บทสรุปหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2568
บทสรุปหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2568
บริบทของการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่
โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคม โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างมาก เราได้เข้าสู่ยุค BANI World (เปราะบาง กังวล ไม่เป็นเส้นตรง และเข้าใจยาก) ที่ทักษะและความรู้เดิมไม่เพียงพอสำหรับอนาคต
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ใช้มานานถึง 17 ปี โดยยึดแนวคิดการจัดการศึกษาแบบอิงมาตรฐาน ซึ่งพบว่า
- ยากต่อการบูรณาการในชั้นเรียน
- เน้นความรู้ความเข้าใจมากกว่าการนำไปใช้แก้ปัญหา
- ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาทั้งระดับชาติ (RT, NT, O-NET) และนานาชาติ (PISA) ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
แนวคิดของหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2568
กระทรวงศึกษาธิการโดย สพฐ. ได้พัฒนาหลักสูตรใหม่ตามแนวคิดการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ ที่เน้นความสามารถตามช่วงวัยของผู้เรียน โดยระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) มุ่งให้ผู้เรียนมีพื้นฐานด้าน ต่าง ๆ ดังนี้
1. ความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้
- การอ่าน – เน้นทักษะตั้งแต่การรู้จักตัวอักษร คำศัพท์ จนถึงวิเคราะห์และตีความข้อมูล
- การเขียน – มุ่งพัฒนาการเขียนที่ชัดเจน เป็นระบบ มีเหตุผล เพื่อสื่อสารและแสดงความคิด
- การคิดคำนวณ – เพื่อวิเคราะห์ ประเมิน และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
2. การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน (Functional Literacy)
ความสามารถที่หลักสูตรมุ่งพัฒนาให้นำความรู้ไปใช้ในบริบทต่างๆ
- ความสามารถด้านตัวเลข (Numeracy)
- ด้านดิจิทัล (Digital Literacy)
- ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
- ด้านการเงิน (Financial Literacy)
- ด้านพลเมือง (Civic Literacy)
- ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
- ด้านข้อมูล (Information Literacy)
- ด้านสื่อ (Media Literacy)
- ด้านวัฒนธรรม (Cultural Literacy)
- ด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)
- ด้านการตีความภาพ (Visual Literacy)
- ด้านอารมณ์ (Emotional Literacy)
- ด้านการทำงาน (Workplace Literacy)
เป้าหมายของหลักสูตรใหม่
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2568 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีทักษะดังนี้
- มีความสามารถพื้นฐานที่เข้มแข็ง
- สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน
- มีจินตนาการสร้างสรรค์
- มีความสุขในการเรียนรู้
- เติบโตเป็นพลเมืองที่ดีและมีคุณภาพ
หลักสูตรนี้จึงได้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกและเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิสัยทัศน์และเป้าหมาย
วิสัยทัศน์ของหลักสูตรใหม่
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) พุทธศักราช 2568 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน มีจินตนาการสร้างสรรค์ และมีความสุขในการเรียนรู้ เพื่อเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีและมีคุณภาพในสังคม
หลักการสำคัญ 5 ประการ
- เน้นเป้าหมายชัดเจน – มุ่งพัฒนาความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้ ความสามารถในการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
- เน้นการเรียนรู้เชิงรุก – ส่งเสริม Active Learning โดยบูรณาการความรู้ในบริบท/สถานการณ์ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ประเมินเพื่อพัฒนา – เน้นการประเมินความก้าวหน้าของพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีทิศทาง
- โครงสร้างยืดหยุ่น – ทั้งด้านความรู้ เวลาเรียน การจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล
- กระจายอำนาจสู่โรงเรียน – เปิดโอกาสให้สถานศึกษาบริหารจัดการหลักสูตรตามบริบท โดยคำนึงถึงคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ
จุดหมายสำคัญ 4 ประการ
- ความสามารถพื้นฐาน – ผู้เรียนสามารถอ่าน เขียน และคิดคำนวณ และใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตประจำวัน
- การประยุกต์ใช้ความรู้ – ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี สังคมและความเป็นพลเมือง เศรษฐกิจและการเงิน สุขภาพกายและจิต และศิลปะและวัฒนธรรม
- ทักษะการคิด – ผู้เรียนสามารถคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดแก้ปัญหา
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์ – ผู้เรียนมีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย อยู่อย่างพอเพียง และมีจิตสาธารณะ
เป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน: 3 องค์ประกอบหลัก
1. ความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้
- การอ่าน (Reading Literacy) – ความสามารถในการอ่านและเข้าใจความหมายของคำ ข้อความ นิทาน เรื่องราว ภาพ สัญลักษณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
- การเขียน (Writing Literacy) – ความสามารถในการเรียบเรียงคำหรือข้อความเพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึก
- การคิดคำนวณ (Numeracy) – ความสามารถในการใช้ความเข้าใจตัวเลขและแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
2. ความสามารถด้านการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
หลักสูตรกำหนดการประยุกต์ใช้ความสามารถพื้นฐานใน 5 ด้าน ดังนี้
- ด้านวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
- ด้านสังคมและความเป็นพลเมือง
- ด้านเศรษฐกิจและการเงิน
- ด้านสุขภาพกายและจิต
- ด้านศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อสุนทรียภาพ
3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 5 ประการ
- รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – มีความรักและภาคภูมิใจในสถาบันหลักของชาติ
- ซื่อสัตย์สุจริต – มีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง
- มีวินัย – มีความมุ่งมั่นในการทำงาน รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ เคารพกฎกติกา
- อยู่อย่างพอเพียง – มีความพอดีและสมดุล ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เกินความจำเป็น
- มีจิตสาธารณะ – มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และพร้อมช่วยเหลือผู้อื่น
คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาตอนต้น (ป.3)
ความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้
- เข้าใจความหมายของคำ ข้อความ ภาพ สัญลักษณ์ แผนภูมิต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
- สามารถเขียนเพื่อถ่ายทอดข้อมูล ความคิด และความรู้สึก
- สามารถใช้ความรู้เบื้องต้นทางคณิตศาสตร์แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
ความสามารถด้านการประยุกต์ใช้
- รับรู้และเข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
- ปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองดี มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และสังคม
- เข้าใจสภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้
- ดูแลรักษาสุขภาพกายและจิต มีสุขนิสัยที่ดี ควบคุมอารมณ์และจัดการความเครียดได้
- เห็นคุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลปะและวัฒนธรรม มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่น
หลักสูตรใหม่นี้มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม ให้ผู้เรียนมีทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันและอนาคต โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ เพื่อให้การพัฒนาผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมาย
แนวทางการจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผลตามหลักสูตรประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2568
แนวคิดการจัดการเรียนรู้
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) พุทธศักราช 2568 กำหนดการจัดการเรียนรู้โดยยึดหลักการและแนวคิดสำคัญ ดังนี้
1. เป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม
- ความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้ (การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ) เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
- ความสามารถในการประยุกต์ใช้ ในบริบทโลกจริง เช่น วิทยาศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ สุขภาพ และศิลปวัฒนธรรม
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ที่ต้องการพัฒนาผ่านการจัดการเรียนรู้
- ความรู้พื้นฐาน เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่สถานศึกษาสามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสม
2. การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้การอ่าน การเขียน และการคิดคำนวณเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
- ฝึกฝนผ่านสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน
- บูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ต่างๆ
3. การประเมินระหว่างเรียน
- ตรวจสอบและพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- ให้ข้อมูลสะท้อนกลับเพื่อการปรับปรุง
4. การบูรณาการเป้าหมาย
- บูรณาการทักษะพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ในบริบทที่หลากหลาย
- ใช้เนื้อหาจากศาสตร์ต่างๆ เป็นพื้นที่พัฒนาความสามารถพื้นฐาน
องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้
1. เป้าหมายการจัดการเรียนรู้
- กำหนดเป็นองค์รวมในลักษณะของ “ผลลัพธ์การเรียนรู้”
- บูรณาการทั้งความสามารถพื้นฐานและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2. กิจกรรมการเรียนรู้
- สร้างโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
- ส่งเสริมพัฒนาการด้านการอ่าน เขียน และคิดคำนวณอย่างต่อเนื่อง
- ฝึกการใช้ทักษะในบริบทที่หลากหลาย
3. การประเมินการเรียนรู้
- ตรวจสอบพฤติกรรมการเรียนรู้เทียบกับเกณฑ์ที่คาดหวัง
- ใช้ผลการประเมินสะท้อนกลับเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
4. สื่อและแหล่งเรียนรู้
- สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าสนใจ
- เลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
แนวคิดการประเมิน 2 รูปแบบ
1. การประเมินระหว่างเรียน
- การประเมินเพื่อการเรียนรู้ – รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมความก้าวหน้าเพื่อให้ข้อเสนอแนะที่มีคุณภาพแก่ผู้เรียน
- การประเมินเป็นการเรียนรู้ – ให้ผู้เรียนใช้ข้อมูลจากการประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเอง
2. การประเมินเพื่อสรุปหรือตัดสินผลการเรียน
- ประเมินความสามารถของผู้เรียนเมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้
- รายงานผลเป็น 4 ระดับความสามารถ
การตัดสินผลการเรียน
1. การตัดสินผลการเรียนเมื่อจบชั้นปี
- ประเมินความสามารถของผู้เรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด (4 ระดับ)
- ผู้เรียนต้องมีความสามารถอยู่ในระดับพัฒนาขึ้นไปทั้ง 8 ความสามารถ
2. การตัดสินผลการเรียนเมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.3)
- ด้านการอ่าน การเขียน และการคิดคำนวณ ต้องอยู่ในระดับชำนาญขึ้นไป
- ด้านการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต้องอยู่ในระดับพัฒนาขึ้นไป
ระดับความสามารถ 4 ระดับ
- ระดับเริ่มต้น – ผู้เรียนมีความสามารถขั้นพื้นฐาน เช่น อ่านประโยคสั้นๆ ได้ เขียนคำพื้นฐานได้ คิดคำนวณเลขง่ายๆ ได้
- ระดับพัฒนา – ผู้เรียนสามารถอ่านเขียนข้อความที่ยาวขึ้น และนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้
- ระดับชำนาญ – ผู้เรียนสามารถอ่านเขียนข้อความที่ซับซ้อนขึ้น วิเคราะห์ สรุปสาระสำคัญได้
- ระดับเชี่ยวชาญ – ผู้เรียนมีความสามารถระดับสูง สามารถอ่านเขียนข้อความที่ซับซ้อน มีความคิดสร้างสรรค์
การเลื่อนชั้นและการจบการศึกษา
การเลื่อนชั้นปี
- ผู้เรียนจะได้รับการเลื่อนชั้นเมื่อมีผลการเรียนตามความสามารถครบ 8 ด้าน
- แม้ผลการเรียนไม่เป็นไปตามเกณฑ์ สถานศึกษาสามารถให้เลื่อนชั้นได้ โดยจัดกิจกรรมเสริมเพื่อพัฒนา
การจบการศึกษา
ผู้เรียนจะจบการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้นเมื่อ…..
- มีผลการเรียนตามความสามารถครบทั้ง 8 ด้าน
- มีความสามารถด้านการอ่าน การเขียน และการคิดคำนวณ ในระดับชำนาญขึ้นไป
- มีความสามารถด้านการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในระดับพัฒนาขึ้นไป
- ผ่านการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
- ผ่านการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
หลักสูตรใหม่นี้มุ่งเน้นการประเมินเพื่อพัฒนา มากกว่าการตัดสินผลการเรียน และให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริง สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะที่เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาไทย
ตารางเปรียบเทียบหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น
1. เปรียบเทียบหลักสูตรเดิม (2551) กับหลักสูตรใหม่ (2568)
ประเด็น | หลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ.2551 | หลักสูตรประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ.2568 |
แนวคิดหลัก | การจัดการศึกษาแบบอิงมาตรฐาน(Standard-based Education) | การจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ(Competency-based Education) |
เป้าหมาย | มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด (52 มาตรฐาน 2,056 ตัวชี้วัด) | ความสามารถพื้นฐานด้านการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน (8 ความสามารถ) |
โครงสร้างหลักสูตร | แบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้แยกเป็นรายวิชา | บูรณาการความสามารถ 4 ด้านหลักในบริบทที่หลากหลาย |
การจัดการเรียนรู้ | เน้นเนื้อหาสาระและทักษะรายวิชา | เน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุกบูรณาการผ่านบริบทจริง |
การประเมินผล | ประเมินตามตัวชี้วัดรายวิชาให้ผลการเรียนเป็นระดับ (เกรด) | ประเมินความสามารถแบบองค์รวมให้ผลเป็น 4 ระดับความสามารถ |
บทบาทสถานศึกษา | ต้องจัดการเรียนรู้ตามโครงสร้างหลักสูตรที่กำหนด | มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการหลักสูตรตามบริบท |
บทบาทครู | ผู้ถ่ายทอดความรู้ตามรายวิชา | ผู้ออกแบบและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ |
การเลื่อนชั้น | พิจารณาจากผลการเรียนรายวิชา | พิจารณาจากความสามารถ 8 ด้านสามารถเลื่อนชั้นได้แม้ยังไม่ถึงเกณฑ์ |
2. เปรียบเทียบความสามารถผู้เรียนใน 4 ระดับ
ความสามารถ | ระดับเริ่มต้น | ระดับพัฒนา | ระดับชำนาญ | ระดับเชี่ยวชาญ |
การอ่าน | อ่านคำและประโยคสั้นๆ เข้าใจความหมายพื้นฐาน | อ่านข้อความที่ยาวขึ้นเข้าใจภาพและสัญลักษณ์ | อ่านข้อความซับซ้อนได้ดีวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญได้ | อ่านและวิเคราะห์วิจารณ์เนื้อหาที่ซับซ้อนสูง |
การเขียน | เขียนคำและประโยคสั้นๆสื่อสารความคิดง่ายๆ | เขียนข้อความที่ยาวขึ้นสื่อสารมีประสิทธิภาพขึ้น | เขียนข้อความที่มีโครงสร้างซับซ้อนสื่อสารชัดเจนและเป็นระบบ | เขียนข้อความที่มีความซับซ้อนและความคิดสร้างสรรค์สูง |
การคิดคำนวณ | นับและคำนวณเลขง่ายๆในชีวิตประจำวัน | คำนวณที่ซับซ้อนขึ้นเริ่มเรียนรู้การคูณ | แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและใช้แผนภูมิ | แก้ปัญหาที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนนำเสนอข้อมูลทางคณิตศาสตร์ได้ดี |
การประยุกต์ใช้ด้านวิทยาศาสตร์ | อ่านคำแนะนำพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีง่ายๆ | อ่านบทความวิทยาศาสตร์สั้นๆเขียนรายงานการทดลองง่ายๆ | เข้าใจบทความวิทยาศาสตร์เขียนรายงานการทดลองได้ด้วยตนเอง | เข้าใจงานวิจัย สร้างสิ่งประดิษฐ์และทำการทดลองที่ซับซ้อนขึ้น |
การประยุกต์ใช้ด้านสังคม | อ่านป้ายสัญลักษณ์สาธารณะปฏิบัติตามกฎระเบียบพื้นฐาน | อ่านข่าวเกี่ยวกับชุมชนเขียนความคิดเห็นพื้นฐาน | เข้าใจปัญหาสังคมง่ายๆเขียนบทความมีเหตุผล | เข้าใจทฤษฎีสังคมศาสตร์ง่ายๆเสนอแนวคิดพัฒนาสังคมได้ |
3. เปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้แบบเดิมกับแบบใหม่
มิติการจัดการเรียนรู้ | การจัดการเรียนรู้แบบเดิม | การจัดการเรียนรู้แบบใหม่ |
การวางแผน | วางแผนตามเนื้อหารายวิชา | ออกแบบย้อนกลับจากเป้าหมายความสามารถ |
รูปแบบกิจกรรม | เน้นการฟังบรรยาย ทำแบบฝึกหัด | เน้น Active Learning ผ่านสถานการณ์จริง |
บทบาทผู้เรียน | ผู้รับความรู้ ทำตามคำสั่ง | ผู้ลงมือปฏิบัติ คิด ตัดสินใจ และสร้างความรู้ |
บทบาทครู | ผู้สอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ | ผู้ออกแบบ ผู้อำนวยความสะดวก โค้ช |
การประเมิน | ประเมินเพื่อตัดสินผลใช้แบบทดสอบเป็นหลัก | ประเมินเพื่อพัฒนาใช้วิธีการหลากหลายตามสภาพจริง |
การให้ข้อมูลย้อนกลับ | เน้นคะแนนและเกรดให้เมื่อจบหน่วยการเรียน | เน้นข้อเสนอแนะเชิงคุณภาพให้ทันทีและต่อเนื่อง |
สื่อการเรียนรู้ | หนังสือเรียน แบบฝึกหัด | สื่อหลากหลาย สถานการณ์จริงเทคโนโลยีดิจิทัล |
4. เปรียบเทียบการเตรียมตัวของครูตามแนวโน้มการศึกษาในอนาคต
แนวโน้มการศึกษา | การเตรียมตัวของครู | การพัฒนาวิชาชีพ |
การเรียนรู้แบบไฮบริด(Hybrid Learning) | – พัฒนาทักษะดิจิทัล – ออกแบบกิจกรรมที่ยืดหยุ่น – สร้างสื่อที่ใช้ได้ทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ | – อบรมการใช้เทคโนโลยีการศึกษา – เรียนรู้แพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ |
การเรียนรู้ข้ามศาสตร์(Transdisciplinary Learning) | – ศึกษาความรู้นอกสาขาวิชา – ร่วมมือกับครูต่างกลุ่มสาระ – นำประเด็นท้าทายมาใช้สอน | – ทำ PLC ข้ามกลุ่มสาระ – ออกแบบหน่วยบูรณาการร่วมกัน |
การเรียนรู้เชิงลึก(Deep Learning) | – ออกแบบคำถามปลายเปิด – เน้นทักษะการคิดขั้นสูง – ใช้เทคนิคการโค้ช | – ฝึกอบรมการตั้งคำถาม – พัฒนาทักษะการเป็นโค้ช |
การเรียนรู้รายบุคคล(Personalized Learning) | – วิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล – ออกแบบเส้นทางการเรียนรู้หลากหลาย – ใช้เทคโนโลยีช่วยติดตาม | – เรียนรู้การใช้ AI ในการศึกษา – พัฒนาทักษะการวินิจฉัยผู้เรียน |
การประเมินแบบใหม่(New Assessment) | – สร้างเครื่องมือประเมินหลากหลาย – ให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีคุณภาพ – สอนการประเมินตนเอง | – ฝึกอบรมการประเมินตามสภาพจริง – พัฒนาทักษะการให้ข้อมูลย้อนกลับ |
5. เปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาตามตัวชี้วัด ว9/2564
ตัวชี้วัดตาม ว9/2564 | การพัฒนาตามหลักสูตรเดิม | การพัฒนาตามหลักสูตรใหม่ |
ด้านการจัดการเรียนรู้ | – สอนตามแผนการสอนรายคาบ – เน้นเนื้อหาตามหนังสือเรียน | – ออกแบบหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ – จัดการเรียนรู้เชิงรุกผ่านสถานการณ์จริง |
ด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน | – จัดกิจกรรมเสริมแยกตามรายวิชา – ใช้การซ่อมเสริมแบบเดียวกันทั้งชั้น | – วิเคราะห์และพัฒนาผู้เรียนรายบุคคล – ออกแบบกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะ |
ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ | – อบรมเทคนิคการสอนรายวิชา – พัฒนาตามหลักสูตรที่หน่วยงานกำหนด | – ร่วม PLC พัฒนาการสอนฐานสมรรถนะ – วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน |
ด้านการจัดสภาพแวดล้อม | – จัดห้องเรียนแบบเดิม – นำเสนอความรู้บนป้ายนิเทศ | – จัดพื้นที่การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น – สร้างศูนย์การเรียนรู้ที่กระตุ้นการค้นคว้า |
ด้านความร่วมมือกับผู้ปกครอง | – ประชุมผู้ปกครองรายงานผลการเรียน – ขอความร่วมมือในการดูแลการบ้าน | – ร่วมวางแผนและประเมินผู้เรียน – เชิญร่วมเป็นวิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ |
ด้านการใช้เทคโนโลยี | – ใช้เทคโนโลยีนำเสนอเนื้อหา – สอนการใช้เทคโนโลยีเป็นรายวิชา | – ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ – บูรณาการเทคโนโลยีในทุกกิจกรรม |
ด้านนวัตกรรมการสอน | – ใช้นวัตกรรมแยกตามรายวิชา – เน้นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ | – พัฒนานวัตกรรมบูรณาการ – เน้นนวัตกรรมพัฒนาสมรรถนะรอบด้าน |
ด้านการวัดและประเมินผล | – ประเมินด้วยข้อสอบเป็นหลัก – วัดความรู้ความจำตามตัวชี้วัด | – ประเมินด้วยวิธีการหลากหลาย – วัดความสามารถในการประยุกต์ใช้จริง |
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2568 ภาพรวม แนวโน้ม และการเตรียมความพร้อมของครู
ภาพรวมของหลักสูตรใหม่
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) พุทธศักราช 2568 เป็นการปฏิรูปหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงจากการจัดการศึกษาแบบอิงมาตรฐาน (Standard-based Education) มาเป็นการจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency-based Education) โดยมีความแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้
ปรัชญาและเป้าหมาย
- เดิม: มุ่งเน้นความรู้และทักษะในรายวิชาต่างๆ แยกส่วน
- ใหม่: มุ่งพัฒนาความสามารถพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงแบบบูรณาการ
จุดเน้นการเรียนรู้
- เดิม: เนื้อหาสาระตามกลุ่มวิชา (Subject-oriented)
- ใหม่: ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดคำนวณ และประยุกต์ใช้ในบริบทจริง (Functional Literacy)
การประเมินผล
- เดิม: ประเมินตามตัวชี้วัดจำนวนมาก (2,056 ตัวชี้วัด) แยกตามรายวิชา
- ใหม่: ประเมินความสามารถแบบองค์รวม 4 ด้านหลัก (การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ และการประยุกต์ใช้)
บทบาทของสถานศึกษา
- เดิม: ความยืดหยุ่นน้อย ต้องปฏิบัติตามโครงสร้างหลักสูตรชัดเจน
- ใหม่: ให้อิสระสถานศึกษาในการบริหารจัดการหลักสูตรตามบริบท โดยคำนึงถึงคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ
การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับตัวชี้วัด ว9/2564 และแนวโน้มการศึกษาในอนาคต
ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครู (ว9/2564) ครูต้องแสดงสมรรถนะตามตัวชี้วัด 8 ด้าน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ ดังนี้:
1. ด้านการจัดการเรียนรู้
- แนวทางการสอนแบบใหม่: ออกแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่มีการบูรณาการทักษะการอ่าน เขียน คิดคำนวณ ในบริบทจริง
- ตัวอย่าง: จัดโครงการระยะยาวที่ผู้เรียนต้องอ่านค้นคว้า เขียนสื่อสาร และคำนวณเพื่อแก้ปัญหาในชุมชน
2. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน
- แนวทาง: ใช้การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) เพื่อวินิจฉัยจุดอ่อนและพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
- ตัวอย่าง: สร้างแฟ้มพัฒนาการรายบุคคลที่ติดตามความก้าวหน้าและออกแบบกิจกรรมเสริมตามความต้องการเฉพาะ
3. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
- แนวทาง: เข้าร่วมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
- ตัวอย่าง: ร่วมกับเพื่อนครูออกแบบและทดลองกิจกรรมบูรณาการที่พัฒนาทักษะรอบด้านของผู้เรียน
แนวโน้มการจัดการศึกษาในอนาคตและการเตรียมตัวของครู
1. การเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning)
- แนวโน้ม: ผสมผสานการเรียนรู้แบบออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ
- การเตรียมตัว: พัฒนาทักษะดิจิทัล ออกแบบกิจกรรมที่ยืดหยุ่นสามารถปรับใช้ได้ทั้งในห้องเรียนจริงและเสมือน
2. การเรียนรู้แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Learning)
- แนวโน้ม: การเรียนรู้ผ่านประเด็นท้าทาย (Challenges) ที่ต้องใช้ความรู้หลายศาสตร์
- การเตรียมตัว: ออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยร่วมมือกับครูต่างกลุ่มสาระ นำประเด็นปัญหาจริงในชุมชนมาเป็นโจทย์การเรียนรู้
3. การเรียนรู้เชิงลึกและเรียนรู้ด้วยตนเอง (Deep Learning & Self-Directed Learning)
- แนวโน้ม: เน้นการเรียนรู้เชิงลึกและการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
- การเตรียมตัว: ฝึกออกแบบคำถามปลายเปิด ใช้เทคนิคการโค้ช มากกว่าการสอนแบบป้อนความรู้ (Coaching not Teaching)
4. การเรียนรู้ตามความต้องการเฉพาะ (Personalized Learning)
- แนวโน้ม: จัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความสนใจ ความถนัด และความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน
- การเตรียมตัว: ใช้เทคโนโลยีและการประเมินความต้องการรายบุคคลเพื่อออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย
5. การวัดและประเมินผลแบบใหม่ (New Assessment)
- แนวโน้ม: ลดการสอบแบบมาตรฐาน เพิ่มการประเมินตามสภาพจริงและการสะท้อนตนเอง
- การเตรียมตัว: พัฒนาเครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เช่น แฟ้มสะสมงานดิจิทัล การแสดงผลงาน การโครงงาน
กลยุทธ์การพัฒนาการสอนของครูเพื่อรองรับหลักสูตรใหม่
1. เน้นการออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design)
- เริ่มจากกำหนดเป้าหมายความสามารถผู้เรียน
- ออกแบบการประเมิน วิธีการเก็บหลักฐานการเรียนรู้
- จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำไปสู่เป้าหมาย
2. พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
- ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้รายบุคคล
- สร้างสื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา (Accessible Learning)
- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และติดตามพัฒนาการของผู้เรียน
3. สร้างห้องเรียนที่เน้นการปฏิบัติและสถานการณ์จริง
- จัดพื้นที่การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น (Flexible Learning Space)
- นำสถานการณ์จริงจากชุมชน ท้องถิ่น มาเป็นบริบทการเรียนรู้
- สร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชนในการจัดการเรียนรู้
4. พัฒนาระบบการประเมินความก้าวหน้าและให้ข้อมูลย้อนกลับ
- ใช้เทคนิคการประเมินระหว่างเรียนอย่างสม่ำเสมอ
- ให้ข้อมูลย้อนกลับที่เฉพาะเจาะจงและทันที (Specific & Immediate Feedback)
- สอนให้ผู้เรียนประเมินตนเองและสะท้อนการเรียนรู้ (Self-assessment & Reflection)
5. การทำงานร่วมกันเป็นทีม
- สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่เข้มแข็ง
- แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) อย่างต่อเนื่อง
- วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน
บทสรุป
หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2568 สะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญในการจัดการศึกษาของไทย จากการสอนที่เน้นเนื้อหา สู่การพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จของหลักสูตรนี้ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีการสอนของครู จากผู้ถ่ายทอดความรู้ สู่ผู้ออกแบบและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
ครูในยุคใหม่ต้องเป็นนักออกแบบการเรียนรู้ที่เข้าใจทั้งศาสตร์การสอนและศิลปะของการโค้ช ต้องเปิดรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา แต่ไม่ลืมเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะพื้นฐานที่เข้มแข็ง สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และมีความสุขในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจท้าทาย แต่เป็นโอกาสสำคัญของวงการศึกษาไทยในการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพสำหรับโลกในศตวรรษที่ 21 การเตรียมความพร้อมของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ที่มา หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๓) พุทธศักราช ๒๕๖๘
เอกสารเพิ่มเติม
รายละเอียดเพิ่มเติม
ไฟล์แนบ
- คู่มือพัฒนาครูระดับประถมศึกษา
- คู่มือการจัดการเรียนรู้
- คู่มือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
- คู่มือการบริหารจัดการหลักสูตร หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น
- คู่มือพัฒนาครูระดับปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568
- คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568
Comments
Powered by Facebook Comments