การออกแบบการวัดและประเมินผลเพื่อการวินิจฉัยผู้เรียน: กระบวนทัศน์ที่ยึดตัวชี้วัดเป็นแกนกลาง
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com
__________________________________
ส่วนที่ 1: รากฐานการออกแบบการประเมินผล—ตัวชี้วัดคือเป้าหมายสูงสุด (The Foundation of Assessment Design: Indicators as the Ultimate Goal)
การออกแบบการวัดและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากคำถามพื้นฐานที่ว่า “เราวัดไปเพื่ออะไร” สำหรับบริบทของการพัฒนาผู้เรียนในชั้นเรียน เป้าหมายสูงสุดคือ “การวินิจฉัยข้อบกพร่องในการเรียนรู้” (Diagnostic Assessment) [User Query] การออกแบบการวัดผลจึงไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการสอนเพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ แต่เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อรวบรวมข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) สำหรับการพัฒนา
1.1 ปรับกระบวนทัศน์: จากการวัดเพื่อตัดสิน (AoL) สู่การวัดเพื่อวินิจฉัย (AfL)
ในกระบวนทัศน์ดั้งเดิม การประเมินผลมักถูกมองในฐานะ “การประเมินผลการเรียนรู้” (Assessment of Learning: AoL) ซึ่งเน้นการตัดสินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียน 1 อย่างไรก็ตาม ภารกิจที่ระบุชัดเจนว่าต้องการ “วินิจฉัยข้อบกพร่อง” เป็นการเปลี่ยนจุดเน้นไปสู่ “การประเมินเพื่อการเรียนรู้” (Assessment for Learning: AfL) 1
เป้าหมายของ AfL คือการทำให้ผู้สอนได้ข้อมูลที่สะท้อนสภาพจริง [User Query] และนำผลจากการวัดนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการ “ปรับปรุงครูผู้สอน” และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน 2 การวินิจฉัยจึงเป็นหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงการประเมินเข้ากับการสอน 3 โดยมีเป้าหมายเพื่อค้นหาว่าผู้เรียนบกพร่อง ณ จุดใดในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถดำเนินการสอนซ่อมเสริมได้อย่างตรงจุด
1.2 ความสำคัญของ “ตัวชี้วัด” ในฐานะ ‘พิมพ์เขียว’ ของการเรียนรู้
เมื่อเป้าหมายคือการวินิจฉัย สิ่งที่ต้องการวัด (What to measure) จึงกลายเป็นองค์ประกอบแรกและเป็นแกนหลักของการวางแผนทั้งหมด [User Query] ในบริบทของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 “สิ่งที่ต้องการวัด” เหล่านี้ ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในรูปของ “มาตรฐานการเรียนรู้” และ “ตัวชี้วัด” 4
ตัวชี้วัดเหล่านี้ถือเป็น “เป้าหมายสำคัญ” ที่สุดที่การวัดผลต้องไปให้ถึง [User Query] การประเมินผลที่มีความยุติธรรม 2 คือการประเมินในสิ่งที่ได้ประกาศว่าจะสอนและวัดผล ซึ่งก็คือตัวชี้วัดนั่นเอง การวัดผลที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดจึงเป็นหลักประกันของความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
เพื่อให้การออกแบบการวัดผลสามารถวินิจฉัยผู้เรียนได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างของตัวชี้วัดก่อน หลักการสำคัญในการสร้างข้อสอบหรือการประเมินที่สอดคล้องกับมาตรฐานคือการตระหนักว่า “ตัวชี้วัด = พฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออก + บริบทเนื้อหา” 5
- พฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออก (Behavior): คือ คำกริยา (Action Verb) ที่ระบุในตัวชี้วัด เช่น “อธิบาย”, “เปรียบเทียบ”, “วิเคราะห์”, “ปฏิบัติ”, “แสดงความรับผิดชอบ”
- บริบทเนื้อหา (Content): คือ สาระการเรียนรู้ที่พฤติกรรมนั้นต้องไปเกี่ยวข้อง เช่น “ระบบนิเวศ”, “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์”, “การใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์”
ดังนั้น การออกแบบการวัดผลเพื่อการวินิจฉัย จึงไม่ใช่การ “ออกข้อสอบบทที่ 1” แต่คือการออกแบบสถานการณ์เพื่อตรวจสอบว่า ผู้เรียนสามารถ “แสดงพฤติกรรม” ตามที่ระบุใน “บริบทเนื้อหา” ของตัวชี้วัดนั้นๆ ได้หรือไม่ 5
กระบวนการทั้งหมดในคู่มือนี้จะตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 4 ประการของการวัดผลการศึกษา 2:
- ความสอดคล้อง (Alignment): ต้องวัดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (ตัวชี้วัด)
- คุณภาพและความหลากหลาย (Quality & Variety): ต้องเลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดี มีคุณภาพ และมีความหลากหลาย
- ความถูกต้องและยุติธรรม (Fairness): ต้องประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง สมเหตุสมผล และยุติธรรม
- การใช้ประโยชน์ (Utilization): ผลจากการวัดต้องนำไปสู่การวินิจฉัยและปรับปรุงการสอน (AfL)
ส่วนที่ 2: การถอดรหัสการเรียนรู้—การวิเคราะห์ตัวชี้วัดสู่พฤติกรรม K, P, A (Deconstructing Learning: Analyzing Indicators into K, P, and A Behaviors)
ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการออกแบบการวัดผล คือการนำ “ตัวชี้วัด” มาวิเคราะห์อย่างละเอียด [User Query] โดยใช้ “สูตร” ที่ได้จากส่วนที่ 1 (ตัวชี้วัด = พฤติกรรม + เนื้อหา) เพื่อจำแนก “พฤติกรรม” ที่ต้องการวัดออกเป็น 3 มิติ (Domains of Learning)
2.1 การจำแนกพฤติกรรม 3 มิติ (K, P, A) คืออะไร?
การวิเคราะห์ตัวชี้วัดว่าเน้นพฤติกรรมด้านใด [User Query] เป็นการถอดรหัสว่าตัวชี้วัดนั้นต้องการให้ผู้เรียนแสดงความสามารถในมิติใดเป็นหลัก 5
- K (Knowledge – พุทธิพิสัย):
- นิยาม: คือ พฤติกรรมด้านความรู้ สติปัญญา ความคิด ความเข้าใจ และทักษะทางสมอง (Cognitive Domain) 5
- การวัด: เป็นการประเมินทางอ้อม โดยดูจากพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกเพื่อบ่งชี้ถึงทักษะของสมอง 7 มักใช้ “แบบทดสอบ” (Testing) ในการวัด [User Query]
- P (Process Skill – ทักษะพิสัย):
- นิยาม: คือ พฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ การปฏิบัติ การใช้กลไกของร่างกาย (Psychomotor Domain) 5
- การวัด: เป็นการวัดการกระทำหรือการปฏิบัติที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและการเคลื่อนไหวของร่างกาย 9 มักใช้ “การสังเกต” (Observation) หรือ “การทดสอบภาคปฏิบัติ” [User Query]
- A (Attribute – จิตพิสัย):
- นิยาม: คือ พฤติกรรมด้านความรู้สึกนึกคิด เจตคติ ค่านิยม คุณธรรม และอารมณ์ (Affective Domain) 5
- การวัด: เป็นการวัดคุณลักษณะภายในจิตใจ ซึ่งเป็นการวัดทางอ้อม 7 มักใช้ “การสังเกต” พฤติกรรมที่แสดงออกถึงลักษณะนิสัยนั้นๆ [User Query]
เพื่อเป็นเครื่องมือปฏิบัติการสำหรับผู้สอนในการถอดรหัสตัวชี้วัด “คลังคำกริยา” (Action Verbs) 10 ที่มักปรากฏในตัวชี้วัดสามารถจำแนกตามพฤติกรรม K, P, A ได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1: คลังคำกริยา (Action Verbs) เพื่อการจำแนกพฤติกรรม K, P, A (สังเคราะห์จาก 10)
| โดเมน (Domain) | พฤติกรรมย่อย (Sub-Domain) | คำกริยา (Action Verbs) ที่บ่งบอกพฤติกรรม |
| K (พุทธิพิสัย) | ขั้นความจำ | บอก, ชี้, บ่ง, ให้รายการ, จับคู่, เขียน |
| ขั้นความเข้าใจ | บอกความแตกต่าง, ขยายความ, ยกตัวอย่าง, อธิบายความหมาย, สรุป, สาธิต, อธิบาย, อภิปราย | |
| ขั้นนำไปใช้ | ประยุกต์, จับระบบ, แก้ปัญหา, เปลี่ยนแปลง, คำนวณ, เสนอ | |
| ขั้นวิเคราะห์ | เปรียบเทียบ, แยกแยะความแตกต่าง, ทดสอบ, วิเคราะห์, ตรวจสอบ, สังเกต, ให้เหตุผล, จำแนก | |
| ขั้นประเมินค่า | ตัดสินใจ, พิจารณา, สรุปประเมิน, เลือก, วัดผล, ทบทวน, ให้คะแนน, แสดงข้อคิดเห็น | |
| P (ทักษะพิสัย) | (ไม่แบ่งขั้นในที่นี้) | ปฏิบัติตามขั้นตอน, ทำตามข้อเสนอ, ตอนกิ่ง, ทำความเคารพ, ฝึกปฏิบัติงาน, ร้องเพลง, แสดงละคร, ตรวจสอบ, ประกอบเครื่องมือ, ใช้เครื่องมือ, ใช้อุปกรณ์, ติดตั้ง, ซ่อมบำรุง, สร้าง, ประดิษฐ์ |
| A (จิตพิสัย) | (ไม่แบ่งขั้นในที่นี้) | ตั้งใจฟัง, เอาใจใส่, กระตือรือร้น, ยอมรับ, เห็นประโยชน์, เต็มใจ, ปฏิบัติตนเป็นประจำ, เห็นความสำคัญ, เห็นคุณค่า, รับผิดชอบ, มีทัศนคติ, มีระเบียบ, ประณีต, ยึดมั่น, อดทน, ควบคุมตนเอง, ให้ความร่วมมือ, ปฏิบัติตาม, ร่วมกิจกรรม, ปฏิบัติงานตรงเวลา |
2.2 พลังของการวิเคราะห์ KPA เพื่อการวินิจฉัย (The Diagnostic Power of KPA)
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ในหลักสูตร โดยเฉพาะในระดับที่สูงขึ้น ไม่ได้วัดพฤติกรรม K, P, หรือ A เพียงด้านเดียว แต่เป็นการ ผสมผสาน (Blend) ของพฤติกรรมเหล่านี้ 5
ตัวอย่างเช่น ตัวชี้วัด “ว 1.2 ป.4/1 บรรยายหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ และดอกของพืชดอกโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้” ตัวชี้วัดนี้ประกอบด้วย:
- K (พุทธิพิสัย): ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของส่วนต่างๆ (ราก, ลำต้น, ใบ, ดอก)
- P (ทักษะพิสัย): ทักษะกระบวนการในการ “รวบรวมข้อมูล” (เช่น การสังเกต, การสืบค้น)
- A (จิตพิสัย): คุณลักษณะความใฝ่รู้ใฝ่เรียน หรือความรับผิดชอบในการทำงาน
พลังที่แท้จริงของการวิเคราะห์ KPA ไม่ได้อยู่ที่การ “ติดป้าย” ว่าตัวชี้วัดนี้เป็น K, P, หรือ A แต่อยู่ที่การใช้กรอบนี้เพื่อ “วินิจฉัย” ว่า ข้อบกพร่อง ของผู้เรียนเกิดขึ้นที่มิติใด 6
หากผู้เรียนไม่สามารถ “บรรยายหน้าที่…” (ตามตัวอย่างข้างต้น) ได้ ครูผู้สอนต้องวินิจฉัยว่า:
- ปัญหาเกิดจาก K หรือไม่? (ผู้เรียน “จำ” หน้าที่ของใบไม่ได้ หรือ “ไม่เข้าใจ” กระบวนการสังเคราะห์แสง)
- ปัญหาเกิดจาก P หรือไม่? (ผู้เรียนขาดทักษะในการ “รวบรวมข้อมูล” หรือใช้เครื่องมือไม่เป็น) 9
- ปัญหาเกิดจาก A หรือไม่? (ผู้เรียนขาด “ความรอบคอบ” ในการรวบรวมข้อมูล หรือ “ไม่สนใจ” ทำกิจกรรม) 7
การออกแบบการวัดผลที่ดีจึงต้องสามารถเก็บข้อมูลที่ช่วยให้ครู แยกแยะ ได้ว่าข้อบกพร่องนั้นอยู่ที่ K, P, หรือ A เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ 6
ส่วนที่ 3: กรอบการประเมินพุทธิพิสัย (K)—การเทียบเคียง 6 ระดับพฤติกรรมทางสมอง (A Framework for Cognitive Assessment (K): Mapping the 6 Levels of Cognitive Behaviors)
ในสามมิติ K, P, และ A มิติที่มักถูกวัดด้วยแบบทดสอบ (Testing) และต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกที่สุดคือ พุทธิพิสัย (Knowledge: K) 8 การระบุว่าตัวชี้วัดเป็น K นั้นยังไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัย แต่ต้องวิเคราะห์ “ระดับความลึก” ของ K ที่ต้องการวัดด้วย
3.1 พฤติกรรม 6 ระดับ: จาก “จำ” สู่ “สร้างสรรค์”
กรอบการวิเคราะห์พฤติกรรมพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ที่ได้รับการยอมรับและสอดคล้องกับการออกแบบการวัดผลสมัยใหม่ คือแนวคิดของ Bloom ฉบับปรับปรุง (Anderson & Krathwohl) ซึ่งจำแนกพฤติกรรมทางสมองออกเป็น 6 ระดับ 8
กรอบ 6 ระดับนี้ ไม่ใช่แค่ “ประเภท” ของคำถาม แต่เป็น “ลำดับขั้น” (Hierarchy) ของการเรียนรู้ที่ต้องเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน การที่ผู้เรียนจะแสดงพฤติกรรมในระดับที่สูงขึ้นได้ (เช่น วิเคราะห์) จำเป็นต้องมีพฤติกรรมในระดับที่ต่ำกว่าเป็นพื้นฐาน (เช่น เข้าใจ และ จำ)
กรอบนี้จึงเป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ทรงพลัง เมื่อผู้เรียนไม่สามารถทำข้อสอบในระดับ “ประยุกต์ใช้” (Applying – L3) ได้ การวินิจฉัยของครูคือต้อง “ถอย” ลงไปตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีปัญหาที่ “ความเข้าใจ” (Understanding – L2) หรือ “ความจำ” (Remembering – L1) กันแน่ 8 นี่คือการประยุกต์ใช้แนวคิด 6 ระดับเพื่อการวินิจฉัยเชิงลึก
3.2 การออกแบบคำถามเพื่อการวินิจฉัยใน 6 ระดับ
เพื่อช่วยให้ผู้สอนสามารถสร้างเครื่องมือวัด (โดยเฉพาะแบบทดสอบ) ที่สามารถวินิจฉัยพฤติกรรมพุทธิพิสัย (K) ได้อย่างแม่นยำ ตารางที่ 2 ได้สังเคราะห์กรอบการวิเคราะห์ทั้ง 6 ระดับ พร้อมลักษณะคำถามและแนวทางการวินิจฉัย
ตารางที่ 2: กรอบการวิเคราะห์พฤติกรรมพุทธิพิสัย 6 ระดับ (Bloom’s Diagnostic Framework) (สังเคราะห์จาก 8)
| ระดับพฤติกรรม (Level) | ความหมาย (Definition) | คำกริยาที่พบบ่อย (Action Verbs) | ลักษณะคำถาม (Question Style) | แนวทางการวินิจฉัย (Diagnostic Note) |
| 1. ความจำ (Remembering – R) | การระลึกถึงข้อมูล เรื่องราว หรือหลักการที่เรียนไปแล้ว | บอก, ระบุ, ชี้, ให้รายการ, จับคู่ | ถามความจำเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คำนิยาม หรือขั้นตอน | (พื้นฐาน) หากผู้เรียนทำไม่ได้ แสดงว่าขาดความรู้พื้นฐานที่สุด |
| 2. ความเข้าใจ (Understanding – U) | การแปลความ ตีความ ขยายความ หรือสรุปจับใจความสำคัญ | อธิบาย, แปลความ, สรุป, ยกตัวอย่าง, เปรียบเทียบ (ง่ายๆ) | ให้อธิบายแนวคิดด้วยคำพูดของตนเอง, ให้ย่อความ, ให้คาดคะเนผลลัพธ์ง่ายๆ | หากทำไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่าเกิดจากการ “จำ” (L1) ไม่ได้ หรือ “แปลความ” (L2) โจทย์/สถานการณ์ไม่ออก |
| 3. การประยุกต์ใช้ (Applying – Ap) | การนำหลักการ กฎ หรือทฤษฎี ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย | ประยุกต์ใช้, แก้ปัญหา, คำนวณ, สาธิต, จัดการ | ตั้งคำถามเป็นสถานการณ์สมมติ หรือปัญหาใหม่ ให้นำความรู้ไปแก้ปัญหา หรืออธิบายเหตุผลของการปฏิบัติ | หากทำไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่าเกิดจากการ “ไม่เข้าใจ” (L2) หลักการ หรือ “เลือกใช้” (L3) หลักการไม่ถูกกับสถานการณ์ |
| 4. การวิเคราะห์ (Analyzing – An) | การแยกแยะองค์ประกอบย่อย หาความสัมพันธ์ หรือวิเคราะห์โครงสร้าง | วิเคราะห์, แยกแยะ, จำแนก, เปรียบเทียบ (เชิงลึก), หาเหตุผล | ให้แยกแยะข้อเท็จจริง-ข้อคิดเห็น, ให้หาความสัมพันธ์ (เหตุ-ผล, ความขัดแย้ง), ให้วิเคราะห์หลักการ | หากทำไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่าเกิดจากการ “ประยุกต์ใช้” (L3) ไม่เป็น หรือ “แยกแยะ” (L4) องค์ประกอบของข้อมูลไม่ได้ |
| 5. การประเมินค่า (Evaluating – E) | การตัดสินคุณค่า หรือให้ข้อสรุป โดยมีเกณฑ์อ้างอิง | ประเมินค่า, ตัดสิน, วิจารณ์, สรุปประเมิน, เลือก, ให้คุณค่า | ให้ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดพร้อมเหตุผล, ให้วิจารณ์ผลงานโดยใช้เกณฑ์ | หากทำไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่าเกิดจากการ “วิเคราะห์” (L4) ข้อมูลไม่แตกฉาน หรือ “สร้างเกณฑ์” (L5) ในการตัดสินใจไม่ได้ |
| 6. การสร้างสรรค์ (Creating – C) | การรวมส่วนย่อยต่างๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่ โครงสร้างใหม่ หรือแนวคิดใหม่ | สร้างสรรค์, ออกแบบ, ประดิษฐ์, วางแผน, พัฒนา, สังเคราะห์ | ให้วางแผนงานใหม่, ให้ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา, ให้สังเคราะห์ข้อความเป็นแนวคิดใหม่ | (ระดับสูงสุด) หากทำไม่ได้ ให้ตรวจสอบว่าเกิดจากการ “ประเมินค่า” (L5) ทางเลือกต่างๆ ไม่ได้ หรือ “สังเคราะห์” (L6) องค์ประกอบใหม่ไม่เป็น |
ส่วนที่ 4: ยุทธศาสตร์การเก็บข้อมูล—การเลือกวิธีการวัดผลที่สอดคล้องกับ K, P, และ A (Strategic Data Collection: Selecting Measurement Methods Aligned with K, P, and A)
หลังจาก “ถอดรหัส” ตัวชี้วัด (ส่วนที่ 2) และ “วิเคราะห์ความลึก” ของพฤติกรรม (ส่วนที่ 3) แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือก “วิธีการวัด” (Methods of Measurement) ที่หลากหลาย 2 และสอดคล้องกับพฤติกรรม K, P, A ที่ต้องการวัด 6 เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยที่แม่นยำ
4.1 การสังเกตพฤติกรรม (Observation): ยุทธศาสตร์หลักสำหรับ P และ A
การสังเกตพฤติกรรม เป็นวิธีการเก็บข้อมูลโดยการดูการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน 12 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการประเมินพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) [User Query]
หลักการสำคัญ:
- ต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน: ผู้สังเกตต้องรู้แน่ชัดว่าต้องการประเมินอะไร 12
- ไม่ขัดจังหวะผู้เรียน: การสังเกตที่ดีคือการเก็บข้อมูลโดยไม่ขัดจังหวะการทำงานหรือการคิดของผู้เรียน 12
- สังเกตซ้ำ: ควรสังเกตหลายครั้ง หลายสถานการณ์ และหลายช่วงเวลา เพื่อขจัดความลำเอียง (Bias) 12
เทคนิคการสังเกต: การสังเกตสามารถทำได้ทั้งในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ (Naturalistic) เช่น การสังเกตการทำงานกลุ่มในห้องเรียน หรือในสถานการณ์จำลอง (Analog) เช่น การสังเกตทักษะการนำเสนอหน้าชั้น 14
เครื่องมือประกอบการสังเกต (Tools for Observation): การสังเกตต้องมีการบันทึกอย่างเป็นระบบ โดยใช้เครื่องมือช่วย 13 ได้แก่:
- แบบตรวจสอบรายการ (Checklist): ใช้สำหรับบันทึกพฤติกรรมที่ “เกิดขึ้น” หรือ “ไม่เกิดขึ้น” (เช่น ปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วนหรือไม่) เหมาะสำหรับการประเมิน P 12
- แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale): ใช้สำหรับประเมิน “คุณภาพ” หรือ “ความถี่” ของพฤติกรรม (เช่น 5-4-3-2-1) เหมาะสำหรับการประเมิน A (เช่น ความรับผิดชอบ, ความประณีต) 12
- สมุดจดบันทึกเหตุการณ์ (Anecdotal Records): ใช้บันทึกพฤติกรรมหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นอย่างกระชับและตรงตามข้อเท็จจริง 12
4.2 การประเมินด้วยปฏิสัมพันธ์ (Interaction Assessment): การวินิจฉัยกระบวนการคิด
วิธีการนี้ใช้เมื่อต้องการวินิจฉัย “กระบวนการคิด” (K-ขั้นสูง) หรือ “ทัศนคติ” (A) ที่แบบทดสอบหรือการสังเกตทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
การสอบปากเปล่า (Oral Examination):
- นี่คือวิธีการประเมินที่ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง [User Query]
- ลักษณะสำคัญคือสามารถมีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ และ “ปรับแก้ไขความคิด” กันได้ทันที [User Query] ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในการวินิจฉัยอย่างยิ่ง
- การสอบปากเปล่ามีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน (เช่น การอ่านออกเสียง) ไปจนถึงขั้นสูง (Advanced Oral Exam) ที่ใช้คำถามกระตุ้นทักษะ สมรรถนะ และพหุปัญญาของผู้เรียน 16
- จุดแข็งในการวินิจฉัยคือ ผู้สอนสามารถ “ปรับคำถาม” (Adaptive Questioning) เพื่อเจาะลึกลงไปจนถึง “จุดที่ผู้เรียนเริ่มไม่เข้าใจ” ได้แบบทันที (real-time)
การพูดคุย (Conversation):
- มักใช้ในลักษณะไม่เป็นทางการ (Informal) อาจทำเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล [User Query]
- มีประโยชน์อย่างยิ่งในการ “ค้นหาและวินิจฉัยข้อปัญหา” ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนอาจไม่สะดวกใจที่จะเขียนตอบในแบบทดสอบ [User Query]
4.3 การวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ (Testing): ยุทธศาสตร์หลักสำหรับ K
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือหลักที่มุ่งวัดตัวชี้วัดด้านพุทธิพิสัย (Knowledge: K) [User Query] และเป็นวิธีการที่ใช้ในการวินิจฉัยข้อบกพร่องโดยการวิเคราะห์จากผลการตอบของผู้เรียน [User Query]
- หลักการสำคัญ: เครื่องมือหรือแบบทดสอบที่จะนำไปใช้ต้องมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเที่ยงตรง (Validity) คือต้องวัดได้ตรงตามตัวชี้วัดและพฤติกรรม (K, L1-L6) ที่วิเคราะห์ไว้ และ ความเชื่อมั่นได้ (Reliability) คือวัดกี่ครั้งก็ได้ผลใกล้เคียงเดิม 2
- ประเภท: แบบทดสอบมี 2 ประเภทหลัก คือ แบบปรนัย (Objective) เช่น เลือกตอบ, ถูก-ผิด, จับคู่ และ แบบอัตนัย (Subjective) เช่น เติมคำ, ตอบสั้น, ความเรียง 2 (รายละเอียดของ “รูปแบบ” จะกล่าวในส่วนที่ 5)
4.4 แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment): ยุทธศาสตร์การประเมินแบบองค์รวม (K+P+A)
แฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการวัดและประเมินผลที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมของผู้เรียนได้ครบถ้วนทั้ง 3 มิติ คือ พฤติกรรมด้านความรู้ (K), พฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ (P), และพฤติกรรมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) [User Query]
นิยาม: แฟ้มสะสมงานไม่ใช่แค่ “แฟ้มเก็บงาน” แต่เป็นการเก็บรวบรวมชิ้นงานอย่างมีเป้าหมาย (Purposeful Collection) 17 เพื่อสะท้อน “ความก้าวหน้า” (Progress) และ “ความสำเร็จ” (Achievement) ของผู้เรียน [User Query]
กระบวนการวินิจฉัยด้วย Portfolio:
- กำหนดวัตถุประสงค์ (Define): ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์โดยอิงจากตัวชี้วัด (K, P, A) ที่ต้องการประเมิน 18
- วางแผนและรวบรวม (Plan & Collect): ผู้เรียนวางแผนและรวบรวมชิ้นงานหรือหลักฐาน 18
- การสะท้อนคิด (Reflection): นี่คือหัวใจของการวินิจฉัย ผู้เรียนต้อง “แสดงความคิดเห็นหรือเหตุผลที่เลือกผลงานนั้น” และ “สะท้อนความรู้สึกและความคิดเห็นต่อชิ้นงาน” 18 การสะท้อนคิดนี้เองที่เปิดเผยกระบวนการคิด (K), วิธีการทำงาน (P), และทัศนคติ (A) ของผู้เรียน
- การประเมิน (Assessment): ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินชิ้นงานเพื่อการพัฒนา 17
วิธีการวัดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักเกิดจากการใช้ข้อมูลแบบ “สามเส้า” (Triangulation) เช่น การประเมินตัวชี้วัดที่ซับซ้อน อาจต้องใช้ผลจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) 1 ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรมการทำงาน (Observation) 12 และการสอบปากเปล่า (Oral Exam) 16 เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์และรอบด้านที่สุด
ส่วนที่ 5: เครื่องมือวัดเชิงลึก—การออกแบบรูปแบบข้อสอบเพื่อการวินิจฉัยพุทธิพิสัย (K) (Precision Tools: Designing Advanced Item Formats for Cognitive Diagnosis (K))
ในส่วนที่ 4.3 ได้ระบุว่า “การทดสอบ” (Testing) เป็นวิธีการหลักในการวัด K ในส่วนนี้จะเจาะลึกถึง “รูปแบบเครื่องมือ” (Tool Formats) หรือ “รูปแบบข้อสอบ” ที่ออกแบบมาเพื่อการวินิจฉัยพฤติกรรมพุทธิพิสัย (K) ในระดับต่างๆ (ตามกรอบ 6 ระดับในส่วนที่ 3)
5.1 หลักการสร้างข้อสอบ (Test Construction) ที่ดี
การสร้างข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Question: MCQ) ที่ดี เพื่อใช้ในการวินิจฉัย ไม่ใช่แค่การมี “ตัวถูก” 1 ข้อ และ “ตัวผิด” หลายข้อ แต่คือการออกแบบ “ตัวลวง” (Distractors) ที่มีประสิทธิภาพ 20
- เป้าหมาย: ข้อสอบที่ดีควรวัดการประยุกต์ใช้ความรู้ (Application) มากกว่าการจำข้อเท็จจริง (Recall) 20
- โจทย์ (Stem) และคำถาม (Lead-in): ต้องมีความชัดเจน รัดกุม ไม่กำกวม และควรถามในประเด็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องปลีกย่อย 7
- ตัวลวง (Distractors): นี่คือเครื่องมือวินิจฉัยชั้นดี ตัวลวงที่ดีต้องมีความเป็นไปได้ (Plausible) และสามารถดึงดูดผู้เรียนที่เกิด “ความเข้าใจผิด” (Misconception) ในเรื่องนั้นๆ ได้ การวิเคราะห์ว่าผู้เรียนเลือกตอบตัวลวงข้อใด จะช่วยให้ครูวินิจฉัยได้ทันทีว่าผู้เรียนเข้าใจผิดในประเด็นใด 20
5.2 รูปแบบเลือกตอบ (Selected Response Formats)
รูปแบบข้อสอบเลือกตอบสมัยใหม่ที่สอดคล้องกับการประเมินระดับชาติและนานาชาติ มีเป้าหมายเพื่อวัดพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่าความจำ [User Query]:
MC (Multiple Choice – เลือก 1 คำตอบ):
นิยาม: รูปแบบมาตรฐานที่ผู้เรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว 20
การวินิจฉัย: เหมาะสำหรับการวินิจฉัยความรู้ความจำ (K-L1) และความเข้าใจ (K-L2) 20
MS (Multiple-selection – เลือกหลายคำตอบ):
นิยาม: ข้อสอบเลือกตอบที่มี “คำตอบถูกมากกว่า 1 คำตอบ” 22
การวินิจฉัย: ใช้วินิจฉัยผู้เรียนที่มีความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ (Incomplete Understanding) เช่น ตัวชี้วัดกำหนดว่าองค์ประกอบมี 3 อย่าง (ก, ข, ค) ผู้เรียนที่เลือกเพียง ก และ ข จะแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องที่ชัดเจนกว่าการตอบข้อสอบ MC
CM (Complex Multiple Choice – เลือกตอบเชิงซ้อน):
นิยาม: ข้อสอบที่มี “คำถามย่อย” (Sub-questions) หลายข้อรวมอยู่ในข้อเดียวกัน โดยคำถามย่อยทั้งหมดจะถามโดยอ้างอิงจาก “เรื่องที่อ่าน” (Stimulus) หรือสถานการณ์ที่กำหนด 23
ตัวอย่าง: ให้อ่านบทความ 1 ชิ้น แล้วมีตารางให้ผู้เรียนพิจารณาข้อความ 3 ข้อความ ว่าแต่ละข้อความ “เป็นข้อเท็จจริง (Fact)” หรือ “เป็นข้อคิดเห็น (Opinion)” 23
การวินิจฉัย: เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการวินิจฉัยพฤติกรรมระดับ “วิเคราะห์” (Analyzing – L4) โดยเฉพาะความสามารถในการ “แยกแยะ” องค์ประกอบต่างๆ ของข้อมูล
RR (Responses related – กลุ่มคำตอบสัมพันธ์):
นิยาม: ข้อสอบมากกว่า 1 ข้อ ที่มีเงื่อนไขให้คิด “ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน” โดยคำตอบในข้อแรก “จะต้องเป็นข้อมูลที่ใช้ในการตอบข้อคำถามต่อไป” 24
การวินิจฉัย: ใช้วินิจฉัยพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการ (Procedural Thinking) เช่น การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ที่ต้องทำเป็นขั้นตอน (L3 หรือ L4) เมื่อผู้เรียนตอบข้อ 2 (ซึ่งใช้ผลจากข้อ 1) ผิด ครูสามารถวินิจฉัยได้ทันทีว่า ข้อบกพร่องเกิดจากการคำนวณใน “ขั้นตอนที่ 1” ผิด หรือเกิดจาก “กระบวนการในขั้นตอนที่ 2” ผิด 24
5.3 รูปแบบเขียนตอบ (Constructed Response Formats)
Restricted-response (เขียนตอบแบบจำกัดคำ):
นิยาม: ข้อสอบที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเขียนคำตอบ แต่ “จำกัด” ขอบเขตหรือเงื่อนไขของคำตอบไว้อย่างชัดเจน (เช่น ตอบสั้น, เติมคำในช่องว่าง) 25
การวินิจฉัย: ใช้วินิจฉัย “ความเข้าใจ” (L2) และ “การประยุกต์ใช้” (L3) โดยลดโอกาสการเดาคำตอบ (ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ MC) 2
ER (Extended-response – เขียนตอบแบบอิสระ):
- นิยาม: ข้อสอบที่ให้อิสระในการคิดและเขียนอย่างสมเหตุสมผลภายใต้หลักวิชา [User Query] มักต้องใช้เวลาในการตอบ และต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากบทความ (Passages) หรือสถานการณ์ที่ซับซ้อน 26
- การวินิจฉัย: เป็นเครื่องมือเดียวที่สามารถวินิจฉัยพฤติกรรมระดับสูงสุด คือ “การประเมินค่า” (Evaluating – L5) และ “การสร้างสรรค์” (Creating – L6) ได้อย่างแท้จริง 8 การวินิจฉัยไม่ได้ดูที่ “คำตอบสุดท้าย” แต่ดูที่ “กระบวนการให้เหตุผล” (Reasoning Process) และการสังเคราะห์ข้อมูลที่ผู้เรียนแสดงออกมาในงานเขียน 26
ส่วนที่ 6: พิมพ์เขียวการประเมิน (Test Blueprint)—การสังเคราะห์สู่แผนการวัดผลที่สมบูรณ์ (The Assessment Blueprint: Synthesizing a Complete Measurement Plan)
ส่วนนี้คือบทสรุปเชิงปฏิบัติการ ที่นำองค์ประกอบทั้งหมดตั้งแต่ส่วนที่ 1 ถึง 5 มาสังเคราะห์รวมกันเป็นเอกสารที่เรียกว่า “แผนผังแบบสอบ” (Test Blueprint) หรือ “ตารางวิเคราะห์หลักสูตร” (Table of Specifications)
6.1 เป้าหมายและความสำคัญของ Test Blueprint
แผนผังแบบสอบ คือ แผนที่และพิมพ์เขียวที่เชื่อมโยงสิ่งที่ต้องการวัด (ตัวชี้วัด) เข้ากับเครื่องมือวัด (ข้อสอบ) อย่างเป็นระบบ 3
- เป้าหมายหลัก: เพื่อ “รับประกัน” (Ensure) ว่าการวัดและประเมินผลนั้น “ครอบคลุมทุกตัวชี้วัด” (Coverage) ที่สอนไป และมี “ความสอดคล้อง” (Alignment) ระหว่าง ตัวชี้วัด, พฤติกรรมที่วัด, และข้อสอบที่ใช้จริง [User Query]
- ความสำคัญ:
- หลักประกันความเที่ยงตรง (Validity): Blueprint คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของ “ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา” (Content Validity) 1 ที่ยืนยันว่าข้อสอบวัดในสิ่งที่หลักสูตรกำหนด
- เชื่อมโยงการสอนและการสอบ: Blueprint ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “การสอน” (Instruction) และ “การสอบ” (Assessment) ให้เป็นเรื่องเดียวกัน 3
- เครื่องมือวินิจฉัย: ดังที่จะกล่าวในส่วนที่ 7 Blueprint คือเครื่องมือสำคัญในการแปรผล “หลังสอบ” เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องของผู้เรียน
6.2 กระบวนการสร้างแผนผังแบบสอบ (Step-by-Step)
การสร้าง Blueprint คือการนำผลการวิเคราะห์จากส่วนที่ 1-5 มาบรรจุลงในตารางอย่างเป็นระบบ:
- ขั้นตอนที่ 1 (Input): ระบุ “สาระการเรียนรู้/หน่วย” และ “ตัวชี้วัด” ทั้งหมดที่ต้องการประเมินในครั้งนั้น (จากส่วนที่ 1) 29
- ขั้นตอนที่ 2 (Analysis): นำตัวชี้วัดแต่ละข้อมา “วิเคราะห์ KPA” (จากส่วนที่ 2) และ “วิเคราะห์ระดับพฤติกรรม K (Bloom’s)” (จากส่วนที่ 3) 5
- ขั้นตอนที่ 3 (Method/Tool): เลือก “วิธีการวัด” (จากส่วนที่ 4) และ “รูปแบบเครื่องมือ/ข้อสอบ” (จากส่วนที่ 5) ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่วิเคราะห์ไว้ 6
- ขั้นตอนที่ 4 (Allocation): กำหนด “จำนวนข้อ” และ “น้ำหนักคะแนน” ให้เหมาะสมกับความสำคัญของตัวชี้วัดนั้นๆ 30
6.3 ตารางที่ 3: แม่แบบแผนผังแบบสอบ (The Ultimate Test Blueprint Template)
ตารางที่ 3 คือ “ผลผลิต” สุดท้ายของคู่มือฉบับนี้ ที่ผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการวัดผลของตนเองได้ทันที ตารางนี้สังเคราะห์องค์ประกอบทั้งหมดที่จำเป็นต่อการประเมินเพื่อการวินิจฉัย
ตารางที่ 3: แม่แบบแผนผังการวัดและประเมินผล (Test Blueprint Template) ที่ยึดตัวชี้วัดเป็นแกนกลาง (อ้างอิงโครงสร้างจาก 28)
รายวิชา:…………………………. รหัสวิชา:………………… ระดับชั้น:………………… ภาคเรียนที่/ปีการศึกษา:…………………
| 1. สาระ/หน่วยการเรียนรู้ (Unit) | 2. ตัวชี้วัด (Indicator) (จากส่วนที่ 1) | 3. พฤติกรรมหลัก (K/P/A) (จากส่วนที่ 2) | 4. พฤติกรรมย่อย (Bloom’s: R, U, Ap, An, E, C) (จากส่วนที่ 3) | 5. วิธีการ/เครื่องมือ (Method/Tool) (จากส่วนที่ 4) | 6. รูปแบบ (Format) (จากส่วนที่ 5) | 7. จำนวนข้อ/คะแนน (Items/Score) |
| ตัวอย่าง: หน่วยที่ 1: ระบบนิเวศ | ว 1.1 ม.1/1 อธิบายความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ… | K | U (อธิบาย) | ทดสอบ (Testing) | MC (เลือก 1) | 5 ข้อ (5 คะแนน) |
| ว 1.1 ม.1/2 วิเคราะห์… | K | An (วิเคราะห์) | ทดสอบ (Testing) | CM (เชิงซ้อน) | 2 ข้อ (6 คะแนน) | |
| หน่วยที่ 2: การใช้กล้องจุลทรรศน์ | ว 4.1 ม.1/1 ปฏิบัติการใช้… | P | (ปฏิบัติ) | สังเกต (Observation) | Checklist (ตรวจรายการ) | (10 คะแนน) |
| ว 4.1 ม.1/2 ตระหนักถึงความสำคัญ… | A | (ตระหนัก) | สังเกต (Observation) | Rating Scale (ประมาณค่า) | (5 คะแนน) | |
| หน่วยที่ 3: การแก้ปัญหา | ว 4.2 ม.1/1 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา… | K | C (สร้างสรรค์) | ทดสอบ (Testing) | ER (เขียนตอบอิสระ) | 1 ข้อ (10 คะแนน) |
| รวม | 10 ข้อ (36 คะแนน) |
หมายเหตุ: รูปแบบข้อสอบ (คอลัมน์ 6) เช่น MC, CM, ER, Checklist, Rating Scale คือการระบุรายละเอียดของเครื่องมือที่เลือกใช้ในคอลัมน์ 5
ส่วนที่ 7: บทสังเคราะห์—จากผลการวินิจฉัยสู่การพัฒนาผู้เรียนรายบุคคล (Synthesis: From Diagnostic Results to Individualized Learner Development)
กระบวนการออกแบบการวัดผลที่ยึดตัวชี้วัดเป็นแกนกลาง จะไม่สมบูรณ์หากขาดการ “ปิดวงจร” (Closing the Loop) นั่นคือการนำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด: “การวินิจฉัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน”
7.1 การแปรผลจาก Blueprint เพื่อการวินิจฉัย
แผนผังแบบสอบ (Test Blueprint) จากส่วนที่ 6 ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ “ก่อนการสอบ” เพื่อรับประกันความเที่ยงตรง แต่ยังมีประโยชน์สูงสุด “หลังการสอบ” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือวินิจฉัย
เมื่อผู้สอนตรวจข้อสอบหรือประเมินชิ้นงานเสร็จสิ้น 2 แทนที่จะดูเพียง “คะแนนรวม” ผู้สอนควรนำคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนไปกรอก “ย้อนกลับ” ลงใน Blueprint 29 การกระทำนี้จะทำให้เห็น “รูปแบบ” (Pattern) ของข้อบกพร่องที่ชัดเจน ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยที่ลึกซึ้งกว่าการบอกว่า “เก่ง” หรือ “อ่อน”
การวินิจฉัยแบบตื้น (Shallow Diagnosis): “นักเรียน A ได้คะแนนวิชานี้น้อย”
การวินิจฉัยเชิงลึกจาก Blueprint (Data-Driven Diagnosis):
“นักเรียน A ทำคะแนนใน ‘ตัวชี้วัดที่ 1.1’ (ดูตารางที่ 3) ได้น้อย” (เริ่มเจาะจง)
“เมื่อดูรายละเอียด พบว่า นักเรียน A ทำข้อสอบ MC (ที่วัด K-L2 ‘ความเข้าใจ’) ได้เต็ม แต่ทำข้อสอบ CM (ที่วัด K-L4 ‘การวิเคราะห์’) ไม่ได้เลย” 8
ข้อสรุปการวินิจฉัย: นักเรียน A ไม่มีปัญหาเรื่อง “ความเข้าใจ” (L2) แต่มี “ข้อบกพร่อง” ที่พฤติกรรมระดับ “การวิเคราะห์” (L4)
การวินิจฉัย P และ A:
- “นักเรียน B ได้คะแนนรวมหน่วยที่ 2 (ดูตารางที่ 3) ต่ำ”
- ข้อสรุปการวินิจฉัย: “เมื่อดูจาก Checklist 12 พบว่า นักเรียน B มีปัญหาด้าน P (ทักษะพิสัย) โดยมักข้ามขั้นตอนการปฏิบัติที่ 3 และ 5 เสมอ” และ “เมื่อดูจาก Rating Scale 12 พบว่า นักเรียน B มีปัญหาด้าน A (จิตพิสัย) คือขาดความประณีตในการเก็บเครื่องมือ”
7.2 การดำเนินการหลังการวินิจฉัย (Post-Diagnostic Actions)
ข้อมูลที่ได้จากการวินิจฉัยที่แม่นยำและเป็นระบบ (ซึ่งอาจรวมถึงการใช้แบบคัดกรองเฉพาะทางเพิ่มเติม 31) จะนำไปสู่การดำเนินการที่ตรงจุด:
- การสอนซ่อมเสริม (Remedial Instruction): ครูสามารถออกแบบกิจกรรมสอนซ่อมเสริมที่เน้นเฉพาะจุดที่บกพร่อง เช่น หากพบว่านักเรียนทั้งห้องบกพร่องที่ K-L4 (การวิเคราะห์) ครูสามารถปรับแผนการสอนในหน่วยถัดไปให้เน้นกิจกรรมที่ฝึกการวิเคราะห์มากขึ้น 3
- การพัฒนารายบุคคล (Individualized Development): ครูสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่นักเรียน A (ที่บกพร่องด้านการวิเคราะห์) และนักเรียน B (ที่บกพร่องด้านทักษะปฏิบัติ) ได้อย่างแตกต่างและตรงประเด็น
โดยสรุป กระบวนการทั้งหมดที่เริ่มต้นจาก “ตัวชี้วัด” (Indicator) ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามที่ระบุไว้ในภารกิจ นั่นคือการ “ได้ข้อมูลที่สะท้อนสภาพจริง” ซึ่งนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายและวิธีการ “พัฒนาผู้เรียนที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา” [User Query] อย่างแท้จริงและยุติธรรม 2
Works cited
- แนวข้อสอบ วิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา (50 ข้อ) พร้อมเฉลย, accessed November 6, 2025, https://sheet389.com/measurement-and-evaluation/
- การวัดผลและการประเมินผลการศึกษา, accessed November 6, 2025, https://www.fte.rmuti.ac.th/main/sites/default/files/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5.pdf
- ผังการสร้างแบบทดสอบ (Test Blueprint) วิชาครู พ.ศ.2566 – Scribd, accessed November 6, 2025, https://www.scribd.com/document/663475634/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3-%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-Test-Blueprint-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-%E0%B8%9E-%E0%B8%A8-2566
- การประเมินหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551, accessed November 6, 2025, https://ir.stou.ac.th/bitstream/123456789/9348/1/156032.pdf
- วัดและประเมินผลอย่างไร?, accessed November 6, 2025, https://www.skprivate.go.th/uploads/group/00342c5a6b549de07a8ff5d4d391cc09.pdf
- การวัดและประเมินผลให้ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ (KPA) – Starfishlabz, accessed November 6, 2025, https://www.starfishlabz.com/workshop/160-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-kpa
- การวัดและประเมินผลทางการศึกษา – AMS KKU – มหาวิทยาลัยขอนแก่น, accessed November 6, 2025, https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/book58/13eva58.pdf
- การออกแบบวัดพฤติกรรม ด้านพุทธิพิสัย – ระบบการเรียนการสอนแบบ …, accessed November 6, 2025, https://ssrudlp.ssru.ac.th/data-file/teacher_work/file/fb7c468385e660161d50a8a225fefc5d.pdf
- บทที่๑๐ การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ – MCU e-Learning, accessed November 6, 2025, https://elearning.mcu.ac.th/pluginfile.php/2161/mod_resource/content/1/C10%20CONTENT.pdf
- คำกริยาที่บ่งบอกพฤติกรรมการเรียนรู้ KPA | PDF – Slideshare, accessed November 6, 2025, https://www.slideshare.net/slideshow/kpa-36648381/36648381
- พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย – Bloom’s Taxonomy 3Domains – YouTube, accessed November 6, 2025, https://www.youtube.com/watch?v=JZItNmoO010
- ๑๒๑. การวัดและประเมินผล ๙ : การสังเกตพฤติกรรม / แบบสังเกต …, accessed November 6, 2025, https://www.gotoknow.org/posts/589445
- การสังเกต, accessed November 6, 2025, http://www.digitalschool.club/digitalschool/technologym1-3/inventionm1_1/lesson5/more/p5.php
- การสังเกตพฤติกรรมการสื่อสาร (Observation) | Tanya Speech Therapy – WordPress.com, accessed November 6, 2025, https://thspeechtherapybangkok.wordpress.com/services/observation-at-school-sites/
- เกณฑ์การวัดผล, accessed November 6, 2025, http://www.tl.ac.th/download/exam/rule.doc
- การสอบแบบปากเปล่า (Oral Exam) – การศีกษา สาขามนุษยศาสตร์และ …, accessed November 6, 2025, https://www.gotoknow.org/posts/697969
- แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) จัดทาโดย นางสาวนาเดีย เบ็ญ – wbscport, accessed November 6, 2025, https://wbscport.dusit.ac.th/artefact/file/download.php?file=24363&view=5734&title=%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99+Portfolio.pdf
- การพัฒนารูปแบบแฟ้มสะสมงานอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การประเมินตนเองเพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนิสิตนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู – Chula Digital Collections, accessed November 6, 2025, https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/32998/
- การประเมินการเรียนรู ตามสภาพจริง, accessed November 6, 2025, https://registrar.ku.ac.th/wp-content/uploads/2022/06/%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8764.pdf
- การสร้างข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice question), accessed November 6, 2025, https://des.cda.or.th/home/DownloadFiles?fileName=MCQ_Arnupa.pdf
- การสร้างข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ – ThaiJO, accessed November 6, 2025, https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tmj/article/download/13902/12601/29665
- accessed November 6, 2025, https://www.kruchiangrai.net/2017/02/25/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99-lnr-%E0%B9%81%E0%B8%9A/#:~:text=2.%20%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A,%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%201%20%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A
- การใช้ข้อสอบกลาง ปีการศึกษา ๒๕๕๗ บทนา ตามที่ ส, accessed November 6, 2025, http://spburi.com/center_test2557.pdf
- accessed November 6, 2025, https://www.kruchiangrai.net/2017/02/25/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99-lnr-%E0%B9%81%E0%B8%9A/#:~:text=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A&text=4.%20%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A,%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B
- การสร้างข้อสอบอัตนัยหรือเขียนตอบ ตามแนวทางการทดสอบระดับชาติและนานาชาติ( PISA), accessed November 6, 2025, https://www.slideserve.com/rose-anderson/pisa
- GED® Test: RLA Extended Response Basics – YouTube, accessed November 6, 2025, https://www.youtube.com/watch?v=YQbqBJYaTyI
- GED RLA Extended Response คืออะไร และต้องทำอะไรบ้าง – YouTube, accessed November 6, 2025, https://www.youtube.com/shorts/MtYDigUrHao
- ผังการสร้างข้อสอบ (Test blueprint) | PDF – Scribd, accessed November 6, 2025, https://www.scribd.com/document/448715002/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3-%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82-%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-Test-blueprint
- ตารางวิเคราะห์หลักสูตร/ตารางการสร้างข้อสอบ (Test Blueprint) – WordPress.com, accessed November 6, 2025, https://comkrunao.files.wordpress.com/2015/07/testblueprint1.doc
- ผังการออกข้อสอบ (ฉบับปรับปรุงใช้ 2/61), accessed November 6, 2025, http://203.159.251.151/nfetesting/Flowchartexamination.php
- แบบคัดกรองบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ – Morning Mind Clinic & Counseling Center, accessed November 6, 2025, https://morningmindcounseling.com/wp-content/uploads/2022/01/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99-LD.pdf
- เอกสารการขับเคลื่อนการแก้ปัญหา Learning Loss – สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ., accessed November 6, 2025, https://academic.obec.go.th/web/mission/view/44
Comments
comments
Powered by Facebook Comments

