การออกแบบและประเมินผลการสอนเพื่อความสำเร็จที่เป็นเลิศ (Instructional Design: ID)
การออกแบบและประเมินผลการสอนเพื่อความสำเร็จที่เป็นเลิศ (Instructional Design: ID)
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 10 ตุลาคม 2568
__________________________________
บทนำ: ศาสตร์และศิลป์แห่งการออกแบบการสอนในบริบทการศึกษายุคใหม่
นิยามและความสำคัญของการออกแบบการสอนเชิงระบบ
ในโลกการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสอนไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนอีกต่อไป แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่กระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นระบบ การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design: ID) จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะศาสตร์และศิลป์ที่ว่าด้วยการวางแผนกระบวนการจัดการเรียนการสอนอย่างมีโครงสร้าง.1 นิยามของการออกแบบการสอนนั้นหมายถึง การพัฒนากระบวนการที่เป็นระบบ ซึ่งนำหลักการของการเรียนรู้ (Learning) และหลักการสอน (Instruction) มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเพิ่มพูนศักยภาพของผู้เรียน.1 กระบวนการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ แต่เป็นกรอบการทำงานที่มีลำดับขั้นตอน เป็นเหตุเป็นผล และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด.2
หัวใจหลักของการออกแบบการสอนคือการคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการอย่างบูรณาการ ได้แก่ กระบวนการ (Method), สื่อ (Media), และ ผู้เรียน (Learner).1 เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสื่อการสอนและกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centered) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง ทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และประสบการณ์ที่น่าจดจำ.4 แนวทางที่เป็นระบบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหา วัตถุประสงค์ และวิธีการประเมินผลทั้งหมดสอดคล้องกันอย่างลงตัว เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ที่ต้องการ.6 ด้วยเหตุนี้ การออกแบบการสอนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงอุดมศึกษา รวมถึงการฝึกอบรมในภาครัฐและองค์กรเอกชน ซึ่งต่างก็มุ่งหวังในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ.4
เหตุใด “การประเมินผล” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสอนที่ประสบความสำเร็จ
หากการออกแบบการสอนเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของการสร้างบ้าน “การประเมินผล” ก็เปรียบได้กับการตรวจสอบโครงสร้างและคุณภาพในทุกขั้นตอนของการก่อสร้าง จนกระทั่งบ้านเสร็จสมบูรณ์และพร้อมเข้าอยู่ การประเมินผลคือกลไกสำคัญที่เปลี่ยนสถานะของ “การสอน” จากเพียง “การบอก” ไปสู่ “การสร้างความเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้” ในตัวผู้เรียน เป็นกระบวนการที่ช่วยยืนยันว่าวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ และให้ข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง.5
ในกระบวนทัศน์การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การประเมินผลยิ่งทวีความสำคัญ เพราะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ครูสามารถเข้าใจความต้องการ ความก้าวหน้า และผลลัพธ์ของผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างแท้จริง.5 อย่างไรก็ตาม บทบาทของการประเมินผลในการออกแบบการสอนนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าการให้เกรดหรือการจัดสอบปลายภาค การนำกระบวนการออกแบบการสอนมาใช้อย่างเต็มศักยภาพนั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคำถามพื้นฐานที่ครูใช้ในการทบทวนการทำงานของตนเอง จากเดิมที่มักจะถามว่า “เราสอนอะไรไปบ้าง” (Did I teach it?) ซึ่งเป็นคำถามที่มุ่งเน้นไปที่การกระทำของผู้สอนและการครอบคลุมเนื้อหา ไปสู่คำถามที่ซับซ้อนและมีความหมายมากกว่า นั่นคือ “ผู้เรียนได้เรียนรู้หรือไม่ และพวกเขาสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงหรือเปล่า” (Did they learn it and can they use it?).
การเปลี่ยนมุมมองนี้คือแก่นแท้ที่ทำให้การออกแบบการสอนทรงพลัง เพราะมันย้ายจุดสนใจจาก “การส่งมอบข้อมูล” (Information Delivery) ไปสู่ “การสร้างสมรรถนะ” (Competency Building) ในตัวผู้เรียน.5 การสอนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงไม่ได้วัดกันที่ปริมาณเนื้อหาที่ครูพูดในห้องเรียน แต่วัดจากความสามารถที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังจากสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้แล้ว ดังนั้น การประเมินผลจึงไม่ใช่เพียงขั้นตอนสุดท้าย แต่เป็นชีพจรที่หล่อเลี้ยงทุกองคาพยพของกระบวนการออกแบบการสอน เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนด้านเวลาและทรัพยากรทางการศึกษานั้นนำไปสู่ความสำเร็จที่จับต้องได้จริง.
บทที่ 1: ADDIE Model – กรอบการทำงานเชิงระบบแบบดั้งเดิม
ADDIE Model คือหนึ่งในกรอบการออกแบบการสอนที่เป็นที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด เปรียบเสมือนรากฐานของกระบวนการออกแบบเชิงระบบจำนวนมาก.7 ชื่อ ADDIE เป็นตัวย่อของ 5 ขั้นตอนหลักที่ดำเนินไปอย่างเป็นลำดับ ได้แก่ การวิเคราะห์ (Analyze), การออกแบบ (Design), การพัฒนา (Develop), การนำไปใช้ (Implement), และการประเมินผล (Evaluate).6 โมเดลนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดย Florida State University ในปี 1975 สำหรับกองทัพสหรัฐฯ และต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานในหลากหลายวงการ.7
เจาะลึก 5 ขั้นตอน: วิเคราะห์ (Analyze), ออกแบบ (Design), พัฒนา (Develop), นำไปใช้ (Implement), และประเมินผล (Evaluate)
ADDIE Model นำเสนอโครงสร้างที่ชัดเจนและเป็นขั้นเป็นตอน ช่วยให้นักออกแบบการสอนหรือครูผู้สอนสามารถพิจารณาและจัดการกับทุกแง่มุมที่สำคัญของการสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุม.6
- 1. Analysis (การวิเคราะห์): ขั้นตอนนี้คือรากฐานของกระบวนการทั้งหมด.12 เป็นขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการอย่างถ่องแท้.11 กิจกรรมหลักในขั้นตอนนี้คือการประเมินความต้องการจำเป็น (Needs Analysis) เพื่อระบุช่องว่างระหว่างสภาพปัจจุบันกับเป้าหมายที่ต้องการ.7 คำถามสำคัญที่ต้องตอบในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้เรียนคือใคร มีลักษณะอย่างไร มีความรู้พื้นฐานระดับไหน (Who are the learners?) 7, พฤติกรรมใหม่ที่คาดหวังคืออะไร (What is the desired new behavior?) 7, และมีข้อจำกัดใดบ้าง เช่น เวลา งบประมาณ หรือเทคโนโลยี.9 ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้คือความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายการเรียนรู้และบริบทแวดล้อมทั้งหมด.13
- 2. Design (การออกแบบ): หากขั้นตอนการวิเคราะห์คือการกำหนด “ว่าต้องการไปที่ไหน” ขั้นตอนการออกแบบก็คือการวาด “แผนที่” เพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น.11 ในขั้นตอนนี้จะเป็นการวางพิมพ์เขียวสำหรับบทเรียนหรือหลักสูตร.14 กิจกรรมจะประกอบด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมที่ชัดเจนและวัดผลได้, การเลือกเครื่องมือประเมินผล, การวางโครงสร้างเนื้อหา, การวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ และการเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสม.7 การออกแบบในขั้นตอนนี้ต้องเป็นไปอย่าง “เป็นระบบ” (Systematic) คือมีตรรกะและลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน และ “เฉพาะเจาะจง” (Specific) คือใส่ใจในรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบ.7
- 3. Development (การพัฒนา): ขั้นตอนนี้คือการลงมือสร้างและผลิตสื่อการเรียนการสอนตามพิมพ์เขียวที่ได้ออกแบบไว้.7 นักออกแบบหรือครูจะเริ่มสร้างสื่อต่างๆ เช่น สไลด์นำเสนอ วิดีโอ แบบฝึกหัด หรือคู่มือสำหรับผู้เรียน.8 ในกรณีของการพัฒนาสื่ออีเลิร์นนิง อาจรวมถึงการเขียนสตอรี่บอร์ดและการเขียนโปรแกรม.7 สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้คือการทดสอบนำร่อง (Pilot Testing) กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก เพื่อตรวจสอบหาข้อผิดพลาดและรับฟังความคิดเห็นก่อนที่จะนำไปใช้จริงในวงกว้าง การทำเช่นนี้ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขภายหลังได้เป็นอย่างมาก.11
- 4. Implementation (การนำไปใช้): นี่คือขั้นตอนของการนำบทเรียนหรือหลักสูตรที่พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้วไปใช้กับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายจริง.10 ขั้นตอนนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การส่งมอบสื่อการสอน แต่ยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมทั้งในฝั่งผู้สอนและผู้เรียน.7 ผู้สอนต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับหลักสูตร วิธีการสอน และขั้นตอนการประเมินผล ส่วนผู้เรียนอาจต้องได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเครื่องมือหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะใช้ในการเรียน.7
- 5. Evaluation (การประเมินผล): ขั้นตอนสุดท้ายของวงจร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวัดความสำเร็จของโปรแกรมการสอนทั้งหมด จะกล่าวถึงในรายละเอียดในหัวข้อถัดไป.
การประเมินผลใน ADDIE Model: การวัดความสำเร็จอย่างเป็นระบบ
แม้ว่าการประเมินผล (Evaluation) จะปรากฏเป็นขั้นตอนสุดท้ายในตัวย่อ ADDIE แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การประเมินผลไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตอนท้ายสุดเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่แทรกซึมอยู่ตลอดทั้ง 5 ขั้นตอน.9 การประเมินผลใน ADDIE Model แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก 7:
การประเมินระหว่างทาง (Formative Evaluation): คือการประเมินที่เกิดขึ้น “ในแต่ละขั้นตอน” ของกระบวนการ ADDIE.7 เป้าหมายของการประเมินรูปแบบนี้คือเพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะเพื่อ “การพัฒนาและปรับปรุง” (วัดเพื่อพัฒนา) ในระหว่างทาง.12 ตัวอย่างเช่น:
- ในขั้น Analysis: การให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทบทวนและยืนยันผลการวิเคราะห์ความต้องการ
- ในขั้น Design: การให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาตรวจสอบความถูกต้องของวัตถุประสงค์และโครงสร้างบทเรียน
- ในขั้น Development: การทดสอบนำร่อง (Pilot Test) สื่อการสอนกับกลุ่มผู้เรียนตัวอย่างเพื่อหาจุดที่ต้องแก้ไข 11
- ในขั้น Implementation: การสังเกตการณ์ในชั้นเรียนเพื่อดูว่ากิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ การประเมินระหว่างทางเป็นกลไกที่ทำให้กระบวนการ ADDIE มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง.8
การประเมินสรุปรวบยอด (Summative Evaluation): คือการประเมินที่เกิดขึ้น “หลังจาก” การนำไปใช้ (Implementation) สิ้นสุดลงแล้ว.7 เป้าหมายคือเพื่อตัดสินประสิทธิภาพโดยรวมของหลักสูตรหรือบทเรียนว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ได้หรือไม่.12 นี่คือการประเมินเพื่อสรุปผลรวม (ประเมินสรุป).12 เครื่องมือที่ใช้มักจะเป็นการทดสอบหลังเรียน (Post-test), การประเมินผลงานหรือโครงการ, การสำรวจความพึงพอใจ, หรือการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน.13 ผลลัพธ์จากการประเมินสรุปรวบยอดมักจะถูกนำไปใช้ในการตัดสินใจว่าจะใช้โปรแกรมการสอนนี้ต่อไป, ปรับปรุงแก้ไข, หรือยุติการใช้งาน.
ในทางทฤษฎี ADDIE Model มีความยืดหยุ่นและสนับสนุนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการประเมินระหว่างทางในทุกขั้นตอน.6 อย่างไรก็ตาม ในการนำไปปฏิบัติจริง โครงสร้างที่เป็นลำดับ 5 ขั้นตอนที่ชัดเจนมักจะส่งเสริมให้ผู้ใช้ดำเนินงานในลักษณะเชิงเส้นตรง (Linear) หรือแบบ “น้ำตก” (Waterfall) คือทำให้เสร็จทีละขั้นตอนก่อนจะไปยังขั้นตอนถัดไป.10 การทำงานในลักษณะนี้อาจนำไปสู่ความท้าทาย เช่น การค้นพบข้อผิดพลาดในการออกแบบในขั้นตอนท้ายๆ ซึ่งทำให้การแก้ไขทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง หรือการที่ความต้องการของผู้เรียนเปลี่ยนแปลงไประหว่างกระบวนการที่ยาวนาน.8
ดังนั้น สำหรับครูผู้สอนที่ต้องการใช้ ADDIE Model ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นต้องมีความ “ตั้งใจ” ที่จะวนกลับไปทบทวนและประเมินผลในแต่ละขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอ ต้องสร้างวินัยในการ “ประเมินการวิเคราะห์” ก่อนเริ่ม “ออกแบบ” และ “ประเมินการออกแบบ” ก่อนเริ่ม “พัฒนา” หากขาดซึ่งวินัยนี้ โมเดลก็จะกลับไปสู่รูปแบบการทำงานเชิงเส้นตรงที่ขาดความยืดหยุ่นโดยธรรมชาติ.
บทที่ 2: ASSURE Model – เน้นผู้เรียน สื่อ และเทคโนโลยี
ในขณะที่ ADDIE Model เป็นกรอบการทำงานที่ครอบคลุมและเป็นสากล ASSURE Model ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีเป้าประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงกว่า นั่นคือการเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับครูผู้สอนในการวางแผนและจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยเน้นที่ “การบูรณาการสื่อและเทคโนโลยี” อย่างเป็นระบบ.18 ชื่อ ASSURE เป็นตัวย่อที่สะท้อนถึง 6 องค์ประกอบสำคัญของกระบวนการวางแผนการสอน.21
ถอดรหัส 6 องค์ประกอบของ ASSURE
ASSURE Model นำเสนอขั้นตอนที่ชัดเจนซึ่งช่วยให้ครูมั่นใจได้ว่าสื่อการสอนที่เลือกใช้จะถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้สูงสุด.22
- A – Analyze Learners (วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน): ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจผู้เรียน.23 การวิเคราะห์นี้ครอบคลุมทั้งลักษณะทั่วไป (เช่น อายุ, ระดับชั้น, ความสามารถทางวิชาการ) และลักษณะเฉพาะ (เช่น ความรู้และทักษะพื้นฐานที่มีมาก่อน, รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Styles) เช่น การเรียนรู้ผ่านการมองเห็น การฟัง หรือการลงมือทำ, และทัศนคติต่อวิชา).19 ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจในขั้นตอนต่อๆ ไปทั้งหมด.
- S – State Objectives (กำหนดวัตถุประสงค์): หลังจากเข้าใจผู้เรียนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจนและวัดผลได้.19 วัตถุประสงค์ที่ดีจะระบุว่าเมื่อสิ้นสุดบทเรียนแล้ว ผู้เรียนจะ “สามารถทำอะไรได้บ้าง” (Behavior).19 วัตถุประสงค์เหล่านี้มักจะถูกจัดหมวดหมู่ตามขอบเขตการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย (Cognitive Domain – ความรู้ความเข้าใจ), จิตพิสัย (Affective Domain – ทัศนคติ ค่านิยม), และทักษะพิสัย (Psychomotor Domain – ทักษะการปฏิบัติ).24
- S – Select Methods, Media, and Materials (เลือกวิธีการ สื่อ และวัสดุ): เมื่อมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแล้ว ครูจะเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกกลยุทธ์การสอน (Methods), รูปแบบของสื่อ (Media), และสื่อการสอนเฉพาะ (Materials) ที่จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์นั้นได้ดีที่สุด.19 กระบวนการนี้อาจเป็นการเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว, การดัดแปลงสื่อเดิม, หรือการออกแบบสร้างสื่อขึ้นมาใหม่ทั้งหมด.24
- U – Utilize Media and Materials (ใช้สื่อและวัสดุ): ขั้นตอนนี้คือการนำสื่อที่เลือกไว้ไปใช้ในสถานการณ์การสอนจริง ซึ่งต้องอาศัยการเตรียมการอย่างดีที่เรียกว่า “กระบวนการ 5 P’s” (Five P’s Process).19 ซึ่งประกอบด้วย:
- Preview the Technology, Media, and Materials (ดูหรือทดลองใช้สื่อล่วงหน้า)
- Prepare the Technology, Media, and Materials (เตรียมสื่อและอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งาน)
- Prepare the Environment (เตรียมสภาพแวดล้อมและสถานที่ให้เอื้อต่อการใช้สื่อ)
- Prepare the Learners (เตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนก่อนการใช้สื่อ)
- Provide the Learning Experience (นำเสนอและควบคุมการใช้สื่อในชั้นเรียน).19
- R – Require Learner Participation (กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน): การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากผู้เรียน.19 ครูต้องออกแบบกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองที่เปิดเผย (Overt Response) เช่น การพูด, การเขียน, การทำแบบฝึกหัด หรือการตอบสนองภายใน (Covert Response) เช่น การคิดในใจ, การจินตนาการ.26 การมีส่วนร่วมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้เรียนประมวลผลข้อมูลได้ลึกซึ้งขึ้น แต่ยังเป็นช่องทางให้ครูสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ได้ทันที.
- E – Evaluate and Revise (ประเมินและปรับปรุง): ขั้นตอนสุดท้ายคือการประเมินผลกระทบโดยรวมของกระบวนการเรียนการสอนและทำการปรับปรุงแก้ไขสำหรับครั้งต่อไป.20
การประเมินผลใน ASSURE Model: วัดผลลัพธ์รอบด้าน
การประเมินผลใน ASSURE Model มีลักษณะที่ครอบคลุมและรอบด้าน ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน แต่พิจารณาองค์รวมของประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งหมด.27 การประเมินในขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 มิติที่สำคัญ 24:
- 1. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Evaluating Learner Achievement): นี่คือการประเมินว่าผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในขั้นตอนที่สองได้หรือไม่.24 วิธีการประเมินอาจมีความหลากหลาย เช่น การทดสอบย่อย, การสอบกลางภาคและปลายภาค, การประเมินแฟ้มสะสมงาน, การสังเกตทักษะการปฏิบัติ, หรือการประเมินชิ้นงาน.24 การประเมินนี้จะให้ข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับประสิทธิผลของการสอนในมิติของผู้เรียน.
- 2. การประเมินสื่อและวิธีการสอน (Evaluating Media and Methods): จุดเด่นที่สำคัญของ ASSURE Model คือการประเมินประสิทธิภาพของ “เครื่องมือ” ที่ใช้ในการสอนอย่างชัดเจน.19 หลังจากจบบทเรียน ครูควรถามคำถามเพื่อการทบทวน เช่น วิดีโอที่เลือกมาช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นจริงหรือไม่? กิจกรรมกลุ่มที่ใช้โปรแกรมจำลองนั้นน่าสนใจและเหมาะสมกับเวลาหรือไม่? การประเมินส่วนนี้สามารถทำได้ผ่านการสังเกตของครู, การอภิปรายในชั้นเรียน, หรือการใช้แบบสอบถามความคิดเห็นจากผู้เรียน.26
- 3. การประเมินกระบวนการสอน (Evaluating the Instructional Process): มิตินี้เป็นการประเมินภาพรวมของการจัดการเรียนการสอนทั้งหมด.26 ครูจะทบทวนว่าการดำเนินกิจกรรมเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่, การจัดลำดับเนื้อหาและกิจกรรมมีความเหมาะสมหรือไม่, และมีจุดใดในกระบวนการที่ควรปรับปรุงในอนาคต.
ลักษณะการประเมินผลที่ครอบคลุมทั้งสามด้านนี้สะท้อนให้เห็นว่า ASSURE Model ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือวางแผนการสอน แต่ยังเป็นกรอบการทำงานสำหรับการพัฒนาวิชาชีพครู (Teacher Professional Development) ไปในตัว. ในขณะที่การประเมินของ ADDIE มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผลของ “หลักสูตร” โดยรวม, การประเมินของ ASSURE ที่เจาะจงลงไปที่ “สื่อและวิธีการ” 24 ได้เปลี่ยนบทบาทของครูจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปสู่การเป็น “ภัณฑารักษ์และผู้ประเมินเครื่องมือการสอน” (Curator and Evaluator of Instructional Tools). ขั้นตอนการประเมินผลจึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรองเชิงวิชาชีพ (Professional Reflection) ที่มีโครงสร้างชัดเจน ครูจะได้ทบทวนการตัดสินใจของตนเองอย่างเป็นระบบ เช่น “การเลือกใช้บทความออนไลน์ชิ้นนี้ได้ผลดีกว่าการใช้หนังสือเรียนในหัวข้อเดียวกันหรือไม่” หรือ “แอปพลิเคชันที่ใช้ในการทำแบบทดสอบครั้งนี้มีข้อจำกัดอะไรบ้าง”.19 ด้วยเหตุนี้ การใช้ ASSURE Model อย่างสม่ำเสมอจึงเปรียบเสมือนการสร้างวงจรการเรียนรู้และพัฒนาชุดเครื่องมือการสอนและทักษะทางเทคโนโลยีของครูให้เฉียบคมและทันสมัยอยู่เสมอ.
บทที่ 3: SAM Model – แนวทางที่คล่องตัวและเน้นการทำซ้ำ
ในขณะที่ ADDIE เป็นตัวแทนของแนวทางการออกแบบเชิงระบบแบบดั้งเดิมที่มีโครงสร้างชัดเจนและเป็นเส้นตรง Successive Approximation Model (SAM) ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Dr. Michael Allen เพื่อเป็นทางเลือกที่คล่องตัว (Agile), เน้นการทำงานร่วมกัน (Collaborative), และเน้นการทำซ้ำ (Iterative).28 SAM ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อข้อจำกัดของโมเดลเชิงเส้นตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่มีความซับซ้อน, มีความไม่แน่นอนสูง, หรือต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว.17
ความแตกต่างจาก ADDIE: จากกระบวนการเส้นตรงสู่การวนซ้ำเพื่อพัฒนา
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่าง ADDIE และ SAM อยู่ที่ปรัชญาการทำงาน ADDIE มุ่งเน้นการวางแผนและออกแบบให้สมบูรณ์แบบที่สุดในครั้งแรกก่อนลงมือพัฒนาจริง ในขณะที่ SAM มีแนวคิดว่าการออกแบบที่ดีที่สุดเกิดจากการ “ลงมือทำ, ทดสอบ, และปรับปรุง” ผ่านวงจรการทำงานสั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา.28 แทนที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิเคราะห์และออกแบบบนกระดาษ SAM ผลักดันให้ทีมงานสร้าง “ต้นแบบ” (Prototype) ที่จับต้องได้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้เห็นภาพและให้ข้อเสนอแนะตั้งแต่เนิ่นๆ.17 วิธีการนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการตีความที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้สอนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และช่วยให้สามารถค้นพบจุดบกพร่องได้เร็วกว่า ก่อนที่จะทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากไปกับการพัฒนาเต็มรูปแบบ.17
SAM มี 2 รูปแบบหลัก 17:
- SAM1: เป็นรูปแบบพื้นฐานสำหรับโครงการขนาดเล็ก ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนที่วนซ้ำเป็นวงจร คือ ประเมิน (Evaluate), ออกแบบ (Design), และพัฒนา (Develop).17
- SAM2: เป็นรูปแบบที่ขยายขึ้นสำหรับโครงการที่ซับซ้อนมากขึ้น ประกอบด้วย 3 เฟสหลัก คือ การเตรียมการ (Preparation), การออกแบบซ้ำ (Iterative Design), และการพัฒนาซ้ำ (Iterative Development).28 จุดเด่นของ SAM2 คือการเริ่มต้นด้วยกิจกรรมที่เรียกว่า “Savvy Start” ซึ่งเป็นการระดมสมองร่วมกันระหว่างทีมงานทั้งหมดเพื่อสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันตั้งแต่แรก.17
การประเมินผลใน SAM Model: การประเมินผลที่ฝังอยู่ในกระบวนการ
SAM Model ไม่มีขั้นตอน “การประเมินผล” ที่แยกออกมาเป็นเฟสสุดท้ายเหมือน ADDIE เพราะการประเมินผลใน SAM ไม่ใช่กิจกรรมที่เกิดขึ้นตอนท้าย แต่เป็นหัวใจของกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและฝังลึกอยู่ในทุกขั้นตอนของการทำงาน.32 การประเมินผลใน SAM เกิดขึ้นผ่านกลไกต่อไปนี้:
- บทบาทของการสร้างต้นแบบ (The Role of Prototyping): ต้นแบบคือเครื่องมือหลักที่ใช้ในการประเมินผล.28 ต้นแบบในที่นี้อาจเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้แนวคิดเป็นรูปธรรม เช่น แบบร่างของกิจกรรมในชั้นเรียน, สตอรี่บอร์ดแบบง่ายๆ, หรือแบบทดสอบสั้นๆ ที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว.32 ต้นแบบเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่มีไว้เพื่อทดสอบแนวคิดและกระตุ้นให้เกิดการสนทนา.28
- วงจรการรับฟังความคิดเห็น (The Feedback Loop): ทันทีที่ต้นแบบถูกสร้างขึ้น มันจะถูกนำเสนอต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งในบริบทการศึกษาก็คือเพื่อนครู, ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา, และที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้เรียน”.30 การรับฟังความคิดเห็นจากผู้เรียนโดยตรงในขั้นตอนนี้คือข้อมูลการประเมินที่มีค่าที่สุด มันช่วยให้ครูเข้าใจว่าแนวทางการสอนที่คิดไว้นั้นได้ผลจริงหรือไม่ในมุมมองของผู้รับ.28
- การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Refinement): ข้อมูลป้อนกลับที่ได้จากวงจรการรับฟังความคิดเห็นจะถูกนำมาใช้เพื่อ “ปรับปรุง” ต้นแบบในรอบถัดไป.29 วงจร “ออกแบบ-สร้างต้นแบบ-ทบทวน” (Design-Prototype-Review) นี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสื่อการสอนหรือกิจกรรมนั้นจะมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับ.29 ทุกๆ การวนซ้ำคือการประเมินและการพัฒนาไปพร้อมๆ กัน.
กระบวนการทำงานของ SAM ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตในห้องเรียนอย่างมีนัยสำคัญ กระบวนการเชิงเส้นตรงของ ADDIE มักจะวางครูผู้สอนในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ออกแบบและสร้างสรรค์บทเรียนที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนำมามอบให้กับผู้เรียนเพื่อประเมินผลในตอนท้าย ซึ่งสร้างแรงกดดันและความเสี่ยงสูง หากบทเรียนที่วางแผนมาเป็นอย่างดีนั้นล้มเหลว ความพยายามส่วนใหญ่ก็จะสูญเปล่า. ในทางตรงกันข้าม SAM ได้ทลายกำแพงนี้ลง ด้วยการสร้างต้นแบบเล็กๆ และขอความคิดเห็นจากผู้เรียนอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ 28 กระบวนการนี้ได้เปลี่ยนสถานะของนักเรียนจากการเป็นเพียง “ผู้รับ” มาเป็น “ผู้ร่วมออกแบบ” (Co-designers) ประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเอง.
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบที่ทรงพลังสองประการ ประการแรก มันช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการยอมรับจากผู้เรียน เพราะพวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ. ประการที่สอง มันช่วยลด “ต้นทุนของความล้มเหลว” (Cost of Failure) สำหรับครูได้อย่างมหาศาล. แนวคิดสำหรับกิจกรรมใหม่ที่อาจจะไม่ได้ผล จะถูกค้นพบและแก้ไขในขั้นตอนการทดสอบต้นแบบที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีกับนักเรียนกลุ่มเล็กๆ แทนที่จะเป็นการค้นพบหลังจากที่ครูใช้เวลาวางแผนมาหลายสัปดาห์และนำไปใช้กับทั้งห้องแล้วล้มเหลว. สภาพแวดล้อมที่ “ปลอดภัยที่จะล้มเหลว” นี้เองที่ส่งเสริมนวัตกรรมการสอนและกระตุ้นให้ครูกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการสอนของตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง.
บทที่ 4: Merrill’s First Principles of Instruction – การเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหาจริง
แตกต่างจากโมเดลอื่นๆ ที่นำเสนอ “กระบวนการ” หรือ “ขั้นตอน” ในการออกแบบการสอน หลักการสอน 5 ประการของ M. David Merrill (Merrill’s First Principles of Instruction) นำเสนอ “ชุดของหลักการ” พื้นฐานที่เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่ง Merrill เชื่อว่าเป็นองค์ประกอบที่พบได้ร่วมกันในทฤษฎีและโมเดลการสอนที่มีประสิทธิภาพทุกรูปแบบ.33 โมเดลนี้จึงไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นปรัชญาชี้นำในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน.
หลักการ 5 ประการสู่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
หลักการทั้ง 5 ประการนี้ทำงานร่วมกันเป็นวัฏจักร โดยมี “ปัญหา” เป็นศูนย์กลาง และมี 4 ระยะของการเรียนรู้ล้อมรอบ.33
- 1. Problem-Centered (ยึดปัญหาเป็นศูนย์กลาง): หลักการข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการแก้ “ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลก” (Real-world problems).33 การสอนควรเริ่มต้นด้วยการนำเสนอปัญหาหรือโจทย์งานที่สมจริงและมีความหมายต่อผู้เรียน แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการบรรยายหัวข้อที่เป็นนามธรรม.37 ปัญหาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นบริบทที่ยึดโยงความรู้และทักษะทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การเรียนรู้มีความเกี่ยวข้องและน่าสนใจ.39
- 2. Activation (การกระตุ้นความรู้เดิม): การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องต่อยอดจากสิ่งที่ผู้เรียนรู้อยู่แล้ว.33 ก่อนที่จะนำเสนอความรู้ใหม่ ครูต้องมีกระบวนการ “กระตุ้น” หรือ “เปิดสวิตช์” ประสบการณ์หรือความรู้เดิมของผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ.35 การทำเช่นนี้ช่วยให้ผู้เรียนสร้างสะพานเชื่อมโยงระหว่างความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ ทำให้สามารถสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.38
- 3. Demonstration (การสาธิต): ความรู้ใหม่จะต้องถูก “สาธิต” ให้ผู้เรียนเห็น ไม่ใช่เพียงแค่ “อธิบาย” ให้ฟัง.33 การสาธิตควรแสดงให้เห็นถึงวิธีการนำความรู้และทักษะไปใช้ในการแก้ปัญหาที่นำเสนอในตอนแรก.35 การสาธิตที่มีประสิทธิภาพควรใช้สื่อที่หลากหลาย เช่น การแสดงตัวอย่าง, วิดีโอ, หรือสถานการณ์จำลอง และควรนำเสนอในหลายมุมมองเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม.38
- 4. Application (การประยุกต์ใช้): หลังจากได้เห็นการสาธิตแล้ว ผู้เรียนจะต้องได้รับโอกาสในการ “ลงมือประยุกต์ใช้” ความรู้และทักษะใหม่ด้วยตนเองเพื่อแก้ปัญหา.33 ในขั้นตอนนี้ Merrill เน้นย้ำว่าการทำแบบทดสอบปรนัยที่อาศัยเพียงความจำเป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอ.37 ผู้เรียนควรได้ฝึกฝนกับปัญหาที่หลากหลาย โดยเริ่มจากปัญหาที่ไม่ซับซ้อนและมีคำแนะนำช่วยเหลือ (Scaffolding) จากครู จากนั้นจึงค่อยๆ ลดความช่วยเหลือลงเมื่อผู้เรียนมีความสามารถมากขึ้น.37
- 5. Integration (การบูรณาการ): ขั้นตอนสุดท้ายคือการส่งเสริมให้ผู้เรียน “บูรณาการ” ความรู้และทักษะใหม่ที่ได้เรียนรู้เข้ากับโลกของตนเอง.33 ซึ่งสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสะท้อนคิด (Reflection) เกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้, การอภิปรายแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น, การนำเสนอผลงาน, หรือการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ที่ต่อยอดจากความรู้เดิม.38 ขั้นตอนนี้คือการทำให้การเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้เรียนอย่างแท้จริง.
การประเมินผลในหลักการของ Merrill: การวัดผลจากการลงมือทำและการบูรณาการ
เช่นเดียวกับ SAM, Merrill’s Principles ไม่ได้มีขั้นตอน “การประเมินผล” ที่แยกออกมาต่างหาก แต่การประเมินผลได้ถูกถักทอเป็นเนื้อเดียวกับหลักการสำคัญของโมเดลอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักการด้านการประยุกต์ใช้และการบูรณาการ.40
- การประเมินผ่านขั้น “การประยุกต์ใช้” (Evaluation via Application): ขั้นตอนการประยุกต์ใช้คือพื้นที่หลักของการประเมินระหว่างทาง (Formative Assessment).37 ขณะที่ผู้เรียนกำลังลงมือทำกิจกรรมหรือแก้ปัญหา ครูสามารถสังเกตการณ์การปฏิบัติงาน, ระบุจุดที่ผู้เรียนยังเข้าใจผิด, และให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อแก้ไขได้ทันที.37 ความสำเร็จในขั้นตอนนี้ไม่ได้วัดจากการท่องจำนิยามได้ แต่วัดจาก “ความสามารถในการปฏิบัติงาน” ตามโจทย์ที่กำหนดได้จริง.38 นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากการประเมินความรู้ (Knowing) ไปสู่การประเมินทักษะ (Doing).
- การประเมินผ่านขั้น “การบูรณาการ” (Evaluation via Integration): ขั้นตอนการบูรณาการทำหน้าที่เสมือนการประเมินสรุปรวบยอด (Summative Assessment) ที่มีความสมจริง (Authentic).40 คำถามในการประเมินไม่ใช่แค่ “ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดได้หรือไม่” แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ผู้เรียนสามารถนำทักษะที่เรียนไปประยุกต์ใช้กับปัญหาใหม่ในบริบทที่แตกต่างออกไปได้หรือไม่? ผู้เรียนสามารถอธิบายและสะท้อนคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้หรือไม่? หรือผู้เรียนสามารถสอนสิ่งที่เรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้หรือไม่?.38 การประเมินในขั้นตอนนี้เป็นการวัดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้งและความสามารถในการถ่ายโอนความรู้ (Knowledge Transfer).
การให้ความสำคัญกับการประเมินผลผ่านการลงมือปฏิบัติและการบูรณาการนี้ ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนิยามของคำว่า “ความสำเร็จทางการเรียนรู้” ในมุมมองของ Merrill. การประเมินผลแบบดั้งเดิมมักวัดผลที่ “ความสามารถในการระลึกข้อมูล” (Knowledge Recall) ผ่านแบบทดสอบต่างๆ.37 แต่ Merrill ได้ท้าทายแนวคิดนี้โดยตรงและเสนอว่านั่นยังไม่เพียงพอ. กรอบการทำงานของเขาผลักดันให้การประเมินต้องก้าวไปอีกระดับ: “ขั้นการประยุกต์ใช้” เป็นการประเมินว่าผู้เรียนสามารถปฏิบัติทักษะได้หรือไม่ในบริบทที่มีผู้ชี้แนะ, ในขณะที่ “ขั้นการบูรณาการ” เป็นการประเมินว่าผู้เรียนสามารถถ่ายโอนทักษะดังกล่าวไปใช้ในบริบทใหม่ที่ไม่มีผู้ชี้แนะได้หรือไม่.38 นี่หมายความว่าเป้าหมายสูงสุดและตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงของการสอนไม่ใช่แค่ “การรู้” (Knowing) แต่คือ “ความสามารถในการทำและปรับใช้” (Being able to do and adapt). สำหรับครูผู้สอน นี่คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการออกแบบการประเมินครั้งใหญ่ เป็นการผลักดันให้ครูต้องเคลื่อนตัวออกจากแบบทดสอบที่เน้นความจำ ไปสู่การประเมินตามสภาพจริง (Performance-based tasks), การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning), และการใช้แฟ้มสะสมงาน (Portfolios) ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสมรรถนะของผู้เรียนในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน.
บทที่ 5: Kirkpatrick Model – กรอบการประเมินประสิทธิผลการสอน 4 ระดับ
Kirkpatrick Model คือกรอบการประเมินผลการฝึกอบรมและการเรียนรู้ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พัฒนาขึ้นโดย Dr. Don Kirkpatrick ในช่วงทศวรรษ 1950 และยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน.41 โมเดลนี้นำเสนอแนวทางการประเมินที่เป็นระบบ โดยแบ่งผลลัพธ์ของการเรียนรู้ออกเป็น 4 ระดับที่ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน ซึ่งช่วยให้ผู้สอนและองค์กรสามารถมองเห็นภาพรวมของประสิทธิผลการสอนได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่ความรู้สึกของผู้เรียนไปจนถึงผลกระทบในระดับองค์กร.43
เจาะลึก 4 ระดับการประเมิน
โมเดลนี้ประกอบด้วย 4 ระดับ โดยแต่ละระดับจะมีความซับซ้อนในการวัดผลและให้ข้อมูลที่มีคุณค่ามากขึ้นตามลำดับ.44
ระดับที่ 1: ปฏิกิริยา (Level 1: Reaction):
- ระดับแรกสุดนี้เป็นการวัด “ปฏิกิริยา” หรือความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อประสบการณ์การเรียนการสอน.45 เป็นการประเมินว่าผู้เรียนรู้สึกพึงพอใจ, มีส่วนร่วม, และมองว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับตนเองมากน้อยเพียงใด.41 การประเมินในระดับนี้มักทำได้ง่ายที่สุด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Smile Sheets” หรือแบบสอบถามความพึงพอใจหลังสิ้นสุดการสอน.41 แม้ว่าการประเมินระดับนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ได้น้อยที่สุด แต่ก็ยังมีความสำคัญ เพราะหากผู้เรียนมีปฏิกิริยาเชิงลบหรือไม่พึงพอใจ ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะไม่มีแรงจูงใจในการเรียนรู้.47
ระดับที่ 2: การเรียนรู้ (Level 2: Learning):
- ระดับที่สองมุ่งวัดว่าผู้เรียนได้ “เรียนรู้” สิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่.45 การประเมินในระดับนี้จะเจาะจงไปที่การเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ (Knowledge), ทักษะ (Skills), และทัศนคติ (Attitude) ที่เกิดขึ้นจากการสอน.42 นอกจากนี้ โมเดลฉบับปรับปรุงใหม่ยังรวมถึงการวัดความมั่นใจ (Confidence) และความมุ่งมั่น (Commitment) ที่จะนำสิ่งที่เรียนไปใช้.41 การวัดผลในระดับนี้มักใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (Pre-test/Post-test), การทดสอบภาคปฏิบัติ, หรือการประเมินชิ้นงาน.50
ระดับที่ 3: พฤติกรรม (Level 3: Behavior):
- นี่คือระดับที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการก้าวข้ามจาก “สิ่งที่รู้ในห้องเรียน” ไปสู่ “สิ่งที่ทำในชีวิตจริง”.41 การประเมินระดับที่ 3 มุ่งวัดว่าผู้เรียนได้นำความรู้และทักษะที่เรียนรู้ไป “ปรับใช้” จนเกิดการเปลี่ยนแปลง “พฤติกรรม” ในการทำงานหรือการเรียนในระยะยาวหรือไม่.45 การประเมินในระดับนี้มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการติดตามผล ซึ่งอาจต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้บังคับบัญชาหรือผู้ปกครองในการให้ข้อมูล.42 การประเมินระดับนี้ช่วยให้เห็นว่าการเรียนรู้ได้ถูกถ่ายโอน (Transfer) ไปสู่การปฏิบัติจริงหรือไม่.
ระดับที่ 4: ผลลัพธ์ (Level 4: Results):
- ระดับสูงสุดและวัดผลได้ยากที่สุด คือการประเมิน “ผลลัพธ์” ที่เป็นรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นกับองค์กรหรือสถาบัน อันเป็นผลมาจากการสอนนั้นๆ.42 ผลลัพธ์ในที่นี้คือตัวชี้วัดความสำเร็จในภาพใหญ่ (Key Performance Indicators).41 ในบริบทขององค์กรธุรกิจ อาจหมายถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้น, ต้นทุนที่ลดลง, หรืออุบัติเหตุที่น้อยลง.41 ส่วนในบริบทการศึกษา อาจหมายถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมของนักเรียนที่สูงขึ้น, อัตราการสำเร็จการศึกษาที่เพิ่มขึ้น, หรือปัญหาพฤติกรรมในโรงเรียนที่ลดลง.51
การประยุกต์ใช้ Kirkpatrick Model ในบริบทการศึกษาสำหรับครู
แม้ว่า Kirkpatrick Model จะมีรากฐานมาจากการฝึกอบรมในภาคธุรกิจ แต่หลักการทั้ง 4 ระดับสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของห้องเรียนและโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ครูสามารถประเมินผลกระทบของการสอนได้อย่างรอบด้าน.
ตัวอย่างเครื่องมือและวิธีการ:
ระดับที่ 1 (Reaction):
- แบบสอบถามความพึงพอใจ: ใช้แบบสอบถามสั้นๆ หลังจบบทเรียนหรือหน่วยการเรียนรู้ ถามเกี่ยวกับความน่าสนใจของเนื้อหา, ความชัดเจนของสื่อ, และบรรยากาศในชั้นเรียน.50
- Exit Tickets: ให้นักเรียนเขียนตอบคำถามสั้นๆ ก่อนออกจากห้อง เช่น “วันนี้ชอบกิจกรรมอะไรมากที่สุด?” หรือ “มีส่วนไหนที่ยังไม่เข้าใจ?”.
- การอภิปรายกลุ่มย่อย: จัดวงสนทนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นโดยตรงจากนักเรียน.50
ระดับที่ 2 (Learning):
- แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน (Pre/Post-tests): เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน.45
- การประเมินชิ้นงาน/โครงงาน: ใช้รูบริค (Rubric) ในการประเมินชิ้นงานเพื่อวัดทั้งความรู้และทักษะ.
- การสาธิตทักษะ: ให้นักเรียนแสดงทักษะที่เรียนรู้ เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์, การนำเสนอหน้าชั้นเรียน, หรือการแก้โจทย์ปัญหาบนกระดาน.
ระดับที่ 3 (Behavior):
- การสังเกตการณ์ในชั้นเรียน: ครูหรือเพื่อนครูสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เปลี่ยนไป เช่น การมีส่วนร่วมมากขึ้น, การใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ใหม่ๆ, หรือการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น.46
- แฟ้มสะสมงาน (Portfolio): ติดตามพัฒนาการของนักเรียนผ่านการรวบรวมผลงานในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อดูการนำทักษะไปใช้อย่างต่อเนื่อง.
- การสัมภาษณ์นักเรียนและผู้ปกครอง: สอบถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนที่บ้าน เช่น การทบทวนบทเรียน, การทำการบ้านด้วยตนเอง.52
ระดับที่ 4 (Results):
- การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: เปรียบเทียบคะแนนสอบมาตรฐานหรือเกรดเฉลี่ยของนักเรียนก่อนและหลังการใช้เทคนิคการสอนใหม่.51
- การติดตามข้อมูลพฤติกรรม: วิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมของโรงเรียน เช่น อัตราการมาเรียน, สถิติการส่งงาน, หรือข้อมูลด้านพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์.42
- การสำรวจผู้สำเร็จการศึกษา: ติดตามผลนักเรียนในระยะยาวเพื่อดูความสำเร็จในการศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพ.
ข้อดีและข้อจำกัดที่ครูพึงตระหนัก:
- ข้อดี: โมเดลนี้ให้กรอบการประเมินที่ “ครอบคลุม” ช่วยให้ครูมองเห็นผลกระทบที่ไกลกว่าแค่คะแนนสอบ, ช่วย “เชื่อมโยง” การสอนเข้ากับเป้าหมายใหญ่ของโรงเรียน, และเป็นเครื่องมือ “วินิจฉัย” ที่ดีเยี่ยมในการหาจุดอ่อนของการสอน.47
- ข้อจำกัด: การประเมินในระดับที่ 3 และ 4 นั้น “ใช้เวลาและทรัพยากรสูง”.47 นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายอย่างยิ่งในการ “แยกแยะผลกระทบ” (Isolating Impact) กล่าวคือ เป็นการยากที่จะสรุปได้ว่าพฤติกรรมของนักเรียนที่เปลี่ยนไป (ระดับ 3) หรือผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนที่ดีขึ้น (ระดับ 4) นั้นเกิดจากการสอนของครูเพียงปัจจัยเดียว เนื่องจากมีตัวแปรอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลกระทบ เช่น สภาพแวดล้อมที่บ้าน, อิทธิพลจากเพื่อน, หรือนโยบายของโรงเรียน.47
โมเดลของ Kirkpatrick ไม่ได้เป็นเพียงแค่ 4 ระดับที่แยกจากกัน แต่เป็น “ห่วงโซ่ของหลักฐาน” (Chain of Evidence) ที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล.49 กล่าวคือ เพื่อให้เกิด “ผลลัพธ์” (ระดับ 4) ที่ดี ผู้เรียนจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง “พฤติกรรม” (ระดับ 3) เสียก่อน, การจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้นั้น พวกเขาต้องเกิด “การเรียนรู้” (ระดับ 2) ที่แท้จริง, และการจะเรียนรู้ได้ดีนั้น พวกเขาควรจะมี “ปฏิกิริยา” (ระดับ 1) ที่ดีและมีส่วนร่วมกับการสอน. ห่วงโซ่นี้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ทรงพลังสำหรับครู หากผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นไปตามคาด ครูสามารถย้อนรอยกลับไปในห่วงโซ่เพื่อค้นหาว่าข้อต่อใดคือจุดอ่อน.
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาห่วงโซ่นี้ยังเผยให้เห็นความจริงที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ครูหนึ่งคนสามารถ “ควบคุมและวัดผล” ได้โดยตรงและง่ายที่สุดในระดับที่ 1 และ 2. แต่การจะสร้างอิทธิพลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ 3 (พฤติกรรม) นั้น จำเป็นต้องอาศัย “การสนับสนุนจากสภาพแวดล้อม” เช่น วัฒนธรรมของโรงเรียน, การสนับสนุนจากผู้ปกครอง, และนโยบายที่เอื้ออำนวย.48 ยิ่งไปกว่านั้น การจะสร้างผลกระทบในระดับที่ 4 (ผลลัพธ์ระดับสถาบัน) ให้สำเร็จนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับครูเพียงคนเดียว. ดังนั้น Kirkpatrick Model จึงชี้ให้เห็นโดยนัยว่า หากต้องการให้การสอนเกิดประสิทธิผลในระดับสูงสุดอย่างแท้จริง การประเมินผลจะต้องกลายเป็น “ความพยายามร่วมกันของทั้งระบบ” ไม่ใช่เป็นเพียงความรับผิดชอบของครูแต่ละคนเท่านั้น.
บทสรุป: การเลือกและบูรณาการโมเดลเพื่อการสอนที่เป็นเลิศ
การเดินทางผ่านโมเดลการออกแบบการสอนที่หลากหลาย ตั้งแต่ ADDIE ที่เป็นระบบ, ASSURE ที่เน้นสื่อ, SAM ที่คล่องตัว, ไปจนถึง Merrill’s Principles ที่ยึดปัญหาเป็นศูนย์กลาง ล้วนชี้ให้เห็นว่าไม่มีโมเดลใดโมเดลหนึ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับทุกสถานการณ์. ความเป็นเลิศทางการสอนไม่ได้เกิดจากการยึดติดกับโมเดลใดโมเดลหนึ่งอย่างเคร่งครัด แต่เกิดจากความสามารถของครูในการเลือกใช้, ดัดแปลง, และบูรณาการเครื่องมือเหล่านี้ให้เหมาะสมกับบริบท, ผู้เรียน, และเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบโมเดลการออกแบบการสอน
เพื่อช่วยให้ครูและนักการศึกษาสามารถตัดสินใจเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้ดียิ่งขึ้น ตารางต่อไปนี้ได้สรุปและเปรียบเทียบโมเดลทั้งสี่ในมิติต่างๆ ที่สำคัญ.
คุณลักษณะ | ADDIE Model | ASSURE Model | SAM Model | Merrill’s Principles |
ปรัชญาหลัก | กระบวนการเชิงระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับเป้าหมาย.6 | การวางแผนการสอนในห้องเรียนอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการบูรณาการสื่อและเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ.18 | การพัฒนาที่คล่องตัวและรวดเร็ว ผ่านการสร้างต้นแบบและวนซ้ำเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการทำงานร่วมกัน.28 | ชุดของหลักการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยยึดการแก้ปัญหาในโลกจริงเป็นศูนย์กลาง.33 |
โครงสร้างกระบวนการ | เชิงเส้นตรง (Linear) 5 ขั้นตอน (วิเคราะห์, ออกแบบ, พัฒนา, นำไปใช้, ประเมินผล) แต่สามารถวนซ้ำได้ในทางทฤษฎี.10 | เชิงเส้นตรง 6 ขั้นตอนที่เน้นการปฏิบัติในห้องเรียน (วิเคราะห์ผู้เรียน, กำหนดวัตถุประสงค์, เลือกสื่อ, ใช้สื่อ, กระตุ้นการมีส่วนร่วม, ประเมิน).21 | วนซ้ำและไม่เป็นเส้นตรง (Iterative & Non-linear) ผ่านวงจรการออกแบบ, สร้างต้นแบบ, และทบทวน.31 | อิงตามหลักการ (Principle-based) 5 ประการที่ทำงานเป็นวัฏจักร (ปัญหา, กระตุ้น, สาธิต, ประยุกต์ใช้, บูรณาการ).33 |
จุดแข็ง | มีโครงสร้างชัดเจน, ครอบคลุมทุกขั้นตอน, เหมาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีเป้าหมายชัดเจนและไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย.8 | เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับครู, เน้นการใช้สื่ออย่างมีเป้าหมาย, ส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยี.18 | ยืดหยุ่นสูง, ค้นพบปัญหาได้เร็ว, ลดความเสี่ยง, ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียนในฐานะผู้ร่วมออกแบบ, เหมาะกับโครงการใหม่ๆ.17 | เน้นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและมีความหมาย, เชื่อมโยงกับชีวิตจริง, ส่งเสริมการถ่ายโอนความรู้, เป็นปรัชญาชี้นำได้ทุกบทเรียน.35 |
ข้อจำกัด | อาจแข็งตัวและใช้เวลานาน, ไม่เหมาะกับโครงการที่ต้องการความรวดเร็วหรือมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย.8 | อาจไม่ครอบคลุมการออกแบบในระดับหลักสูตรใหญ่, เน้นที่การวางแผนบทเรียนเป็นหลัก.18 | ต้องการการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นจากทุกฝ่าย, อาจไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรที่ขั้นตอนต้องชัดเจนตายตัว.17 | ไม่ได้ให้ “ขั้นตอน” ที่ชัดเจน, เป็นแนวคิดเชิงนามธรรมที่ต้องอาศัยการตีความเพื่อนำไปปฏิบัติ.34 |
แนวทางการประเมินผลหลัก | แยกเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่มีการประเมินระหว่างทาง (Formative) ในทุกขั้นตอน และการประเมินสรุปรวบยอด (Summative) ตอนท้าย.7 | ประเมิน 3 ด้าน: ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน, ประสิทธิภาพของสื่อและวิธีการ, และกระบวนการสอนโดยรวม.24 | การประเมินฝังอยู่ในกระบวนการ ผ่านการทดสอบต้นแบบและรับฟังความคิดเห็นในทุกๆ รอบของการวนซ้ำ.28 | การประเมินเกิดขึ้นโดยธรรมชาติผ่านขั้น “การประยุกต์ใช้” (วัดทักษะปฏิบัติ) และ “การบูรณาการ” (วัดการถ่ายโอนความรู้).37 |
สถานการณ์ในห้องเรียนที่เหมาะสมที่สุด | การออกแบบหลักสูตรใหม่ทั้งรายวิชา, การพัฒนาสื่อการสอนที่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน.57 | การวางแผนบทเรียนรายคาบที่ต้องการใช้สื่อมัลติมีเดีย เช่น วิดีโอ, แอปพลิเคชัน, หรือเว็บไซต์.27 | การทดลองกิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ (เช่น Project-Based Learning) ที่ต้องการความคิดเห็นจากนักเรียนเพื่อปรับปรุง.30 | การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่เน้นการแก้ปัญหา เช่น การทำโครงงานวิทยาศาสตร์, การวิเคราะห์กรณีศึกษาทางสังคม.38 |
การเชื่อมโยง Kirkpatrick Model เข้ากับขั้นตอนการประเมินของโมเดลต่างๆ
Kirkpatrick Model ไม่ได้เป็นเพียงโมเดลประเมินผลที่แยกอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ยังสามารถทำหน้าที่เป็น “เลนส์ขยาย” ที่ทรงพลังเพื่อเพิ่มความละเอียดและความลึกซึ้งให้กับขั้นตอนการประเมินผลของโมเดลอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ADDIE.7 แทนที่จะมีขั้นตอน “Evaluation” ที่กว้างๆ ใน ADDIE ครูสามารถนำกรอบการทำงาน 4 ระดับของ Kirkpatrick มาใช้เพื่อกำหนดโครงสร้างการประเมินให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้.61 เช่น ในขั้นประเมินสรุปรวบยอด ครูสามารถวางแผนที่จะเก็บข้อมูลทั้ง 4 ระดับ: (1) สำรวจความพึงพอใจของนักเรียน, (2) ทดสอบความรู้ที่ได้เรียน, (3) สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มที่เปลี่ยนไปในอีก 1 เดือนข้างหน้า, และ (4) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของห้องกับภาคการศึกษาก่อนหน้า. การทำเช่นนี้ทำให้การประเมินผลมีความหมายและสามารถบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จได้สมบูรณ์กว่าเดิม.62
ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดที่ก้าวหน้าที่สุดคือการ “บูรณาการ Kirkpatrick Model เชิงรุก” (Proactive Integration) เข้าไปในกระบวนการออกแบบตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น”.62 แทนที่จะรอประเมินผลตอนท้าย, กระบวนการออกแบบจะเริ่มต้นในขั้น Analysis ด้วยคำถามที่ชี้นำโดย Kirkpatrick เช่น “เราต้องการเห็น ‘ผลลัพธ์’ (ระดับ 4) อะไรในท้ายที่สุด?” (เช่น นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์สูงขึ้น) และ “ต้องเกิด ‘พฤติกรรม’ (ระดับ 3) อะไรบ้างที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์นั้น?” (เช่น นักเรียนตั้งคำถามเชิงลึกในห้องเรียนบ่อยขึ้น). กลยุทธ์ “เริ่มต้นโดยคำนึงถึงจุดสิ้นสุด” (Begin with the end in mind) นี้จะเปลี่ยนกระบวนการออกแบบการสอนทั้งหมด จากเดิมที่เป็นเพียงการออกแบบ “บทเรียน” ไปสู่การ “วางแผนวิศวกรรมเพื่อสร้างผลกระทบ” (Engineering a specific, measurable impact) ที่วัดผลได้. สำหรับนักการศึกษา นี่คือเครื่องมือวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลังซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกกิจกรรมการสอนที่ออกแบบขึ้นนั้นสอดคล้องและมุ่งตรงไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของผู้เรียนและสถาบัน.
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับครูในการเริ่มต้น
การนำทฤษฎีและโมเดลที่ซับซ้อนเหล่านี้ไปปรับใช้ในบริบทของห้องเรียนที่วุ่นวายอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย. กุญแจสำคัญคือการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมองว่านี่คือการเดินทางของการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง.
- เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ (Start Small): ไม่จำเป็นต้องพยายามใช้ ADDIE Model ทั้งระบบกับทุกเรื่อง. ลองเริ่มต้นด้วยการนำ Merrill’s Principles มาเป็นแนวทางในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้เชิงปัญหาเพียงหนึ่งหน่วย. หรือใช้เช็คลิสต์ของ ASSURE Model ในการวางแผนการสอนครั้งถัดไปที่จะมีการใช้สื่อวิดีโอ.
- ทดลองและเรียนรู้ (Experiment and Learn): หากมีแนวคิดสำหรับกิจกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ ลองใช้กระบวนการของ SAM ในระดับย่อส่วน. สร้างต้นแบบกิจกรรมแบบง่ายๆ แล้วทดลองกับนักเรียนกลุ่มเล็กๆ เพื่อขอความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริงกับทั้งห้อง.
- เก็บข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ (Collect Data Consistently): เริ่มต้นประเมินผลอย่างเป็นระบบด้วยเครื่องมือที่ไม่ซับซ้อน. ลองใช้ Kirkpatrick ระดับ 1 (Reaction) ผ่าน Exit Ticket ทุกท้ายคาบ และ ระดับ 2 (Learning) ผ่านการทดสอบย่อยสั้นๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลการสอนของตนเอง.
- ทำงานร่วมกัน (Collaborate): แบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากเพื่อนครู. การประเมินในระดับที่ 3 และ 4 นั้นทำได้ยากหากทำเพียงคนเดียว. ลองทำงานร่วมกับเพื่อนครูในระดับสายชั้นเพื่อสังเกตการณ์สอนซึ่งกันและกัน หรือทำงานร่วมกับฝ่ายวิชาการของโรงเรียนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ในภาพรวม.
ท้ายที่สุดแล้ว การออกแบบการสอนคือวงจรที่ไม่สิ้นสุดของการวางแผน, การลงมือทำ, การประเมินผล, และการเรียนรู้. การเปิดรับและทดลองใช้โมเดลต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ครูผู้สอนมีเครื่องมือที่หลากหลายในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถตอบคำถามพื้นฐานที่ว่า “การสอนของเราประสบความสำเร็จจริงหรือไม่” ได้อย่างมั่นใจและมีหลักฐานเชิงประจักษ์.
Works cited
- touchpoint.in.th, accessed October 10, 2025, https://touchpoint.in.th/instructional-design/#:~:text=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%20%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3,)%20%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%20(Learner)
- หลักการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) – TouchPoint, accessed October 10, 2025, https://touchpoint.in.th/instructional-design/
- ความหมายของการออกแบบการสอน – concritical, accessed October 10, 2025, https://edu.nrru.ac.th/edtech/online/concritical/2resources/02-resources_mean_1.html
- What is Instructional Design? A Comprehensive Guide – American Public University, accessed October 10, 2025, https://www.apu.apus.edu/area-of-study/education/resources/what-is-instructional-design/
- What is instructional design? Exploring the core principles – Learning Sciences, accessed October 10, 2025, https://learningsciences.smu.edu/blog/what-is-instructional-design
- ADDIE Model Explained: All You Need to Know [+ FREE Template] – AIHR, accessed October 10, 2025, https://www.aihr.com/blog/addie-model/
- ADDIE model – Wikipedia, accessed October 10, 2025, https://en.wikipedia.org/wiki/ADDIE_model
- What is ADDIE? Your Complete Guide to the ADDIE Model – ELM Learning, accessed October 10, 2025, https://elmlearning.com/hub/instructional-design/addie-model/
- The ADDIE Learning Model for Instructional Designers – Digital Learning Institute, accessed October 10, 2025, https://www.digitallearninginstitute.com/blog/the-digital-learning-design-process-addie-model-for-instructional-design
- ADDIE Model: Instructional Design – Educational Technology, accessed October 10, 2025, https://educationaltechnology.net/the-addie-model-instructional-design/
- The ADDIE Model for Instructional Design Explained – Association for Talent Development, accessed October 10, 2025, https://www.td.org/content/newsletter/all-about-addie
- การออกแบบสื่อการสอนด้วย ADDIE Model: แนวทางสู่การพัฒนาสื่อคุณภาพ …, accessed October 10, 2025, https://krukob.com/web/occ-11/
- ADDIE training model คืออะไร? ทำไมชาว HR ควรรู้จักสิ่งนี้ – Globish, accessed October 10, 2025, https://www.globish.co.th/blog/corporate-training/addiemodelpdblog-03082021
- ADDIE Model คืออะไร? – PeopleValue, accessed October 10, 2025, https://www.peoplevalue.co.th/content/9119/addie-model-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3
- การออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบโดยใช แบบจำลอง ADDIE : การพัฒนาการคิดแบบเมตาคอกนิชัน (Metacognition) ของนักศึกษาพยาบาล, accessed October 10, 2025, https://app.northbkk.ac.th/research_/themes/downloads/abstract/1625034756_abstract.pdf
- การออกแบบและพัฒนาบทเรียนมัลติมีเดียโดยใช้ADDIE Model, accessed October 10, 2025, https://drsumaibinbai.files.wordpress.com/2014/12/addie_design_sumai.pdf
- An Introduction to SAM for Instructional Designers | Articulate – Community, accessed October 10, 2025, https://community.articulate.com/blog/articles/an-introduction-to-sam-for-instructional-designers/1124165
- What is ASSURE Model for Instructional Designers? Learn the terminology – Coursensu, accessed October 10, 2025, https://www.coursensu.com/instructional-design-terms/assure-model
- ASSURE: Instructional Design Model – Educational Technology, accessed October 10, 2025, https://educationaltechnology.net/assure-instructional-design-model/
- ASSURE MODEL | Technology for Teaching and Learning | K-Explain #6 – YouTube, accessed October 10, 2025, https://m.youtube.com/watch?v=as9F201ZQ2k&t=437s
- ASSURE model – WordPress.com, accessed October 10, 2025, https://wanlee2212.files.wordpress.com/2017/01/assure-model.pdf
- การใช้สื่อการสอนอย่างเป็นระบบโดยใช้แบบจาลอง ASSURE Model – WordPress.com, accessed October 10, 2025, https://wanlee2212.files.wordpress.com/2017/01/e0b980e0b8a5e0b988e0b8a1e0b8a3e0b8b2e0b8a2e0b887e0b8b2e0b899assure.pdf
- Understanding the ASSURE Model of Instructional Design – Insight7 – AI Tool For Call Analytics & Evaluation, accessed October 10, 2025, https://insight7.io/understanding-the-assure-model-of-instructional-design/
- ความหมาย ASSURE Model ส่วนประกอบ ASSURE Model, accessed October 10, 2025, https://wanlee2212.files.wordpress.com/2017/01/e0b981e0b89ce0b988e0b899e0b89ee0b8b1e0b89a-assure.pdf
- The ASSURE Model(การใช้สื่อการสอนอย่างเป็นระบบ โดยใช้แบบจำลอง) – เทคโนโลยีการศึกษา, accessed October 10, 2025, http://edtechsaranya.blogspot.com/2017/04/the-assure-model.html
- การประเมินการใช้สื่อ, accessed October 10, 2025, https://www.st.ac.th/av/media_use.htm
- การใช สื่อการสอนตามแนวคิด ASSURE MODEL สอนอย างไรให, accessed October 10, 2025, http://www.ojs.mcu.ac.th/index.php/JGMP/article/viewFile/6809/4582
- Successive Approximation Model (SAM) – BCL, accessed October 10, 2025, https://bcltraining.com/learning-library/successive-approximation-model-sam/
- SAM (The Successive Approximations Model) for eLearning Development | Allen Interactions | Custom Learning Solutions, accessed October 10, 2025, https://learn.alleninteractions.com/services/custom-learning/sam/elearning-development
- SAM Model: An Agile Approach To Instructional Design – eLearning Industry, accessed October 10, 2025, https://elearningindustry.com/sam-model-an-agile-approach-to-instructional-design
- SAM (Successive Approximation Model) for Instructional Design [2022] – Valamis, accessed October 10, 2025, https://www.valamis.com/hub/sam-model
- โมเดล SAM: วิธีการที่เปลี่ยนแปลงการออกแบบการสอน | Guru, accessed October 10, 2025, https://www.getguru.com/th/reference/sam-model
- First Principles of Instruction – M David Merrill, accessed October 10, 2025, https://mdavidmerrill.files.wordpress.com/2019/04/firstprinciplesbymerrill.pdf
- Merrill’s First Principles of Instruction – gerardfriel.com, accessed October 10, 2025, https://www.gerardfriel.com/instructional-design/merrill/
- First Principles of Instruction – Wikipedia, accessed October 10, 2025, https://en.wikipedia.org/wiki/First_Principles_of_Instruction
- Instructional Design Models, accessed October 10, 2025, https://www.instructionaldesigncentral.com/instructionaldesignmodels
- Learning Science Made Easy: Merrill’s Principles of Instruction – TopClass Blog, accessed October 10, 2025, https://blog.topclasslms.com/merrills-principles-of-instruction
- Merrill’s Instructional Design Principles, accessed October 10, 2025, https://instructionaldesign.com.au/merrills-instructional-design-principles/
- What Are Merrill’s First Principles of Instruction – Coursebox AI, accessed October 10, 2025, https://www.coursebox.ai/blog/what-are-merrills-first-principles-of-instruction
- Merrill’s Principles of Instruction – A Practical Guide – Learning Everest, accessed October 10, 2025, https://www.learningeverest.com/merrills-principles-of-instruction-a-practical-guide/
- What is the Kirkpatrick Model? Learn the 4 Levels of Evaluation – Ardent Learning, accessed October 10, 2025, https://www.ardentlearning.com/blog/what-is-the-kirkpatrick-model
- 89 KB, accessed October 10, 2025, https://www.opsmoac.go.th/km-km_org_center-files-411591791792
- การประเมินโครงการฝึกอบรม : แนวคิด รูปแบบ และก Tr, accessed October 10, 2025, https://ir.stou.ac.th/bitstream/123456789/737/1/44334.pdf
- The Kirkpatrick Model of Training Evaluation (with Examples) – Devlin Peck, accessed October 10, 2025, https://www.devlinpeck.com/content/kirkpatrick-model-evaluation
- Kirkpatrick Model คืออะไร? – PeopleValue, accessed October 10, 2025, https://www.peoplevalue.co.th/content/9176/kirkpatrick-model-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3
- การประเมินหลักสูตรรูปแบบของเคิร์กแพทริค (Kirkpatrick) – northnfe, accessed October 10, 2025, https://northnfe.blogspot.com/2019/06/kirkpatrick.html
- The Kirkpatrick Training Evaluation Model [+ Benefits & FAQs], accessed October 10, 2025, https://onlinedegrees.sandiego.edu/kirkpatrick-training-evaluation-model/
- Employing Kirkpatrick’s Evaluation Framework to Determine the Effectiveness of Health Information Management Courses and Programs, accessed October 10, 2025, https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC3070232/
- The Kirkpatrick Model, accessed October 10, 2025, https://www.kirkpatrickpartners.com/the-kirkpatrick-model/
- การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรด้วย Kirk-Patrick Model – สถาบันเพิ่ม …, accessed October 10, 2025, https://www.ftpi.or.th/2015/1812
- ÃÐàÁÔ¹¼Å¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСÒèѴ¡Ãкǹ¡ÒÃÊÌҧàÊÃÔÁÊØ¢ ÀÒÇÐ ã¹Ê¶Ò¹»ÃСͺ¡ÒÃ¡ÅØ‹ÁÍØµÊÒË¡ÃÃÁà¤Ã×èͧ¹Ø‹§Ë‹Áä·Â µÒÁâÁà´Å Kirkpatrick – ThaiJO, accessed October 10, 2025, https://he02.tci-thaijo.org/index.php/jph/article/download/88185/92373/314233
- Kirkpatrick Level 3 – Free Evaluation Examples – Kodo survey, accessed October 10, 2025, https://kodosurvey.com/blog/kirkpatrick-level-3-free-evaluation-examples
- The Kirkpatrick Model: A Step-by-Step Guide to Evaluating Training – Growth Engineering, accessed October 10, 2025, https://www.growthengineering.co.uk/kirkpatrick-model/
- การพัฒนาตัวบ่งชี้และเครื่องมือประเมินประสิทธิผลโครงการฝึกอบรมพยาบาลวิชาชีพ, accessed October 10, 2025, https://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/54810171.pdf
- Kirkpatrick Evaluation Model: Examples & Effectiveness – Cloud Assess, accessed October 10, 2025, https://cloudassess.com/blog/kirkpatrick-evaluation-model/
- 5 Instructional Design Models That Are Ideal For Your Remote L&D Program, accessed October 10, 2025, https://elearningindustry.com/instructional-design-models-that-are-ideal-for-your-remote-ld-program
- 6 Popular Instructional Design Models Every Pro Should Know – Cathy Moore, accessed October 10, 2025, https://blog.cathy-moore.com/popular-instructional-design-models/
- Top 6 Instructional Design Models You Should Know – Henry Harvin, accessed October 10, 2025, https://www.henryharvin.com/blog/instructional-design-models-you-should-know/
- 8 Widely Ued Instructional Design Models Every Course Creator Should Know – Trupeer.ai, accessed October 10, 2025, https://www.trupeer.ai/blog/8-instructional-design-models-to-use-in-2025
- What is the role of the Kirkpatrick Model in the ADDIE framework? – You Exec, accessed October 10, 2025, https://youexec.com/questions/what-is-the-role-of-the-kirkpatrick-model-in-the-addie
- การสร้างกรอบการทำงานเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ของการฝึกปฏิบัติแบบเสมือนจริงสำหรับอุตสาหกรรม – มหาวิทยาลัยบูรพา, accessed October 10, 2025, https://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/63910160.pdf
- (PDF) Advanced Instructional Design Model ADDIE+Kolb+Kirkpatrick, accessed October 10, 2025, https://www.researchgate.net/publication/343163547_Advanced_Instructional_Design_Model_ADDIEKolbKirkpatrick
Comments
Powered by Facebook Comments