เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างนวัตกรรม ในระดับเชี่ยวชาญ
เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างนวัตกรรม ในระดับเชี่ยวชาญ
“นวัตกรรม” หมายความว่า สิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการ ที่ครูผู้ผู้สอนได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของตนเอง สร้างหรือพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ หรือพัฒนาให้เกิดผลลัพธ์ต่อผู้เรียน โดยสามารถนำไปใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นที่ยอมรับ และเกิดประโยชน์ ในการสร้างคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษา ชุมชน สังคม วัฒนธรรม หรือเศรษฐกิจ
ในด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ สำหรับคำขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญและวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญพิเศษ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ ต้องมีผลงานทางวิชาการ ซึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับ
-
- การจัดการเรียนรู้
- หรือนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
ที่แสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัฏิบัติที่คาดหวังตามมาตรฐานวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน จำนวน 1 รายการ ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่แปลงไฟล์จากโปรแกรม Word
2) วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีผลงานทางวิชาการ ซึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับ
-
- การจัดการเรียนรู้
- และนวัตกรรมการจัดการเรียบรู้
ที่แสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามมาตรฐาน
วิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน จำนวนอย่างละ 1 รายการ ในรูปแบบบไฟล์ PDF ที่แปลงไฟล์จากโปรแกรม Word
โดยงานวิจัยต้องได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมถของคนย์ดีชนิการอ้างอิงวารสารไทย หรือ Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) กลุ่ม 1 หรือ กลุ่ม 2/โดยให้ส่งบทคามวิจัยได้ทันที่ดีพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ด้วย
จาก ว18/2567 การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้มีผลงานการสร้างและพัฒนานวัตกรรม เลื่อนเป็นเป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ และวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญพิเศษ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก โดยควรเริ่มต้นจากการสังเกตปัญหาในห้องเรียน สมมติว่าเราพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบการอ่าน ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน และไม่สามารถจับใจความสำคัญได้ เราจึงเริ่มจดบันทึกพฤติกรรมของนักเรียน สังเกตว่าเวลาให้อ่านหนังสือ พวกเขาจะแสดงท่าทางเบื่อหน่าย บางคนหลับ บางคนคุยกัน
จากนั้นเราลองคิดหาวิธีแก้ปัญหา โดยศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยต่าง ๆ จนพบว่าเทคนิคการสอนต่าง ๆ เช่น การใช้เทคนิค SQ4R ร่วมกับแผนผังความคิดน่าจะช่วยได้ เราจึงออกแบบแผนการสอนและสร้างสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ
ระหว่างสอน เราจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น สัปดาห์แรกนักเรียนยังงง ๆ กับเทคนิคใหม่ แต่พอสัปดาห์ที่ 2-3 เริ่มเห็นว่าพวกเขาทำได้ดีขึ้น มีความกระตือรือร้นมากขึ้น สนุกกับการทำแผนผังความคิด และเริ่มเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น
เมื่อเขียนรายงาน เราเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง นำเสนอตัวอย่างแผนผังความคิดของนักเรียน ใส่คำพูดที่นักเรียนสะท้อนความรู้สึก เช่น “หนูชอบทำแผนผังค่ะ มันทำให้จำเนื้อหาได้ง่ายขึ้น” หรือ “ผมเข้าใจเรื่องที่อ่านมากขึ้นครับ”
ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล ควรนำคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบ แสดงให้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น พร้อมทั้งอธิบายว่าทำไมวิธีนี้จึงได้ผล และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
ที่สำคัญคือ เราต้องเขียนอย่างจริงใจ ไม่ต้องพยายามทำให้ดูเป็นทางการจนเกินไป แต่เน้นเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ทั้งกับนักเรียนและตัวครูเอง เพราะการวิจัยในชั้นเรียนไม่ใช่แค่การทำเพื่อขอวิทยฐานะ แต่เป็นการพัฒนาการเรียนการสอนอย่างแท้จริง
บางครั้งอาจมีอุปสรรคบ้าง เช่น นักเรียนบางคนปรับตัวช้า หรือกิจกรรมบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน เราก็ต้องเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย พร้อมทั้งอธิบายว่าเราแก้ปัญหาอย่างไร เพราะนี่คือประสบการณ์จริงที่มีคุณค่าและสามารถเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนครูท่านอื่นได้
สุดท้าย อย่าลืมเขียนถึงการเรียนรู้ของตัวเราเองด้วย ว่าการทำวิจัยครั้งนี้ทำให้เราเติบโตในฐานะครูอย่างไร มีมุมมองใหม่ๆ อะไรบ้าง และจะนำประสบการณ์นี้ไปพัฒนาการสอนต่อไปอย่างไร
หลักการสำคัญในการเขียนรายงาน
1. การเขียนบทนำที่น่าสนใจ
– เริ่มด้วยการนำเสนอสภาพปัญหาที่พบในชั้นเรียนอย่างชัดเจน
– แสดงให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นที่ต้องแก้ปัญหา
– เชื่อมโยงกับนโยบายการศึกษาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
– นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรม
2. การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีวิจารณญาณ
– วิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
– แสดงให้เห็นช่องว่างของความรู้ที่ยังไม่มีผู้ศึกษา
– นำเสนอกรอบแนวคิดที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์
– เชื่อมโยงทฤษฎีสู่การปฏิบัติในชั้นเรียน
3. การออกแบบนวัตกรรมการวิจัย
– สร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด
– ออกแบบกระบวนการวิจัยที่มีความแปลกใหม่
– พัฒนาเครื่องมือวิจัยที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ
– กำหนดวิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ
4. การนำเสนอผลการวิจัยอย่างโดดเด่น
– ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลที่ลึกซึ้งและหลากหลาย
– นำเสนอผลด้วยแผนภาพหรือตารางที่สร้างสรรค์
– แสดงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
– เชื่อมโยงผลการวิจัยกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เทคนิคการสร้างความโดดเด่น
1. การแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
– นำเสนอมุมมองใหม่ในการแก้ปัญหา
– บูรณาการแนวคิดจากหลากหลายศาสตร์
– สร้างนวัตกรรมที่แตกต่างจากงานวิจัยทั่วไป
– แสดงการต่อยอดและพัฒนาจากงานวิจัยเดิม
2. การเขียนที่แสดงความลุ่มลึก
– อธิบายแนวคิดและทฤษฎีอย่างลึกซึ้ง
– วิเคราะห์ข้อมูลในหลายมิติ
– แสดงความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรต่างๆ
– นำเสนอข้อค้นพบที่เป็นองค์ความรู้ใหม่
3. การสะท้อนการเปลี่ยนแปลง
– แสดงพัฒนาการของผู้เรียนอย่างชัดเจน
– นำเสนอการเปลี่ยนแปลงในชั้นเรียน
– สะท้อนการเรียนรู้และการพัฒนาของครู
– แสดงผลกระทบต่อชุมชนการเรียนรู้
การนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์
1. การใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ
– นำเสนอสถิติที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย
– ใช้กราฟและแผนภูมิที่สื่อความหมายชัดเจน
– แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงผ่านตัวเลข
– เปรียบเทียบผลก่อนและหลังการพัฒนา
2. การใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ
– นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจจากชั้นเรียน
– ใช้การบรรยายที่มีชีวิตชีวา
– แสดงตัวอย่างผลงานของผู้เรียน
– สะท้อนความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
การสรุปและอภิปรายผล
1. การสรุปผลที่โดดเด่น
– สรุปประเด็นสำคัญอย่างชัดเจน
– แสดงความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
– นำเสนอข้อค้นพบที่น่าสนใจ
– เชื่อมโยงกับทฤษฎีและงานวิจัย
2. การอภิปรายผลที่ลึกซึ้ง
– วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
– อธิบายเหตุผลของผลการวิจัย
– เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่น
– เสนอมุมมองใหม่จากผลการวิจัย
การนำไปใช้และข้อเสนอแนะ
1. การนำไปใช้
– เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย
– แสดงความเป็นไปได้ในการขยายผล
– ระบุเงื่อนไขความสำเร็จ
– แนะนำการปรับใช้ในบริบทที่แตกต่าง
2. ข้อเสนอแนะ
– เสนอประเด็นวิจัยที่น่าสนใจในอนาคต
– แนะนำการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม
– ระบุข้อควรระวังในการนำไปใช้
– เสนอแนวทางการปรับปรุงการวิจัย
บทสรุป
การเขียนรายงานการวิจัยที่แสดงให้เห็นการคิดค้นและปรับเปลี่ยนต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความคิดสร้างสรรค์ การนำเสนอที่เป็นระบบ ชัดเจน และมีหลักฐานเชิงประจักษ์จะช่วยให้งานวิจัยมีคุณค่าและน่าเชื่อถือ นำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนอย่างแท้จริง
ตัวอย่างการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานโดยใช้เทคโนโลยี AR”
การวิจัยนี้เริ่มต้นจากการที่สังเกตเห็นว่านักเรียนชั้น ม.4 ของเรามีปัญหาด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ในวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องระบบนิเวศ พวกเขาท่องจำได้ แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศได้อย่างลึกซึ้ง
เราจึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่โดยผสมผสานการเรียนรู้แบบโครงงานเข้ากับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ที่น่าสนใจคือ เราพัฒนาแอพพลิเคชั่น AR ขึ้นมาเอง โดยร่วมมือกับครูคอมพิวเตอร์ ให้นักเรียนสามารถส่องโทรศัพท์ไปที่พื้นที่จริงในโรงเรียน แล้วเห็นภาพซ้อนของสิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ต่างๆ ในระบบนิเวศ
กระบวนการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 ระยะ:
ระยะที่ 1: การสำรวจและตั้งคำถาม
นักเรียนแต่ละกลุ่มสำรวจพื้นที่จริงในโรงเรียน เช่น สวนหย่อม สระน้ำ โดยใช้แอพ AR ที่เราพัฒนาขึ้น ตอนแรกนักเรียนตื่นเต้นมาก หลายคนพูดว่า “หนูไม่เคยเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตชัดเจนขนาดนี้มาก่อน” จากนั้นให้แต่ละกลุ่มตั้งคำถามที่สนใจ เช่น “ทำไมนกในโรงเรียนถึงชอบมาที่สระน้ำช่วงเย็น?” “ถ้าต้นไม้ใหญ่ในสวนหย่อมหายไป จะเกิดอะไรขึ้น?”
ระยะที่ 2: การทำโครงงาน
นักเรียนวางแผนและดำเนินการศึกษาตามคำถามที่สนใจ โดยใช้ AR เป็นเครื่องมือช่วยเก็บข้อมูล บางกลุ่มทำการทดลองจำลองโดยใช้ AR สร้างสถานการณ์สมมติ เช่น จำลองสภาพแวดล้อมเมื่อต้นไม้ใหญ่หายไป แล้วสังเกตผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
มีเหตุการณ์ประทับใจมากมาย เช่น กลุ่มหนึ่งค้นพบว่านกที่มาที่สระน้ำช่วงเย็นมีความสัมพันธ์กับแมลงที่ออกหากินช่วงนั้น พวกเขาตื่นเต้นมากที่ค้นพบความสัมพันธ์นี้ด้วยตัวเอง และใช้ AR บันทึกพฤติกรรมของทั้งนกและแมลงไว้ได้อย่างชัดเจน
ระยะที่ 3: การนำเสนอและแลกเปลี่ยน
นักเรียนนำเสนอผลการศึกษาในรูปแบบนิทรรศการ AR โดยผู้ชมสามารถส่องโทรศัพท์ดูผลงานแต่ละกลุ่มได้ มีทั้งภาพเคลื่อนไหว กราฟ และแผนภาพความสัมพันธ์ที่ซ้อนทับกับพื้นที่จริง
ผลการวิจัยพบว่า
1. คะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
2. นักเรียนมีความกระตือรือร้นและสนุกกับการเรียนมากขึ้น
3. ผลงานของนักเรียนแสดงให้เห็นความเข้าใจระบบนิเวศอย่างลึกซึ้ง
4. นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้กับสถานการณ์จริงได้ดีขึ้น
ที่น่าภูมิใจคือ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ แต่ยังสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมด้วย นักเรียนหลายคนเริ่มสนใจดูแลพื้นที่สีเขียวในโรงเรียนมากขึ้น และมีการขยายผลไปยังวิชาอื่นๆ เช่น ใช้ AR ในการเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ปัญหาที่พบระหว่างทำวิจัยคือ ในช่วงแรกมีข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ และนักเรียนบางคนไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี AR แต่เราแก้ไขโดยจัดอบรมการใช้งานเบื้องต้น และให้นักเรียนที่เก่งช่วยสอนเพื่อน
การวิจัยนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า การผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ กับการเรียนรู้แบบลงมือทำสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก และที่สำคัญคือ ต้องให้นักเรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง จึงจะเกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
ตัวอย่างโคร่งร่างในการเขียนวิจัย
เรื่อง การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานโดยใช้เทคโนโลยี AR: นวัตกรรมการเรียนรู้ระบบนิเวศในศตวรรษที่ 21
บทที่ 1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
– วิเคราะห์สภาพปัญหาการขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับมัธยมศึกษา
– เชื่อมโยงกับนโยบายการศึกษาและทักษะในศตวรรษที่ 21
– นำเสนอแนวคิดการใช้เทคโนโลยี AR ในการพัฒนาการเรียนรู้
– แสดงความจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมใหม่
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับเทคโนโลยี AR
2. เพื่อศึกษาผลการใช้นวัตกรรมที่มีต่อทักษะการคิดวิเคราะห์
3. เพื่อสังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AR
การพัฒนานวัตกรรม
– แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน
– กระบวนการพัฒนาแอพพลิเคชั่น AR
– การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
– การทดลองใช้และปรับปรุง
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แนวคิดหลัก
1. ทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวิสต์
2. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
3. เทคโนโลยี AR ในการศึกษา
4. การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
– สังเคราะห์งานวิจัยด้านการใช้ AR ในการศึกษา
– วิเคราะห์ช่องว่างของความรู้ที่ยังไม่มีการศึกษา
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
การออกแบบการวิจัย
– วิจัยและพัฒนา (R&D) ผสมผสานกับวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
– การเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
เครื่องมือวิจัย
1. แอพพลิเคชั่น AR ที่พัฒนาขึ้น
2. แผนการจัดการเรียนรู้
3. เครื่องมือประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์
4. แบบสังเกตพฤติกรรม
5. แบบสัมภาษณ์เชิงลึก
การดำเนินการวิจัย
– รายละเอียดขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรม
– การทดลองใช้และเก็บข้อมูล
– การวิเคราะห์และปรับปรุง
บทที่ 4 ผลการวิจัย
ผลการพัฒนานวัตกรรม
– คุณลักษณะของนวัตกรรม
– ผลการประเมินคุณภาพ
– การปรับปรุงและพัฒนา
ผลการใช้นวัตกรรม
1. ด้านทักษะการคิดวิเคราะห์
2. ด้านความสามารถในการทำโครงงาน
3. ด้านเจตคติต่อการเรียน
4. ด้านการประยุกต์ใช้ความรู้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้
– องค์ประกอบของรูปแบบ
– ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
– เงื่อนไขความสำเร็จ
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวิจัย
– สรุปตามวัตถุประสงค์
– นำเสนอองค์ความรู้ใหม่
อภิปรายผล
– วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ
– เชื่อมโยงกับทฤษฎีและงานวิจัย
– นำเสนอมุมมองใหม่
ข้อเสนอแนะ
1. การนำไปใช้
2. การขยายผล
3. การวิจัยต่อยอด
ภาคผนวก
– ตัวอย่างผลงานนักเรียน
– เครื่องมือวิจัย
– ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
– ภาพกิจกรรม
ลองศึกษาและพัฒนาการเขียนวิจัยไปเรื่อยๆ ครับ
หากท่านต้องการพัฒนาตนเอง และฝึกปฏิบัติ การทำวิจัย R&D ในระดับเชี่ยวชาญ ท่านสามารถลงชื่อไว้ เพื่อนัดหมายตารางฝึกอบรมต่อไปครับ
https://forms.gle/gDR77diBCR4EMaYu5
Comments
Powered by Facebook Comments