วิเคราะห์เชิงลึก: ถอดรหัสมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพครูปฐมวัย ตามข้อบังคับคุรุสภา พ.ศ. 2568
บทสรุปผู้บริหาร: การยกระดับการปฏิบัติวิชาชีพครูปฐมวัยสู่รูปแบบการบ่มเพาะเชิงปฏิบัติ (Practice-Based Incubation Model)
การประกาศใช้ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกำกับดูแลและรับรองคุณภาพผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยในประเทศไทย 1 รายงานฉบับนี้วิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญใน “มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ” ตามที่ระบุในข้อบังคับดังกล่าว และขยายความในประกาศคณะกรรมการคุรุสภาที่เกี่ยวข้อง
ข้อค้นพบหลักชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการรับรองสมรรถนะ คุรุสภาได้ยกระดับข้อกำหนดจากการมุ่งเน้น “การสำเร็จหลักสูตร” (Course Completion) ในสถาบันผลิตครู ไปสู่การเน้น “การพิสูจน์สมรรถนะผ่านการปฏิบัติจริง” (Performance-Based Verification) โดยกำหนดเงื่อนไขภาคบังคับให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้อง “ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี” 2
การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า “มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ” นี้ ทำหน้าที่เป็น “เวที” หรือ “กระบวนการ” ในการประเมินผู้ประกอบวิชาชีพ โดยใช้โครงสร้างการประเมินแบบ “สองแกน” (Dual-Axis Assessment) ที่บูรณาการระหว่าง:
- แกนสมรรถนะเชิงเทคนิค (Technical Competency): ประเมินผ่าน “มาตรฐานการปฏิบัติงาน” (พ.ศ. 2568) ซึ่งกำหนดสิ่งที่ครูปฐมวัย ต้องทำได้
- แกนสมรรถนะเชิงจริยธรรม (Ethical Competency): ประเมินผ่าน “มาตรฐานการปฏิบัติตน” หรือ “จรรยาบรรณของวิชาชีพ” (พ.ศ. 2556) ซึ่งกำหนดสิ่งที่ครูปฐมวัย ต้องเป็น 4
รายงานนี้จะวิเคราะห์โครงสร้าง ข้อกำหนด และนัยเชิงนโยบายของมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพนี้โดยละเอียด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนต่อสถาบันผลิตครู สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และผู้กำหนดนโยบาย
ภาคที่ 1: นัยสำคัญและขอบเขตของ “มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568”
มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการเชื่อมโยงภาคทฤษฎี (มาตรฐานความรู้) สู่ภาคปฏิบัติ (มาตรฐานการปฏิบัติงาน) โดยมีบทบัญญัติและองค์ประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้
1.1 บทบัญญัติหลัก: การวิเคราะห์ข้อกำหนด “การปฏิบัติการสอนไม่น้อยกว่าหนึ่งปี”
เงื่อนไขสำคัญที่สุดของมาตรฐานนี้ คือข้อกำหนดที่ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับมาตรฐานนี้ต้อง “ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และต้องผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด”
บทบัญญัตินี้ได้รับการยืนยันจากเลขาธิการคุรุสภา ซึ่งระบุว่านี่คือส่วนหนึ่งของมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2 การกำหนดระยะเวลา “ไม่น้อยกว่าหนึ่งปี” ถือเป็นการยกระดับการคัดกรองวิชาชีพอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการฝึกสอนระยะสั้น (เช่น 1 ภาคการศึกษา) ในระบบเดิม
การวิเคราะห์เชิงนโยบายพบว่า ข้อกำหนดนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบการบ่มเพาะวิชาชีพ (Residency Model) อย่างชัดเจน
- ระยะเวลา 1 ปี นั้นยาวนานเพียงพอสำหรับการปฏิบัติงานจริงเต็มเวลา (Full-time Practice) ไม่ใช่เพียงการ “ฝึกงาน” (Internship)
- การที่ต้อง “ผ่านเกณฑ์การประเมิน” ที่เข้มข้น (ตามที่จะวิเคราะห์ในภาคที่ 2 และ 3) ชี้ให้เห็นว่านี่คือ “การปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแล” (Supervised Practice)
- รูปแบบนี้คล้ายคลึงกับรูปแบบการบ่มเพาะในวิชาชีพชั้นสูงอื่น เช่น การเป็นแพทย์ประจำบ้าน (Residency) หรือการฝึกงานทนายความ (Articling)
- ดังนั้น ข้อบังคับนี้จึงกำลังเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ผลิตครู” (Teacher Training) ในมหาวิทยาลัย ไปสู่การ “บ่มเพาะวิชาชีพครู” (Teacher Incubation) โดยมี “สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย” ทำหน้าที่เสมือน “โรงพยาบาลฝึกหัด” (Teaching Hospital) สำหรับวิชาชีพครู
1.2 องค์ประกอบของประสบการณ์: การจำแนก “Pre-service” และ “In-service”
มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพประกอบด้วยสาระหลัก 2 ส่วน ซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน 2:
- การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียน (Pre-service experience):
- การปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ (In-service teaching practice):
การตีความเชิงนโยบายต่อ 2 องค์ประกอบนี้ สะท้อนการสร้าง “ระบบตัวกรองสองชั้น” (Two-Layered Filter) ในการเข้าสู่วิชาชีพ:
- ตัวกรองชั้นที่ 1 (Pre-service): สถาบันผลิตครู (มหาวิทยาลัย) ต้องรับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมนักศึกษาผ่านการฝึกปฏิบัติ การสังเกตการสอน และการทดลองสอน ที่เกิดขึ้น ระหว่าง การศึกษาในหลักสูตรปริญญา เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษามีความรู้และทักษะพื้นฐานเพียงพอก่อน
- ตัวกรองชั้นที่ 2 (In-service): สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ร่วมกับคุรุสภา) จะรับผิดชอบการประเมินผลการปฏิบัติงานจริงในบริบทจริงตลอด 1 ปีเต็ม ซึ่งอาจเกิดขึ้น หลัง จบหลักสูตรภาคทฤษฎี หรือเป็นส่วนหนึ่งของปีสุดท้ายในหลักสูตร (เช่น รูปแบบ 4+1 หรือหลักสูตร 5 ปี ที่ปีสุดท้ายคือการปฏิบัติงานเต็มตัว)
ระบบนี้เป็นการกระจายความรับผิดชอบในการประเมินผล สถาบันผลิตครูไม่สามารถ “ส่งต่อ” นักศึกษาที่ไม่มีคุณภาพไปยังสถานศึกษาได้ และในขณะเดียวกัน สถานศึกษาก็มีกลไกคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึก Pre-service แต่ไม่สามารถปฏิบัติงานจริงได้ ไม่ให้เข้าสู่ระบบวิชาชีพ
1.3 กรอบการประเมิน: โครงสร้างแบบสองแกน (The Two-Pillar Assessment Framework)
ประเด็นที่ซับซ้อนและสำคัญที่สุด คือ “เกณฑ์” ที่ใช้ในการประเมินประสบการณ์ 1 ปีดังกล่าว เอกสารหลักระบุว่าสาระการฝึกประสบการณ์และการปฏิบัติการสอนแบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ คือ:
- การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัย
- การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
การวิเคราะห์โครงสร้างข้อบังคับฉบับเต็มของคุรุสภา (พ.ศ. 2568) พบว่ามาตรฐานวิชาชีพครูมี 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3. มาตรฐานการปฏิบัติตน (หรือจรรยาบรรณ) 2
การออกแบบนโยบายนี้จึงมีความชาญฉลาดอย่างยิ่ง:
- “มาตรฐานประสบการณ์” (การปฏิบัติ 1 ปี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ มาตรฐานที่ 1 ไม่ได้ลอยอยู่โดดเดี่ยว
- แต่ “มาตรฐานประสบการณ์” นี้ ถูกใช้เป็น เวที หรือ กระบวนการ (The Process) ในการพิสูจน์ว่าผู้ประกอบวิชาชีพได้บรรลุมาตรฐานอีก 2 ด้านที่เหลือแล้วหรือไม่
- กล่าวคือ “ประสบการณ์” (Standard 1) คือ “กระบวนการ” ในขณะที่ “การปฏิบัติงาน” (Standard 2) และ “การปฏิบัติตน” (Standard 3) คือ “เกณฑ์ชี้วัด” (The Rubrics)
ในภาคต่อไป จะทำการวิเคราะห์เกณฑ์ชี้วัดทั้งสองแกนนี้โดยละเอียด
ภาคที่ 2: การวิเคราะห์องค์ประกอบที่ 1 – การปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน (The “What to Do” Rubric)
มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard of Performance) คือแกนประเมินที่ 1 ซึ่งกำหนดสมรรถนะเชิงเทคนิคที่ครูปฐมวัยต้อง “แสดง” (demonstrate) ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมระหว่างการปฏิบัติงาน 1 ปี 2 มาตรฐานนี้แบ่งออกเป็น 3 สมรรถนะหลัก ดังนี้
2.1 สมรรถนะด้านที่ 1: การปฏิบัติหน้าที่ครู (The Teacher’s Character and Competence)
สมรรถนะด้านนี้ครอบคลุมบทบาทพื้นฐาน คุณลักษณะ และความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของเด็ก ประกอบด้วย 8 สมรรถนะย่อยที่ต้องแสดงออก:
- การพัฒนาตนเองและจิตวิญญาณ: พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านความรู้ความสามารถ, จิตวิญญาณ, และคุณลักษณะที่ดีของความเป็นครูปฐมวัย 2
- สัมพันธภาพและการไม่เลือกปฏิบัติ: สร้างสัมพันธภาพที่ดี โดยรัก เมตตา เอื้ออาทร ปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความผูกพันและความไว้วางใจจากเด็ก
- การวางแผนและประกันคุณภาพ: ใช้ความรู้ในการวางแผน พัฒนา และประเมิน ที่เหมาะสม สอดคล้องกับพัฒนาการ บริบท และการประกันคุณภาพการศึกษาระดับปฐมวัย 2
- การทำงานเป็นทีมและเครือข่าย: ทำงานเป็นทีม ร่วมมือกับครู เครือข่าย และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและนอกสถานศึกษา
- การคุ้มครองสิทธิเด็ก: คุ้มครองสิทธิของเด็กปฐมวัยทุกคนให้อยู่รอดปลอดภัย ได้รับการดูแล พัฒนา ปกป้องคุ้มครอง และใส่ใจต่อเด็กที่ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง
- สุขอนามัยและความปลอดภัย: ส่งเสริมสุขนิสัยที่ดี ดูแลโภชนาการ สุขอนามัย และความปลอดภัย ทั้งทางสภาพแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี
- การคัดกรองและช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม: เฝ้าระวัง คัดกรองปัญหาการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ และให้ความช่วยเหลือในระยะแรกเริ่ม โดยทำงานร่วมกับผู้ปกครองและ/หรือสหวิชาชีพ
- การใช้สื่อดิจิทัล: รู้เท่าทันและสามารถใช้สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีทางการศึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดผลดีต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
การวิเคราะห์สมรรถนะย่อยทั้ง 8 ประการนี้ ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนบทบาทครูปฐมวัยจาก “ผู้สอน” (Teacher/Instructor) ไปสู่ “ผู้พิทักษ์และนักประสานงาน” (Guardian and Coordinator) อย่างชัดเจน
- จาก 8 สมรรถนะ มีเพียงไม่กี่ข้อที่เกี่ยวกับการสอนโดยตรง
- สมรรถนะส่วนใหญ่เน้นหนักไปที่ “การคุ้มครองสิทธิ” (ข้อ 5), “การดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยทางเทคโนโลยี” (ข้อ 6), “การคัดกรองปัญหาสุขภาพและพัฒนาการ” (ข้อ 7) และ “การทำงานกับสหวิชาชีพ” (ข้อ 7)
- มาตรฐาน พ.ศ. 2568 จึงกำลังกำหนดบทบาทครูปฐมวัยใหม่ ให้เป็น “ผู้พิทักษ์สวัสดิภาพเด็ก” (Child Guardian) และ “นักประสานงานเครือข่ายสุขภาพและสังคม” (Social-Health Coordinator) ซึ่งสะท้อนความเข้าใจสมัยใหม่ว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องอาศัยระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน 2
2.2 สมรรถนะด้านที่ 2: การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (The Classroom Pedagogy)
สมรรถนะด้านนี้มุ่งเน้นศาสตร์การสอน (Pedagogy) ในห้องเรียนสมัยใหม่ ประกอบด้วย 5 สมรรถนะย่อย:
- การออกแบบและบูรณาการ: ออกแบบ วางแผน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ โดย บูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-Based Learning) และทำกิจกรรมที่หลากหลาย 2
- การตอบสนองความแตกต่าง: จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย ความแตกต่างระหว่างบุคคล และความต้องการพิเศษ
- การจัดสภาพแวดล้อม: จัดสื่อ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และทางสังคม ทั้งในและนอกห้องเรียนที่เหมาะสมเอื้อต่อการเรียนรู้ 2
- การสร้างทักษะชีวิตและกิจวัตร: จัดกิจกรรมและกิจวัตรประจำวัน ที่เสริมสร้างทักษะชีวิต ทักษะอารมณ์ สังคม โดยคำนึงถึงความสนใจ ความสุขในการเรียนรู้ และการเห็นคุณค่าในตนเอง
- การประเมินพัฒนาการ: สังเกต บันทึก และประเมินพัฒนาการของเด็กแต่ละคนอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมและพัฒนาการ 2
มาตรฐานนี้ตอกย้ำการเปลี่ยนผ่านจาก “การสอนแบบเนื้อหา” (Content-Based) ไปสู่ “การเรียนรู้ผ่านการเล่น” (Play-Based) และ “การประเมินตามสภาพจริง” (Authentic Assessment) อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับปรัชญาของ “หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568” ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น, การมีปฏิสัมพันธ์, การลงมือปฏิบัติ และการพัฒนาทักษะชีวิต 5
2.3 สมรรถนะด้านที่ 3: ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน (The Community Engagement)
สมรรถนะด้านนี้กำหนดให้ครูต้องก้าวข้ามขอบเขตห้องเรียนไปทำงานกับระบบนิเวศรอบตัวเด็ก ประกอบด้วย 4 สมรรถนะย่อย:
- การสื่อสารเชิงบวก: ให้ความรู้ ความเข้าใจกับผู้ปกครอง เกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา โดยใช้วิธีการสื่อสารเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ 2
- การสร้างเครือข่าย: สร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างโรงเรียน บ้าน ชุมชน และเครือข่ายสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง 2
- การประสานงานเพื่อการมีส่วนร่วม: ประสานความร่วมมือกับเพื่อนครู ผู้ปกครอง ชุมชน และเครือข่ายสหวิชาชีพ ให้มีส่วนร่วมในการวางแผนและส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้
- การติดตามและประเมินผล: ติดตามและประเมินผล การประสานความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก
มาตรฐานนี้ยกระดับความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง จากเดิมที่อาจเป็นเพียง “การรายงานผล” ไปสู่ “การเป็นหุ้นส่วน” (Partnership) อย่างแท้จริง ครูต้องทำหน้าที่ “ให้ความรู้” (Educator) แก่ผู้ปกครอง, “ประสานงาน” (Coordinator) กับเครือข่าย, และ “ประเมินผล” (Evaluator) ความร่วมมือนั้นด้วย
ตารางที่ 1: สรุปการวิเคราะห์กรอบสมรรถนะ 3 ด้าน (The 3C Framework) ของมาตรฐานการปฏิบัติงาน
เพื่อสรุปการวิเคราะห์ในภาคที่ 2 กรอบสมรรถนะ 3 ด้านสามารถจัดกลุ่มใหม่เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน (The 3C Framework: Character, Classroom, Community) ดังนี้:
| มิติการประเมิน (The 3C Framework) | ขอบเขตความรับผิดชอบ (Domain) | สมรรถนะหลัก (Key Competency Examples) |
| Character & Competence (การปฏิบัติหน้าที่ครู) | การพัฒนาวิชาชีพและสวัสดิภาพเด็ก | พัฒนาตนเอง, จิตวิญญาณ, คุ้มครองสิทธิเด็ก, คัดกรองปัญหา, ทำงานเป็นทีม, ใช้สื่อดิจิทัล |
| Classroom (การจัดประสบการณ์การเรียนรู้) | การออกแบบและการสอน | บูรณาการผ่านการเล่น, ตอบสนองความต้องการพิเศษ, จัดสภาพแวดล้อม, ประเมินพัฒนาการ |
| Community (ความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง/ชุมชน) | การประสานงานและการมีส่วนร่วม | สื่อสารเชิงบวก, สร้างเครือข่ายสหวิชาชีพ, ประสานให้เกิดการมีส่วนร่วม |
ภาคที่ 3: การวิเคราะห์องค์ประกอบที่ 2 – การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ (The “How to Be” Rubric)
แกนประเมินที่ 2 ซึ่งเป็นภาคบังคับในการประเมินประสบการณ์วิชาชีพ 1 ปี คือ การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
3.1 บทบัญญัติ: การเชื่อมโยงทางกฎหมายกับข้อบังคับ พ.ศ. 2556 (The Legal Link)
เอกสารหลักระบุอย่างชัดเจนว่า “สาระการฝึกประสบการณ์และการปฏิบัติการสอนต้องเป็นไปตาม จรรยาบรรณของวิชาชีพครู ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ (พ.ศ. 2556)”
นี่คือกลยุทธ์การกำกับดูแลแบบ “แกนหลัก-ส่วนขยาย” (Core-Extension Regulatory Strategy) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง:
- คุรุสภาได้ออก “มาตรฐานการปฏิบัติงาน” (ที่วิเคราะห์ในภาค 2) ซึ่งเป็น “ส่วนขยาย” (Extension) ที่ออกแบบมา เฉพาะเจาะจง (Specific) กับบริบทของครูปฐมวัย (เช่น การบูรณาการผ่านการเล่น, การคัดกรองพัฒนาการ)
- แต่ในด้านจริยธรรม (Ethics) คุรุสภาเลือกที่จะ เชื่อมโยงกลับ (Link Back) ไปยัง “แกนหลัก” (Core) คือจรรยาบรรณ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นมาตรฐานจริยธรรมสากลสำหรับครูทุกระดับ 4
- กลยุทธ์นี้ทำให้มาตรฐานจริยธรรมมีความมั่นคง (Stable) และเป็นหนึ่งเดียวทั้งระบบวิชาชีพครู ในขณะที่มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance) มีความยืดหยุ่น (Flexible) และปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทเฉพาะของแต่ละสาขาวิชาชีพ
ดังนั้น ผู้เข้ารับการประเมินประสบการณ์ 1 ปี จะถูกประเมินโดยใช้มาตรฐานการปฏิบัติงาน พ.ศ. 2568 ควบคู่ไปกับจรรยาบรรณ 5 หมวด ของ พ.ศ. 2556
3.2 การวิเคราะห์จรรยาบรรณ 5 หมวด ในบริบทครูปฐมวัย
การประเมินต้องยึดโยงกับจรรยาบรรณ 5 หมวด ตามข้อบังคับ พ.ศ. 2556 4 ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทการปฏิบัติงานของครูปฐมวัยได้ดังนี้:
หมวดที่ 1: จรรยาบรรณต่อตนเอง
ข้อกำหนด: ต้องมีวินัย, พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ 7
การประยุกต์ใช้กับครูปฐมวัย: สอดคล้องโดยตรงกับสมรรถนะ 1.2.1 (การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องด้านความรู้ความสามารถ… และจิตวิญญาณ) และ (การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล)
หมวดที่ 2: จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
ข้อกำหนด: ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ 7
การประยุกต์ใช้กับครูปฐมวัย: การ “รับผิดชอบต่อวิชาชีพ” ในบริบทนี้ หมายถึงการปฏิบัติตามสมรรถนะในภาค 2 (มาตรฐานการปฏิบัติงาน) อย่างเคร่งครัด
หมวดที่ 3: จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ
ข้อกำหนด: ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม แก่ศิษย์และผู้รับบริการโดยเสมอหน้า; เป็นแบบอย่างที่ดี; ไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพัฒนาการ; ไม่เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ 7
การประยุกต์ใช้กับครูปฐมวัย: นี่คือหมวดที่สำคัญที่สุด “ผู้รับบริการ” ในที่นี้คือ “เด็กปฐมวัยและผู้ปกครอง” ข้อกำหนดนี้สะท้อนโดยตรงในสมรรถนะ 1.2.1 (รัก เมตตา ไม่เลือกปฏิบัติ, คุ้มครองสิทธิเด็ก) และ 1.2.3 (สื่อสารเชิงบวกกับผู้ปกครอง)
หมวดที่ 4: จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ
ข้อกำหนด: พึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์, ยึดมั่นในระบบคุณธรรม, สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ 7
การประยุกต์ใช้กับครูปฐมวัย: สอดคล้องโดยตรงกับสมรรถนะ 1.2.1 (ทำงานเป็นทีม ร่วมมือกับครู) และ 1.2.3 (ประสานความร่วมมือกับเพื่อนครู… และเครือข่ายสหวิชาชีพ)
หมวดที่ 5: จรรยาบรรณต่อสังคม
ข้อกำหนด: ประพฤติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม; รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม 7
การประยุกต์ใช้กับครูปฐมวัย: สอดคล้องกับสมรรถนะ 1.2.1 (การวางแผนที่สอดคล้องกับ “บริบททางสังคมและวัฒนธรรม”) และ 1.2.3 (การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับ “ชุมชน”)
ตารางที่ 2: การจับคู่ (Mapping) มาตรฐานการปฏิบัติงาน (2568) กับ จรรยาบรรณ (2556)
ตารางนี้แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานการปฏิบัติงาน พ.ศ. 2568 ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยแยกส่วน แต่เป็นการ “ปฏิบัติการ” (Operationalize) หรือการนำหลักการในจรรยาบรรณ พ.ศ. 2556 มาทำให้เป็นรูปธรรมในบริบทของครูปฐมวัย
| จรรยาบรรณ พ.ศ. 2556 (หลักการ) | ตัวอย่างสมรรถนะตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน พ.ศ. 2568 (การปฏิบัติ) |
| ต่อผู้รับบริการ (รัก เมตตา ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพัฒนาการ) | 1.2.1 คุ้มครองสิทธิเด็ก / 1.2.2 จัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับพัฒนาการ |
| ต่อผู้รับบริการ (ให้บริการด้วยความจริงใจ เสมอภาค) | 1.2.3 สื่อสารเชิงบวกกับผู้ปกครอง / 1.2.1 เฝ้าระวังและช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม |
| ต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ (ช่วยเหลือเกื้อกูล สร้างสามัคคี) | 1.2.1 ทำงานเป็นทีม / 1.2.3 ประสานความร่วมมือกับเพื่อนครูและสหวิชาชีพ |
| ต่อสังคม (อนุรักษ์วัฒนธรรม/สิ่งแวดล้อม) | 1.2.1 วางแผนสอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรม / 1.2.2 จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม |
| ต่อตนเอง (พัฒนาตนเอง) | 1.2.1 พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง / 1.2.1 รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล |
ภาคที่ 4: บทสรุปเชิงวิเคราะห์และผลกระทบเชิงนโยบาย (Concluding Analysis and Policy Implications)
การวิเคราะห์ “มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ” ภายใต้ข้อบังคับ พ.ศ. 2568 นำไปสู่ข้อสรุปเชิงนโยบายและผลกระทบที่สำคัญหลายประการต่อระบบการศึกษาปฐมวัย
4.1 การประเมินผลกระทบต่อสถาบันผลิตครู
ข้อบังคับใหม่นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการออกแบบหลักสูตรของสถาบันผลิตครู
- สถาบันผลิตครูไม่สามารถมุ่งเน้นเพียงการสอน “ศาสตร์การสอน” (Pedagogy) ได้อีกต่อไป แต่ต้องออกแบบหลักสูตรที่บูรณาการสมรรถนะด้าน “การพิทักษ์สิทธิ” (Advocacy), “การประสานงานสหวิชาชีพ” (Multi-disciplinary Coordination), และ “การทำงานกับชุมชน” (Community Engagement) เข้าไปในส่วน “Pre-service” อย่างเข้มข้น
- สถาบันผลิตครูต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดหา “สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ” (ตามที่ระบุใน 2) เพื่อรองรับการปฏิบัติงาน “In-service” 1 ปีเต็มของนักศึกษา ซึ่งต้องมีระบบครูพี่เลี้ยง (Mentor) และการนิเทศ (Supervision) ที่มีประสิทธิภาพ
4.2 ความท้าทายในการประเมินสมรรถนะเชิงปฏิบัติ (Performance-Based Assessment)
การเปลี่ยนแกนหลักการประเมินจากการสอบวัดความรู้ไปสู่การประเมินการปฏิบัติงาน 1 ปี ก่อให้เกิดคำถามเชิงนโยบายที่สำคัญซึ่งคุรุสภาต้องกำหนด “เกณฑ์การประเมิน” 2 ให้ชัดเจนต่อไป:
- ผู้ประเมิน (The Assessor): ใครจะเป็นผู้ประเมินหลัก? (ครูพี่เลี้ยง? ผู้บริหารสถานศึกษา? อาจารย์นิเทศก์จากมหาวิทยาลัย? หรือกรรมการที่คุรุสภาแต่งตั้ง?) และผู้ประเมินเหล่านี้มีสมรรถนะในการประเมินตามกรอบใหม่นี้เพียงพอหรือไม่?
- เครื่องมือประเมิน (The Tools): จะประเมินอย่างไร? (การสังเกตการสอน? แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ที่สะท้อนสมรรถนะทั้ง 3 ด้าน? การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม? หรือการประเมินจากผู้ปกครองและชุมชน?)
- มาตรฐานการประเมิน (The Standardization): ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด คือ จะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรว่า “เกณฑ์การประเมิน” จะถูกบังคับใช้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน (Standardized) ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีบริบทแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว (เช่น โรงเรียนสาธิตในเมือง เทียบกับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่ห่างไกล) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการออกใบอนุญาต
4.3 บทสรุป: อนาคตของวิชาชีพครูปฐมวัยภายใต้มาตรฐาน พ.ศ. 2568
“มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ” ตามข้อบังคับ พ.ศ. 2568 คือกลไกเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดในการยกระดับวิชาชีพครูปฐมวัยให้เป็นวิชาชีพควบคุมระดับสูง (High-Stakes Regulated Profession) อย่างแท้จริง
มาตรฐานนี้สะท้อนความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่า คุณภาพของครูปฐมวัยไม่ได้วัดที่ “ความรู้” (Knowledge) ที่มีอยู่ในวันสำเร็จการศึกษา แต่วัดที่ “การปฏิบัติ” (Performance) และ “จรรยาบรรณ” (Conduct) ที่สามารถแสดงออกอย่างเป็นองค์รวมในสถานการณ์จริง ภายใต้การกำกับดูแลตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากการ “อนุญาต” (Licensing) ให้สอน ไปสู่การ “รับรอง” (Certifying) ความสามารถในการเป็นครูอย่างแท้จริง
Works cited
- ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย, accessed November 5, 2025, https://www.kroobannok.com/createpdf.php?article_id=92907
- คุรุสภาชวนศึกษากฏหมายมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย 2568 ด่วน! | ThaiPR …, accessed November 5, 2025, https://www.thaipr.net/education/3644754
- คุรุสภาชวนศึกษากฏหมายมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย 2568 ด่วน! “อมลวรรณ …, accessed November 5, 2025, http://www.moeradiothai.net/news/14/7519
- จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพครู, accessed November 5, 2025, https://ssrudlp.ssru.ac.th/data-file/teacher_work/file/6fc7d40a3f808ff46f866290e26b196d.pdf
- หลักสูตร การ ศึกษา ปฐมวัย พุทธศักราช 2568, accessed November 5, 2025, https://nitedcr1.go.th/wp-content/uploads/2025/04/001_%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A-2568-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8-3-6-%E0%B8%9B%E0%B8%B5.pdf
- หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568: สรุปประเด็นสำคัญและการเปลี่ยนแปลง », accessed November 5, 2025, https://krukob.com/web/news-124/
- ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ.2556 – หอวัง ปทุมธานี, accessed November 5, 2025, https://hwp.ac.th/img63/ota/O27%20(12).pdf
- หน้า ๗๒ เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๑๓๐ ง ราชกิจจานุเบกษา ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ – ข้อบังคับคุรุสภา, accessed November 5, 2025, https://ops.moe.go.th/wp-content/uploads/2023/03/3.3.4%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93-2556.pdf
- จรรยาบรรณวิชาชีพครู – คณาจารย์ และ บุคลากร BSRU, accessed November 5, 2025, https://bsru.net/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9/
- จรรยาบรรณวิชาชีพครู ล่าสุด พ.ศ. 2556 – ครูเชียงราย, accessed November 5, 2025, https://www.kruchiangrai.net/2023/01/22/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-2556/
- ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖, accessed November 5, 2025, http://lpn.nfe.go.th/pranee/UserFiles/Pdf/A73886980.pdf
Comments
comments
Powered by Facebook Comments

