Digital Learning Classroom
หลักสูตรฐานสมรรถนะ

สรุปหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

แชร์เรื่องนี้

สรุปหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

ความเป็นมาและหลักการ

กรอบกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง

  1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 54, 71) – กำหนดให้รัฐดูแลพัฒนาเด็กก่อนเข้ารับการศึกษา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี
  2. พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 – มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน โดยการจัดการเรียนรู้ต้องไม่มุ่งเน้นการสอบแข่งขัน
  3. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 – เน้นพัฒนาทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21

ลักษณะสำคัญของหลักสูตรฯ พุทธศักราช 2568

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี พัฒนาต่อยอดจากหลักสูตรฯ พุทธศักราช 2560 โดยยังคงแนวคิดสำคัญของปรัชญาการศึกษาปฐมวัย แต่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัลและกฎหมาย/ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

  1. กำหนดคุณภาพผู้เรียน เป็นความสามารถเมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัยและความสามารถเมื่อจบชั้นปี
  2. เน้นครอบคลุมความสามารถ 4 ด้าน:
    • ด้านสุขภาวะทางกาย
    • ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม
    • ด้านความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย
    • ด้านสติปัญญา

หลักการสำคัญที่ยังคงไว้จากหลักสูตรเดิม

  1. การอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ
  2. การพัฒนาเด็กตามวัยอย่างเป็นองค์รวมผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย
  3. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เชิงรุกที่สอดคล้องกับการพัฒนาสมอง
  4. การเรียนรู้อย่างมีความสุขและการพักผ่อนเพียงพอ
  5. การตระหนักถึงบริบทสังคมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก
  6. การประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่างสถานศึกษา ครอบครัว และชุมชน

เป้าหมายสูงสุด

มุ่งสร้างและพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีความสามารถตามวัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง และสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตเพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อันจะก่อให้เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ

วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

จากเอกสาร ผมสามารถสรุปสาระสำคัญของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และขอเพิ่มเติมความรู้ และผลการวิเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครูและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัย ดังนี้ครับ

จุดเด่นที่น่าสนใจของหลักสูตรใหม่

  1. การเชื่อมโยงกับทักษะศตวรรษที่ 21 – หลักสูตรนี้ได้มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล โดยเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กที่จะเติบโตในโลกอนาคต
  2. การกำหนดความสามารถผู้เรียนอย่างชัดเจน – มีการระบุเป้าหมายการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมว่าเด็กจะต้อง “ทำอะไรได้” ซึ่งช่วยให้ครูและผู้ปกครองมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาเด็ก
  3. การบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง – การนำหลักปรัชญานี้มาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเด็กปฐมวัยสะท้อนการบ่มเพาะค่านิยมที่สำคัญของสังคมไทย
  4. การเน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) – หลักสูตรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยทางประสาทวิทยาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็ก

สรุปหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 มุ่งพัฒนาเด็กอายุ 3-6 ปีอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นไปที่

  • การอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการอย่างรอบด้าน
  • การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการลงมือปฏิบัติ
  • การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในบริบทสังคมและวัฒนธรรมของเด็ก
  • การพัฒนาเด็กด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจ
  • การสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

วิสัยทัศน์

มุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้มีพัฒนาการและความสามารถ 4 ด้านอย่างสมดุล ดังนี้

  1. ด้านสุขภาวะทางกาย
  2. ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม
  3. ด้านความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย
  4. ด้านสติปัญญา

ทั้งนี้ ต้องการให้เด็กมีคุณภาพ มีพัฒนาการสมวัย เต็มตามศักยภาพ มีทักษะชีวิต ปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นคนดี มีวินัย และรักความเป็นไทย

หลักการสำคัญ 5 ประการ

  1. หลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษา – เน้นเด็กเป็นสำคัญ คำนึงถึงพัฒนาการตามวัยและความแตกต่างระหว่างบุคคล
  2. หลักพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้ – พัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวมผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย การเรียนรู้อย่างมีความสุข
  3. หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เชิงรุก – บูรณาการกิจกรรมหลากหลาย ให้เด็กได้เลือก คิด ตัดสินใจ และลงมือทำ
  4. หลักการบูรณาการบริบทสังคมและวัฒนธรรม – เชื่อมโยงการเรียนรู้กับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเด็ก
  5. หลักการมีส่วนร่วม – ประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา ครอบครัว และชุมชนในการพัฒนาเด็ก

จุดหมาย

  1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง ปลอดภัย มีสุขภาวะทางกายที่ดี
  2. มีสุขภาพจิตดี มีความสุข มีสุนทรียภาพ มีสัมพันธภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม
  3. มีทักษะชีวิต ปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย รักความเป็นไทย อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
  4. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้เหมาะสมกับวัย

ความสามารถผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัย

1. ด้านสุขภาวะทางกาย

  • มีร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง มีสุขอนามัยและสุขนิสัยที่ดี
  • รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
  • เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์

2. ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม

  • รับรู้ เข้าใจ มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น
  • แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม
  • มีการกำกับตนเอง มีสัมพันธภาพที่ดีและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
  • รับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง
  • มีความสุขและแสดงออกผ่านงานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
  • มีทักษะชีวิต ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
  • ยอมรับความเหมือนและความแตกต่างระหว่างบุคคล

3. ด้านความเป็นพลเมือง และความเป็นไทย

  • มีคุณธรรมจริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม
  • มีมารยาทไทย ปฏิบัติตามวัฒนธรรมและประเพณีไทย
  • รักและภูมิใจในความเป็นไทย
  • ปฏิบัติตนตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  • ดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • มีวินัยในตนเอง
  • เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

4. ด้านสติปัญญา

  1. ภาษาและการรู้หนังสือ
    • ฟังและสนทนาโต้ตอบ เล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ
    • อ่านภาพและสัญลักษณ์
    • มีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร และการเขียนเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน
  2. การคิดรวบยอดและการคิดคำนวณ
    • มีทักษะพื้นฐานนำไปสู่การคิดรวบยอด การคิดคำนวณ
    • เรียงลำดับ แสดงแบบรูปของสิ่งต่างๆ
    • รู้ค่าของจำนวน ใช้จำนวนและตัวเลขในชีวิตประจำวัน
    • รับรู้มิติสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
  3. การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ
    • ระบุปัญหา สร้างทางเลือก เลือกวิธีการ และลงมือแก้ปัญหา
    • ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ และยอมรับผลที่เกิดขึ้น
  4. การแสวงหาความรู้
    • กระตือรือร้นในการเรียนรู้และร่วมกิจกรรม
    • ค้นหาคำตอบเกี่ยวกับปัญหาหรือข้อสงสัย โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้
  5. จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
    • ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานศิลปะและการเคลื่อนไหว

แนวทางการนำหลักสูตรไปประยุกต์ใช้

  1. การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
    • จัดพื้นที่การเรียนรู้ที่กระตุ้นการสำรวจและการเล่นอย่างมีความหมาย
    • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ปลอดภัย เอื้อต่อการกล้าแสดงออกและทดลอง
    • จัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลาย เน้นวัสดุธรรมชาติและสิ่งของในท้องถิ่น
  2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ
    • ออกแบบกิจกรรมที่บูรณาการทั้ง 4 ด้านตามที่หลักสูตรกำหนด
    • ใช้การเล่นเป็นฐานในการเรียนรู้ (Play-based Learning)
    • จัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวันของเด็ก
  3. การประเมินพัฒนาการอย่างเป็นองค์รวม
    • ใช้การสังเกตพฤติกรรมเด็กในสถานการณ์จริง
    • เก็บรวบรวมข้อมูลพัฒนาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น บันทึกพฤติกรรม แฟ้มสะสมผลงาน
    • ให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวกเพื่อส่งเสริมการพัฒนา

แนวทางการจัดประสบการณ์ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ปี ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 มีลักษณะเป็นการบูรณาการผ่านการเล่นและการลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรง เพื่อพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม โดยไม่จัดเป็นรายวิชา ดังนี้

หลักการจัดประสบการณ์

  1. จัดประสบการณ์อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม สมวัย สมดุล และต่อเนื่อง
  2. เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบทของสังคมวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่
  3. ให้ความสำคัญกับพัฒนาการและกระบวนการเรียนรู้ มุ่งพัฒนาทุกด้านอย่างสมดุล
  4. ประเมินอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์ และนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็ก
  5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก

แนวทางการจัดประสบการณ์

  1. สอดคล้องกับพัฒนาการและการทำงานของสมอง จัดให้เหมาะสมกับอายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการ เพื่อให้เด็กพัฒนาเต็มศักยภาพ
  2. สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก ให้เด็กได้ลงมือกระทำ เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  3. บูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้ ไม่แยกส่วนหรือเน้นเฉพาะด้าน
  4. ส่งเสริมความเป็นผู้นำทางความคิด ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิด โดยผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก
  5. ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นและผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่นมีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบร่วมมือ
  6. เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและบริบทสังคม ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิต สอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรม
  7. ปลูกฝังคุณธรรมและทักษะชีวิต ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดี ทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ความเป็นพลเมืองที่ดี และความเป็นไทยตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  8. ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพจริงโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้
  9. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ทั้งการวางแผน การสนับสนุนสื่อ แหล่งเรียนรู้ การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ
  10. จัดทำสารนิทัศน์ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล และนำมาใช้พัฒนาเด็กและการวิจัยในชั้นเรียน

การจัดกิจกรรมประจำวัน

หลักการจัดกิจกรรมประจำวัน

  1. กำหนดระยะเวลาเหมาะสมตามวัย
    • อายุ 3-4 ปี: ความสนใจประมาณ 8-12 นาที
    • อายุ 4-5 ปี: ความสนใจประมาณ 12-15 นาที
    • อายุ 5-6 ปี: ความสนใจประมาณ 15-20 นาที
  2. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด ทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่องเกินกว่า 20 นาที
  3. กิจกรรมเล่นเสรี ที่เด็กมีอิสระเลือกเล่น ควรใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที
  4. จัดกิจกรรมให้สมดุล ระหว่าง:
    • กิจกรรมในห้องและนอกห้อง
    • กิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก
    • กิจกรรมรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่
    • กิจกรรมที่เด็กริเริ่มและผู้สอนริเริ่ม
    • กิจกรรมที่ใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง (ควรจัดสลับกัน)

ขอบข่ายของกิจกรรมประจำวัน

  1. การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่
    • พัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว ความยืดหยุ่น และความคล่องแคล่ว
    • กิจกรรม: เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่าย เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี
  2. การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก
    • พัฒนากล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
    • กิจกรรม: เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม ใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ
  3. การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ สังคมและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
    • ปลูกฝังความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก วินัย ความรับผิดชอบ และคุณธรรมต่างๆ
    • กิจกรรม: จัดผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ฝึกปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง
  4. การพัฒนาสังคมนิสัย
    • พัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การช่วยเหลือตนเอง และความปลอดภัย
    • กิจกรรม: การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การทำความสะอาดร่างกาย การเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น
  5. การพัฒนาการคิด
    • พัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ตัดสินใจ คิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผล
    • กิจกรรม: สนทนาอภิปราย ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ออกแบบและสร้างชิ้นงาน
  6. การพัฒนาภาษา
    • พัฒนาการใช้ภาษาสื่อสาร การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด การตั้งคำถาม
    • กิจกรรม: จัดกิจกรรมทางภาษาที่หลากหลาย ส่งเสริมการฟัง พูด อ่าน เขียน และพื้นฐานการใช้หนังสือ
  7. การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
    • ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก และการชื่นชมความงาม
    • กิจกรรม: ศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เล่นบทบาทสมมติ เล่นน้ำ เล่นทราย เล่นบล็อก

ความท้าทายและข้อควรคำนึง

  1. ความแตกต่างของบริบทโรงเรียน – แต่ละโรงเรียนมีทรัพยากรและบริบทแตกต่างกัน การนำหลักสูตรไปใช้จึงต้องปรับให้เหมาะกับบริบทของตนเอง
  2. การพัฒนาครูปฐมวัย – ครูต้องได้รับการพัฒนาให้เข้าใจปรัชญาและหลักการของหลักสูตรอย่างลึกซึ้ง รวมถึงทักษะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เชิงรุก
  3. การสื่อสารกับผู้ปกครอง – ผู้ปกครองอาจมีความคาดหวังเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กที่เน้นวิชาการ จึงต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการเรียนรู้ผ่านการเล่น
  4. การต่อยอดสู่ระดับประถมศึกษา – ต้องมีการเชื่อมโยงที่ราบรื่นระหว่างการศึกษาปฐมวัยและประถมศึกษา เพื่อให้เด็กปรับตัวได้ดี

การนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในปรัชญาการศึกษาปฐมวัย และการประยุกต์ใช้อย่างยืดหยุ่นให้เหมาะกับบริบทของแต่ละสถานศึกษา โดยไม่ลืมว่าเป้าหมายสูงสุดคือการวางรากฐานชีวิตที่ดีให้กับเด็กปฐมวัยไทย

การเปรียบเทียบและแนวโน้มการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนระดับปฐมวัย

ตารางเปรียบเทียบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กับ 2568

ประเด็นหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2568แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง
จุดเน้นหลักสูตรพัฒนาการตามวัยครบ 4 ด้าน (ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม สติปัญญา)พัฒนาความสามารถผู้เรียน 4 ด้าน (สุขภาวะทางกาย, อารมณ์-จิตใจ-สังคม, ความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย, สติปัญญา)เพิ่มเน้นความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย แยกชัดเจนเป็นหมวดหนึ่ง
การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ความสามารถผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัยและเมื่อจบชั้นปีเน้นความชัดเจนในการวัดผลลัพธ์การเรียนรู้มากขึ้น ระบุเป็น “ความสามารถ” ที่สังเกตได้
การจัดประสบการณ์บูรณาการผ่านการเล่นบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือปฏิบัติ และการเรียนรู้เชิงรุกเพิ่มความสำคัญของ Active Learning และการลงมือปฏิบัติจริง
บทบาทครูผู้อำนวยความสะดวกและจัดประสบการณ์ผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็กเน้นบทบาทครูเป็น Facilitator และเป็นผู้เรียนรู้ร่วมกับเด็ก
การประเมินพัฒนาการประเมินตามสภาพจริงประเมินความสามารถผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เน้นสารนิทัศน์และการนำผลมาพัฒนาเด็กเน้นการใช้ข้อมูลจากการประเมินมาพัฒนาเด็กมากขึ้น และเชื่อมโยงกับการวิจัยในชั้นเรียน
เทคโนโลยีและดิจิทัลมีการกล่าวถึงน้อยกล่าวถึงการใช้สื่อโซเซียลอย่างปลอดภัย การรู้เท่าทันเทคโนโลยีเพิ่มการเตรียมเด็กให้พร้อมกับโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
การพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21ไม่ระบุชัดเจนเน้นทักษะการคิดแก้ปัญหา การตัดสินใจ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์มุ่งเน้นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 มากขึ้น
การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนกล่าวถึงการมีส่วนร่วมเน้นการมีส่วนร่วมอย่างชัดเจนในทุกขั้นตอน ทั้งการวางแผน การจัดกิจกรรม และการประเมินเพิ่มบทบาทของครอบครัวและชุมชนในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก
ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่งเสริมการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเน้นการสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนตั้งแต่ปฐมวัย
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่างส่งเสริมการยอมรับความเหมือนและความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมเตรียมเด็กให้พร้อมกับสังคมพหุวัฒนธรรมและโลกไร้พรมแดน

ข้อสรุปและความคิดเห็น

ผลจากการวิเคราะห์ และศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ผมพบว่ามีการพัฒนาต่อยอดจากหลักสูตรเดิม โดยมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงและทิศทางการพัฒนาประเทศ สาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือการเน้นการพัฒนาความสามารถของเด็กปฐมวัยที่ชัดเจนและวัดผลได้ การเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และการเตรียมพร้อมเด็กปฐมวัยให้สามารถปรับตัวในโลกยุคดิจิทัล

หลักสูตรใหม่ยังคงรักษาแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญของการศึกษาปฐมวัย เช่น การเรียนรู้ผ่านการเล่น การพัฒนาอย่างองค์รวม และการเน้นเด็กเป็นสำคัญ แต่ได้เพิ่มความชัดเจนในการกำหนดความสามารถเด็กปฐมวัย และแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ทันสมัย โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีและการเรียนรู้เชิงรุก

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอยู่ที่การนำหลักสูตรไปปฏิบัติจริงในบริบทที่หลากหลาย ทั้งในเขตเมืองและชนบท ในสถานศึกษาที่มีทรัพยากรและความพร้อมแตกต่างกัน การพัฒนาครูปฐมวัยให้มีความเข้าใจและทักษะในการจัดประสบการณ์ตามแนวทางใหม่ รวมถึงการสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองเกี่ยวกับแนวทางการจัดการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นและลงมือปฏิบัติ มากกว่าการเร่งเรียนเนื้อหาวิชาการ

แนวโน้มการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนระดับปฐมวัยในอนาคต

จากการศึกษา และทำการวิเคราะห์ทิศทางของหลักสูตร พัฒนาการทางการศึกษา และแนวโน้มโลก สามารถคาดการณ์แนวโน้มการจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กปฐมวัย ระดับปฐมวัยในอนาคตได้ดังนี้ครับ

1. การบูรณาการเทคโนโลยีอย่างสมดุล (Balanced Technology Integration)

  • การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ แต่มีการกำหนดขอบเขตอย่างเหมาะสม
  • การสร้างความรู้เท่าทันเทคโนโลยีและการใช้สื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัยและมีวิจารณญาณตั้งแต่ปฐมวัย
  • การใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงบริโภคเนื้อหา

2. การเรียนรู้เชิงปรากฏการณ์และการลงมือปฏิบัติจริง (Phenomenon-Based Learning & Hands-on Experiences)

  • การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์จริงในชีวิตเด็ก
  • การส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านโครงงานขนาดเล็กที่เด็กสนใจและลงมือปฏิบัติจริง
  • การให้เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจริงมากขึ้น ลดการเรียนรู้ที่จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียน

3. การเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (Social-Emotional Learning: SEL)

  • การให้ความสำคัญกับทักษะทางสังคมและอารมณ์มากขึ้น โดยเฉพาะการกำกับอารมณ์ตนเอง การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
  • การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การเตรียมเด็กให้มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจและความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Resilience) เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในอนาคต

4. การศึกษาที่เน้นความยั่งยืนและจิตสำนึกโลก (Sustainability Education & Global Mindedness)

  • การปลูกฝังความตระหนักเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนตั้งแต่วัยเด็ก
  • การเชื่อมโยงเด็กกับชุมชนโลกผ่านประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • การเรียนรู้แนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

5. การเรียนรู้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalized Learning)

  • การจัดประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น
  • การใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคล
  • การออกแบบกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบศักยภาพของตนเองและพัฒนาตามจุดแข็ง

6. การเรียนรู้แบบร่วมมือและการแก้ปัญหาร่วมกัน (Collaborative Learning & Cooperative Problem Solving)

  • การส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีมและการแก้ปัญหาร่วมกันตั้งแต่วัยเด็ก
  • การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น รับฟังผู้อื่น และหาทางออกร่วมกัน
  • การเตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกการทำงานในอนาคตที่ต้องการทักษะการร่วมมือ

7. การเรียนรู้โดยใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ (Arts Integration & Creative Thinking)

  • การบูรณาการศิลปะในทุกมิติการเรียนรู้ ไม่เฉพาะในวิชาศิลปะ
  • การส่งเสริมการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการผ่านสื่อและรูปแบบที่หลากหลาย
  • การใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

8. การส่งเสริมพหุปัญญาและความหลากหลายของรูปแบบการเรียนรู้ (Multiple Intelligences & Learning Styles)

  • การจัดประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความหลากหลายของพหุปัญญา
  • การเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านช่องทางการรับรู้ที่หลากหลาย
  • การยอมรับและส่งเสริมความแตกต่างในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน

9. การส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม (Holistic Wellbeing)

  • การใส่ใจในสุขภาพกายและใจของเด็กแบบองค์รวม
  • การส่งเสริมโภชนาการที่ดี การออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ
  • การจัดกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสติ สมาธิ (Mindfulness) ในเด็ก

10. การเชื่อมโยงครอบครัว โรงเรียน และชุมชน (Family-School-Community Partnership)

  • การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างครอบครัว โรงเรียน และชุมชนอย่างเข้มแข็ง
  • การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนในการพัฒนาเด็ก
  • การใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาในชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้

วิเคราะห์แนวโน้มการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตรใหม่

ผมได้จัดทำตารางเปรียบเทียบและวิเคราะห์แนวโน้มการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนระดับปฐมวัยที่สอดคล้องกับทิศทางโลกไว้ในอาร์ติแฟกต์แล้ว ต่อไปนี้เป็นบทวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2568 ไปประยุกต์ใช้ให้ตอบโจทย์แนวโน้มโลกในอนาคต

ประเด็นสำคัญในการเตรียมเด็กปฐมวัยเพื่อรองรับอนาคต

1. การพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างสมดุล

หลักสูตรใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย แต่ในการปฏิบัติจริงควรมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นในการบูรณาการเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยเน้น

  • การจัดสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่การบริโภคเนื้อหาเพียงอย่างเดียว
  • การสร้างทักษะการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) ผ่านกิจกรรมแบบไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Activities)
  • การกำหนดขอบเขตการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพัฒนาการสมอง

2. การเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หลักสูตรใหม่เน้นการพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับอนาคต แต่ควรเพิ่ม

  • การสร้าง Growth Mindset ให้เด็กเชื่อว่าความสามารถพัฒนาได้ด้วยความพยายาม
  • การส่งเสริมความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
  • การปลูกฝังทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ตั้งแต่ปฐมวัย

3. การบูรณาการความเป็นไทยกับความเป็นพลเมืองโลก

หลักสูตรใหม่ให้ความสำคัญกับความเป็นไทยและการยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม ซึ่งควรพัฒนาต่อยอดโดยมีกิจกรรมดังนี้

  • จัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมท้องถิ่นกับวัฒนธรรมโลก
  • สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทำให้เด็กเห็นคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม
  • พัฒนาโครงการที่ทำให้เด็กได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเด็กต่างวัฒนธรรม แม้ในระดับเริ่มต้น

4. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

การพัฒนาเด็กให้ตอบโจทย์โลกอนาคตจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดย

  • สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงบ้าน โรงเรียน และชุมชน
  • พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนาเด็ก
  • ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ

ข้อเสนอแนะในการนำหลักสูตรไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

  1. พัฒนาครูปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง – ครูควรได้รับการพัฒนาให้เข้าใจแนวคิดใหม่ๆ และมีทักษะการจัดประสบการณ์แบบ Active Learning มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการสมองและวิทยาการการเรียนรู้สมัยใหม่
  2. ออกแบบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น – จัดพื้นที่การเรียนรู้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัตถุประสงค์ เอื้อต่อการทำงานทั้งแบบรายบุคคลและกลุ่ม สร้างบรรยากาศที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
  3. ใช้การประเมินเพื่อการพัฒนา – พัฒนาระบบการประเมินที่มุ่งเน้นการสะท้อนข้อมูลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน ไม่ใช่เพื่อตัดสินความสามารถของเด็ก ใช้เทคโนโลยีช่วยในการเก็บข้อมูลพัฒนาการและวิเคราะห์เพื่อปรับประสบการณ์ให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน
  4. สร้างความเข้าใจกับผู้ปกครอง – พัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ผู้ปกครองเข้าใจความสำคัญของการเรียนรู้ผ่านการเล่น การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ มากกว่าการเร่งเรียนวิชาการ
  5. ส่งเสริมนวัตกรรมการจัดประสบการณ์ – สนับสนุนให้ครูและโรงเรียนทดลองแนวทางใหม่ๆ ในการจัดประสบการณ์ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) ระหว่างโรงเรียน

บทส่งท้าย

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 มีทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาปฐมวัยระดับโลก การให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถของเด็กแบบองค์รวม การส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง และการเตรียมเด็กให้พร้อมรับกับโลกดิจิทัล เป็นจุดเด่นของหลักสูตรใหม่

ความท้าทายอยู่ที่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญสำหรับโลกในศตวรรษที่ 21

การสร้างสมดุลระหว่างรากฐานความเป็นไทยกับทักษะสากล ระหว่างการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีกับการเรียนรู้จากธรรมชาติและชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำหลักสูตรไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ เด็กปฐมวัยในวันนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกที่แตกต่างอย่างมากจากที่เราคุ้นเคย การเตรียมเด็กให้มีทั้งรากฐานที่มั่นคงและความสามารถในการปรับตัวจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญ

นวัตกรรมการจัดประสบการณ์ที่ตอบโจทย์อนาคต

นอกเหนือจากแนวทางที่ได้นำเสนอไปแล้ว ยังมีนวัตกรรมการจัดประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาผู้เรียนปฐมวัยในอนาคต ดังนี้ครับ

  1. ห้องเรียนธรรมชาติ (Nature Classrooms) – จัดการเรียนรู้กลางแจ้งที่ให้เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ทุกด้าน โดยเฉพาะในยุคที่เด็กมีประสบการณ์กับธรรมชาติน้อยลง
  2. STEAM Education แบบเล่นสร้างสรรค์ – บูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศิลปะ และคณิตศาสตร์ ผ่านกิจกรรมการเล่นที่สร้างสรรค์ เน้นการออกแบบและแก้ปัญหาด้วยวัสดุที่หาได้ง่าย
  3. การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) สำหรับปฐมวัย – การผสมผสานการเรียนรู้ออนไลน์และออฟไลน์อย่างเหมาะสม เช่น การใช้แอปพลิเคชันให้ผู้ปกครองเสริมการเรียนรู้ที่บ้าน ควบคู่กับกิจกรรมลงมือปฏิบัติที่โรงเรียน
  4. โครงการจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมระดับปฐมวัย – การให้เด็กมีส่วนร่วมในโครงการเพื่อสังคมที่เหมาะสมกับวัย เช่น การดูแลสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างง่ายๆ
  5. การเรียนรู้ข้ามวัย (Cross-age Learning) – จัดกิจกรรมที่ให้เด็กต่างวัยได้ทำงานร่วมกัน เช่น ให้นักเรียนประถมศึกษามาอ่านหนังสือให้เด็กปฐมวัยฟัง หรือทำโครงการร่วมกัน

ข้อท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือ

  1. ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล – ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการลดช่องว่างการเข้าถึงเทคโนโลยีระหว่างเด็กในเมืองและชนบท หรือต่างฐานะทางเศรษฐกิจ
  2. ความคาดหวังของสังคมที่เน้นผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ – ต้องสร้างความเข้าใจกับสังคมถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะรอบด้าน มากกว่าการวัดผลด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว
  3. ข้อจำกัดด้านบุคลากรและทรัพยากร – ต้องพัฒนาโมเดลการจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพ แม้ในสถานศึกษาที่มีทรัพยากรจำกัด
  4. ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อพัฒนาการเด็ก – ต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการสมอง ไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์
  5. การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างครอบครัวและสังคม – ต้องปรับกลยุทธ์การทำงานร่วมกับครอบครัวที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวข้ามรุ่น

ข้อเสนอแนะระดับนโยบาย

เพื่อให้การนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณา ดังนี้ครับ

  1. การลงทุนในการพัฒนาครูปฐมวัย – จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อยกระดับวิชาชีพครูปฐมวัย ทั้งด้านการฝึกอบรม การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และการเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้มีความสามารถเข้าสู่วิชาชีพ
  2. การสร้างระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ – พัฒนาศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ปฐมวัยทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ครูและผู้ปกครองสามารถเข้าถึงได้ง่าย
  3. การวิจัยและติดตามประเมินผล – สนับสนุนการวิจัยเพื่อติดตามผลลัพธ์ของการใช้หลักสูตรใหม่ และนำผลมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
  4. การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน – บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็นองค์รวม
  5. การสื่อสารสร้างความเข้าใจกับสังคม – จัดแคมเปญรณรงค์ระดับชาติเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ และบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

การพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตของประเทศ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ได้วางรากฐานที่สำคัญสำหรับการเตรียมเด็กไทยให้พร้อมกับอนาคต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของหลักสูตรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังในการขับเคลื่อนแนวคิดไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด

อ้างอิงจาก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี 
ดาวน์โหลดเอกสารคลิกที่นี่ |

คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี 
ดาวน์โหลดเอกสารคลิกที่นี่ |

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!