนา” แนวทางใหม่จากผลปีแรก และปีที่สามอาจ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” เป็นนวัตกรรมที่ยั่งยืน หรือขยายผล. การนำเสนอผลงานที่เกิดจาก PA ที่เชื่อมโยงกันเช่นนี้ จะช่วยแสดงให้กรรมการเห็นถึงพัฒนาการของผู้บริหาร การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพสถานศึกษาอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติที่คาดหวังที่สูงขึ้นตามวิทยฐานะได้ดีกว่าการนำเสนอโครงการเดี่ยวๆ ที่ไม่ต่อเนื่องกัน.1

1.2 กลยุทธ์การเขียนรายงาน PDF ให้ตรงใจกรรมการ (เจาะลึก 8 ตัวชี้วัด จาก PA 4/บส)

เมื่อมีประเด็นท้าทายที่ชัดเจนและแผนการดำเนินงาน (ซึ่งสะท้อนอยู่ใน PA ส่วนที่ 1 และ 2 ของแต่ละปี) ขั้นตอนต่อไปคือการเรียบเรียง “รายงานผลการดำเนินการ” ให้เป็นเอกสาร PDF ที่สมบูรณ์ เครื่องมือสำคัญที่ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจคือ “แบบประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2” (PA 4/บส) ซึ่งเป็นแบบประเมินที่คณะกรรมการจะใช้ในการพิจารณาให้คะแนน.1 แบบประเมินนี้มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยตามสังกัด (สพฐ., อาชีวศึกษา, กศน.) แต่มีโครงสร้างหลักร่วมกัน โดยด้านที่ 1 (ทักษะการวางแผนฯ) มีคะแนนเต็ม 40 คะแนน แบ่งเป็น 8 ตัวชี้วัด และด้านที่ 2 (ผลลัพธ์ฯ) มีคะแนนเต็ม 20 คะแนน แบ่งเป็น 4 ตัวชี้วัด.1

การเขียนรายงาน PDF ที่มีประสิทธิภาพ ควรมุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่ตอบโจทย์ “เกณฑ์การพิจารณาผลการปฏิบัติ” 5 ข้อ ซึ่งระบุไว้สำหรับแต่ละตัวชี้วัดทั้ง 8 ตัวในด้านที่ 1 ของแบบประเมิน PA 4/บส.1 แต่ละตัวชี้วัดมีคะแนนเต็ม 5 คะแนน โดยกรรมการจะให้คะแนนตาม Rubric ที่กำหนด.1 การเขียนรายงานจึงต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ หรือนวัตกรรมที่นำเสนอนั้น บรรลุเกณฑ์การพิจารณาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสะท้อนให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามวิทยฐานะที่ขอ

เจาะลึกการเขียนเนื้อหาให้ตอบโจทย์ 8 ตัวชี้วัด (ด้านที่ 1):

  1. ตัวชี้วัดที่ 1: มุ่งผลลัพธ์ผู้เรียนเป็นสำคัญ (Focus on Student Outcomes)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 2: มุ่งคุณภาพหลักสูตรและคุณภาพผู้เรียน (Focus on Curriculum and Student Quality)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 3: มุ่งพัฒนาสมรรถนะของครู และผู้เรียน (Focus on Teacher and Student Competencies)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 4: มุ่งพัฒนาครู โดยใช้ระบบให้คำปรึกษา ชี้แนะ (Focus on Teacher Development via Mentoring/Coaching)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 5: มุ่งพัฒนาระบบและกระบวนการทำงาน (Focus on System and Process Development)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 6: มุ่งนวัตกรรมการทำงานอย่างสร้างสรรค์ (Focus on Creative Work Innovation)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 7: มุ่งระดมทรัพยากร เครือข่าย และความร่วมมือ (Focus on Resource Mobilization, Networks, and Collaboration)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

  1. ตัวชี้วัดที่ 8: มุ่งสร้างภาวะผู้นำร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Focus on Shared Leadership among Stakeholders)

การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:

การมุ่งสู่คะแนนที่สูงกว่า: กุญแจสู่การผ่านเกณฑ์

เกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับสำหรับแต่ละตัวชี้วัด 1 บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า กรรมการไม่ได้ประเมินเพียงว่า “ทำหรือไม่ทำ” (ซึ่งอาจได้คะแนน 3 คือ ปฏิบัติได้ตามระดับที่คาดหวัง) แต่ประเมิน “คุณภาพ” และ “ระดับความสำเร็จ” ที่สอดคล้องกับวิทยฐานะที่ขอ โดยคะแนน 4 หมายถึง “ปฏิบัติได้สูงกว่าระดับที่คาดหวัง” และคะแนน 5 หมายถึง “ปฏิบัติได้สูงกว่าระดับที่คาดหวังมาก” (ตาม Rubric เดิม แต่ในแบบประเมินจริงใช้ 1-5 โดย 5 คือสูงสุด)

เนื่องจากเกณฑ์การตัดสินกำหนดคะแนนผ่านที่สูงขึ้นสำหรับวิทยฐานะที่สูงขึ้น (ชำนาญการ 65%, ชำนาญการพิเศษ 70%, เชี่ยวชาญ 75%, เชี่ยวชาญพิเศษ 80%) 1, การเขียนรายงานเพียงเพื่อให้ครบองค์ประกอบตามมาตรฐาน (ระดับคะแนน 3) อาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ขอวิทยฐานะชำนาญการพิเศษขึ้นไป ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นนำเสนอผลงานและหลักฐานที่สะท้อนการปฏิบัติที่โดดเด่น มีความริเริ่ม สร้างสรรค์ หรือสร้างผลกระทบที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับ “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ที่สูงขึ้น (เช่น การริเริ่มพัฒนา, การคิดค้นปรับเปลี่ยน) เพื่อให้มีโอกาสได้รับคะแนนในระดับ 4 หรือ 5 มากขึ้น และสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินที่ท้าทายได้สำเร็จ

1.3 ตัวอย่างโครงสร้างรายงาน (PDF) และการร้อยเรียงหลักฐาน

เพื่อให้รายงาน PDF ด้านที่ 1 มีความสมบูรณ์ ชัดเจน และง่ายต่อการประเมิน ควรมีการจัดโครงสร้างเนื้อหาที่เป็นระบบ และมีเทคนิคการนำเสนอหลักฐานที่กระชับแต่ทรงพลัง

โครงสร้างรายงานที่แนะนำ:

แม้ ก.ค.ศ. ไม่ได้กำหนดรูปแบบตายตัว แต่โครงสร้างที่คล้ายคลึงกับรายงานการวิจัยหรือรายงานผลโครงการ จะช่วยให้การนำเสนอเป็นระบบและครอบคลุมประเด็นสำคัญได้ดี โครงสร้างที่แนะนำประกอบด้วย:

บทที่ 1 บทนำ (Introduction):

บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และนวัตกรรม/กลยุทธ์ที่ใช้ (Conceptual Framework and Methodology):

บทที่ 3 วิธีดำเนินการพัฒนา (Implementation Process):

บทที่ 4 ผลการดำเนินการและอภิปรายผล (Results and Discussion):

ภาคผนวก (Appendices) (ถ้าจำเป็น):

เทคนิคการอ้างอิงหลักฐานอย่างมีประสิทธิภาพ:

เนื่องจากระบบ DPA เน้นการส่งไฟล์ดิจิทัลและการลดภาระเอกสาร 1, การแนบหลักฐานจำนวนมากในภาคผนวกของรายงาน PDF จึงไม่ใช่วิธีที่แนะนำ แนวทางที่มีประสิทธิภาพกว่าคือ:

วิธีการนี้จะทำให้รายงาน PDF มีความกระชับ ตรงประเด็น มุ่งเน้นการวิเคราะห์และนำเสนอสาระสำคัญ ขณะเดียวกันก็ยังคงความน่าเชื่อถือ เพราะมีหลักฐานสนับสนุนที่พร้อมให้ตรวจสอบได้เสมอ

ความยาวที่เหมาะสม:

รายงาน PDF ด้านที่ 1 ควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป โดยทั่วไป ความยาวประมาณ 30-50 หน้า (ไม่รวมภาคผนวก) ถือว่าเหมาะสมสำหรับวิทยฐานะชำนาญการ ถึง ชำนาญการพิเศษ ส่วนวิทยฐานะเชี่ยวชาญขึ้นไป อาจมีความยาวมากกว่านี้ได้เล็กน้อยตามความซับซ้อนของเนื้อหา สิ่งสำคัญคือเนื้อหาต้อง กระชับ ชัดเจน ตรงประเด็นตามเกณฑ์การประเมิน และ มีคุณภาพทางวิชาการ สามารถสื่อสารให้กรรมการเข้าใจถึงทักษะ กลยุทธ์ และผลการดำเนินงานของผู้บริหารได้อย่างครบถ้วน

ส่วนที่ 2: การผลิตวิดีทัศน์ (ด้านที่ 1 และ ด้านที่ 2) การนำเสนอผลงานในยุคดิจิทัล

นอกเหนือจากรายงาน PDF แล้ว ว 10/2564 กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาต้องนำเสนอผลงานผ่านสื่อวิดีทัศน์ จำนวน 2 ไฟล์ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2.1 ไฟล์วิดีทัศน์เหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารได้แสดงความสามารถในการสื่อสาร การนำเสนอ และที่สำคัญคือ การแสดงให้เห็น “ภาพจริง” ของการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ซึ่งแตกต่างจากการนำเสนอผ่านตัวอักษรในรายงาน การผลิตวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการประเมิน

2.1 การเตรียมการทั่วไป (Pre-Production): หัวใจคือการวางแผน

การผลิตวิดีทัศน์ที่ดีเริ่มต้นจากการวางแผนและการเตรียมการอย่างรอบคอบ เพื่อให้การถ่ายทำราบรื่นและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

การเขียนสคริปต์ (Scripting) ที่ทรงพลัง:

แม้ว่าการนำเสนอควรเป็นธรรมชาติ แต่การมีสคริปต์หรืออย่างน้อยโครงร่างการพูด (Outline) จะช่วยให้การนำเสนอมีลำดับ ชัดเจน ไม่วกวน และอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด

    การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์:

    การเลือกสถานที่และเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมมีผลอย่างมากต่อคุณภาพของวิดีโอ

    สถานที่ถ่ายทำ:

    อุปกรณ์พื้นฐาน:

    การตั้งค่าไฟล์:

    2.2 การผลิตวิดีทัศน์ ไฟล์ที่ 1 (นำเสนอด้านที่ 1 – ไม่เกิน 15 นาที): ท้าทายด้วย One-Take

    ไฟล์วิดีทัศน์ไฟล์แรกนี้เป็นการนำเสนอ “การพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ การใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมทางการบริหาร” ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับรายงาน PDF ด้านที่ 1 มีความยาว ไม่เกิน 15 นาที และมีข้อกำหนดทางเทคนิคที่เข้มงวดเป็นพิเศษ.1

    ทำความเข้าใจข้อจำกัดที่ท้าทาย:

    ข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดของไฟล์นี้คือ ต้องเป็นการบันทึกแบบ One-Take recording หมายถึง ถ่ายทำต่อเนื่องครั้งเดียว ห้ามหยุดพัก ห้ามตัดต่อ (Un-Editing).1 นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามอื่นๆ คือ:

    ข้อจำกัดเหล่านี้มีนัยสำคัญ เพราะเป็นการวัดความสามารถในการนำเสนอ การสื่อสาร และการคิดวิเคราะห์ของผู้บริหารภายใต้สภาวะจริง ไม่ใช่การนำเสนอที่ผ่านการตัดต่อปรุงแต่งจนสมบูรณ์แบบ กรรมการต้องการเห็น “ภาวะผู้นำ” และ “ทักษะการสื่อสาร” ที่แท้จริงภายใต้แรงกดดัน ซึ่งสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าได้.1

    เทคนิคการนำเสนอภายใต้ข้อจำกัด:

    การซ้อม การซ้อม และการซ้อม: คือกุญแจสำคัญที่สุดในการถ่ายทำแบบ One-Take

    ภาษากายและน้ำเสียง:

    การใช้สื่อนำเสนอประกอบ (PowerPoint, Keynote, Google Slides):

    อนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำ One-Take ไม่ใช่การมาใส่เพิ่มทีหลัง.1 อาจใช้วิธีฉายขึ้นจอโปรเจกเตอร์ด้านหลัง หรือแสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์/แท็บเล็ตที่อยู่ในเฟรมกล้อง หรืออาจใช้เทคนิค Picture-in-Picture (หากทำได้โดยไม่ตัดต่อวิดีโอหลัก)

    การออกแบบสไลด์:

    โครงสร้างเนื้อหา 15 นาที (ตัวอย่างการจัดสรรเวลา):

    โครงสร้างนี้เป็นเพียงแนวทาง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของเนื้อหา

    (นาทีที่ 0-2) บทนำ:

    (นาทีที่ 2-10) เนื้อหาหลัก: กระบวนการและแนวคิด:

    (นาทีที่ 10-14) ผลที่คาดหวังและปัจจัย:

    (นาทีที่ 14-15) บทสรุป:

    2.3 การผลิตวิดีทัศน์ ไฟล์ที่ 2 (นำเสนอผลลัพธ์ด้านที่ 2 – ไม่เกิน 10 นาที): Show, Don’t Tell

    ไฟล์วิดีทัศน์ที่สองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ “ผลลัพธ์ในการพัฒนาการบริหารสถานศึกษา” ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการตามแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรมที่นำเสนอในไฟล์แรกและรายงาน PDF.1 มีความยาว ไม่เกิน 10 นาที และมีข้อกำหนดทางเทคนิคที่ผ่อนคลายกว่าไฟล์แรกเล็กน้อย แต่ยังคงมีข้อจำกัดที่ต้องปฏิบัติตาม.1

    ทำความเข้าใจข้อจำกัดและข้ออนุญาต:

    เทคนิคการนำเสนอผลลัพธ์ให้น่าเชื่อถือ:

    วิดีโอไฟล์นี้คือ “เวทีพิสูจน์” ผลลัพธ์ที่อ้างไว้ การนำเสนอจึงต้องเน้นความน่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

    การเล่าเรื่อง (Storytelling): แทนที่จะนำเสนอข้อมูลดิบหรือสถิติเพียงอย่างเดียว ควรใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อทำให้ผลลัพธ์มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ เช่น เล่าเรื่องความสำเร็จของนักเรียนที่ได้รับการพัฒนา เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของครู หรือเล่าเรื่องบรรยากาศของโรงเรียนที่ดีขึ้น

    ใช้พลังของ B-Roll (ภาพ/วิดีโอสอดแทรก): การ Insert ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว (เรียกว่า B-Roll) อย่างถูกจังหวะและมีความหมาย จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้กรรมการ “เห็นภาพ” การเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด

    รวบรวมฟุตเทจ: คัดเลือกภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” (Tangible Evidence) 1 เช่น:

    โครงสร้างเนื้อหา 10 นาที (เชื่อมโยง 4 ตัวชี้วัด ด้านที่ 2 จาก PA 4/บส):

    โครงสร้างควรเน้นการนำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยอ้างอิงกับ 4 ตัวชี้วัดในด้านที่ 2 ของแบบประเมิน PA 4/บส.1

    (นาทีที่ 0-1) บทนำ:

    (นาทีที่ 1-3) ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.2):

    (นาทีที่ 3-5) ผลลัพธ์ที่เกิดกับครู (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.3):

    (นาทีที่ 5-8) ผลลัพธ์ที่เกิดกับสถานศึกษา (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.4):

    (นาทีที่ 8-10) บทสรุป (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.1):

    ข้อควรระวังในการผลิตวิดีโอไฟล์ที่ 2:

    การผลิตวิดีโอทั้งสองไฟล์นี้ต้องอาศัยทั้งทักษะการนำเสนอ ทักษะทางเทคนิค และความเข้าใจในเกณฑ์การประเมินอย่างลึกซึ้ง การเตรียมการที่ดีและการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถสร้างสรรค์สื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพและสร้างความประทับใจให้แก่คณะกรรมการประเมินได้

    ส่วนที่ 3: ปฏิทินการเก็บรวบรวมผลงานระยะยาว (เริ่มต้น พ.ศ. 2568)

    การเตรียมตัวเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564 ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติข้อสำคัญที่กำหนดให้ผู้ขอต้องมีผลการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน (หรือตามเงื่อนไขลดหย่อน).1 ดังนั้น การวางแผนเก็บรวบรวมผลงานและหลักฐานอย่างเป็นระบบในระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องการยื่นขอประเมิน จะมีข้อมูลและหลักฐานที่ครบถ้วน เพียงพอ และมีคุณภาพ สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนด

    3.1 แนวคิดการเก็บหลักฐานแบบ “PA-Driven”: วางแผนจากปลายทาง

    หัวใจสำคัญของการเก็บรวบรวมผลงานที่มีประสิทธิภาพตามแนวทาง ว 10/2564 คือการเริ่มต้นจากการ “ออกแบบ” ข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA 1/บส) ในแต่ละปีงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย.1 แทนที่จะทำ PA ไปตามภาระงานปกติ ควรพิจารณาถึงเป้าหมายระยะยาวในการขอเลื่อนวิทยฐานะ และออกแบบ “ประเด็นท้าทาย” (PA ส่วนที่ 2) รวมถึงระบุ “งาน (Tasks)”, “ผลลัพธ์ (Outcomes)”, และ “ตัวชี้วัด (Indicators)” (PA ส่วนที่ 1) 1 ให้สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น และสะท้อนระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะที่ต้องการขอ

    เมื่อมี PA ที่ออกแบบมาอย่างดีแล้ว การเก็บหลักฐานก็จะมีทิศทางที่ชัดเจน กล่าวคือ หลักฐานที่เก็บรวบรวมในแต่ละปี ควรเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ยืนยันหรือแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จตาม “ผลลัพธ์” และ “ตัวชี้วัด” ที่ระบุไว้ใน PA ของปีนั้นๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม การเก็บหลักฐานจึงไม่ใช่การเก็บทุกอย่างที่ทำ แต่เป็นการเก็บอย่างมีจุดเน้น (Focus) และมีเป้าหมาย (Purpose-driven) โดยมี PA เป็นเข็มทิศนำทาง

    3.2 ระบบการจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล (Digital Filing System): สร้างคลังสมบัติ

    ในยุคที่การประเมินเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (DPA) 1 และมุ่งลดภาระเอกสาร 1, การสร้างระบบจัดเก็บไฟล์หลักฐานแบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ระบบนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การรวบรวมและจัดส่งหลักฐานผ่านระบบ DPA เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น แต่ยังเป็น “คลังสมบัติ” ที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถค้นหา อ้างอิง และดึงข้อมูลมาใช้ประกอบการเขียนรายงาน PDF หรือการผลิตสื่อวิดีทัศน์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

    โครงสร้างระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่แนะนำ:

    แพลตฟอร์ม: เลือกใช้บริการ Cloud Storage ที่เข้าถึงง่ายและมีความปลอดภัย เช่น Google Drive, OneDrive หรือ Dropbox ซึ่งช่วยให้เข้าถึงไฟล์ได้จากทุกที่ และป้องกันข้อมูลสูญหาย

    โครงสร้าง Folder: การจัดระเบียบ Folder ที่ดีจะช่วยให้ค้นหาไฟล์ได้ง่าย ควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนและสอดคล้องกันทุกปี ตัวอย่างโครงสร้างที่แนะนำ:

    การตั้งชื่อไฟล์ (File Naming Convention): ตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมายชัดเจน บอกเนื้อหา วันที่ หรือกิจกรรม เพื่อให้ค้นหาได้ง่าย เช่น

    ประเภทไฟล์: จัดเก็บไฟล์ในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลายตามลักษณะของหลักฐาน เช่น.pdf,.docx,.xlsx,.jpg,.png,.mp4 (สำหรับคลิปวิดีโอสั้นๆ), หรืออาจเก็บเป็น Link ไปยังแหล่งข้อมูลออนไลน์ (เช่น เว็บไซต์โรงเรียน, Google Photos)

    การสร้างและดูแลรักษาระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลนี้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 3 ปี จะช่วยลดภาระและความกังวลเมื่อถึงเวลาต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นขอประเมินได้อย่างมาก

    3.3 ปฏิทินการดำเนินงาน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2571) สู่การยื่นประเมิน

    เพื่อให้การเตรียมความพร้อมและการเก็บรวบรวมหลักฐานเป็นไปอย่างมีแบบแผนและต่อเนื่อง การกำหนดปฏิทินการดำเนินงานระยะยาว 3 ปี (12 ไตรมาส) ก่อนถึงกำหนดที่คาดว่าจะยื่นขอประเมิน (เช่น ยื่นช่วงปลายปีงบประมาณ 2571 หรือต้นปีงบประมาณ 2572) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ปฏิทินนี้จะช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภารกิจที่ต้องทำในแต่ละช่วงเวลา และประเภทของหลักฐานที่ควรจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 3 ปี จะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ (มีผล PA ผ่านเกณฑ์ 3 รอบการประเมินติดต่อกัน) 1 และมีข้อมูล/หลักฐานเพียงพอสำหรับจัดทำรายงาน PDF และสื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพ

    ตารางที่ 1: ปฏิทินการเก็บรวบรวมผลงาน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2571)

    ปีงบประมาณไตรมาสช่วงเวลา (โดยประมาณ)ภารกิจหลัก (PA Task & Evidence Collection)หลักฐานสำคัญที่ต้องเก็บ (ตัวอย่าง)ข้อสังเกต / เชื่อมโยงวิทยฐานะ
    ปีที่ 1 (2568)Q1ต.ค. 67 – ธ.ค. 67– จัดทำ PA 1/บส ปี 68 (ออกแบบประเด็นท้าทายปีแรก ให้เชื่อมโยงเป้าหมายระยะยาว)
    – วิเคราะห์บริบท/สภาพปัญหา/ความต้องการ
    – วางแผนการดำเนินงานตาม PA
    – ประชุมชี้แจง/สร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง
    – PA 1/บส ปี 68 (ฉบับสมบูรณ์)
    – ข้อมูล/รายงานการวิเคราะห์บริบท
    – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ประจำปี
    – รายงานการประชุมชี้แจง
    – ประเด็นท้าทายต้องสะท้อนระดับปฏิบัติที่คาดหวัง (เริ่มจากระดับที่ดำรงอยู่)
    – เก็บข้อมูล Baseline ก่อนเริ่มดำเนินการ
    Q2ม.ค. 68 – มี.ค. 68– เริ่มดำเนินงานตามแผน/โครงการ ที่ระบุใน PA
    – จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน/ครู
    – ดำเนินการ PLC / นิเทศภายใน
    – เริ่มเก็บรวบรวมหลักฐานการปฏิบัติงาน
    – ภาพถ่าย/คลิปวิดีโอสั้นๆ ของกิจกรรม
    – รายงาน/บันทึกการประชุม PLC
    – แบบบันทึกการนิเทศ/ให้ข้อมูลป้อนกลับ
    – ตัวอย่างผลงาน/ชิ้นงาน นักเรียน/ครู (ระยะเริ่มต้น)
    – เก็บหลักฐานที่แสดง “กระบวนการ” ทำงาน (เช่น การมีส่วนร่วม, การใช้ PLC)
    – เน้นหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ “ตัวชี้วัด” ใน PA
    Q3เม.ย. 68 – มิ.ย. 68– ดำเนินงานต่อเนื่อง
    – ติดตามความก้าวหน้า/ประเมินผลระหว่างดำเนินการ
    – แก้ไขปัญหา/ปรับปรุงแผน (ถ้ามี)
    – เข้ารับการพัฒนาตนเอง/วิชาชีพ
    – เก็บรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม
    – รายงานความก้าวหน้าโครงการ
    – บันทึกการแก้ไขปัญหา/การปรับแผน
    – เกียรติบัตร/วุฒิบัตร/เอกสารประกอบการอบรม/สัมมนา
    – ผลการประเมินระหว่างทาง (ถ้ามี)
    – แสดงให้เห็นถึงการติดตามและปรับปรุงงาน (Reflection & Adjustment)
    – หลักฐานการพัฒนาตนเอง (ด้านที่ 5) ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนางานบริหาร
    Q4ก.ค. 68 – ก.ย. 68– ดำเนินงานในช่วงสุดท้าย
    – รวบรวม/สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ทั้งปี
    – จัดทำข้อมูล/หลักฐาน เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี
    – รับการประเมิน PA จากคณะกรรมการ
    – จัดเก็บผลการประเมิน PA ปี 68
    – ร่างรายงานสรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 68
    – หลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงผลลัพธ์ (ตามตัวชี้วัด)
    – แบบประเมิน PA 2/บส (ที่กรรมการประเมิน)
    – แบบสรุปผล PA 3/บส (หลังประเมินเสร็จ)
    – ผลการประเมิน PA ปีแรกต้องผ่านเกณฑ์ (70% จาก กก.แต่ละคน)
    – เริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นของประเด็นท้าทาย
    ปีที่ 2 (2569)Q1ต.ค. 68 – ธ.ค. 68– จัดทำ PA 1/บส ปี 69 (ต่อยอด/ขยายผลจากปี 68 หรือกำหนดประเด็นท้าทายใหม่ที่เชื่อมโยง)
    – วางแผนการดำเนินงานปีที่ 2
    – เริ่มดำเนินงานตาม PA ปี 69
    – PA 1/บส ปี 69 (ฉบับสมบูรณ์)
    – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ปี 2
    – ประเด็นท้าทายปีที่ 2 ควรก้าวหน้า/ท้าทายขึ้น
    – แสดงให้เห็นการนำผล/ข้อเสนอแนะจากปีแรกมาปรับปรุง
    Q2-Q3ม.ค. 69 – มิ.ย. 69– ดำเนินงานตามแผนปีที่ 2
    – จัดกิจกรรม/PLC/นิเทศ/พัฒนาตนเอง (เหมือนปี 68)
    – เน้นเก็บหลักฐานที่แสดง “พัฒนาการ” หรือ “ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น” จากปีแรก
    – หลักฐานเหมือนปี 68 แต่เพิ่มเติม:
    – ผลการทดสอบ/ประเมิน ที่แสดงค่าสูงขึ้น
    – นวัตกรรม/รูปแบบ/แนวทาง ที่พัฒนาขึ้น
    – หลักฐานการยอมรับ/รางวัล (ถ้ามี)
    – แสดงให้เห็นการ “ริเริ่ม พัฒนา” หรือ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” ที่ชัดเจนขึ้น (ตามระดับที่คาดหวัง)
    – เปรียบเทียบผลลัพธ์กับปีแรก
    Q4ก.ค. 69 – ก.ย. 69– สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 69
    – เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี
    – รับการประเมิน PA ปี 69
    – จัดเก็บผลการประเมิน PA ปี 69
    – ร่างรายงานสรุปผล PA ปี 69
    – หลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงผลลัพธ์ปี 2
    – แบบประเมิน PA 2/บส ปี 69
    – แบบสรุปผล PA 3/บส ปี 69
    – ผลการประเมิน PA ปีที่ 2 ต้องผ่านเกณฑ์
    – ผลลัพธ์จากการดำเนินงาน 2 ปี ควรเห็นชัดเจนขึ้น
    ปีที่ 3 (2570)Q1ต.ค. 69 – ธ.ค. 69– จัดทำ PA 1/บส ปี 70 (ต่อยอด/ขยายผล/สร้างความยั่งยืน หรือประเด็นใหม่ที่เชื่อมโยง)
    – วางแผนการดำเนินงานปีที่ 3
    – เริ่มดำเนินงานตาม PA ปี 70
    – PA 1/บส ปี 70 (ฉบับสมบูรณ์)
    – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ปี 3
    – ประเด็นท้าทายปีที่ 3 อาจเน้นการสร้างผลกระทบที่กว้างขึ้น/ยั่งยืน
    – หากขอวิทยฐานะสูง อาจต้องแสดงการ “คิดค้น” หรือ “สร้างการเปลี่ยนแปลง”
    Q2-Q3ม.ค. 70 – มิ.ย. 70– ดำเนินงานตามแผนปีที่ 3
    – จัดกิจกรรม/PLC/นิเทศ/พัฒนาตนเอง (เหมือนปี 69)
    – เน้นเก็บหลักฐานที่แสดง “ผลลัพธ์สูงสุด” “ความยั่งยืน” หรือ “การขยายผล”
    – หลักฐานเหมือนปี 69 แต่เพิ่มเติม:
    – หลักฐานการเผยแพร่/ขยายผล (บทความ, นำเสนอ, ศึกษาดูงาน)
    – รางวัล/การยอมรับ ในระดับที่สูงขึ้น
    – หลักฐานความยั่งยืน (เช่น กลายเป็นแนวปฏิบัติปกติของ รร.)
    – แสดงให้เห็นผลกระทบ (Impact) ที่ชัดเจน
    – รวบรวมหลักฐานสำคัญสำหรับเขียนรายงาน PDF ด้านที่ 1 และทำวิดีโอ
    Q4ก.ค. 70 – ก.ย. 70– สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 70 (และภาพรวม 3 ปี)
    – เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี
    – รับการประเมิน PA ปี 70 – เริ่มร่างรายงาน PDF ด้านที่ 1 (สรุปผล 3 ปี)
    เริ่มวางโครงร่าง/เขียนสคริปต์วิดีโอ
    – ร่างรายงานสรุปผล PA ปี 70
    – แบบประเมิน PA 2/บส ปี 70
    – แบบสรุปผล PA 3/บส ปี 70
    ร่างรายงาน PDF ด้านที่ 1 (ฉบับร่างแรก)
    Storyboard/Script วิดีโอ (ร่างแรก)
    – ผลการประเมิน PA ปีที่ 3 ต้องผ่านเกณฑ์ (ครบ 3 ปี)
    – เริ่มกระบวนการสังเคราะห์ข้อมูล 3 ปี เพื่อทำผลงานเสนอขอฯ
    หลังสิ้นปีที่ 3ต.ค. 70 เป็นต้นไป– จัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1 ฉบับสมบูรณ์
    – (ถ้าขอ ชช./ชชพ.) จัดทำผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3)
    – ถ่ายทำและผลิตวิดีโอ ไฟล์ที่ 1 (ด้านที่ 1) และ ไฟล์ที่ 2 (ด้านที่ 2)
    – เตรียมเอกสาร/ไฟล์ทั้งหมดให้พร้อม
    – ยื่นคำขอผ่านระบบ DPA (ตามรอบที่เปิดรับ)
    – รายงาน PDF ด้านที่ 1 (ฉบับสมบูรณ์)
    – ผลงานทางวิชาการ PDF (ถ้ามี)
    – ไฟล์วิดีโอ.mp4 (2 ไฟล์)
    – ผล PA ย้อนหลัง 3 ปี (อยู่ในระบบ DPA)
    – เอกสารคุณสมบัติอื่นๆ
    – ตรวจสอบคุณสมบัติให้ครบถ้วนก่อนยื่น
    – ตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของไฟล์ทั้งหมด

    หมายเหตุ:

    ตารางที่ 2: การแปลความหมายระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง สู่การปฏิบัติจริง (ตัวอย่าง)

    เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า การปฏิบัติงานในแต่ละด้านตามมาตรฐานตำแหน่งนั้น ควรแสดงออกในระดับใดจึงจะสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะชำนาญการ (แก้ไขปัญหา), ชำนาญการพิเศษ (ริเริ่ม พัฒนา), และเชี่ยวชาญ (คิดค้น ปรับเปลี่ยน) ตารางต่อไปนี้จึงขอยกตัวอย่างการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในแต่ละระดับ

    ด้านมาตรฐานตำแหน่งระดับ: ชำนาญการ (แก้ไขปัญหา – Solve the Problem)ระดับ: ชำนาญการพิเศษ (ริเริ่ม พัฒนา – Originate & Improve)ระดับ: เชี่ยวชาญ (คิดค้น ปรับเปลี่ยน – Invent & Transform)
    1. ด้านบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำฯ– แก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ต่ำในบางกลุ่มสาระฯ โดยปรับปรุงแผนการสอน/สื่อ
    – ใช้ PLC เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาครูที่ไม่เข้าใจเทคนิคการสอนใหม่
    – ริเริ่มนำรูปแบบการสอน Active Learning มาใช้อย่างเป็นระบบทั้ง รร.
    – พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่เน้นทักษะอาชีพ/ทักษะชีวิตตามบริบทท้องถิ่น – ริเริ่มระบบนิเทศภายในแบบ Coaching
    – คิดค้นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่แก้ปัญหาผู้เรียนกลุ่มพิเศษ (เช่น LD, Gifted) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    – พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่โดดเด่นจนเป็นที่ยอมรับ/เป็นต้นแบบ
    – เป็นที่ปรึกษา/วิทยากรด้านการพัฒนาหลักสูตร/การสอน ให้กับ รร. อื่น
    2. ด้านบริหารจัดการสถานศึกษา– แก้ไขปัญหาข้อมูลนักเรียนไม่เป็นปัจจุบันโดยปรับปรุงระบบจัดเก็บ
    – ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน
    – ริเริ่มนำระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) มาใช้ในการตัดสินใจ
    – พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ครอบคลุมและมีเครือข่ายผู้ปกครองเข้มแข็ง
    – ริเริ่มโครงการโรงเรียนปลอดภัย
    – คิดค้นรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากร (งบประมาณ, บุคลากร) ที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุด
    – ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานภายในให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
    – เป็นแบบอย่างด้านการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล
    3. ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ฯ– นำนโยบาย สพฐ./ส่วนราชการ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ รร.
    – แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง/การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยการสื่อสารสร้างความเข้าใจ
    – ริเริ่มกำหนดกลยุทธ์การพัฒนา รร. ระยะ 3 ปี ที่ชัดเจนและท้าทาย
    – พัฒนาโครงการ/นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ
    – ริเริ่มใช้เครื่องมือบริหารจัดการสมัยใหม่ (เช่น BSC, OKR)
    – คิดค้นนวัตกรรม/รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่สามารถนำ รร. ก้าวข้ามวิกฤตหรือสร้างการพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้
    – ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเน้นนวัตกรรม
    – เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร
    4. ด้านบริหารงานชุมชนและเครือข่าย– แก้ไขปัญหาความสัมพันธ์กับชุมชนโดยจัดกิจกรรมพบปะ/สร้างความเข้าใจ
    – ประสานขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง/กรรมการสถานศึกษาในการจัดกิจกรรม
    – ริเริ่มสร้างเครือข่ายความร่วมมือใหม่ๆ กับสถานประกอบการ/มหาวิทยาลัย
    – พัฒนารูปแบบการระดมทรัพยากรจากศิษย์เก่า/ชุมชน อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
    – ริเริ่มโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน
    – คิดค้นรูปแบบความร่วมมือกับชุมชน/เครือข่าย ที่สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) และยั่งยืน
    – ปรับเปลี่ยนบทบาท รร. ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนอย่างแท้จริง
    – เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา
    5. ด้านพัฒนาตนเองและวิชาชีพ– เข้ารับการอบรมตามที่หน่วยงานต้นสังกัดจัด
    – แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนผู้บริหารเพื่อแก้ปัญหาการบริหารงาน
    – ริเริ่มศึกษาหาความรู้/ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการบริหาร (เช่น ภาษา, Digital Literacy) ด้วยตนเอง
    – นำความรู้/นวัตกรรมที่ได้จากการพัฒนาตนเองมาปรับปรุงการบริหารงาน รร.
    – เป็นแกนนำ PLC ในกลุ่มผู้บริหาร
    – คิดค้น/สร้างองค์ความรู้ หรือนวัตกรรมทางการบริหารจากการศึกษา/วิจัย/ปฏิบัติจริง
    – นำเสนอผลงาน/แนวคิดในการประชุมวิชาการ หรือเผยแพร่ในวงกว้าง
    – เป็นวิทยากร/พี่เลี้ยง/ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาวิชาชีพผู้บริหาร

    (หมายเหตุ: ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงแนวทาง การปฏิบัติจริงต้องพิจารณาตามบริบทและความเหมาะสม)

    การเก็บหลักฐานในฐานะ “การสร้างเรื่องราว”:

    สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การเก็บหลักฐานไม่ใช่เพียงการสะสมเอกสารหรือไฟล์ต่างๆ ให้ได้จำนวนมาก แต่เป็นการ “สร้างเรื่องราว” (Narrative Construction) ของการพัฒนาที่ผู้บริหารได้ขับเคลื่อนตลอดระยะเวลา 3 ปี เรื่องราวนี้ต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของการดำเนินงานในแต่ละปี ความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาหรือพัฒนา การนำแนวคิด/กลยุทธ์/นวัตกรรมมาใช้อย่างเหมาะสม และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ที่สำคัญที่สุด เรื่องราวนี้ต้องสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารได้ปฏิบัติงาน “ถึง” ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามวิทยฐานะที่ขอรับการประเมินอย่างแท้จริง.1 ปฏิทินการดำเนินงานและระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่ได้นำเสนอไปนั้น คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมวัตถุดิบ และเรียงร้อยเรื่องราวการพัฒนานี้ให้มีความชัดเจน เป็นระบบ น่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินได้อย่างสมบูรณ์

    บทสรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จและการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย

    การเตรียมความพร้อมเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักเกณฑ์ ว 10/2564 เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักเกณฑ์อย่างถ่องแท้ การวางแผนระยะยาวอย่างเป็นระบบ และการลงมือปฏิบัติงานพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง คู่มือฉบับนี้ได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติโดยละเอียดใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การจัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1, การผลิตสื่อวิดีทัศน์สำหรับด้านที่ 1 และ 2, และการวางแผนเก็บรวบรวมผลงานระยะยาว

    กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการประเมิน ว 10/2564 ประกอบด้วย:

    1. ความเข้าใจในหลักการและหัวใจของ ว 10/2564: ตระหนักถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์สู่การประเมินที่เน้นผลลัพธ์ (Outcomes-based) สมรรถนะ (Competency-based) และการปฏิบัติงานจริง (Performance-based) โดยมี PA เป็นศูนย์กลาง และใช้ระบบ DPA ในการดำเนินการ.1
    2. การออกแบบและขับเคลื่อน PA อย่างมีคุณภาพ: จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) ที่มี “ประเด็นท้าทาย” ที่ชัดเจน สอดคล้องกับบริบทและนโยบาย มีตัวชี้วัดที่วัดผลได้ และที่สำคัญคือ สะท้อน “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่หรือต้องการขอ.1 การวางแผน PA ให้มีความต่อเนื่องเชิงยุทธศาสตร์ตลอด 3 ปี จะช่วยสร้างเรื่องราวการพัฒนาที่ทรงพลัง.1
    3. การจัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1 ที่ตรงตามเกณฑ์: เขียนรายงานผลการดำเนินการที่แสดงให้เห็นถึงทักษะการวางแผน กลยุทธ์ การใช้นวัตกรรม โดยนำเสนอเนื้อหาให้ตอบโจทย์เกณฑ์การพิจารณาของ 8 ตัวชี้วัดในแบบประเมิน PA 4/บส อย่างชัดเจน พร้อมอ้างอิงหลักฐานอย่างเป็นระบบ.1
    4. การผลิตสื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ:
    1. การวางแผนและเก็บรวบรวมหลักฐานระยะยาว: สร้างระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ และดำเนินการเก็บหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ PA อย่างสม่ำเสมอตามปฏิทินที่วางไว้ตลอด 3 ปีงบประมาณ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอและพร้อมสำหรับการยื่นขอประเมิน.1

    การเตรียมตัวขั้นสุดท้าย:

    ก่อนการยื่นคำขอผ่านระบบ DPA ผู้บริหารควรดำเนินการทบทวนและตรวจสอบความพร้อมในขั้นตอนสุดท้าย:

    การประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564 แม้จะมีความท้าทายและแตกต่างจากระบบเดิม แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะได้แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำทางวิชาการและผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง การเตรียมตัวอย่างเข้าใจและเป็นระบบตามแนวทางที่นำเสนอในคู่มือนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านในการเดินทางสู่ความก้าวหน้าในวิชาชีพต่อไป.

    Works cited

    คู่มือ ว 10 ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา

      Comments

      comments

      Powered by Facebook Comments

      Exit mobile version