แนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองเชิงสังคม (Social Constructivism) เพื่องานวิชาการระดับ เชี่ยวชาญ
แนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองเชิงสังคม (Social Constructivism) เพื่องานวิชาการระดับ เชี่ยวชาญ
แนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองเชิงสังคม (Social Constructivism) เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของวิก็อทสกี้ ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์จากโลกภายนอก (Outward) จะทำให้เกิดพัฒนาการทางปัญญาใน (Inside) โดยวิก็อทสกี้เชื่อว่า

“ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาด้านพุทธิปัญญา”
กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม กับผู้อื่นเช่น ผู้ที่มีความอาวุโส (พ่อ แม่ ผู้สอน) เพื่อน ในขณะที่ผู้เรียนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนหรือร่วมการทำงานในบริบททางสังคม (Social Context) ได้แก่ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา รวมไปถึงการเข้าถึงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่ขาดไม่ได้ ผ่านแนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพในการพัฒนาด้านพุทธิปัญญา ซึ่งวิก็อทสกี้ได้เน้นความสำคัญของความแตกต่างระหว่างบุคคล และการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการเรียน จากระดับพัฒนาการที่เป็นอยู่ ไปจนถึงระดับสูงสุดที่ผู้เรียนมีศักยภาพที่จะไปถึงได้
วิก็อทสกี้ได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ” (Zone of Proximal Development) หรือเรียกว่า “ZPD” (ทิศนา แขมณี, 2556) วิก็อทสกี้มีความเชื่อว่าการให้ความช่วยเหลือชี้แนะผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะของ Asisted Learning หรือ การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) โดยเน้นบริบทที่แท้จริง (Authentic Context) เพราะว่าการสร้างความหมายใดๆ จะสร้างบนพื้นฐานจากบริบทใดบริบทหนึ่ง จะกระทำโดยขาดบริบทนั้นไม่ได้ ดังนั้นการเรียนรู้จึงมีความจำเป็นดำเนินการในบริบทใดบริบทหนึ่งและกิจกรรมหรืองานต่างๆ ที่ใช้ในการเรียนรู้ก็ต้องเป็นสิ่งที่จริง (Authentic Activity / Tasks)

พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of Proximal Development)
วิก็อทสกี้ได้กล่าวว่า ZPD หมายถึง หน้าที่หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ในปัจจุบันที่บุคคลยังไม่มีความสามารถจะทำได้ แต่อยู่ในกระบวนการที่จะทำให้บุคคลมีความพร้อม สามารถทำหน้าที่หรือทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต เป็นกระบวนการที่ยังอยู่ในระหว่างการเริ่มต้น (Embryonic State) ซึ่งวิก็อทสกี้ได้เปรียบเทียบว่าเป็น “ดอกตูม” (Buds) หรือดอกไม้ (Flowers) ของพัฒนาการมากกว่าที่จะเป็น “ผล” (Fruits) ของพัฒนาการ
พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ คือ บริเวณที่ผู้เรียนกำลังจะเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง จากการเป็นผู้สอนและนักวิจัยของวิก็อทสกี้ ทำให้เขาตระหนักอยู่เสมอว่าผู้เรียนมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาที่เกินกว่าระดับพัฒนาการทางสติปัญญาที่ผู้เรียนจะทำได้ หากผู้เรียนได้รับคำแนะนำ ถูกกระตุ้น หรือชักจูงโดยใครบางคนที่มีสติปัญญาที่ดีกว่า บุคคลเหล่านี้อาจเป็นเพื่อนที่มีความสามารถ ผู้เรียนคนอื่นๆ พ่อแม่ ผู้สอน หรือใครก็ได้ที่มีความเชี่ยวชาญ
สุรางค์ โค้วตระกูล (2556) ได้อธิบายถึงรายงานการวิจัยของวิก็อทสกี้ที่พบว่า ผู้เรียนบางคนสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่คอยให้ความช่วยเหลือ แต่ในผู้เรียนบางคนไม่สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าหากมีผู้ใหญ่ได้ให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำเพียงเล็กน้อยผู้เรียนก็จะสามารถทำได้ แต่ในผู้เรียนบางคนจะไม่สามารถเรียนรู้ได้แม้จะได้รับความช่วยเหลือ
ซึ่งวิก็อทสกี้อธิบายถึงเหตุผลดังกล่าวว่า ผู้เรียนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะมีพื้นที่รอยต่อพัฒนาการที่แตกต่างกันบางคนอยู่เหนือกว่า บางคนอยู่ระหว่าง และบางคนอยู่ต่ำกว่าพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Wink and Putney, 2002)
วิก็อทสกี้ ได้อธิบายว่าในการจัดการเรียนรู้จะต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาถึงระดับพัฒนาการ 2 ระดับ คือ
- การเรียนรู้ที่ผ่านมา (Past Learning) ที่หมายถึง ระดับพัฒนาการที่เป็นจริง (Actual Development Level)
- การเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Future Learning) ที่หมายถึง ระดับพัฒนาการที่สามารถจะเป็นไปได้ (Potential Development Level)
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นขณะการเรียนรู้ (Present Learning) คือ ระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นจริงและระดับพัฒนาการที่สามารถจะเป็นไปได้ เรียกว่า พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of Proximal Development) (สุมาลี ชัยเจริญ, 2551)
ส่วนใหญ่แล้วผู้เรียนจะไม่สามารถบรรลุเต็มตามศักยภาพ และมีน้อยมากที่ผู้สอนจะพบว่าผู้เรียนจะไม่สามารถเรียนให้บรรลุผลได้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งทฤษฎีของวิก็อทสกี้ กล่าวว่าผู้เรียนที่อยู่นอกขอบเขตของ “ZPD” ผู้สอนจะต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือผู้เรียนให้สามารถพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ
ดังนั้นผู้เรียนที่มีโซนพัฒนาการ จะสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องได้รับการช่วยเหลือ แต่สำหรับผู้เรียนที่อยู่ต่ำกว่าโซนพัฒนาการ จะไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้และต้องได้รับการช่วยเหลือ ที่เรียกว่า ฐานการช่วยเหลือ (Scaffolding) จากผู้สอน

สรุปได้ว่า
การเรียนร่วมกันเป็นการเรียนรู้ที่อาศัยรูปแบบของวิธีการทางสังคม (Social Constructivist) ควรมีการพูดคุยเรียนรู้ระหว่างกลุ่มคนเพื่อสร้างความรู้ขึ้นมาด้วยตนเองจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
มุ่งให้ผู้เรียนได้ใช้กลไกของการวิเคราะห์กลุ่มและการไตร่ตรองความรู้สึกของตนเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centered) เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องสร้างความรู้ขึ้นมาเอง ผ่านการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีม (Teamwork) โดยสนับสนุนการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากความร่วมมือ การพึ่งพา และการช่วยเหลือกันให้มากที่สุดและยังเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน เป็นการปฏิบัติงานร่วมกันเช่นกันแต่มีจุดเน้นที่ผลผลิตของงาน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ การเรียนร่วมกัน ยังเป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือทีม มีการนำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันช่วยให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนเพิ่มขึ้น ศึกษาในสิ่งที่ตนเองสนใจโดยใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนรวมถึงแหล่งข้อมูลภายนอกเพื่อร่วมกันสร้างชิ้นงานและนำเสนอผลงานเพื่อศึกษาร่วมกันมีการแสดงความคิดเห็นการอภิปรายการวิจารณ์เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้เรียนในการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นและการยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
หัวข้อวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองเชิงสังคม (Social Constructivism) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการสอนในระดับเชี่ยวชาญ ดังนี้
หัวข้อเหล่านี้มุ่งเน้นการนำทฤษฎี Social Constructivism มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานวัตกรรมการสอนระดับสูง โดยคำนึงถึงบริบทของการศึกษาสมัยใหม่และความต้องการในการพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับผู้เรียนและผู้สอนในยุคปัจจุบัน
1. “การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือออนไลน์บนฐานทฤษฎี Social Constructivism เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา”
2. “การออกแบบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เสมือนจริงตามแนวคิด Social Constructivism เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย”
3. “การบูรณาการแนวคิด Social Constructivism กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้เฉพาะบุคคลในการศึกษาระดับอุดมศึกษา”
4. “การพัฒนาโมเดลการโค้ชแบบร่วมมือตามทฤษฎี Social Constructivism เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการสอนของครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21”
5. “การประยุกต์ใช้แนวคิด Social Constructivism ในการออกแบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาของผู้บริหารการศึกษา”
หัวข้อวิจัยเพิ่มเติมที่สอดคล้องกับแนวคิด Active Learning
แนวทางการประยุกต์ใช้แนวคิด Active Learning ในบริบทการศึกษาที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่สำคัญต่างๆ สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ดังนี้
1. “การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Problem-Based Learning เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมปลาย”
2. “ผลของการใช้เทคนิค Flipped Classroom ร่วมกับ Gamification ต่อแรงจูงใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์”
3. “การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Project-Based Learning เพื่อพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี”
4. “การประยุกต์ใช้ Design Thinking ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนประถมศึกษา”
5. “การพัฒนาโมเดลการสอนแบบ Inquiry-Based Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมต้น”
6. “ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ Case-Based Learning ต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคลินิกของนักศึกษาพยาบาล”
7. “การบูรณาการ Collaborative Learning กับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ”
8. “การประเมินผลการใช้ Peer Instruction ในการจัดการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัย”
9. “การพัฒนารูปแบบการสอนแบบ Experiential Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษาบริหารธุรกิจ”
10. “ผลของการใช้ Team-Based Learning ต่อการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษานิติศาสตร์”
11. “การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Service Learning เพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนมัธยมศึกษา”
12. “การประยุกต์ใช้ Debate-Based Learning ในการพัฒนาทักษะการโต้แย้งเชิงวิชาการของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา”
13. “การพัฒนาโมเดลการสอนแบบ Scenario-Based Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะการตัดสินใจทางธุรกิจของนักศึกษาบริหารธุรกิจ”
14. “ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ Maker-Based Learning ต่อทักษะความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักเรียนมัธยมปลาย”
15. “การบูรณาการ Role-Playing กับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม”
16. “การประเมินผลการใช้ Just-in-Time Teaching ในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา”
17. “การพัฒนารูปแบบการสอนแบบ Challenge-Based Learning เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์”
18. “ผลของการใช้ Peer-Led Team Learning ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทำงานเป็นทีมในวิชาเคมี”
19. “การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Authentic Learning เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานจริงของนักศึกษาสายอาชีวศึกษา”
20. “การประยุกต์ใช้ Think-Pair-Share ร่วมกับเทคโนโลยีการประชุมทางไกลเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนออนไลน์”
Comments
Powered by Facebook Comments