ถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) เพื่อขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)
ถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) เพื่อขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com
__________________________________
บทสรุปผู้บริหาร
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ ในการนำเครื่องมือ “การประเมินเชิงพัฒนา” (Developmental Evaluation: DE) มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการถอดบทเรียน หนุนเสริม และขับเคลื่อน “ขบวนการพัฒนาตนเองของครูและโรงเรียนเชิงพื้นที่” (Teacher and School Quality Movement-Area: TSQM-A)
หัวใจสำคัญของบทความนี้คือการนำเสนอ “โมเดลการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ” ที่ผสานวงจรการประเมิน DE 6 ขั้นตอน 1 เข้ากับ 6 มาตรการหลักของโครงการ TSQM-A 2 อย่างเป็นระบบ เพื่อเปลี่ยนกระบวนการประเมินจากการ “ตัดสินผล” (Summative) ไปสู่การ “เรียนรู้เพื่อปรับปรุง” (Formative) อย่างต่อเนื่อง
ข้อค้นพบสำคัญชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของการขับเคลื่อน TSQM-A ในบริบทเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อนสูง (Area-based) ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการประเมินแบบดั้งเดิม DE จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบเรียลไทม์และการพัฒนานวัตกรรม 1 โดยมีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ที่สำคัญ ได้แก่ การใช้กรอบการวัดผลลัพธ์ที่ยืดหยุ่น (V-A-S-K: Value, Attitudes, Skill, Knowledge) 2 และการใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เป็นพื้นที่สะท้อนกลับ (Reflection) ที่สำคัญที่สุด 1
กุญแจสู่ความสำเร็จที่คู่มือนี้เน้นย้ำ คือ การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์เชิงบทบาท (Role Paradigm Shift) ของบุคลากรหลักสองกลุ่ม:
- ผู้บริหารสถานศึกษา: ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้บริหารจัดการ” (Administrator) สู่ “ผู้นำทีมเรียนรู้” (Learning Leader) ภายในสถานศึกษา
- ศึกษานิเทศก์: ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ประเมิน” (Inspector) สู่ “ผู้ร่วมเรียนรู้” และ “โค้ช” (Developmental Evaluator/Coach) ที่ทำหน้าที่หนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ของพื้นที่
บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนการวางแผน การทำงานร่วมกัน และกระบวนการนิเทศทั้งระบบ ที่ออกแบบมาเพื่อสร้าง “ทีมเรียนรู้ระดับพื้นที่” (Area-Based Learning Team) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการถอดบทเรียนและสร้างความยั่งยืนให้กับขบวนการ TSQM-A ต่อไป
ส่วนที่ 1: การวางกรอบการเรียนรู้เชิงระบบ: ทำความเข้าใจ TSQM-A และ Developmental Evaluation (DE)
ก่อนที่จะเข้าสู่แนวทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจ “ภาษา” และ “หลักการ” ร่วมกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพตรงกันว่า “ทำไม” และ “อะไร” คือหัวใจของการขับเคลื่อนครั้งนี้
1.1 TSQM-A: จาก “โครงการ” สู่ “ขบวนการ” พัฒนาตนเอง
ขบวนการพัฒนาตนเองของครูและโรงเรียนเชิงพื้นที่ (TSQM-A) คือ วิวัฒนาการที่สำคัญจากการดำเนินงานในอดีต สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ
การวิวัฒนาการที่มีความหมาย: จาก TSQP สู่ TSQM-A
การทำความเข้าใจรากฐานของ TSQM-A ต้องมองย้อนไปถึงโครงการสนับสนุนกลไกขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ หรือ Teachers – School – Quality – Program (TSQP) 3 การปรับเปลี่ยนมาสู่ TSQM-A สะท้อนการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใน 2 มิติหลัก:
- จาก “Program” สู่ “Movement” (จาก โครงการ สู่ ขบวนการ): การเปลี่ยนจาก “โครงการ” (Program) ซึ่งมักมีกรอบเวลาและจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน ไปสู่ “ขบวนการ” (Movement) 3 สะท้อนเจตจำนงในการสร้าง “วัฒนธรรม” การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขับเคลื่อนจากความต้องการและความร่วมมือของคนในพื้นที่ (Bottom-up) 2 ไม่ใช่การสั่งการจากส่วนกลาง (Top-down)
- การเพิ่ม “A” (Area): การเติม “A” หรือ “เชิงพื้นที่” (Area) 4 เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานในระดับจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษา 6 TSQM-A ตระหนักว่าโรงเรียนไม่สามารถพัฒนาตนเองอย่างโดดเดี่ยวได้ แต่ต้องอาศัยระบบนิเวศการเรียนรู้ (Learning Ecosystem) และการสนับสนุนเชิงพื้นที่ (Area-based Support) ซึ่งรวมถึงการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน 2 และการสนับสนุนจากเขตพื้นที่การศึกษา
แก่นของ TSQM-A: การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach)
เป้าหมายของ TSQM-A คือการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยมีแนวคิด “โรงเรียนเป็นฐาน เด็กเป็นตัวตั้ง” (School-based, Child-centric) 2 ซึ่งหมายถึงการยกระดับคุณภาพใน 2 ส่วนหลักพร้อมกัน คือ 1) การพัฒนาคุณภาพของระบบบริหารจัดการโรงเรียน และ 2) การจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูงในชั้นเรียน 3
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ TSQM-A ได้สรุป 6 มาตรการหลักในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole-School Approach Measures) 2 อันได้แก่:
- การกำหนดเป้าหมายและแผนพัฒนาโรงเรียน (School Goal) ที่ชัดเจน
- ระบบสารสนเทศคุณภาพ (Q-Info) เพื่อการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและพัฒนาผู้เรียน
- ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกันของครู
- นวัตกรรมห้องเรียน (Classroom Innovation) ที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
- เครือข่ายโรงเรียน (School Network) เพื่อการทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
- ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โมเดลการบริหาร H O M E
เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริหารสามารถขับเคลื่อน 6 มาตรการข้างต้นได้ โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร 7 ได้มีการนำเสนอโมเดลการบริหาร 4 มิติ หรือ H O M E 7 เพื่อเป็นกรอบคิดในการบริหารจัดการ ได้แก่:
- H (Humanity): การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (ครูและบุคลากร)
- O (Opportunity): การสร้างโอกาสพัฒนาและการบูรณาการ
- M (Money): การบริหารจัดการงบประมาณคุณภาพ
- E (Environment): การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้
1.2 Developmental Evaluation (DE): เครื่องมือสำหรับ “การเรียนรู้” ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
นิยามและหลักการสำคัญของ DE
การประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) คือ รูปแบบการประเมินแบบพิเศษที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการประเมินผลแบบสรุป (Summative) หรือการประเมินเพื่อตัดสิน “ผ่าน/ไม่ผ่าน” 1
หลักการสำคัญของ DE มีดังนี้ 1:
- เป็นการประเมิน “เพื่อพัฒนา” (Formative): DE ไม่ได้มุ่งเน้นที่การตัดสินความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เน้นการเก็บข้อมูลเพื่อ “ปรับปรุง” และ “พัฒนานวัตกรรม” อย่างต่อเนื่อง
- เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research): DE คือกระบวนการที่ผู้ประเมินและผู้ถูกประเมินทำงานร่วมกันเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงการปฏิบัติงานไปพร้อมกัน
- เน้นการมีส่วนร่วม (Participation): DE อาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกกลุ่มเป้าหมาย (นักเรียน, ครู, ผู้อำนวยการ, ผู้ปกครอง, ชุมชน, เขตพื้นที่) ในการวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็น 1
การวิเคราะห์ความเหมาะสม (DE-Context Fit): ทำไม DE จึง “จำเป็น” สำหรับ TSQM-A
DE ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์ที่มีลักษณะเฉพาะ 1 ได้แก่:
- มีความเร่งด่วน เป็นพลวัต และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- มีความซับซ้อนสูง (เช่น ต้องทำงานกับหลายฝ่าย หลายองค์กร)
- ต้องการพัฒนานวัตกรรมการทำงานใหม่ๆ
เมื่อวิเคราะห์บริบทของ “ขบวนการ TSQM-A” จะพบว่าเข้ากันได้กับสถานการณ์เหล่านี้อย่างสมบูรณ์ การพยายามยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้ง “พื้นที่” (Area) 6 การต้องทำงานกับโรงเรียนหลากหลายบริบท (เช่น โรงเรียนขนาดเล็ก 7) การมีภาคีเครือข่ายหลายฝ่าย 3 และการมุ่งสร้างนวัตกรรมในห้องเรียน 2 ล้วนเป็น “ความซับซ้อน” ที่การประเมินแบบดั้งเดิม (ที่เน้นเป้าหมายเป็นเส้นตรงและมีกรอบวัดผลชัดเจน) ไม่สามารถตอบสนองได้ 1
ดังนั้น DE จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” (Option) แต่เป็น “ความจำเป็น” (Necessity) สำหรับการขับเคลื่อน TSQM-A เพราะเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยให้ “ทีมเรียนรู้” สามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กุญแจสำคัญ: การสร้าง “ทีมเรียนรู้” (Learning Team)
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่สำคัญที่สุดที่ DE นำเสนอ คือการทลายกำแพงระหว่าง “ผู้ประเมิน” (เช่น ศึกษานิเทศก์) และ “ผู้ถูกประเมิน” (เช่น โรงเรียน) DE กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าร่วมทีมกันเป็น “ทีมเรียนรู้” (Learning Team) เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ระหว่างการประเมิน 1 นี่คือจุดเปลี่ยนที่จะส่งผลต่อบทบาทและการทำงานร่วมกันของศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษาโดยตรง
ส่วนที่ 2: วงจรการประเมินเชิงพัฒนา (DE) 6 ขั้นตอน: “ระบบปฏิบัติการ” ของ TSQM-A
หาก 6 มาตรการของ TSQM-A 2 คือ “โปรแกรม” ที่เราต้องการติดตั้งในโรงเรียน วงจร DE 6 ขั้นตอน 1 ก็เปรียบเสมือน “ระบบปฏิบัติการ” (Operating System) ที่ทำให้โปรแกรมเหล่านั้นทำงานได้จริง เกิดการเรียนรู้ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนนี้คือหัวใจของคู่มือปฏิบัติการ ที่จะอธิบายการผสาน 6 มาตรการของ TSQM-A เข้ากับวงจร DE 6 ขั้นตอน 1
วงจรที่ 1: การกำหนดเป้าหมาย (Goal Setting)
- กระบวนการ DE 1: การกำหนดเป้าหมายร่วม
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการดำเนินมาตรการ “การกำหนดเป้าหมายโรงเรียน (School Goal)”
- แนวปฏิบัติ: ขั้นตอนนี้ไม่ใช่การที่ผู้บริหารหรือศึกษานิเทศก์กำหนดเป้าหมายฝ่ายเดียว แต่เป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม (Participation) จากทุกกลุ่มเป้าหมาย (นักเรียน, ครู, ผู้ปกครอง, ชุมชน, เขตพื้นที่) 1 เพื่อกำหนด “เป้าหมายเชิงทิศทาง” ที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน เป้าหมายนี้ต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
วงจรที่ 2: การวิเคราะห์ความซับซ้อน (Complexity Analysis)
- กระบวนการ DE 1: การวิเคราะห์บริบทและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการใช้มาตรการ “ระบบสารสนเทศคุณภาพ (Q-Info)” และ “ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน”
- แนวปฏิบัติ: แทนที่จะด่วนสรุปวิธีแก้ปัญหา “ทีมเรียนรู้” (ผู้บริหาร, ครู, ศึกษานิเทศก์) ต้องร่วมกันวิเคราะห์ความซับซ้อนของบริบทโรงเรียนก่อน (เช่น ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก 7, สภาพเศรษฐกิจสังคม 7) โดยใช้ข้อมูลจาก Q-Info 2 และการเก็บข้อมูลอื่นๆ (เช่น การสังเกต, แบบสอบถาม 1) เพื่อทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียนและสภาพปัญหาของระบบ
วงจรที่ 3: การกำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ (Determining Desired Results)
- กระบวนการ DE 1: การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่สอดคล้องกับบริบท
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการใช้กรอบ V-A-S-K
- แนวปฏิบัติ: นี่คือหนึ่งในแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ที่สำคัญที่สุด DE ไม่เหมาะกับ “กรอบวัดผลที่ชัดเจนตายตัว” หรือ “เป้าหมายที่เป็นเส้นตรง” 1 ในขณะที่ TSQM-A มุ่งสร้าง “สมรรถนะในศตวรรษที่ 21” 3 กรอบการประเมินแบบ V-A-S-K (Value-คุณค่า, Attitudes-เจตคติ, Skill-ทักษะ, Knowledge-ความรู้) 2 จึงเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับปรัชญา DE อย่างสมบูรณ์ เพราะมันยืดหยุ่นและวัดผลลัพธ์ในเชิง “สมรรถนะ” ที่ซับซ้อน (เช่น คุณค่า, เจตคติ) ไม่ใช่แค่ “ความรู้” (K) ที่วัดได้ง่าย
วงจรที่ 4: การดำเนินกิจกรรม (Executing Activities)
- กระบวนการ DE 1: การลงมือปฏิบัติและทดลอง
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการดำเนินมาตรการ “นวัตกรรมห้องเรียน” และ “เครือข่ายโรงเรียน”
- แนวปฏิบัติ: ในขั้นตอนนี้ DE เปิดโอกาสให้ครูและโรงเรียน “ทดลอง” (Experimentation) นวัตกรรมการสอนใหม่ๆ 2 เช่น การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) หรือการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-based Learning) 2 โดยไม่กลัวความล้มเหลว เพราะ DE ต้องการองค์กรที่ “เปิดต่อสิ่งใหม่” 1 การเชื่อมโยง “เครือข่ายโรงเรียน” (School Network) 2 จะช่วยให้โรงเรียนต่างๆ สามารถทดลองและเรียนรู้ไปพร้อมกันได้
วงจรที่ 5: การนำข้อมูล/เครื่องมือประเมิน (Implementing Data/Tools)
- กระบวนการ DE 1: การใช้เครื่องมือเพื่อเก็บข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการใช้ “Q-Info” และ “การประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment)”
- แนวปฏิบัติ: หัวใจของขั้นตอนนี้คือการเก็บข้อมูล “ระหว่างทาง” เพื่อการ “ปรับปรุง” ไม่ใช่เพื่อ “ตัดสิน” 2 ครูใช้การประเมินระหว่างเรียน (Formative Assessment) เพื่อดูว่าเด็กเข้าใจหรือไม่ และนำมาปรับการสอนทันที 2 ข้อมูลจาก Q-Info ถูกนำมาใช้เพื่อ “ดูแลช่วยเหลือ” นักเรียน 2 ไม่ใช่แค่เพื่อการรายงานผู้บริหารหรือเขตพื้นที่
วงจรที่ 6: การสะท้อนกลับ (Reflection)
- กระบวนการ DE 1: การสะท้อนคิดเพื่อการเรียนรู้และปรับปรุง
- TSQM-A ในทางปฏิบัติ 2: คือการดำเนินมาตรการ “ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)”
- แนวปฏิบัติ: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในวงจร DE และเป็นหัวใจของการ “ถอดบทเรียน” PLC ไม่ใช่การประชุม แต่คือ “พื้นที่ปลอดภัย” (Safe Space) ที่ “ทีมเรียนรู้” (ครู, ผู้บริหาร และอาจรวมถึงศึกษานิเทศก์) มาร่วมกันสะท้อนผลว่า “อะไรได้ผล”, “อะไรไม่ได้ผล” จากการทดลองในวงจรที่ 4 โดยใช้ข้อมูลจากวงจรที่ 5 และ “เราจะปรับเปลี่ยนอะไรในวงจรถัดไป” การสะท้อนกลับนี้จะนำไปสู่การปรับ “เป้าหมาย” (วงจรที่ 1) หรือ “การวิเคราะห์ความซับซ้อน” (วงจรที่ 2) ใหม่ วงจร DE จึงหมุนต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
ส่วนที่ 3: กลไกการขับเคลื่อนระดับพื้นที่: บทบาทและการปฏิบัติสำหรับผู้บริหารและศึกษานิเทศก์
การขับเคลื่อนวงจร DE 6 ขั้นตอนข้างต้นให้เกิดขึ้นจริงได้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้เล่นหลักสองกลุ่ม คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และ ศึกษานิเทศก์
3.1 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา: ผู้นำการเปลี่ยนแปลงและ “สถาปนิก” ทีมเรียนรู้
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในกระบวนการ DE คือการเปลี่ยนจาก “ผู้บริหารจัดการ” (Administrator) ที่เน้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไปสู่ “ผู้นำการเรียนรู้” (Learning Leader) 7
การปฏิบัติที่ 1: การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อ DE
DE จะเกิดขึ้นไม่ได้หากองค์กรไม่ “เปิดต่อสิ่งใหม่” และ “ไม่มีความยืดหยุ่น” 1 ภารกิจแรกของผู้บริหารคือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ทางจิตใจ (Psychological Safety) ให้กับครู ผู้บริหารต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่า “การทดลอง” (วงจรที่ 4) และ “ความล้มเหลวเพื่อการเรียนรู้” (ในวงจรที่ 6) เป็นสิ่งที่ยอมรับได้และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา
การปฏิบัติที่ 2: การเป็น “หัวหน้าทีมเรียนรู้” (Learning Team Leader) ของโรงเรียน
ผู้บริหารต้องไม่ยืนอยู่นอกวงจร DE แต่ต้องเข้าร่วมในกระบวนการในฐานะ “สมาชิกร่วมเรียนรู้” 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงจรที่ 6 (Reflection) ผู้บริหารต้องเข้าร่วม PLC ในฐานะ “ผู้เรียนรู้” (Learner) รับฟังปัญหาและข้อจำกัดจากครู ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้สั่งการ” (Director)
การปฏิบัติที่ 3: การใช้โมเดล H O M E เป็นเครื่องมือหนุนเสริม DE
ผู้บริหารสามารถใช้โมเดลการบริหาร H O M E 7 เพื่อสนับสนุนวงจร DE ของครูอย่างเป็นรูปธรรม:
- H (Humanity): พัฒนาครูให้มีทักษะที่จำเป็นต่อ DE เช่น ทักษะการทำ Formative Assessment 2, ทักษะการสะท้อนกลับ (Reflection) 1
- O (Opportunity): สร้างโอกาสให้ครูได้ทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ (วงจรที่ 4) 2 และเชื่อมโยงเครือข่ายกับโรงเรียนอื่น (TSQM-A Network) 2
- M (Money): บริหารงบประมาณ 7 ให้มีความยืดหยุ่น 7 เพื่อสนับสนุนทรัพยากรสำหรับการทดลองนวัตกรรมที่อาจเกิดขึ้น “ระหว่างทาง”
- E (Environment): สร้าง “สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้” 7 ที่เป็นวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ (Learning Culture) ทั้งทางกายภาพและจิตใจ
3.2 สำหรับศึกษานิเทศก์: “ผู้สร้างกระบวนการ” (Facilitator) และ “โค้ช” การเปลี่ยนแปลง
นี่คือการปฏิรูปบทบาทที่สำคัญและท้าทายที่สุด บทบาทดั้งเดิมของศึกษานิเทศก์คือ “การประเมินจากภายนอก” (External Evaluation) หรือ “ผู้ตรวจ” (Inspector) ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับหลักการ “ทีมเรียนรู้” (Learning Team) ของ DE 1
ในบริบท TSQM-A ที่เน้น “เชิงพื้นที่” (Area-based) 4 ศึกษานิเทศก์คือตัวแทนที่สำคัญที่สุดของ “Area” หากศึกษานิเทศก์ไม่เปลี่ยนบทบาท กระบวนการ DE จะล้มเหลวทันที เพราะโรงเรียนจะกลับไปสู่การทำงานเพื่อ “รอรับการประเมิน” แทนที่จะ “เรียนรู้เพื่อพัฒนา”
บทบาทใหม่ของศึกษานิเทศก์ คือ “ผู้ประเมินเชิงพัฒนา” (Developmental Evaluator) หรือ “โค้ช” (Coach)
การปฏิบัติที่ 1: การออกแบบกระบวนการนิเทศที่สอดคล้องกับวงจร DE 6 ขั้นตอน
การนิเทศทั้งระบบต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด การนิเทศไม่ใช่การ “ตรวจแผนการสอน” หรือ “ประเมินการสอน” แต่เป็นการ “ร่วมกระบวนการ” กับ “ทีมเรียนรู้” ของโรงเรียน:
- วงจร 1 (Goal Setting): “ร่วมตั้งเป้าหมาย” และให้ข้อมูลสะท้อนกลับเชิงกลยุทธ์
- วงจร 2 (Complexity): “ร่วมวิเคราะห์ข้อมูล” Q-Info และบริบทของโรงเรียน
- วงจร 3 (Results): “ร่วมออกแบบ” กรอบการวัดผล V-A-S-K ที่เหมาะสม
- วงจร 6 (Reflection): “ร่วมสะท้อนผลในวง PLC” ในฐานะ “กัลยาณมิตร” หรือ “ผู้สร้างกระบวนการ” (Facilitator) ที่ช่วยตั้งคำถามกระตุ้นการเรียนรู้
การปฏิบัติที่ 2: การเป็น “ผู้เชื่อมโยงเครือข่าย” (Network Weaver)
ศึกษานิเทศก์มีมุมมองที่กว้างกว่าโรงเรียน (Area-view) จึงต้องทำหน้าที่ใช้ประโยชน์จากมาตรการ “เครือข่ายโรงเรียน” (School Network) 2 โดยเชื่อมโยงโรงเรียนที่กำลังทดลองนวัตกรรมคล้ายกัน หรือโรงเรียนที่แก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้สำเร็จ ให้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (เช่น การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างจังหวัดศรีสะเกษและภูเก็ต 6)
การปฏิบัติที่ 3: การเป็น “ผู้จัดการความรู้” (Knowledge Manager) ระดับพื้นที่
บทบาทสำคัญของศึกษานิเทศก์คือการ “ถอดบทเรียน” (Lesson Extraction) จากความสำเร็จและความล้มเหลวของโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนดูแล จากนั้นสังเคราะห์ (Synthesize) บทเรียนเหล่านี้ให้กลายเป็น “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) หรือ “นวัตกรรม” ที่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของพื้นที่
ส่วนที่ 4: การบูรณาการ “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” ผ่านการทำงานร่วมกัน
ส่วนนี้จะสรุปแนวทางการวางแผนและการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ เพื่อสร้าง “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” ที่ขับเคลื่อนด้วย DE
4.1 การวางแผนการทำงานร่วมกัน: จาก “พันธสัญญา” สู่ “ปฏิทินการเรียนรู้”
การทำงานร่วมกันต้องเริ่มต้นตั้งแต่ “ต้นน้ำ” (Upstream) 9 ผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ต้องสร้าง “เป้าหมายร่วม” (Shared Goal) โดยใช้ “เป้าหมายโรงเรียน” (School Goal) (วงจรที่ 1) 2 เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เป้าหมายของเขตพื้นที่
จากนั้น ร่วมกันออกแบบ “ปฏิทินการเรียนรู้ร่วม” (Learning Calendar) ที่ยืดหยุ่น แทนที่ปฏิทินการนิเทศแบบเดิม ปฏิทินนี้ต้องกำหนด “จุดนัดพบเพื่อการสะท้อนกลับ” (DE Reflection Points) ที่ชัดเจน เช่น การประชุม PLC ร่วม, การทบทวนข้อมูล Q-Info ประจำไตรมาส, หรือเวทีถอดบทเรียนครึ่งปี
4.2 การสร้าง “ทีมเรียนรู้” ระดับพื้นที่ (Area-Based Learning Team)
โมเดลนี้คือการขยาย “ทีมเรียนรู้” 1 ให้ครอบคลุมทั้งโรงเรียน (นำโดยผู้บริหาร) และเขตพื้นที่ (นำโดยศึกษานิเทศก์) ตารางต่อไปนี้คือการสังเคราะห์บทบาทและความรับผิดชอบร่วมในวงจร DE ซึ่งถือเป็น “แผนที่การทำงาน” (Roadmap) สำหรับทั้งสองฝ่าย
ตารางที่ 1: เมทริกซ์การทำงานร่วมกันในวงจร DE-TSQM-A (The DE-TSQM-A Collaboration Matrix)
| วงจร DE 6 ขั้นตอน (ผสานมาตรการ TSQM-A) | บทบาทหลักของผู้บริหารสถานศึกษา (ผู้นำทีมเรียนรู้ภายใน) | บทบาทหลักของศึกษานิเทศก์ (โค้ชและผู้หนุนเสริม) | กระบวนการทำงานร่วมกัน / กิจกรรมการนิเทศเชิงพัฒนา |
| 1. Goal Setting (School Goal) 2 | นำกระบวนการมีส่วนร่วมภายใน 1 เพื่อสร้าง School Goal | เป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูลเชิงนโยบาย และสะท้อนความเป็นไปได้ | การประชุมวางแผน DE “ต้นน้ำ” (Upstream DE Planning) 10 เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วม |
| 2. Complexity Analysis (Q-Info) 2 | นำทีมวิเคราะห์ข้อมูล Q-Info และบริบทภายในโรงเรียน | ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในภาพกว้าง (Area) และเชื่อมโยงปัจจัยภายนอก | การวิเคราะห์ข้อมูล Q-Info และบริบทพื้นที่ (SWOT) ร่วมกัน |
| 3. Desired Results (V-A-S-K) 2 | สนับสนุนครูในการออกแบบการวัดผลแบบ V-A-S-K | ให้คำแนะนำเชิงเทคนิค (Coaching) เกี่ยวกับเครื่องมือ/วิธีการวัดผล V-A-S-K | Workshop การออกแบบการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) 2 |
| 4. Executing Activities (Innovation) 2 | สร้างพื้นที่ปลอดภัย 1 และสนับสนุนทรัพยากร (H-O-M-E) 7 ให้ครูทดลอง | สังเกตการณ์ (Observe) และเป็น “ผู้เชื่อมโยงเครือข่าย” 2 | การนิเทศแบบ “การสังเกตเพื่อการเรียนรู้” (Learning Observation) ไม่ใช่การตัดสิน |
| 5. Implementing Data (Formative Assessment) 2 | ติดตามการใช้ข้อมูล (Q-Info) เพื่อดูแลนักเรียน 2 | ช่วยเหลือเชิงเทคนิคในการใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล | การประชุมทบทวนข้อมูล (Data Review Meeting) เพื่อดูแนวโน้ม |
| 6. Reflection (PLC) 2 | เข้าร่วม PLC ในฐานะผู้เรียนรู้ 1 และนำผลไปปรับแผนบริหาร | เข้าร่วม PLC ในฐานะ “ผู้สร้างกระบวนการ” (Facilitator) ตั้งคำถามกระตุ้นการเรียนรู้ | “วง PLC ร่วม” (Co-PLC) หรือเวทีถอดบทเรียน (Lesson Extraction) ประจำไตรมาส |
4.3 วงจรการนิเทศเชิงพัฒนา (The Developmental Supervision Cycle)
จากตารางข้างต้น “กระบวนการนิเทศทั้งระบบ” จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง:
- ระบบเดิม (ถูกแทนที่): ศึกษานิเทศก์ ตรวจสอบเอกสาร -> สังเกตการสอน -> ให้คะแนน/ตัดสิน -> รายงานผลต่อผู้บังคับบัญชา
- ระบบใหม่ (DE): ศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร ร่วมวิเคราะห์บริบท -> ร่วมออกแบบการทดลอง (นวัตกรรม) -> สังเกตเพื่อเก็บข้อมูลให้ทีม -> ร่วมสะท้อนผลในวง PLC -> ร่วมปรับแผนในวงจรถัดไป
ส่วนที่ 5: แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) และเครื่องมือสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
จากการประยุกต์ใช้ DE ในเครือข่าย TSQM-A สามารถสังเคราะห์ “บทเรียน” และ “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) ที่สำคัญ เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบและบุคลากรให้เกิดความยั่งยืน
5.1 การถอดบทเรียนและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจากเครือข่าย TSQM-A
- BP 1: การเอาชนะอุปสรรคเรื่องทรัพยากร (โรงเรียนขนาดเล็กก็ทำได้): บทเรียนจาก TSQM-A พิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหาเรื่องทรัพยากร, ครูไม่ครบชั้น หรือการเป็นโรงเรียนไกลเมือง ไม่ใช่อุปสรรคในการพัฒนา 2 หากโรงเรียนมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน (6 มาตรการ) และกระบวนการเรียนรู้ภายในที่ดี (DE) โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ใช้โมเดล H O M E 7 จะสามารถพัฒนาคุณภาพได้ทั้งระบบ
- BP 2: พลังของ PLC ในฐานะกลไกสะท้อนกลับ (PLC as Reflection Engine): PLC 2 คือหัวใจของวงจรที่ 6 (Reflection) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นกลไกที่ทำให้ครูรู้สึกไม่โดดเดี่ยว 2 และที่สำคัญที่สุด คือการได้เห็นว่าความพยายามของตนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเด็ก (เช่น เด็กสนใจเรียนมากขึ้น) สิ่งนี้กลายเป็น “พลังใจใหม่” (New Energy) ให้กับครู 2
- BP 3: การใช้ข้อมูลเป็นฐานเพื่อการดูแล (Data-Informed Care): การใช้ระบบ Q-Info 2 จะประสบความสำเร็จเมื่อเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการ “รายงาน” (Reporting) ไปสู่ “การดูแล” (Caring) ข้อมูลในระบบถูกนำมาใช้เพื่อ “ดูแลช่วยเหลือนักเรียน” เป็นรายบุคคล และเพื่อ “การตัดสินใจ” วางแผนพัฒนาของโรงเรียน 2
- BP 4: การมีส่วนร่วมของเครือข่าย (Network Collaboration): “ขบวนการ” (Movement) จะเกิดขึ้นไม่ได้หากโรงเรียนทำงานแบบโดดเดี่ยว การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนและระหว่างจังหวัด (เช่น ศรีสะเกษ, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์) 6 ช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาและสร้างการเรียนรู้ข้ามพื้นที่
5.2 เครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาระบบและบุคลากร (สรุป)
จากแนวปฏิบัติทั้งหมด สามารถสรุป “ชุดเครื่องมือ” ที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารและศึกษานิเทศก์ ดังนี้:
เครื่องมือพัฒนาระบบ (System Development Tools):
- ระบบสารสนเทศคุณภาพ (Q-Info) 2
- เครือข่ายโรงเรียน (School Network) 2
- โมเดลการบริหาร H O M E (สำหรับผู้บริหาร) 7
เครื่องมือพัฒนาบุคลากร (People Development Tools):
- กรอบการประเมิน V-A-S-K (Value, Attitudes, Skill, Knowledge) 2
- กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) 2
- ชุดนวัตกรรมการเรียนรู้ (เช่น Active Learning, Project-based Learning) 2
- วงจรการประเมินเชิงพัฒนา 6 ขั้นตอน (DE Cycle) 1
5.3 การสะท้อนผลลัพธ์เพื่อการเคลื่อนที่ของ “ขบวนการ”: การประเมิน DE “ปลายน้ำ” (Downstream DE)
กระบวนการ DE มักถูกกล่าวถึงใน 3 ระยะ คือ ต้นน้ำ (Upstream) กลางน้ำ (Midstream) และปลายน้ำ (Downstream) 9 ขณะที่การดำเนินงานส่วนใหญ่ (เช่น ที่เพชรบูรณ์) มักเน้น “ต้นน้ำ” คือการวางแผน 10 และ “กลางน้ำ” คือการปฏิบัติตามวงจร
ในบริบทของ TSQM-A นั้น “DE ปลายน้ำ” ไม่ใช่การประเมินสรุปผลโครงการ แต่คือ กระบวนการถอดบทเรียนเพื่อการขยายผลและสร้างความยั่งยืน (Scaling and Sustainability) นี่คือขั้นตอนที่ “ขบวนการ” (Movement) จะเติบโตได้ด้วยตนเอง
กระบวนการ DE ปลายน้ำ ประกอบด้วย:
- การสังเคราะห์นวัตกรรม: ศึกษานิเทศก์และเขตพื้นที่การศึกษา 6 รวบรวม “แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practices) ที่เกิดขึ้นจากวงจร DE “กลางน้ำ” ของโรงเรียนต่างๆ
- การปรับระบบสนับสนุน: เขตพื้นที่การศึกษา (Area) ต้องใช้ DE กับตัวเอง โดยนำบทเรียนที่ได้จากโรงเรียนมา “สะท้อนกลับ” (Reflection) และ “ปรับเปลี่ยน” ระบบสนับสนุนของตนเอง (เช่น นโยบาย, การจัดสรรงบประมาณ 7, รูปแบบการนิเทศ) เพื่อรองรับนวัตกรรมที่เกิดขึ้น
- การส่งมอบ “ขบวนการ”: นี่คือเป้าหมายสูงสุด คือการเปลี่ยนจาก “โครงการ” ที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก (เช่น กสศ. 9) ไปสู่ “ขบวนการ” (Movement) ที่เขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนสามารถขับเคลื่อนวงจรการเรียนรู้นี้ได้เองอย่างยั่งยืน
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การประเมินเชิงพัฒนา (DE) ไม่ใช่ “เครื่องมือ” ที่ใช้ครั้งเดียวจบ แต่คือ “ทักษะ” และ “วัฒนธรรม” การเรียนรู้ที่ต้องสร้างอย่างต่อเนื่อง การใช้คู่มือนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด แต่อยู่ที่การยอมรับ “การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์” ในการทำงาน
หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงบทบาทของ ผู้บริหารสถานศึกษา (จากผู้สั่งการ สู่ ผู้นำทีมเรียนรู้) และ ศึกษานิเทศก์ (จากผู้ประเมิน สู่ โค้ชผู้หนุนเสริม) เมื่อทั้งสองฝ่ายสามารถสร้าง “ทีมเรียนรู้ระดับพื้นที่” (Area-Based Learning Team) ที่ทำงานบนฐานของความไว้วางใจและมีเป้าหมายร่วมกันที่ตัวเด็ก (Child-centric) 2
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุด คือ เครือข่าย TSQM-A ระดับประเทศและระดับพื้นที่ ควรมุ่งลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนา “ทักษะการเป็นผู้ประเมินเชิงพัฒนา” (DE Facilitation Skills) ให้กับบุคลากรหลักทั้งสองกลุ่มนี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถเป็น “สถาปนิก” ผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ซับซ้อนนี้ และนำพาขบวนการ TSQM-A ให้เติบโตต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
Works cited
- การประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) ช่วงต้น … – ThaiJO, accessed November 5, 2025, https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/article/download/254689/171889/951137
- โรงเรียนไกลเมืองก็พัฒนาได้: บทเรียนจากโครงการ TSQM ที่เปลี่ยนคุณภาพ …, accessed November 5, 2025, https://iamkru.com/research-bite-tsqm/
- จาก TSQP สู่ TSQM รวมพลังขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ เปลี่ยน …, accessed November 5, 2025, https://www.eef.or.th/tsqp-tsqm-301122/
- accessed November 5, 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/download/279976/188259/1206217#:~:text=(TSQM%2DA)-,%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%20%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87,%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94
- โครงการขับเคลื่อนขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (Teacher and, accessed November 5, 2025, https://ssk3.go.th/web/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81/
- รายงานความก้าวหน้าตามแผนการดำเนินงานและแผน, accessed November 5, 2025, https://www.eef.or.th/wp-content/uploads/2024/04/oiteef2024-o8.pdf
- การบริหารโรงเรียนขนาดเล็กในฐานะโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิง … – thaijo.org, accessed November 5, 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/download/279976/188259/1206217
- ร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดประสบการณ์การขับเคลื่อน โครงการ TSQM-A จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดภูเก็ต, accessed November 5, 2025, http://www.phuketarea.go.th/web/view.php?article_id=16497
- โครงการสนับสนุนกระบวนการประเมินเชิงพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ, accessed November 5, 2025, https://www.scbfoundation.com/media_knowledge/presentation/1860/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-DE-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2565-21517
- วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่18 ฉบ, accessed November 5, 2025, https://asea2025.scoutthailand.org/document/Proceedings_ASEA2025.pdf
Comments
Powered by Facebook Comments

