ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อผู้เรียนต้องการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory)
ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อต้องการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory) เป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่แพร่หลายในการนำมาใช้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความรู้ให้กับผู้เรียน ด้วยการสร้างความรู้ของผู้เรียน การสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เป็นปรัชญาของการเรียนรู้ที่มีรากฐานมาจากปรัชญา และจิตวิทยา
โดยมีแนวทางหลัก คือเน้นการสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองจากประสบการณ์ของผู้เรียน นักจิตวิทยาที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ได้แก่
- John Dewey
- Jean piaget
- Lev Vygotsky
- Jerome Bruner
ซึ่งนักจิตวิทยาเหล่านี้เชื่อว่า การเรียนรู้ หรือการสร้างความรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้จากภายในของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนสารมารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
โดยการนำประสบการณ์ หรือสิ่งที่พบเห็นในสิ่งแวดล้อมหรือสารสนเทศใหม่ที่ได้รับมาเชื่อมโยงกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม มาสร้างเป็น ความเข้าใจของตนเอง คือ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือกระทำเพื่อให้เกิดการสร้างความรู้ หรือเรียกว่า Actively construct ไม่ใช่ Passive Receive ที่เป็นการรับข้อมูล หรือสารสนเทศ และพยายามจดจำเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive structure) หรือ สกีมา (Schema)
ดังนั้นในการเรียนรู้ (Learning) จะต้องมีกระบวนการที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นจากภายในได้อย่างมีความหมายจากการตีความหมาย (Interpretation) ที่มีความแตกต่างกันตามประสบการณ์ของผู้เรียนแต่ละคนที่มีอยู่
ซึ่งกระบวนการการเรียนรู้จะต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยน โครงสร้างความรู้ (knowledge Structure) ปรับแก้ (modification) ได้ตลอด
ดังนั้นความรู้ (knowledge) ที่เกิดขึ้นได้จากการแปลความหมายของความเป็นจริงในโลกของตัวผู้เรียน ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวคิดภายในของผู้เรียนซึ่งโดยแต่ละบุคคลจะนำเอาประสบการณ์เดิม หรือความรู้ความเข้าใจเดิมที่ตนเองมีมาก่อน มาสร้างเป็นความรู้ความเข้าใจที่มีความหมายใหม่ของตนเองที่มีความเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ซึ่งผู้เรียนแต่ละบุคคลอาจสร้างความหมายที่แตกต่างกัน เพราะมีประสบการณ์ หรือ ความรู้ความเข้าใจเดิมที่แตกต่างกัน (Bednar, 1991;Duffy and Cunningham, 1996;สุมาลี ชัยเจริญ, 2551)
1. แนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองเชิงปัญญา (Cognitive Constructivism)
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยมที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ ที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ช่วงอายุ (Ages) และลำดับขั้น (Stages) ซึ่งทั้งสององค์ประกอบนี้จะทำนายว่าผู้เรียนจะสามารถ หรือไม่สามารถเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อมีอายุแตกต่างกัน และพัฒนาการของผู้เรียนว่าจะเกิดการพัฒนาความสามารถทางการรู้คิด (Cognitive Abilities) ผ่านการสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเองจากประสบการณ์เดิมในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีอยู่โดยผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้จากการลงมือปฏิบัติ (Active) และสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
ดังนั้น หากผู้เรียนได้ถูกกระตุ้นด้วยปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive conflict) หรือเรียกว่า “เกิดการเสียสมดุลทางปัญญา” (Disequilibrium) ผู้เรียนจะพยายามปรับโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive structuring) ให้เข้าสู่ภาวะสมดุล (Equilibrium) ที่เรียกว่า “สกีมา” (Schemas) รูปแบบการทำความเข้าใจ (Mental model) ในสมอง
ซึ่งสกีมาเหล่าจะนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Change), ขยายได้ (Enlarge) และซับซ้อนขึ้นได้ โดยผ่านกระบวนการการดูดซึม (Assimilation) ทำให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation) เข้าไปไว้ในโครงสร้างทางปัญญา เรียกว่าการปรับเข้าสู่สภาวะสมดุล (Equilibrium) ทางพุทธิปัญญา หรือที่เรียกว่าการสร้างองค์ความรู้ใหม่
หากผู้เรียนได้ถูกกระตุ้นด้วยปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive conflict) หรือเรียกว่า “เกิดการเสียสมดุลทางปัญญา” (Disequilibrium) ผู้เรียนจะพยายามปรับโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive structuring) ให้เข้าสู่ภาวะสมดุล (Equilibrium) ที่เรียกว่า “สกีมา” (Schemas) รูปแบบการทำความเข้าใจ (Mental model) ในสมอง
บทบาทของผู้สอนในห้องเรียนตามแนวคิดเพียเจต์ ที่สำคัญคือ การจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ให้ผู้เรียนได้สำรวจ ค้นหาตามธรรมชาติในห้องเรียนควรเติมสิ่งที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองอย่างตื่นตัวโดยมีกระบวนการ ดังนี้
- การดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญา (Assimilation) เป็นการตีความ หรือรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมมาปรับเข้ากับโครงสร้างทางปัญญา
- การปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation) เป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมและสิ่งที่ต้องเรียนใหม่

การจัดการเรียนรู้ตามแนว Cognitive Constructivism หรือเรียกว่า ห้องเรียนแบบเพียเจต์ ผู้เรียนจะมีโอกาสสร้างความรู้ผ่านประสบการณ์ของตนเอง ที่ไม่ใช่มาจากการบอก หรือการสอนจากผู้สอน จะมีการเน้นเกี่ยวกับการสอนทักษะเฉพาะน้อยลง ในทางตรงข้ามจะเพิ่มการเน้นเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในบริบทที่มีความหมายโดยนำเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อผสม (Multi Media) เป็นสิ่งที่จะสนองตอบต่อกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว ด้วยเทคโนโลยีที่มาสนับสนุน
ผู้สอนสามารถจัดหาสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่จะช่วยขยายพื้นฐานของแนวคิด (Conceptual) และประสบการณ์ (Experiential) ของผู้เรียนเพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น
ผู้สอนสามารถจัดหาสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่จะช่วยขยายพื้นฐานของแนวคิด (Conceptual) และประสบการณ์ (Experiential) ของผู้เรียนเพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ในบริบทที่มีความหมายจะมีความหมายต่อผู้เรียนก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับความหมายโดยใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่รอบๆ ตัวของเขามาเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น การแบ่งแบบฝึกทักษะของแบบฝึกหัดโดยตัดตอนออกเป็นส่วนย่อยๆ หรือที่เรียกว่า Clean Teaching หรืออาจจะเน้นไปที่องค์รวมและตามสภาพจริงอย่างเช่น ในรายวิชาคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ที่เน้นกิจกรรมตามสภาพจริงส่งผลให้ผู้เรียนมีความสนใจ และมีความหมายต่อพวกเขามากกว่าระดับคะแนนหรือคำชมที่ได้รับซึ่งหลักการสำคัญ 2 ประการในการนำทฤษฎีนี้มาใช้ (สุมาลี ชัยเจริญ, 2551)
- การเรียนรู้ที่เป็นกระบวนการที่ลงมือปฏิบัติ (Learning is Active Process) ผู้สอนควรให้ความสำคัญกับการจัดประสบการณ์ตรงและกระบวนการค้นหาวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดูดซึม และการปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ วิธีการที่ใช้เพื่อนำเสนอสารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญเมื่อถูกนำมาใช้ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหา
- การเรียนรู้ควรเป็นองค์รวม เน้นสภาพจริง และสิ่งที่เป็นจริง (Learning Should be Whole, Authentic, and “Real”)

ตัวอย่างขั้นตอนของการออกแบบการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การสอนแบบนี้เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ คอยกระตุ้น แนะนำ และสนับสนุนให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านประสบการณ์และการลงมือปฏิบัติ
1. กำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์การเรียนรู้
– เลือกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน เช่น ถ้าสอนวิทยาศาสตร์ อาจเลือกหัวข้อเกี่ยวกับมลพิษในท้องถิ่น
– กำหนดวัตถุประสงค์ที่เน้นการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ความรู้ ไม่ใช่แค่การจดจำข้อมูล
2. สร้างสถานการณ์กระตุ้นความสนใจ
– นำเสนอปัญหาจริงที่ซับซ้อน เช่น “ทำอย่างไรเราจึงจะลดขยะพลาสติกในชุมชนของเราได้”
– ใช้คำถามเช่น “คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักของปัญหานี้” เพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์
3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ
– ให้ผู้เรียนทำการทดลองหรือสำรวจ เช่น สำรวจประเภทขยะในโรงเรียนหรือชุมชน
– จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้เรียนร่วมกันออกแบบโครงการรณรงค์ลดขยะ
4. สนับสนุนการเรียนรู้แบบนำตนเอง
– จัดเตรียมหนังสือ วิดีโอ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการเรียน
– ให้ผู้เรียนเลือกวิธีนำเสนอผลงานตามความถนัด เช่น ทำวิดีโอ โปสเตอร์ หรือการแสดงบทบาทสมมติ
5. ส่งเสริมการคิดไตร่ตรองและการสะท้อนคิด
– ให้ผู้เรียนเขียนบันทึกการเรียนรู้ โดยระบุสิ่งที่ได้เรียนรู้และคำถามที่ยังสงสัย
– จัดการอภิปรายกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองต่อปัญหาที่ศึกษา
6. ประเมินผลตามสภาพจริง
– ใช้รูบริคในการประเมินโครงงานหรือการนำเสนอของผู้เรียน
– สังเกตและบันทึกพฤติกรรมการทำงานกลุ่มและการแก้ปัญหาของผู้เรียน
7. ให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์
– แทนที่จะบอกว่า “ผิด” ให้ถามคำถามที่ช่วยให้ผู้เรียนคิดต่อ เช่น “ลองคิดดูว่าถ้าเราทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
– ให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเองในการเรียนครั้งต่อไป
ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้: การลดขยะพลาสติกในชุมชน
วิชา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
เวลา1 ชั่วโมง
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายผลกระทบของขยะพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมได้
2. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาขยะพลาสติกในชุมชนได้
3. เสนอแนวทางการลดขยะพลาสติกที่ปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ (10 นาที)
1. ครูนำเสนอภาพหรือคลิปวิดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกในทะเล
2. ถามคำถามกระตุ้นความคิด: “นักเรียนคิดว่าขยะพลาสติกเหล่านี้มาจากไหน และส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง?”
ขั้นสอน (40 นาที)
1. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน
2. ให้แต่ละกลุ่มระดมสมองเกี่ยวกับ:
– สาเหตุของปัญหาขยะพลาสติกในชุมชน
– ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
– แนวทางการลดขยะพลาสติกในชีวิตประจำวัน
3. แต่ละกลุ่มนำเสนอความคิดของตนเองในรูปแบบแผนผังความคิด
4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปประเด็นสำคัญ
ขั้นสรุป (10 นาที)
1. นักเรียนแต่ละคนเขียนแนวทางการลดขยะพลาสติกที่ตนเองจะนำไปปฏิบัติจริง 3 ข้อ
2. สุ่มนักเรียน 2-3 คนนำเสนอแนวทางของตนเอง
สื่อและอุปกรณ์การสอน
1. คลิปวิดีโอหรือภาพเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกในทะเล
2. กระดาษฟลิปชาร์ทและปากกาเมจิกสำหรับทำแผนผังความคิด
3. คอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์สำหรับนำเสนอ
การวัดและประเมินผล
เครื่องมือวัด
1. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
2. แบบประเมินแผนผังความคิด
3. แบบประเมินการนำเสนอแนวทางการลดขยะพลาสติก
เกณฑ์การประเมินผล
1. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
– ดีมาก (4) มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น แสดงความคิดเห็นสร้างสรรค์ รับฟังผู้อื่น
– ดี (3) มีส่วนร่วมดี แสดงความคิดเห็น รับฟังผู้อื่น
– พอใช้ (2) มีส่วนร่วมบ้าง แสดงความคิดเห็นเมื่อถูกถาม
– ปรับปรุง (1) ไม่มีส่วนร่วม ไม่แสดงความคิดเห็น
2. แบบประเมินแผนผังความคิด
– ดีมาก (4) ครอบคลุมประเด็นสำคัญ มีการเชื่อมโยงความคิด นำเสนอชัดเจน
– ดี (3) ครอบคลุมประเด็นสำคัญ มีการเชื่อมโยงความคิดบางส่วน
– พอใช้ (2) ครอบคลุมประเด็นสำคัญบางส่วน การเชื่อมโยงความคิดไม่ชัดเจน
– ปรับปรุง (1) ไม่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ไม่มีการเชื่อมโยงความคิด
3. แบบประเมินการนำเสนอแนวทางการลดขยะพลาสติก
– ดีมาก (4) เสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง 3 ข้อ มีความคิดสร้างสรรค์
– ดี (3) เสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง 3 ข้อ
– พอใช้ (2) เสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง 1-2 ข้อ
– ปรับปรุง (1) ไม่สามารถเสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง
เกณฑ์การผ่าน นักเรียนต้องได้คะแนนรวมจากทุกเกณฑ์เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าระดับ “ดี” (3 คะแนน)
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองในการออกแบบการสอนและการวิจัยระดับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ
ในยุคที่การศึกษากำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ การนำทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory) มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบการสอนและการวิจัยระดับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ภาพรวมของการนำทฤษฎีนี้มาใช้ในบริบทของการพัฒนาการเรียนการสอนและการวิจัยทางการศึกษา ที่ควรทราบมีดังนี้
หลักการสำคัญของทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองมีหลักการสำคัญที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองจากประสบการณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ถูกมองว่าเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติและคิดอย่างกระตือรือร้น โดยความรู้เดิมของผู้เรียนมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ หลักการเหล่านี้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการเรียนการสอนอย่างมีนัยสำคัญ
การประยุกต์ใช้ในการออกแบบการสอน
การนำทฤษฎีนี้มาใช้ในการออกแบบการสอน เริ่มจากการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการสำรวจ ทดลอง และแก้ปัญหา ครูควรใช้สถานการณ์จริงหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ การส่งเสริมการทำงานกลุ่มและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ นอกจากนี้ การใช้คำถามปลายเปิดจะช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการสร้างความรู้ของผู้เรียน
บทบาทของครูและการประเมินผล
ในบริบทของทฤษฎีนี้ ครูต้องปรับบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ครูมีหน้าที่สร้างแรงจูงใจ กระตุ้นความสนใจ และจัดเตรียมทรัพยากรที่หลากหลายให้ผู้เรียน การประเมินผลต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้ โดยเน้นการประเมินตามสภาพจริง ใช้วิธีการที่หลากหลาย และประเมินทั้งกระบวนการเรียนรู้และผลลัพธ์
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และการพัฒนานวัตกรรม
กิจกรรมการเรียนรู้ควรออกแบบให้สอดคล้องกับหลักการของทฤษฎี เช่น การใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การเรียนรู้แบบโครงงาน และการเรียนรู้แบบร่วมมือ การพัฒนานวัตกรรมการสอน เช่น สื่อการสอนที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ หรือแบบฝึกหัดที่เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเรียนรู้ตามแนวทางนี้
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
การวิจัยในระดับวิทยฐานะเชี่ยวชาญที่นำทฤษฎีนี้มาใช้ ควรมุ่งเน้นการศึกษาผลของการใช้วิธีการสอนตามแนวทฤษฎี การวิเคราะห์พัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียน รวมถึงการประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรมการสอนที่พัฒนาขึ้น ผลการวิจัยเหล่านี้จะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนการนำทฤษฎีไปใช้ในวงกว้าง
การเผยแพร่และขยายผล
การนำเสนอผลการวิจัยในการประชุมวิชาการหรือวารสารทางการศึกษา การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ และการพัฒนาหลักสูตรอบรมสำหรับครู เป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่และขยายผลการใช้ทฤษฎีนี้ในวงการศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ระหว่างครูผู้ปฏิบัติจะช่วยให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการสอนอย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
การนำทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองมาใช้ในการออกแบบการสอนและการวิจัยระดับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพการศึกษา พัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของผู้เรียน และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การออกแบบการสอน การพัฒนานวัตกรรม ไปจนถึงการวิจัยและเผยแพร่ผลงาน จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระบบการศึกษา และเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถเผชิญกับความท้าทายในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด 29 กันยายน 2567
(อ้างอิง) อนุศร หงษ์ขุนทด. (2558). “การพัฒนารูปแบบระบบการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อ 3 แบบ ด้านทักษะดนตรี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎี บัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. PDF
Comments
Powered by Facebook Comments