แนวทางการสอนเพื่อการสร้างความรู้ด้วยตนเองจากการเชื่อมต่อ (Connectivism)
แนวทางการสอนเพื่อการสร้างความรู้ด้วยตนเองจากการเชื่อมต่อ (Connectivism)
ความรู้เกิดจากการเชื่อมต่อได้อย่างไร ทฤษฎีการเชื่อมต่อ
Siemens (2004) ได้กล่าวถึงแนวทางของ “Learning Theory for digital age” เมื่อมนุษย์มีการเชื่อมโยงถึงกันและสามารถค้นหาความรู้จากแหล่งของข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นอายุสั้นลง ความรู้ที่ทันสมัยในปัจจุบันกลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากเทคโนโลยี
มีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วตลอดเวลาจึงทำให้มนุษย์จำเป็นจะต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แนวคิดทฤษฎีออกแบบขึ้นเพื่อการเรียนรู้สำหรับโลกดิจิตอล และจากบทบาทที่สื่อดิจิตอล และอินเทอร์เน็ต เข้ามามีบทบาทต่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ของมนุษย์ในปัจจุบัน และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน อันจะส่งผลต่อการนำความรู้ไปพัฒนาสังคมต่อไป
ทฤษฎีการเชื่อมต่อเป็นทฤษฎีที่มุ่งเน้นไปที่ความรู้รอบตัวมากกว่าความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล ซึ่ง Stephen Downes มองการจัดการเรียนรู้แบบแยกส่วนว่า
- การสอน คือ การทำเป็นแบบอย่าง และการสาธิตแสดงให้เห็น
- ส่วนการเรียน คือการฝึกปฏิบัติ และการสะท้อนความคิด
George Siemens และ Stephen Downes ให้ความหมายว่าทฤษฎีการเชื่อมต่อ เป็นทฤษฏีการเรียนรู้ในยุคดิจิตอล ซึ่งการเชื่อมต่อแต่ละจุดทำให้เกิดรูปแบบการเชื่อมโยงที่ทำให้เกิดความรู้ในตัวผู้เรียนได้ ซึ่งมีส่วนคล้ายๆ กับทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ที่เน้นกระบวนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การสอน คือ การทำเป็นแบบอย่าง และการสาธิตแสดงให้เห็น ส่วนการเรียน คือการฝึกปฏิบัติ และการสะท้อนความคิด (George Siemens และ Stephen Downes)
ทฤษฎีการเชื่อมโยง หรือบางตำราเรียกว่าทฤษฎีการเชื่อมต่อ (DeWitte, 2010) กล่าวว่าทฤษฎีการเชื่อมต่อเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการศึกษา แนวทางดังกล่าวมุ่งเน้นถึงความจำเป็นสำหรับผู้เรียนที่จะใช้วิธีการ และเครื่องมือต่างๆ ในการเข้าถึงช่องทางของข้อมูลเพื่อรับข้อมูล และสามารถเชื่อมต่อความรู้ผ่านอุปกรณ์มือถือได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ที่มีความสามารถในการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ดังกล่าว ดังนั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนจึงมีความจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูล และใช้ในการเชื่อมต่อความรู้ระหว่างโหนดภายสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของตนเอง โดยใช้อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) เป็นเครื่องมือในการเรียน
Siemens (2004) กล่าวว่า ทฤษฎีการเชื่อมต่อเป็นทฤษฎีที่รองรับความรู้ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกวัน ทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นลง จึงทำให้ความรู้ที่ทันสมัยในปัจจุบัน จึงกลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยภายในเวลาอันรวดเร็ว อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทำให้คนเรามีความจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำให้องค์ความรู้ที่มีอยู่มากมายมีการวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา จากข้อมูลข่าวสารที่มีจำนวนมากมหาศาลบนโลกออนไลน์ ทำให้ผู้คนในยุคดิจิตอลไม่สามารถจะเรียนรู้เฉพาะในห้องเรียนได้อีกต่อไป ทำให้มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวในการเรียนรู้ และการดำรงชีวิตใหม่ให้มีความสอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไป และมีความรู้ที่ทันกับข้อมูลที่ปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

ที่มา: Tracey (2009)
Tracey (2009) ได้อธิบายแสดงตารางภาพพัฒนาการความเชื่อมโยงจาก 3 ทฤษฏี ที่แพร่หลายในด้านต่างๆ และเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และกระบวนการสอนของผู้สอน ซึ่งในแต่ละยุคมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันไป ทฤษฎีการเชื่อมต่อ มีความสัมพันธ์และพัฒนาการมาจากทฤษฏีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายไปของกระบวนการเรียนรู้ในโลกดิจิตอล ซึ่งเกิดจากพัฒนาการของผู้เรียนที่มีความต้องการในการเรียนรู้ที่มากขึ้น ในยุคความก้าวหน้าของอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยี George Siemens มีความเชื่อว่า
1. การเรียนรู้มีการเลื่อนไหลไม่หยุดนิ่ง
2. ความรู้ต่างๆ เกิดขึ้นทุกเวลาทุกนาที จึงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็วซึ่งมีผลกระทบกับความเป็นอยู่ของคนเรา
3. เปลี่ยนแปลงทิศทางการเรียนรู้จากการเรียนรู้ว่า“อย่างไร” เป็น “อะไร” เป็นการเรียนรู้ในแบบที่ว่าจะหาความรู้ได้ที่ใด
4. การเรียนรู้เกิดจากวิธีการหลากหลาย เช่น จากชุมชน จากเครือข่าย และจากการทำงานให้สำเร็จ
การสอนแบบถ่ายทอดความรู้(Instructivism) | การสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism) | การสร้างความรู้ด้วยตนเองจากการเชื่อมต่อ(Connectivism) |
การสอนแบบท่องจำหรือ การสอนแบบถ่ายทอดความรู้มีผู้สอนเป็นศูนย์กลาง | การสร้างความรู้(Constructing) ด้วยตนเองและสังคมรอบข้าง | การสร้างความรู้(Constructing) ด้วยตนเองและสังคมโดยใช้เทคโนโลยี |
กระบวนการทางปัญญาหรือความคิดเกิดจากการท่องจำ | เน้นกระบวนการภายใน(Mind process) ที่สร้างความหมายจากสิ่งที่ป้อนจากภายนอก | เน้นการบูรณาการทั้งกระบวนการ แนวคิด และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผู้เรียน |
การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการจดจำจากการทำซ้ำ | การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเรียนรู้เป็นกระบวนการจนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ | การบูรณาการเป็นวัฏจักรที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดการเรียนรู้และมีองค์ความรู้ที่ใหม่อยู่เสมอ |
การเรียนรู้มีโครงสร้างสามารถคิด คำนวณได้รวมถึงการใช้หลักเหตุผลเพื่อการสรุปผล | การเรียนรู้เกิดจากสังคมและการตีความหมายจะแตกต่างกันออกไปตามบริบทปัจจุบัน | การเรียนรู้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพปัจจุบัน มีการเชื่อมโยงโหนดต่างๆ เข้าด้วยกัน |
– การสอนโดยตรง (Direct Instruction) – การเรียนรู้แบบคนเก่ง (Mastery Learning) | – การสอนแบบผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง (Student Centered) – ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Centered) | – การเรียนการสอนแบบ ผสมผสาน (Blended Learning)- การเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิด (MOOC) |
– การสอนแบบชัดแจ้ง (Explicit Teaching) – การสอนแบบแน่นอน (Precision Teaching) | – ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner Centered) – การสอนแบบการค้นพบ เป็นฐาน(Discovery- based) – การสอนแบบนำตัวเอง (Self-Directed) – การเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning | – การทำงานร่วมกัน (Collaboration)- ระบบที่ช่วยผู้เรียนควบคุม จัดการการเรียนรู้ของตนเอง (Personal Learning Environment: PLE) – การใช้ ไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ (the use of ICT for learning) |
หลักการที่สำคัญของทฤษฎีการเชื่อมต่อ (Siemens, 2005) มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้และความรู้จะเกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมๆ กับความหลากหลายของความคิดเห็นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ
2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการเชื่อมต่อระหว่าง โหนด (Node) ที่หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันหรือเนื้อหาเดียวกัน โดยถูกจัดไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน ภายในโหนดอาจมีจุดเชื่อมโยงไปที่เนื้อหาอื่นมากกว่าหนึ่งจุดก็ได้ ดังนั้น การเรียนรู้จะสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างโหนดที่กระจัดกระจายอย่างสับสนวุ่นวาย เมื่อผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นทันที
3. การเรียนรู้อาจอยู่ในเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ใช้มนุษย์เป็นผู้ถ่ายทอด อาทิเช่น การใช้หุ่นยนต์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายทอดการเรียนรู้
4. ความสามารถในการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เพิ่มมากขึ้นจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ข้อมูลที่ใหม่กว่าถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
5. ปรับปรุงดูแลการเชื่อมต่อเป็นประจำในการเข้าถึงข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
6. ความสามารถในการดูและสังเกตการณ์เชื่อมต่อของข้อมูล ถือเป็นทักษะหลักสำคัญให้เกิดการเรียนรู้
7. การเผยแพร่ข้อมูลและใช้กันทั่วไป (ความถูกต้อง ความรู้ที่ต่อทันเหตุการณ์) ความสามารถในการรับทราบข้อมูลในปัจจุบันทันสมัย เป็นสิ่งสำคัญ
8. การตัดสินใจด้วยตนเองซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ สามารถเลือกสิ่งที่จะเรียนรู้และเข้าใจความหมายของข้อมูลที่รับเข้ามาผ่านหน้าจอว่าอันไหนคือข้อมูลที่จริงหรือข้อมูลคลาดเคลื่อน ซึ่งคำตอบที่ถูกในช่วงเลาหนึ่ง ในวันถัดไปอาจเป็นคำตอบที่ผิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมในข้อมูลผลและแหล่งที่มาของข้อมูล สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจ
เปรียบเทียบลักษณะของทฤษฎี Constructivismและ Connectivism
ลักษณะ | Constructivism | Connectivism |
วิธีการเรียนรู้ | การเรียนรู้เกิดจากสังคม การตีความหมายจะแตกต่างกันออกไปตามบริบทที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียนแต่ละคน | การกระจายภายในเครือข่าย สังคม ความหลากหลายทางเทคโนโลยี การรับรู้ และการแปลความหมายของรูปแบบ |
ปัจจัยที่มีอิทธิพล | การประสานงาน การมีส่วนร่วม สังคม วัฒนธรรม | ความหลากหลายของเครือข่าย ความแข็งแรงของความสัมพันธ์บริบทที่เกิดขึ้น |
บทบาทที่มีต่อ การจำ | ความรู้เดิมผสานกับบริบทปัจจุบัน | รูปแบบการปรับตัว Adaptive patterns เป็นตัวแทนของสถานะปัจจุบัน |
วิธีการถ่ายทอด | การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ | การเชื่อมต่อกับ (เพิ่ม) โหนดและการเจริญเติบโตของเครือข่าย |
ประเภทของ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับการอธิบาย | สังคม สร้างความคลุมเครือ | การเรียนรู้ที่ซับซ้อน แกนกลางที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แหล่งความรู้ที่หลากหลาย |
สรุปหลักการของทฤษฎีการเชื่อมต่อ
โลกดิจิตอลเต็มไปด้วยข้อมูลต่างๆ มากมาย ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจจะอยู่ในรูปแบบของรูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ ข้อความ วีดิโอ เพลง หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสื่อดิจิตอลทั้งหมดถูกเรียกว่าโหนด (node) ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วๆ ไปและโหนดต่างๆ เหล่านี้ก็อาจสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆ ได้มากมาย จึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างโหนด (node) กับผู้เรียน ซึ่งการเชื่อมต่อเป็นสิ่งจำเป็นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การถกเถียงในประเด็นต่างๆ โดยทุกครั้ง ผู้เรียนก็จะเพิ่มโหนด (node) โดยที่ความรู้นั้นจะเกิดขึ้นมาได้นั้นก็ต้องอาศัยการแสดงความคิดเห็นของคนที่หลากหลาย เช่น การโพสต์ (Post) ข้อความลงบนบล็อก (Blog) ของตนเอง จากนั้นก็มีผู้ใช้งานอื่นๆ มาแสดงความเห็นต่อท้าย ยิ่งมีผู้มาแสดงความเห็นในบล็อก (Blog) มากเท่าใดการเกิดขึ้นขององค์ความรู้ก็จะมากขึ้นและสมบูรณ์ชัดเจนในประเด็นนั้นๆมากขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลือจากการเรียนรู้บนบล็อก (Blog) คือข้อมูลที่ได้รับจากการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและเกิดการเชื่อมโยง ทำให้เกิดรูปแบบการเรียนรู้จากการเชื่อมโยงที่ทำให้เกิดความรู้เพิ่มขึ้นในตัวของผู้ที่เข้ามาอ่านบล็อก (Blog) และทักษะของตัวผู้เรียนที่ต้องมีความสามารถในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม อาจเป็นทักษะการใช้งาน Google Search Engine ทักษะการค้นหาสิ่งที่ต้องการ ทักษะการค้นหาสถานที่เพื่อการเรียนรู้ที่ต้องการ หรือทักษะการคัดเลือกแหล่งเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งในการรับทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเองเพื่อเลือกสิ่งที่จะเรียนรู้และรับข้อมูลที่เข้ามาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ในขณะที่ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน แต่หากเมื่อสภาวะแวดล้อมในข้อมูลการเปลี่ยนแปลงก็มีผลต่อความหมายของข้อมูล
ทฤษฎีการเชื่อมต่อ เป็นการเชื่อมโยงเอาโหนด (node) ในลักษณะต่างๆ มาเชื่อมกันผ่านเครือข่ายความรู้ (Knowledge) เป็นสิ่งที่ถูกเชื่อมโยงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นมา เพราะถ้าหากความรู้ถูกสร้างแล้วการแก้ไขจะเกิดขึ้นได้ยากและถ้าหากมีการรับข้อมูลใหม่ขึ้นมา ความรู้ก็จะถูกจัดระเบียบขึ้นมาใหม่
ซึ่งคนเราอาจไม่ได้สร้างความรู้ขึ้นมาใหม่ได้เสมอๆ เพียงแค่เรามีการเชื่อมโยงข้อมูลใหม่กับข้อมูลเดิมเท่านั้นเอง ถ้ามีการแก้ไขใดๆ เราก็จะแก้เฉพาะส่วนที่มันเชื่อมโยงกันอยู่ซึ่งหากเรามีการแก้แบบทั้งโครงสร้างของความรู้ นั่นอาจจะหมายถึงการที่เราเจตนาและตั้งใจกับสิ่งๆ นั้น และอาจจะกล่าวได้ว่ามันอาจจะเกิดได้กับบางคนและบางเหตุการณ์เท่านั้น
ตัวอย่างการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางตามทฤษฎี Connectivism ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน และ ลำดับขั้นการจัดความรู้ตามแนวคิดของ Bloom taxynomic และ AI
ขั้นตอน | กิจกรรม | Bloom’s Taxonomy | การใช้ AI | แนวคิด Connectivism |
---|---|---|---|---|
1. กำหนดโครงงานและวัตถุประสงค์ | – ระบุหัวข้อโครงงาน – กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ | ทุกระดับ | AI เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและความต้องการในตลาด | เชื่อมโยงความสนใจของผู้เรียนกับความต้องการของสังคม |
2. สร้างเครือข่ายการเรียนรู้และรวบรวมข้อมูล | – แนะนำแหล่งข้อมูล – สร้างการเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญ | ความรู้, ความเข้าใจ | ChatGPT, Google Search สำหรับการค้นหาข้อมูล | สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ออนไลน์ |
3. วิเคราะห์และประยุกต์ข้อมูล | – วิเคราะห์ข้อมูล – อภิปรายกลุ่ม | การนำไปใช้, การวิเคราะห์ | NLP tools สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล | แลกเปลี่ยนความรู้ผ่านเครือข่าย |
4. ออกแบบและพัฒนาโครงงาน | – ใช้เครื่องมือออนไลน์ทำงานร่วมกัน – สร้างสรรค์ผลงาน | การสังเคราะห์ | AI art generators, code generators | เชื่อมโยงความรู้จากแหล่งต่างๆ |
5. นำเสนอและแบ่งปันผลงาน | – นำเสนอผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ – รับ feedback | การสื่อสาร | AI-powered presentation tools | แบ่งปันความรู้กับชุมชนออนไลน์ |
6. ประเมินและสะท้อนคิด | – วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ – ประเมินตนเองและโดยเพื่อน | การประเมินค่า | AI analytics tools | สะท้อนคิดผ่านเครือข่ายการเรียนรู้ |
7. ขยายการเรียนรู้ | – ต่อยอดโครงงาน – ประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น | การสร้างสรรค์ | AI แนะนำแนวทางพัฒนาทักษะ | ขยายเครือข่ายการเรียนรู้ |
8. ปรับบทบาทผู้สอน | – อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ – ให้คำแนะนำการใช้ AI | ทุกระดับ | แนะนำการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ | เชื่อมโยงผู้เรียนกับแหล่งความรู้ |
แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (1 ชั่วโมง)
หัวข้อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. วิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนได้
2. เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
3. ทำงานร่วมกันเป็นทีมและนำเสนอความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กิจกรรมการเรียนรู้
นำเข้าสู่บทเรียน (5 นาที)
– ฉายวิดีโอสั้นเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนต่างๆ
– ถามคำถามกระตุ้นความคิด: “คุณเคยพบเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมแบบนี้ในชุมชนของคุณหรือไม่?”
กิจกรรมระดมสมอง (10 นาที)
– แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน
– ให้แต่ละกลุ่มใช้ mind mapping tool (เช่น Miro หรือ Jamboard) ระดมความคิดเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตน
การวิเคราะห์ปัญหา (15 นาที)
– แต่ละกลุ่มเลือกปัญหาสิ่งแวดล้อม 1 ปัญหาที่สนใจ
– ใช้เทคนิค 5W1H (What, Why, When, Where, Who, How) วิเคราะห์ปัญหา
– บันทึกการวิเคราะห์ลงในเอกสาร Google Docs ที่แชร์ภายในกลุ่ม
การหาแนวทางแก้ไขปัญหา (15 นาที)
– ให้แต่ละกลุ่มค้นคว้าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้
– ใช้ AI chatbot (เช่น ChatGPT) ช่วยในการหาข้อมูลและไอเดีย
– สร้าง concept map แสดงความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาและแนวทางแก้ไข
นำเสนอแนวคิด (10 นาที)
– แต่ละกลุ่มนำเสนอแนวคิดการแก้ปัญหาในรูปแบบ elevator pitch (1-2 นาทีต่อกลุ่ม)
– ใช้ Padlet หรือ Mentimeter ให้เพื่อนร่วมชั้นโหวตและให้ feedback
สรุปและสะท้อนคิด (5 นาที)
– ผู้สอนสรุปประเด็นสำคัญและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
– ผู้เรียนเขียนสะท้อนคิดสั้นๆ ใน discussion board ของระบบ LMS
การประเมินผล
– ประเมินการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม
– ประเมินคุณภาพของการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข
– ประเมินทักษะการนำเสนอ
– ประเมินการสะท้อนคิด
สื่อและอุปกรณ์
– คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
– Mind mapping tool (Miro, Jamboard)
– Google Docs
– AI chatbot (ChatGPT)
– Padlet หรือ Mentimeter
– ระบบ LMS ของสถาบัน
เครื่องมือวัด ประเมิน และเกณฑ์การประเมินผล
1. แบบประเมินการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม
เครื่องมือ: แบบสังเกตพฤติกรรม
วิธีการ: ผู้สอนสังเกตและบันทึกพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของผู้เรียนระหว่างทำกิจกรรมกลุ่ม
เกณฑ์การประเมิน (Rubric):
เกณฑ์ | 3 คะแนน (ดี) | 2 คะแนน (พอใช้) | 1 คะแนน (ควรปรับปรุง) |
---|---|---|---|
การแสดงความคิดเห็น | แสดงความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอและมีประโยชน์ต่อกลุ่ม | แสดงความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้ง | แทบไม่แสดงความคิดเห็นหรือไม่มีส่วนร่วม |
การรับฟังผู้อื่น | รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างตั้งใจ และตอบสนองอย่างเหมาะสม | รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแต่ไม่ค่อยตอบสนอง | ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น |
การทำงานตามบทบาทหน้าที่ | ทำงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ | ทำงานตามบทบาทหน้าที่ได้เป็นส่วนใหญ่ | ไม่ค่อยทำงานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย |
2. แบบประเมินคุณภาพการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข
เครื่องมือ: แบบประเมินชิ้นงาน
วิธีการ: ผู้สอนประเมินจากเอกสาร Google Docs และ concept map ที่แต่ละกลุ่มสร้างขึ้น
เกณฑ์การประเมิน (Rubric):
เกณฑ์ | 3 คะแนน (ดี) | 2 คะแนน (พอใช้) | 1 คะแนน (ควรปรับปรุง) |
---|---|---|---|
การวิเคราะห์ปัญหา | วิเคราะห์ปัญหาได้ครอบคลุมทุกประเด็น (5W1H) อย่างชัดเจน | วิเคราะห์ปัญหาได้ค่อนข้างครอบคลุม แต่ยังขาดบางประเด็น | วิเคราะห์ปัญหาได้ไม่ครอบคลุม ขาดหลายประเด็นสำคัญ |
แนวทางแก้ไขปัญหา | เสนอแนวทางแก้ไขที่สร้างสรรค์ เป็นไปได้ และใช้เทคโนโลยี/นวัตกรรมอย่างเหมาะสม | เสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ แต่อาจยังไม่ค่อยสร้างสรรค์หรือใช้เทคโนโลยี/นวัตกรรมไม่เต็มที่ | เสนอแนวทางแก้ไขที่ไม่ค่อยเป็นไปได้หรือไม่ได้ใช้เทคโนโลยี/นวัตกรรม |
การเชื่อมโยงแนวคิด | สร้าง concept map ที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาและแนวทางแก้ไขได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน | สร้าง concept map ที่แสดงความเชื่อมโยงได้พอใช้ แต่อาจยังไม่ครบถ้วน | สร้าง concept map ที่แสดงความเชื่อมโยงได้ไม่ชัดเจนหรือไม่ครบถ้วน |
3. แบบประเมินทักษะการนำเสนอ
เครื่องมือ: แบบประเมินการนำเสนอ
วิธีการ: ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นประเมินการนำเสนอ elevator pitch ของแต่ละกลุ่ม
เกณฑ์การประเมิน (Rubric):
เกณฑ์ | 3 คะแนน (ดี) | 2 คะแนน (พอใช้) | 1 คะแนน (ควรปรับปรุง) |
---|---|---|---|
ความชัดเจนของเนื้อหา | นำเสนอเนื้อหาได้ครบถ้วน ชัดเจน และเข้าใจง่าย | นำเสนอเนื้อหาได้ค่อนข้างครบถ้วน แต่อาจยังไม่ชัดเจนในบางส่วน | นำเสนอเนื้อหาไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน |
การใช้เวลา | ใช้เวลาในการนำเสนอได้เหมาะสมตามที่กำหนด | ใช้เวลาในการนำเสนอเกินหรือขาดเล็กน้อย | ใช้เวลาในการนำเสนอเกินหรือขาดมาก |
การตอบคำถาม | ตอบคำถามได้ตรงประเด็นและแสดงความเข้าใจในเนื้อหาอย่างดี | ตอบคำถามได้พอใช้ แต่อาจยังไม่ครบถ้วนหรือชัดเจนนัก | ตอบคำถามไม่ตรงประเด็นหรือแสดงความไม่เข้าใจในเนื้อหา |
4. แบบประเมินการสะท้อนคิด
เครื่องมือ: แบบประเมินการเขียนสะท้อนคิด
วิธีการ: ผู้สอนประเมินจากการเขียนสะท้อนคิดของผู้เรียนใน discussion board ของระบบ LMS
เกณฑ์การประเมิน (Rubric):
เกณฑ์ | 3 คะแนน (ดี) | 2 คะแนน (พอใช้) | 1 คะแนน (ควรปรับปรุง) |
---|---|---|---|
ความลึกซึ้งของการสะท้อนคิด | แสดงการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เชื่อมโยงประสบการณ์กับการเรียนรู้ใหม่ | มีการสะท้อนคิดในระดับพื้นฐาน แต่ยังขาดการวิเคราะห์เชิงลึก | เขียนสะท้อนคิดแบบผิวเผิน ไม่แสดงการวิเคราะห์ |
การประยุกต์ใช้ความรู้ | อธิบายวิธีการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างชัดเจน | มีการกล่าวถึงการนำความรู้ไปใช้ แต่ยังไม่ชัดเจนหรือเป็นรูปธรรม | ไม่ได้กล่าวถึงการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ |
การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว | แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่มีเหตุผลสนับสนุนอย่างชัดเจน | มีการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่อาจยังไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจน | ไม่แสดงความคิดเห็นส่วนตัว หรือแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีเหตุผลสนับสนุน |
การคำนวณคะแนนรวม
- การมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม: 20%
- คุณภาพการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข: 30%
- ทักษะการนำเสนอ: 30%
- การสะท้อนคิด: 20%
คะแนนรวม = (คะแนนการมีส่วนร่วม x 0.2) + (คะแนนคุณภาพการวิเคราะห์ x 0.3) + (คะแนนทักษะการนำเสนอ x 0.3) + (คะแนนการสะท้อนคิด x 0.2)
เกณฑ์การตัดสินผลการเรียน
- A: 80-100%
- B: 70-79%
- C: 60-69%
- D: 50-59%
- F: 0-49%
สรุปแนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Connectivism และ Learning Theory for Digital Age
1. หลักการสำคัญ
– การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลและแหล่งความรู้ที่หลากหลาย
– ความรู้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล
– ทักษะการเรียนรู้และการเชื่อมโยงสำคัญกว่าความรู้ที่มีอยู่
– เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเรียนรู้
2. แนวทางการออกแบบกิจกรรม
สร้างเครือข่ายการเรียนรู้
– ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เรียน ผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญ
– ใช้เทคโนโลยีสังคมออนไลน์เพื่อขยายเครือข่ายการเรียนรู้
บูรณาการเทคโนโลยี
– ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสืบค้น จัดการ และแบ่งปันข้อมูล
– ส่งเสริมการใช้ AI และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลในการเรียนรู้
ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์
– ฝึกการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
– พัฒนาทักษะการสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง
เน้นการเรียนรู้แบบโครงงาน
– ออกแบบโครงงานที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริง
– ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
พัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
– ฝึกทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
– ส่งเสริมการตั้งคำถามและการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง
สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเปิด
– ใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบเปิด (Open Learning Platforms)
– ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้และทรัพยากรการเรียนรู้
ปรับบทบาทผู้สอน
– ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
– ช่วยผู้เรียนพัฒนาทักษะการเชื่อมโยงความรู้และการคิดอย่างเป็นระบบ
3. การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้
ทักษะการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
– การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (Digital & Information Literacy)
– ทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
ทักษะการคิดขั้นสูง
– การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินข้อมูล
– การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
– การสื่อสารในสภาพแวดล้อมดิจิทัล
– การทำงานร่วมกันในทีมเสมือนจริง (Virtual Teams)
ความรู้เชิงบูรณาการ
– การเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายสาขา
– การประยุกต์ใช้ความรู้ในบริบทที่หลากหลาย
ทักษะการจัดการตนเอง
– การกำกับตนเองในการเรียนรู้
– การจัดการเวลาและการจัดลำดับความสำคัญ
4. การประเมินผล
– ใช้การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
– เน้นการประเมินกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ
– ส่งเสริมการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อน
– ใช้เทคโนโลยีในการติดตามและวิเคราะห์พัฒนาการของผู้เรียน
5. ความท้าทายและข้อควรระวัง
– การรักษาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีกับการปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้า
– การพัฒนาทักษะการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลในยุคข้อมูลท่วมท้น
– การสร้างแรงจูงใจและการรักษาความสนใจของผู้เรียนในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเปิด
– การจัดการกับความแตกต่างของทักษะด้านเทคโนโลยีของผู้เรียน
30 หัวข้อวิจัยเกี่ยวกับ Connectivism และการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
1. ผลกระทบของการใช้ Social Media ต่อการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
2. การพัฒนาโมเดลการเรียนการสอนแบบผสมผสานตามแนวคิด Connectivism สำหรับการศึกษาระดับมัธยมปลาย
3. การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการสอนแบบดั้งเดิมกับการสอนตามแนวคิด Connectivism
4. การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ผ่าน MOOC (Massive Open Online Courses)
5. การพัฒนาเครื่องมือประเมินทักษะการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลตามกรอบแนวคิด Connectivism
6. บทบาทของ AI ในการสนับสนุนการเรียนรู้ตามแนวคิด Connectivism: กรณีศึกษาการใช้ ChatGPT ในห้องเรียน
7. การศึกษาผลกระทบของการใช้ Personal Learning Networks (PLNs) ต่อการพัฒนาวิชาชีพครู
8. การวิเคราะห์รูปแบบการเชื่อมโยงความรู้ของผู้เรียนในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเปิด
9. การพัฒนาแนวทางการออกแบบหลักสูตรตามแนวคิด Connectivism สำหรับการศึกษาระดับอาชีวศึกษา
10. ผลของการใช้ Digital Badges ในการส่งเสริมแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบเครือข่าย
11. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการรู้เท่าทันดิจิทัลกับความสามารถในการสร้างความรู้ตามแนวคิด Connectivism
12. การพัฒนาโมเดลการประเมินผลการเรียนรู้แบบ Real-time ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเครือข่าย
13. การวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการนำแนวคิด Connectivism ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนระดับประถมศึกษา
14. ผลของการใช้ Virtual Reality (VR) ในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบเชื่อมโยงในวิชาวิทยาศาสตร์
15. การศึกษาผลกระทบของ Information Overload ต่อคุณภาพการเรียนรู้ในบริบทของ Connectivism
16. การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้น
17. การศึกษาบทบาทของ Learning Analytics ในการสนับสนุนการเรียนรู้ตามแนวคิด Connectivism
18. ผลของการใช้ Gamification ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้
19. การพัฒนาโมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามแนวคิด Connectivism สำหรับผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล
20. การวิเคราะห์ผลกระทบของ Digital Divide ต่อโอกาสในการเรียนรู้ตามแนวคิด Connectivism
21. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) กับความสามารถในการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้
22. การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการออกแบบ Open Educational Resources (OER) ตามแนวคิด Connectivism
23. ผลของการใช้ Blockchain ในการรับรองและติดตามผลการเรียนรู้ในระบบการศึกษาแบบเปิด
24. การศึกษาผลกระทบของ Filter Bubbles และ Echo Chambers ต่อการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงในยุคดิจิทัล
25. การพัฒนาโมเดลการสอนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ผ่านการวิเคราะห์ Big Data ตามแนวคิด Connectivism
26. การวิเคราะห์รูปแบบการปฏิสัมพันธ์และการสร้างความรู้ในชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์
27. ผลของการใช้ Adaptive Learning Systems ในการส่งเสริมการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
28. การศึกษาผลกระทบของ Digital Wellbeing ต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมแบบ Connectivism
29. การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมจริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้และแบ่งปันข้อมูลในเครือข่ายการเรียนรู้
30. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเรียนรู้ (Learning Styles) กับความสำเร็จในการเรียนรู้ตามแนวคิด Connectivism
Comments
Powered by Facebook Comments