Site icon Digital Learning Classroom

ถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) เพื่อขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)

แชร์เรื่องนี้


ถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) เพื่อขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 


__________________________________

บทสรุปผู้บริหาร

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ ในการนำเครื่องมือ “การประเมินเชิงพัฒนา” (Developmental Evaluation: DE) มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการถอดบทเรียน หนุนเสริม และขับเคลื่อน “ขบวนการพัฒนาตนเองของครูและโรงเรียนเชิงพื้นที่” (Teacher and School Quality Movement-Area: TSQM-A)

หัวใจสำคัญของบทความนี้คือการนำเสนอ “โมเดลการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ” ที่ผสานวงจรการประเมิน DE 6 ขั้นตอน 1 เข้ากับ 6 มาตรการหลักของโครงการ TSQM-A 2 อย่างเป็นระบบ เพื่อเปลี่ยนกระบวนการประเมินจากการ “ตัดสินผล” (Summative) ไปสู่การ “เรียนรู้เพื่อปรับปรุง” (Formative) อย่างต่อเนื่อง

ข้อค้นพบสำคัญชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของการขับเคลื่อน TSQM-A ในบริบทเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อนสูง (Area-based) ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการประเมินแบบดั้งเดิม DE จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบเรียลไทม์และการพัฒนานวัตกรรม 1 โดยมีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ที่สำคัญ ได้แก่ การใช้กรอบการวัดผลลัพธ์ที่ยืดหยุ่น (V-A-S-K: Value, Attitudes, Skill, Knowledge) 2 และการใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เป็นพื้นที่สะท้อนกลับ (Reflection) ที่สำคัญที่สุด 1

กุญแจสู่ความสำเร็จที่คู่มือนี้เน้นย้ำ คือ การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์เชิงบทบาท (Role Paradigm Shift) ของบุคลากรหลักสองกลุ่ม:

  1. ผู้บริหารสถานศึกษา: ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้บริหารจัดการ” (Administrator) สู่ “ผู้นำทีมเรียนรู้” (Learning Leader) ภายในสถานศึกษา
  2. ศึกษานิเทศก์: ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ประเมิน” (Inspector) สู่ “ผู้ร่วมเรียนรู้” และ “โค้ช” (Developmental Evaluator/Coach) ที่ทำหน้าที่หนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ของพื้นที่

บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนการวางแผน การทำงานร่วมกัน และกระบวนการนิเทศทั้งระบบ ที่ออกแบบมาเพื่อสร้าง “ทีมเรียนรู้ระดับพื้นที่” (Area-Based Learning Team) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการถอดบทเรียนและสร้างความยั่งยืนให้กับขบวนการ TSQM-A ต่อไป


ส่วนที่ 1: การวางกรอบการเรียนรู้เชิงระบบ: ทำความเข้าใจ TSQM-A และ Developmental Evaluation (DE)

ก่อนที่จะเข้าสู่แนวทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจ “ภาษา” และ “หลักการ” ร่วมกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพตรงกันว่า “ทำไม” และ “อะไร” คือหัวใจของการขับเคลื่อนครั้งนี้

1.1 TSQM-A: จาก “โครงการ” สู่ “ขบวนการ” พัฒนาตนเอง

ขบวนการพัฒนาตนเองของครูและโรงเรียนเชิงพื้นที่ (TSQM-A) คือ วิวัฒนาการที่สำคัญจากการดำเนินงานในอดีต สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ

การวิวัฒนาการที่มีความหมาย: จาก TSQP สู่ TSQM-A

การทำความเข้าใจรากฐานของ TSQM-A ต้องมองย้อนไปถึงโครงการสนับสนุนกลไกขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ หรือ Teachers – School – Quality – Program (TSQP) 3 การปรับเปลี่ยนมาสู่ TSQM-A สะท้อนการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใน 2 มิติหลัก:

  1. จาก “Program” สู่ “Movement” (จาก โครงการ สู่ ขบวนการ): การเปลี่ยนจาก “โครงการ” (Program) ซึ่งมักมีกรอบเวลาและจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน ไปสู่ “ขบวนการ” (Movement) 3 สะท้อนเจตจำนงในการสร้าง “วัฒนธรรม” การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขับเคลื่อนจากความต้องการและความร่วมมือของคนในพื้นที่ (Bottom-up) 2 ไม่ใช่การสั่งการจากส่วนกลาง (Top-down)
  2. การเพิ่ม “A” (Area): การเติม “A” หรือ “เชิงพื้นที่” (Area) 4 เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานในระดับจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษา 6 TSQM-A ตระหนักว่าโรงเรียนไม่สามารถพัฒนาตนเองอย่างโดดเดี่ยวได้ แต่ต้องอาศัยระบบนิเวศการเรียนรู้ (Learning Ecosystem) และการสนับสนุนเชิงพื้นที่ (Area-based Support) ซึ่งรวมถึงการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน 2 และการสนับสนุนจากเขตพื้นที่การศึกษา

แก่นของ TSQM-A: การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach)

เป้าหมายของ TSQM-A คือการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยมีแนวคิด “โรงเรียนเป็นฐาน เด็กเป็นตัวตั้ง” (School-based, Child-centric) 2 ซึ่งหมายถึงการยกระดับคุณภาพใน 2 ส่วนหลักพร้อมกัน คือ 1) การพัฒนาคุณภาพของระบบบริหารจัดการโรงเรียน และ 2) การจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูงในชั้นเรียน 3

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ TSQM-A ได้สรุป 6 มาตรการหลักในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole-School Approach Measures) 2 อันได้แก่:

  1. การกำหนดเป้าหมายและแผนพัฒนาโรงเรียน (School Goal) ที่ชัดเจน
  2. ระบบสารสนเทศคุณภาพ (Q-Info) เพื่อการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและพัฒนาผู้เรียน
  3. ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกันของครู
  4. นวัตกรรมห้องเรียน (Classroom Innovation) ที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
  5. เครือข่ายโรงเรียน (School Network) เพื่อการทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
  6. ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

โมเดลการบริหาร H O M E

เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริหารสามารถขับเคลื่อน 6 มาตรการข้างต้นได้ โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร 7 ได้มีการนำเสนอโมเดลการบริหาร 4 มิติ หรือ H O M E 7 เพื่อเป็นกรอบคิดในการบริหารจัดการ ได้แก่:

1.2 Developmental Evaluation (DE): เครื่องมือสำหรับ “การเรียนรู้” ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน

นิยามและหลักการสำคัญของ DE

การประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) คือ รูปแบบการประเมินแบบพิเศษที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการประเมินผลแบบสรุป (Summative) หรือการประเมินเพื่อตัดสิน “ผ่าน/ไม่ผ่าน” 1

หลักการสำคัญของ DE มีดังนี้ 1:

  1. เป็นการประเมิน “เพื่อพัฒนา” (Formative): DE ไม่ได้มุ่งเน้นที่การตัดสินความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เน้นการเก็บข้อมูลเพื่อ “ปรับปรุง” และ “พัฒนานวัตกรรม” อย่างต่อเนื่อง
  2. เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research): DE คือกระบวนการที่ผู้ประเมินและผู้ถูกประเมินทำงานร่วมกันเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงการปฏิบัติงานไปพร้อมกัน
  3. เน้นการมีส่วนร่วม (Participation): DE อาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกกลุ่มเป้าหมาย (นักเรียน, ครู, ผู้อำนวยการ, ผู้ปกครอง, ชุมชน, เขตพื้นที่) ในการวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็น 1

การวิเคราะห์ความเหมาะสม (DE-Context Fit): ทำไม DE จึง “จำเป็น” สำหรับ TSQM-A

DE ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์ที่มีลักษณะเฉพาะ 1 ได้แก่:

เมื่อวิเคราะห์บริบทของ “ขบวนการ TSQM-A” จะพบว่าเข้ากันได้กับสถานการณ์เหล่านี้อย่างสมบูรณ์ การพยายามยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้ง “พื้นที่” (Area) 6 การต้องทำงานกับโรงเรียนหลากหลายบริบท (เช่น โรงเรียนขนาดเล็ก 7) การมีภาคีเครือข่ายหลายฝ่าย 3 และการมุ่งสร้างนวัตกรรมในห้องเรียน 2 ล้วนเป็น “ความซับซ้อน” ที่การประเมินแบบดั้งเดิม (ที่เน้นเป้าหมายเป็นเส้นตรงและมีกรอบวัดผลชัดเจน) ไม่สามารถตอบสนองได้ 1

ดังนั้น DE จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” (Option) แต่เป็น “ความจำเป็น” (Necessity) สำหรับการขับเคลื่อน TSQM-A เพราะเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยให้ “ทีมเรียนรู้” สามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

กุญแจสำคัญ: การสร้าง “ทีมเรียนรู้” (Learning Team)

การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่สำคัญที่สุดที่ DE นำเสนอ คือการทลายกำแพงระหว่าง “ผู้ประเมิน” (เช่น ศึกษานิเทศก์) และ “ผู้ถูกประเมิน” (เช่น โรงเรียน) DE กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าร่วมทีมกันเป็น “ทีมเรียนรู้” (Learning Team) เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ระหว่างการประเมิน 1 นี่คือจุดเปลี่ยนที่จะส่งผลต่อบทบาทและการทำงานร่วมกันของศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษาโดยตรง


ส่วนที่ 2: วงจรการประเมินเชิงพัฒนา (DE) 6 ขั้นตอน: “ระบบปฏิบัติการ” ของ TSQM-A

หาก 6 มาตรการของ TSQM-A 2 คือ “โปรแกรม” ที่เราต้องการติดตั้งในโรงเรียน วงจร DE 6 ขั้นตอน 1 ก็เปรียบเสมือน “ระบบปฏิบัติการ” (Operating System) ที่ทำให้โปรแกรมเหล่านั้นทำงานได้จริง เกิดการเรียนรู้ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนนี้คือหัวใจของคู่มือปฏิบัติการ ที่จะอธิบายการผสาน 6 มาตรการของ TSQM-A เข้ากับวงจร DE 6 ขั้นตอน 1

วงจรที่ 1: การกำหนดเป้าหมาย (Goal Setting)

วงจรที่ 2: การวิเคราะห์ความซับซ้อน (Complexity Analysis)

วงจรที่ 3: การกำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ (Determining Desired Results)

วงจรที่ 4: การดำเนินกิจกรรม (Executing Activities)

วงจรที่ 5: การนำข้อมูล/เครื่องมือประเมิน (Implementing Data/Tools)

วงจรที่ 6: การสะท้อนกลับ (Reflection)


ส่วนที่ 3: กลไกการขับเคลื่อนระดับพื้นที่: บทบาทและการปฏิบัติสำหรับผู้บริหารและศึกษานิเทศก์

การขับเคลื่อนวงจร DE 6 ขั้นตอนข้างต้นให้เกิดขึ้นจริงได้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้เล่นหลักสองกลุ่ม คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และ ศึกษานิเทศก์

3.1 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา: ผู้นำการเปลี่ยนแปลงและ “สถาปนิก” ทีมเรียนรู้

บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในกระบวนการ DE คือการเปลี่ยนจาก “ผู้บริหารจัดการ” (Administrator) ที่เน้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไปสู่ “ผู้นำการเรียนรู้” (Learning Leader) 7

การปฏิบัติที่ 1: การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อ DE

DE จะเกิดขึ้นไม่ได้หากองค์กรไม่ “เปิดต่อสิ่งใหม่” และ “ไม่มีความยืดหยุ่น” 1 ภารกิจแรกของผู้บริหารคือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ทางจิตใจ (Psychological Safety) ให้กับครู ผู้บริหารต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่า “การทดลอง” (วงจรที่ 4) และ “ความล้มเหลวเพื่อการเรียนรู้” (ในวงจรที่ 6) เป็นสิ่งที่ยอมรับได้และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา

การปฏิบัติที่ 2: การเป็น “หัวหน้าทีมเรียนรู้” (Learning Team Leader) ของโรงเรียน

ผู้บริหารต้องไม่ยืนอยู่นอกวงจร DE แต่ต้องเข้าร่วมในกระบวนการในฐานะ “สมาชิกร่วมเรียนรู้” 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงจรที่ 6 (Reflection) ผู้บริหารต้องเข้าร่วม PLC ในฐานะ “ผู้เรียนรู้” (Learner) รับฟังปัญหาและข้อจำกัดจากครู ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้สั่งการ” (Director)

การปฏิบัติที่ 3: การใช้โมเดล H O M E เป็นเครื่องมือหนุนเสริม DE

ผู้บริหารสามารถใช้โมเดลการบริหาร H O M E 7 เพื่อสนับสนุนวงจร DE ของครูอย่างเป็นรูปธรรม:

3.2 สำหรับศึกษานิเทศก์: “ผู้สร้างกระบวนการ” (Facilitator) และ “โค้ช” การเปลี่ยนแปลง

นี่คือการปฏิรูปบทบาทที่สำคัญและท้าทายที่สุด บทบาทดั้งเดิมของศึกษานิเทศก์คือ “การประเมินจากภายนอก” (External Evaluation) หรือ “ผู้ตรวจ” (Inspector) ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับหลักการ “ทีมเรียนรู้” (Learning Team) ของ DE 1

ในบริบท TSQM-A ที่เน้น “เชิงพื้นที่” (Area-based) 4 ศึกษานิเทศก์คือตัวแทนที่สำคัญที่สุดของ “Area” หากศึกษานิเทศก์ไม่เปลี่ยนบทบาท กระบวนการ DE จะล้มเหลวทันที เพราะโรงเรียนจะกลับไปสู่การทำงานเพื่อ “รอรับการประเมิน” แทนที่จะ “เรียนรู้เพื่อพัฒนา”

บทบาทใหม่ของศึกษานิเทศก์ คือ “ผู้ประเมินเชิงพัฒนา” (Developmental Evaluator) หรือ “โค้ช” (Coach)

การปฏิบัติที่ 1: การออกแบบกระบวนการนิเทศที่สอดคล้องกับวงจร DE 6 ขั้นตอน

การนิเทศทั้งระบบต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด การนิเทศไม่ใช่การ “ตรวจแผนการสอน” หรือ “ประเมินการสอน” แต่เป็นการ “ร่วมกระบวนการ” กับ “ทีมเรียนรู้” ของโรงเรียน:

การปฏิบัติที่ 2: การเป็น “ผู้เชื่อมโยงเครือข่าย” (Network Weaver)

ศึกษานิเทศก์มีมุมมองที่กว้างกว่าโรงเรียน (Area-view) จึงต้องทำหน้าที่ใช้ประโยชน์จากมาตรการ “เครือข่ายโรงเรียน” (School Network) 2 โดยเชื่อมโยงโรงเรียนที่กำลังทดลองนวัตกรรมคล้ายกัน หรือโรงเรียนที่แก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้สำเร็จ ให้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (เช่น การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างจังหวัดศรีสะเกษและภูเก็ต 6)

การปฏิบัติที่ 3: การเป็น “ผู้จัดการความรู้” (Knowledge Manager) ระดับพื้นที่

บทบาทสำคัญของศึกษานิเทศก์คือการ “ถอดบทเรียน” (Lesson Extraction) จากความสำเร็จและความล้มเหลวของโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนดูแล จากนั้นสังเคราะห์ (Synthesize) บทเรียนเหล่านี้ให้กลายเป็น “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) หรือ “นวัตกรรม” ที่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของพื้นที่


ส่วนที่ 4: การบูรณาการ “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” ผ่านการทำงานร่วมกัน

ส่วนนี้จะสรุปแนวทางการวางแผนและการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ เพื่อสร้าง “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” ที่ขับเคลื่อนด้วย DE

4.1 การวางแผนการทำงานร่วมกัน: จาก “พันธสัญญา” สู่ “ปฏิทินการเรียนรู้”

การทำงานร่วมกันต้องเริ่มต้นตั้งแต่ “ต้นน้ำ” (Upstream) 9 ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ต้องสร้าง “เป้าหมายร่วม” (Shared Goal) โดยใช้ “เป้าหมายโรงเรียน” (School Goal) (วงจรที่ 1) 2 เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เป้าหมายของเขตพื้นที่

จากนั้น ร่วมกันออกแบบ “ปฏิทินการเรียนรู้ร่วม” (Learning Calendar) ที่ยืดหยุ่น แทนที่ปฏิทินการนิเทศแบบเดิม ปฏิทินนี้ต้องกำหนด “จุดนัดพบเพื่อการสะท้อนกลับ” (DE Reflection Points) ที่ชัดเจน เช่น การประชุม PLC ร่วม, การทบทวนข้อมูล Q-Info ประจำไตรมาส, หรือเวทีถอดบทเรียนครึ่งปี

4.2 การสร้าง “ทีมเรียนรู้” ระดับพื้นที่ (Area-Based Learning Team)

โมเดลนี้คือการขยาย “ทีมเรียนรู้” 1 ให้ครอบคลุมทั้งโรงเรียน (นำโดยผู้บริหาร) และเขตพื้นที่ (นำโดยศึกษานิเทศก์) ตารางต่อไปนี้คือการสังเคราะห์บทบาทและความรับผิดชอบร่วมในวงจร DE ซึ่งถือเป็น “แผนที่การทำงาน” (Roadmap) สำหรับทั้งสองฝ่าย

ตารางที่ 1: เมทริกซ์การทำงานร่วมกันในวงจร DE-TSQM-A (The DE-TSQM-A Collaboration Matrix)

วงจร DE 6 ขั้นตอน (ผสานมาตรการ TSQM-A)บทบาทหลักของผู้บริหารสถานศึกษา (ผู้นำทีมเรียนรู้ภายใน)บทบาทหลักของศึกษานิเทศก์ (โค้ชและผู้หนุนเสริม)กระบวนการทำงานร่วมกัน / กิจกรรมการนิเทศเชิงพัฒนา
1. Goal Setting (School Goal) 2นำกระบวนการมีส่วนร่วมภายใน 1 เพื่อสร้าง School Goalเป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูลเชิงนโยบาย และสะท้อนความเป็นไปได้การประชุมวางแผน DE “ต้นน้ำ” (Upstream DE Planning) 10 เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วม
2. Complexity Analysis (Q-Info) 2นำทีมวิเคราะห์ข้อมูล Q-Info และบริบทภายในโรงเรียนช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในภาพกว้าง (Area) และเชื่อมโยงปัจจัยภายนอกการวิเคราะห์ข้อมูล Q-Info และบริบทพื้นที่ (SWOT) ร่วมกัน
3. Desired Results (V-A-S-K) 2สนับสนุนครูในการออกแบบการวัดผลแบบ V-A-S-Kให้คำแนะนำเชิงเทคนิค (Coaching) เกี่ยวกับเครื่องมือ/วิธีการวัดผล V-A-S-KWorkshop การออกแบบการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) 2
4. Executing Activities (Innovation) 2สร้างพื้นที่ปลอดภัย 1 และสนับสนุนทรัพยากร (H-O-M-E) 7 ให้ครูทดลองสังเกตการณ์ (Observe) และเป็น “ผู้เชื่อมโยงเครือข่าย” 2การนิเทศแบบ “การสังเกตเพื่อการเรียนรู้” (Learning Observation) ไม่ใช่การตัดสิน
5. Implementing Data (Formative Assessment) 2ติดตามการใช้ข้อมูล (Q-Info) เพื่อดูแลนักเรียน 2ช่วยเหลือเชิงเทคนิคในการใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลการประชุมทบทวนข้อมูล (Data Review Meeting) เพื่อดูแนวโน้ม
6. Reflection (PLC) 2เข้าร่วม PLC ในฐานะผู้เรียนรู้ 1 และนำผลไปปรับแผนบริหารเข้าร่วม PLC ในฐานะ “ผู้สร้างกระบวนการ” (Facilitator) ตั้งคำถามกระตุ้นการเรียนรู้“วง PLC ร่วม” (Co-PLC) หรือเวทีถอดบทเรียน (Lesson Extraction) ประจำไตรมาส

4.3 วงจรการนิเทศเชิงพัฒนา (The Developmental Supervision Cycle)

จากตารางข้างต้น “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง:


ส่วนที่ 5: แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) และเครื่องมือสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

จากการประยุกต์ใช้ DE ในเครือข่าย TSQM-A สามารถสังเคราะห์ “บทเรียน” และ “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) ที่สำคัญ เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบและบุคลากรให้เกิดความยั่งยืน

5.1 การถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจากเครือข่าย TSQM-A

  1. BP 1: การเอาชนะอุปสรรคเรื่องทรัพยากร (โรงเรียนขนาดเล็กก็ทำได้): บทเรียนจาก TSQM-A พิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหาเรื่องทรัพยากร, ครูไม่ครบชั้น หรือการเป็นโรงเรียนไกลเมือง ไม่ใช่อุปสรรคในการพัฒนา 2 หากโรงเรียนมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน (6 มาตรการ) และกระบวนการเรียนรู้ภายในที่ดี (DE) โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ใช้โมเดล H O M E 7 จะสามารถพัฒนาคุณภาพได้ทั้งระบบ
  2. BP 2: พลังของ PLC ในฐานะกลไกสะท้อนกลับ (PLC as Reflection Engine): PLC 2 คือหัวใจของวงจรที่ 6 (Reflection) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นกลไกที่ทำให้ครูรู้สึกไม่โดดเดี่ยว 2 และที่สำคัญที่สุด คือการได้เห็นว่าความพยายามของตนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเด็ก (เช่น เด็กสนใจเรียนมากขึ้น) สิ่งนี้กลายเป็น “พลังใจใหม่” (New Energy) ให้กับครู 2
  3. BP 3: การใช้ข้อมูลเป็นฐานเพื่อการดูแล (Data-Informed Care): การใช้ระบบ Q-Info 2 จะประสบความสำเร็จเมื่อเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการ “รายงาน” (Reporting) ไปสู่ “การดูแล” (Caring) ข้อมูลในระบบถูกนำมาใช้เพื่อ “ดูแลช่วยเหลือนักเรียน” เป็นรายบุคคล และเพื่อ “การตัดสินใจ” วางแผนพัฒนาของโรงเรียน 2
  4. BP 4: การมีส่วนร่วมของเครือข่าย (Network Collaboration): “ขบวนการ” (Movement) จะเกิดขึ้นไม่ได้หากโรงเรียนทำงานแบบโดดเดี่ยว การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนและระหว่างจังหวัด (เช่น ศรีสะเกษ, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์) 6 ช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาและสร้างการเรียนรู้ข้ามพื้นที่

5.2 เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาระบบและบุคลากร (สรุป)

จากแนวปฏิบัติทั้งหมด สามารถสรุป “ชุดเครื่องมือ” ที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ ดังนี้:

เครื่องมือพัฒนาระบบ (System Development Tools):

เครื่องมือพัฒนาบุคลากร (People Development Tools):

5.3 การสะท้อนผลลัพธ์เพื่อการเคลื่อนที่ของ “ขบวนการ”: การประเมิน DE “ปลายน้ำ” (Downstream DE)

กระบวนการ DE มักถูกกล่าวถึงใน 3 ระยะ คือ ต้นน้ำ (Upstream) กลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) 9 ขณะที่การดำเนินงานส่วนใหญ่ (เช่น ที่เพชรบูรณ์) มักเน้น “ต้นน้ำ” คือการวางแผน 10 และ “กลางน้ำ” คือการปฏิบัติตามวงจร

ในบริบทของ TSQM-A นั้น “DE ปลายน้ำ” ไม่ใช่การประเมินสรุปผลโครงการ แต่คือ กระบวนการถอดบทเรียนเพื่อการขยายผลและสร้างความยั่งยืน (Scaling and Sustainability) นี่คือขั้นตอนที่ “ขบวนการ” (Movement) จะเติบโตได้ด้วยตนเอง

กระบวนการ DE ปลายน้ำ ประกอบด้วย:

  1. การสังเคราะห์นวัตกรรม: ศึกษานิเทศก์และเขตพื้นที่การศึกษา 6 รวบรวม “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) ที่เกิดขึ้นจากวงจร DE “กลางน้ำ” ของโรงเรียนต่างๆ
  2. การปรับระบบสนับสนุน: เขตพื้นที่การศึกษา (Area) ต้องใช้ DE กับตัวเอง โดยนำบทเรียนที่ได้จากโรงเรียนมา “สะท้อนกลับ” (Reflection) และ “ปรับเปลี่ยน” ระบบสนับสนุนของตนเอง (เช่น นโยบาย, การจัดสรรงบประมาณ 7, รูปแบบการนิเทศ) เพื่อรองรับนวัตกรรมที่เกิดขึ้น
  3. การส่งมอบ “ขบวนการ”: นี่คือเป้าหมายสูงสุด คือการเปลี่ยนจาก “โครงการ” ที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก (เช่น กสศ. 9) ไปสู่ “ขบวนการ” (Movement) ที่เขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนสามารถขับเคลื่อนวงจรการเรียนรู้นี้ได้เองอย่างยั่งยืน

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

การประเมินเชิงพัฒนา (DE) ไม่ใช่ “เครื่องมือ” ที่ใช้ครั้งเดียวจบ แต่คือ “ทักษะ” และ “วัฒนธรรม” การเรียนรู้ที่ต้องสร้างอย่างต่อเนื่อง การใช้คู่มือนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด แต่อยู่ที่การยอมรับ “การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์” ในการทำงาน

หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงบทบาทของ ผู้บริหารสถานศึกษา (จากผู้สั่งการ สู่ ผู้นำทีมเรียนรู้) และ ศึกษานิเทศก์ (จากผู้ประเมิน สู่ โค้ชผู้หนุนเสริม) เมื่อทั้งสองฝ่ายสามารถสร้าง “ทีมเรียนรู้ระดับพื้นที่” (Area-Based Learning Team) ที่ทำงานบนฐานของความไว้วางใจและมีเป้าหมายร่วมกันที่ตัวเด็ก (Child-centric) 2

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุด คือ เครือข่าย TSQM-A ระดับประเทศและระดับพื้นที่ ควรมุ่งลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนา “ทักษะการเป็นผู้ประเมินเชิงพัฒนา” (DE Facilitation Skills) ให้กับบุคลากรหลักทั้งสองกลุ่มนี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถเป็น “สถาปนิก” ผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ซับซ้อนนี้ และนำพาขบวนการ TSQM-A ให้เติบโตต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน

Works cited

  1. การประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) ช่วงต้น … – ThaiJO, accessed November 5, 2025, https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/download/254689/171889/951137
  2. โรงเรียนไกลเมืองก็พัฒนาได้: บทเรียนจากโครงการ TSQM ที่เปลี่ยนคุณภาพ …, accessed November 5, 2025, https://iamkru.com/research-bite-tsqm/
  3. จาก TSQP สู่ TSQM รวมพลังขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ เปลี่ยน …, accessed November 5, 2025, https://www.eef.or.th/tsqp-tsqm-301122/
  4. accessed November 5, 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/download/279976/188259/1206217#:~:text=(TSQM%2DA)-,%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%20%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87,%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94
  5. โครงการขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (Teacher and, accessed November 5, 2025, https://ssk3.go.th/web/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81/
  6. รายงานความก้าวหน้าตามแผนการดำเนินงานและแผน, accessed November 5, 2025, https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2024/04/oiteef2024-o8.pdf
  7. การบริหารโรงเรียนขนาดเล็กในฐานะโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิง … – thaijo.org, accessed November 5, 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/download/279976/188259/1206217
  8. ร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดประสบการณ์การขับเคลื่อน โครงการ TSQM-A จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดภูเก็ต, accessed November 5, 2025, http://www.phuketarea.go.th/web/view.php?article_id=16497
  9. โครงการสนับสนุนกระบวนการประเมินเชิงพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ​, accessed November 5, 2025, https://www.scbfoundation.com/media_knowledge/presentation/1860/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-DE-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2565-21517
  10. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่18 ฉบ, accessed November 5, 2025, https://asea2025.scoutthailand.org/document/Proceedings_ASEA2025.pdf

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Exit mobile version