แนวทางในการบริหารสถานศึกษาเพื่อการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม วิทยฐานะผู้บริหารเชี่ยวชาญ (ว.10/2564)
แนวทางในการบริหารสถานศึกษาเพื่อการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม วิทยฐานะผู้บริหารเชี่ยวชาญ (ว.10/2564)
บทนำ: ภูมิทัศน์ใหม่ของการบริหารการศึกษาและการเปลี่ยนผ่านสู่ “ผู้บริหารนักวิจัย”
ในยุคสมัยที่โลกของการศึกษาหมุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยอัตราเร่งของเทคโนโลยีดิจิทัลและความผันผวนทางสังคม (VUCA World) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาได้ถูกท้าทายให้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “ผู้จัดการ” (Manager) ที่คอยดูแลความเรียบร้อยตามระเบียบราชการ ไปสู่การเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (Change Agent) และ “นวัตกรทางการบริหาร” (Administrative Innovator) อย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงจากกระแสสังคมโลกเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานวิชาชีพใหม่ผ่านกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา หรือที่รู้จักกันในนาม “ว 10/2564” หรือระบบ “PA” (Performance Agreement) 1
ระบบการประเมินวิทยฐานะรูปแบบใหม่นี้ ได้วางรากฐานสำคัญที่เปลี่ยนจุดเน้นจากการสั่งสมเอกสารจำนวนมาก มาสู่การมุ่งเน้น “ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน” (Student Learning Outcomes) และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ส่งผลกระทบเชิงประจักษ์ สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาที่มุ่งหวังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางวิชาการในระดับ “เชี่ยวชาญ” (Expert) นั้น ความคาดหวังในระดับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่งได้ถูกยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับ “ริเริ่มพัฒนา” (Originate and Improve) ในวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไปสู่ระดับ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” (Invent and Transform) 3 คำนิยามสั้นๆ เพียงสองคำนี้ แบกรับความหมายที่ลึกซึ้งและกว้างไกล กล่าวคือ ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญต้องมีความสามารถในการสังเคราะห์สภาพปัญหาที่ซับซ้อน สร้างสรรค์นวัตกรรมการบริหารรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในบริบทนั้น และนำมาปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานหรือวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดคุณภาพที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน 4
รายงานการวิจัยฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็น “ธรรมนูญการปฏิบัติงานวิจัย” (Research Manifesto) สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นการถอดรหัสกระบวนการสร้างผลงานทางวิชาการที่ซับซ้อน ให้กลายเป็นยุทธวิธีที่จับต้องได้และปฏิบัติได้จริง ภายใต้กรอบแนวคิดหลัก 5 ประการที่บูรณาการศาสตร์และศิลป์ของการบริหารเข้าด้วยกัน ได้แก่ 1) การเปลี่ยนงานประจำให้เป็นงานวิจัย (Routine to Research: R2R) 2) การทบทวนและวินิจฉัยปัญหาอย่างเป็นระบบ (Problem Diagnosis) 3) การสังเคราะห์ทฤษฎีสู่กรอบแนวคิด (Theoretical Synthesis) 4) การวางแผนและรังสรรค์นวัตกรรม (Innovation Design) และ 5) การปรับปรุงพัฒนางานอย่างมีจริยธรรมทางวิชาการ (Ethical Improvement) เนื้อหาในรายงานฉบับนี้จะเจาะลึกในทุกมิติ เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถผลิตผลงานวิจัยที่ไม่เพียงแต่ผ่านการประเมิน แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทย
ส่วนที่ 1: พลวัตของงานวิจัยกับมาตรฐานตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาเชี่ยวชาญ
การทำความเข้าใจบริบทและข้อกำหนดของกฎหมายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการเดินทางสู่วิทยฐานะเชี่ยวชาญ หากผู้บริหารตีโจทย์ “มาตรฐานตำแหน่ง” ไม่แตก งานวิจัยที่ทุ่มเททำมาอาจกลายเป็นเพียงเอกสารที่ไร้ความหมายในสายตาของกรรมการประเมิน
1.1 การถอดรหัสมาตรฐาน “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” (Decoding ‘Invent and Transform’)
ในอดีต ตามเกณฑ์ ว 17/2552 หรือ ว 21/2560 งานวิจัยของผู้บริหารมักมุ่งเน้นการทำโครงการพัฒนาหรือรายงานการประเมินโครงการ แต่ในเกณฑ์ ว 10/2564 (ว.PA) คำว่า “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” เรียกร้องให้เกิด “นวัตกรรมการบริหาร” (Administrative Innovation) ที่ชัดเจน 1 สิ่งนี้หมายความว่า ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญต้องไม่เพียงแค่นำรูปแบบการบริหารของผู้อื่นมาปรับใช้ (Adapt) ซึ่งเป็นระดับของชำนาญการพิเศษ แต่ต้องสามารถ “สร้างโมเดลใหม่” (Create New Model) หรือ “กระบวนการใหม่” (New Process) ที่แก้ปัญหาเฉพาะเจาะจงของโรงเรียนตนเองได้
นวัตกรรมในบริบทของผู้บริหารสถานศึกษา สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งผู้บริหารต้องตัดสินใจเลือกให้สอดคล้องกับจุดแข็งของตนเองและปัญหาของสถานศึกษา 5:
- นวัตกรรมรูปแบบการบริหาร (Management Model Innovation): เป็นการสร้างระบบการบริหารงานใหม่ทั้งระบบ หรือเฉพาะด้าน เช่น รูปแบบการบริหารวิชาการแบบพลวัต, รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Training Model)
- นวัตกรรมกระบวนการ (Process Innovation): เป็นการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานให้กระชับ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การพัฒนากระบวนการนิเทศภายในด้วยระบบออนไลน์ (Digital Supervision), ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเชิงรุก
- นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Innovation): เป็นการสร้างกลยุทธ์ใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย เช่น กลยุทธ์การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อความอยู่รอด, ยุทธศาสตร์การระดมทรัพยากรแบบมีส่วนร่วม
ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในแต่ละวิทยฐานะ เพื่อให้เห็นความแตกต่างของความลุ่มลึกในงานวิจัย
| วิทยฐานะ | ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง (Keywords) | ลักษณะของงานวิจัย/นวัตกรรม | ตัวอย่างหัวข้อวิจัย |
| ชำนาญการ | แก้ไขปัญหา (Solve Problems) | แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในงานประจำ | การแก้ปัญหาการมาสายของครูโดยใช้ระบบสแกนนิ้ว |
| ชำนาญการพิเศษ | ริเริ่ม พัฒนา (Originate and Improve) | ริเริ่มโครงการใหม่ หรือพัฒนางานเดิมให้ดีขึ้น | การพัฒนาระบบนิเทศภายในเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ |
| เชี่ยวชาญ | คิดค้น ปรับเปลี่ยน (Invent and Transform) | สร้างนวัตกรรม/โมเดลใหม่ เพื่อเปลี่ยนระบบงาน | การพัฒนารูปแบบการบริหาร “SMART Model” เพื่อพลิกโฉมคุณภาพผู้เรียนสู่พลเมืองดิจิทัล |
| เชี่ยวชาญพิเศษ | สร้างการเปลี่ยนแปลง (Create Impact) | นวัตกรรมที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง (ระดับเขต/ชาติ) | การประเมินผลกระทบรูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือฯ |
ที่มา: สังเคราะห์จากหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ. ว 10/2564 และคู่มือการประเมินวิทยฐานะ 1
1.2 ความเชื่อมโยงระหว่าง PA และงานวิจัย: การบูรณาการแบบไร้รอยต่อ
จุดแข็งที่สุดของระบบ ว.PA คือการอนุญาตให้ผู้บริหารนำ “งานในหน้าที่” มาเป็น “งานวิจัย” ได้โดยตรง ผ่านกลไกที่เรียกว่า “ประเด็นท้าทาย” (Challenge).2 ผู้บริหารไม่จำเป็นต้องแยกทำวิจัยต่างหากจากงานบริหาร แต่ควรใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือในการบรรลุข้อตกลงในการพัฒนางาน
ในเอกสารข้อตกลง PA ส่วนที่ 2 (ประเด็นท้าทาย) ผู้บริหารต้องระบุสภาพปัญหา วิธีการดำเนินการ และผลลัพธ์ ส่วนนี้เองคือ “โครงร่างการวิจัยย่อ” (Mini Research Proposal).3 เมื่อผู้บริหารดำเนินการตามวงรอบปีงบประมาณ โดยมีการเก็บข้อมูล (Data Collection) วิเคราะห์ผล (Analysis) และสรุปรายงาน (Reporting) สิ่งที่ได้ออกมาคือ “รายงานการวิจัย” ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสะท้อนผลการปฏิบัติงานจริง มิใช่การทำเอกสารเท็จเพื่อขอผลงาน
ส่วนที่ 2: ยุทธศาสตร์ที่ 1 – เปลี่ยนงานประจำให้เป็นงานวิจัย (Transforming Routine to Research: R2R)
หัวใจสำคัญของการเขียนงานวิจัยสำหรับผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญ คือการเริ่มต้นจาก “หน้างานจริง” แนวคิด R2R (Routine to Research) มิได้เป็นเพียงเทคนิคการทำงาน แต่เป็นปรัชญาการบริหารที่มองว่า “ทุกปัญหามีคำตอบ และคำตอบนั้นต้องค้นหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์”.6
2.1 การสำรวจ “ขุมทรัพย์” ในภาระงาน 5 ด้าน
งานวิจัยของผู้บริหารมักถูกเข้าใจผิดว่าต้องทำเรื่องใหญ่โตระดับนโยบายเสมอไป แต่แท้จริงแล้ว งานวิจัยที่ดีที่สุดมักเกิดจากปัญหาเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบมหาศาล (Butterfly Effect) ในภาระงานทั้ง 5 ด้านของผู้บริหาร 2
ด้านที่ 1: การบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ
นี่คือ “หัวใจ” ของสถานศึกษา งานวิจัยในด้านนี้มีน้ำหนักมากที่สุดในการประเมินวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อผู้เรียน
ตัวอย่างงานประจำ: การตรวจสอบแผนการสอน, การสังเกตการสอน, การวัดผลประเมินผล
- โจทย์วิจัย R2R: ทำไมครูส่งแผนการสอนช้า? ทำไมแผนการสอนไม่เน้น Active Learning?
- หัวข้อวิจัย: การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง (Empowerment Supervision) เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู
ด้านที่ 2: การบริหารจัดการสถานศึกษา
ครอบคลุมงานบริหารทั่วไป ธุรการ การเงิน และพัสดุ ซึ่งมักเป็น “คอขวด” ของการทำงาน
ตัวอย่างงานประจำ: การเบิกจ่ายงบประมาณ, ระบบสารบรรณ, การดูแลอาคารสถานที่
- โจทย์วิจัย R2R: ขั้นตอนการเบิกจ่ายล่าช้าทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนสะดุด ข้อมูลนักเรียนไม่เป็นปัจจุบันทำให้การช่วยเหลือล่าช้า 8
- หัวข้อวิจัย: การพัฒนาระบบบริหารจัดการสำนักงานอัตโนมัติ (Smart Office) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสนับสนุนการเรียนรู้
ด้านที่ 3: การบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม
ด้านนี้คือพื้นที่แสดงฝีมือของ “นวัตกร” โดยตรง เป็นการนำวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ
ตัวอย่างงานประจำ: การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา (School Plan), การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง
- โจทย์วิจัย R2R: แผนกลยุทธ์ที่วางไว้ไม่ถูกนำไปปฏิบัติจริง (Implementation Gap)
- หัวข้อวิจัย: การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Results-Based Management) เพื่อขับเคลื่อนจุดเน้น “เรียนดี มีความสุข”
ด้านที่ 4: การบริหารงานชุมชนและเครือข่าย
ตัวอย่างงานประจำ: การประชุมผู้ปกครอง, การระดมทุนผ้าป่า, ความสัมพันธ์ชุมชน
- โจทย์วิจัย R2R: ผู้ปกครองไม่เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียน ชุมชนขาดความเชื่อมั่น
- หัวข้อวิจัย: การสร้างเครือข่ายความร่วมมือแบบพหุภาคี (Multi-Stakeholder Partnership) เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพในบริบทท้องถิ่น
ด้านที่ 5: การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
ตัวอย่างงานประจำ: การทำ ID Plan, การทำ PLC
- โจทย์วิจัย R2R: การอบรมครูแบบเดิมไม่เกิดผล ครูไม่นำความรู้มาใช้
- หัวข้อวิจัย: การพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) บนฐานวิถีใหม่เพื่อยกระดับสมรรถนะครูมืออาชีพ
2.2 เทคนิคการเปลี่ยน “บ่น” เป็น “วิจัย” (From Complaint to Inquiry)
บ่อยครั้งที่ปัญหาในโรงเรียนถูกมองเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญต้องเปลี่ยนทัศนคติจากการ “บ่นถึงปัญหา” เป็นการ “ตั้งคำถามวิจัย” 9
เสียงบ่น: “เด็กสมัยนี้ติดมือถือ ไม่สนใจเรียนเลย”
คำถามวิจัย: ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของนักเรียน? และเราจะใช้เทคโนโลยีที่เด็กชอบมาเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ได้อย่างไร?
เสียงบ่น: “ครูรุ่นใหม่สอนดีแต่ลาออกบ่อย ครูเก่าก็สอนแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยน”
คำถามวิจัย: รูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบใดที่จะสร้างความผูกพันในองค์กร (Engagement) และกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามรุ่น (Intergenerational Learning)?
2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากหน้างาน (Data Mining in Routine Work)
ข้อได้เปรียบสูงสุดของ R2R คือ ข้อมูล (Data) อยู่ในมือของผู้บริหารอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์เทียม การเขียนรายงานวิจัยที่ดีต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงข้อมูลเหล่านี้มาใช้ 11
- SAR (Self-Assessment Report): ขุมทรัพย์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์และผลการประเมินคุณภาพ
- บันทึกการประชุม: หลักฐานเชิงคุณภาพที่แสดงความคิดเห็นและมติที่ประชุม
- สมุดนิเทศ/Logbook: ข้อมูลพฤติกรรมการสอนและปัญหาในชั้นเรียน
- สถิติการมาเรียน/ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน: ข้อมูลพฤติกรรมผู้เรียนและบริบทครอบครัว
ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญต้องออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นดิจิทัล (Digitalization) เช่น การใช้ Google Forms ในการนิเทศ หรือใช้ Dashboard ในการติดตามงบประมาณ เพื่อให้สามารถดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติได้ทันทีเมื่อต้องการเขียนรายงานวิจัย
ส่วนที่ 3: ยุทธศาสตร์ที่ 2 – ศิลปะแห่งการทบทวนและวินิจฉัยปัญหา (Strategy of Problem Diagnosis)
เมื่อได้โจทย์วิจัยจากงานประจำแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเขียน “บทนำ” (Chapter 1) ซึ่งถือเป็นหน้าต่างบานแรกที่จะทำให้กรรมการประเมินเห็น “กึ๋น” ของผู้บริหาร การทบทวนปัญหาสำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญต้องไม่ใช่การเขียนแบบกว้างๆ แต่ต้องเป็นการ “วินิจฉัย” (Diagnose) ที่แม่นยำ ลุ่มลึก และเชื่อมโยงหลายมิติ
3.1 การวิเคราะห์บริบทแบบ “Sandwich Analysis”
การเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ดี ควรใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบแซนด์วิช (Sandwich Analysis) คือการประกบปัญหาของโรงเรียนด้วยนโยบายระดับบนและทฤษฎีวิชาการ 12
- ชั้นบน (Macro Context): เริ่มต้นด้วยบริบทโลกและนโยบายชาติ อ้างอิงถึงความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 (VUCA World), เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อ 4, แผนการศึกษาแห่งชาติ, และนโยบายเร่งด่วนของ สพฐ. (เช่น “เรียนดี มีความสุข” หรือนโยบายลดภาระครู).14 การอ้างอิงสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและตระหนักถึงทิศทางการศึกษาชาติ
- ชั้นกลาง (Meso Context): เชื่อมโยงลงมาสู่บริบทของเขตพื้นที่การศึกษาและชุมชน สภาพเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นเป็นอย่างไร? เป็นชุมชนเมืองหรือชนบท? มีทุนทางสังคมอะไรบ้าง?
- ชั้นล่าง (Micro Context): เจาะลึกถึงปัญหาในสถานศึกษาของตนเอง โดยต้องใช้ “ข้อมูลเชิงประจักษ์” (Empirical Data) สนับสนุน ไม่ใช่ความรู้สึก เช่น “จากผลการทดสอบ O-NET สามปีย้อนหลัง พบว่าคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ลดลงต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 5.2 ต่อปี” หรือ “จากการประเมิน SDQ พบว่านักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10”
3.2 เครื่องมือบริหารเพื่อการวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริง (Root Cause Analysis Tools)
การระบุปัญหาเพียงอย่างเดียวยังไม่พอสำหรับระดับเชี่ยวชาญ ผู้บริหารต้องแสดงให้เห็นกระบวนการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง (Root Cause) เพื่อยืนยันว่านวัตกรรมที่จะสร้างขึ้นนั้น “เกาถูกที่คัน” เครื่องมือที่ควรนำเสนอในรายงานการวิจัย ได้แก่:
- SWOT Analysis: วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค นำไปสู่การสร้างกลยุทธ์ (TOWS Matrix)
- Fishbone Diagram (แผนภูมิก้างปลา): จำแนกสาเหตุปัญหาตามหลัก 4M (Man, Money, Material, Management) ซึ่งสำหรับงานวิจัยผู้บริหาร สาเหตุมักจะพุ่งเป้าไปที่ Management เพื่อเปิดช่องให้เราสร้างนวัตกรรมการบริหารเข้าไปแก้ปัญหา 8
- Why-Why Analysis: การถามว่า “ทำไม” 5 ครั้ง เพื่อขุดลงไปถึงรากเหง้าของปัญหา เช่น คะแนนต่ำ -> เพราะเด็กไม่อ่านหนังสือ -> เพราะหนังสือไม่น่าสนใจ -> เพราะครูใช้แต่หนังสือเรียนเก่า -> เพราะโรงเรียนขาดระบบการจัดหาสื่อที่ทันสมัย (นี่คือปัญหาการบริหาร)
3.3 การสังเคราะห์เป็น “ประเด็นท้าทาย” ที่ทรงพลัง
เมื่อวิเคราะห์จนตกผลึกแล้ว ผู้บริหารต้องเขียนสรุปเป็น “ประเด็นท้าทาย” (Research Problem) ที่ชัดเจน คมคาย และแสดงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ตัวอย่างการเขียนประเด็นท้าทายในระดับเชี่ยวชาญ:
“จากวิกฤตการณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ตกต่ำและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่ค้นพบ ผู้วิจัยในฐานะผู้บริหารสถานศึกษาจึงตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ ‘คิดค้นและปรับเปลี่ยน’ ระบบนิเวศการเรียนรู้ใหม่ โดยมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเชิงนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation School Management) เพื่อเป็นคานงัดสำคัญในการยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับทักษะแห่งอนาคตและนโยบายเรียนดีมีความสุขอย่างยั่งยืน”
ส่วนที่ 4: ยุทธศาสตร์ที่ 3 – การสังเคราะห์ทฤษฎีและกรอบแนวคิด (Theoretical Synthesis)
ในบทที่ 2 ของรายงานการวิจัย (เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง) ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญต้องแสดงความเป็น “ปราชญ์ผู้รอบรู้” (Scholar) ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการ “ตัดแปะ” (Copy-Paste) ทฤษฎีมาวางต่อกันโดยไม่มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือร้อยเรียง การหาดูทฤษฎีในระดับเชี่ยวชาญคือการ “สนทนากับความรู้” เพื่อสร้างกรอบแนวคิดของตนเอง 12
4.1 การเลือกทฤษฎี: สร้างฐานรากที่มั่นคงให้กับนวัตกรรม
งานวิจัยทางการบริหารต้องมี “ทฤษฎีแม่บท” (Grand Theory) และ “ทฤษฎีรอง” (Supporting Theory) เสมอ เพื่อให้การออกแบบนวัตกรรมมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการ
กลุ่มทฤษฎีการบริหารจัดการ (Administrative Theories)
วงจรคุณภาพ PDCA (Deming Cycle): ทฤษฎีอมตะที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เหมาะเป็นฐานของกระบวนการดำเนินงาน (Plan-Do-Check-Act).14
ทฤษฎีภาวะผู้นำ (Leadership Theories)
- ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership): เหมาะสำหรับงานวิจัยที่ต้องการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมครู.15
- ภาวะผู้นำทางวิชาการ (Instructional Leadership): เหมาะสำหรับงานวิจัยที่เน้นผลสัมฤทธิ์นักเรียนและหลักสูตร.17
- ภาวะผู้นำดิจิทัล (Digital Leadership): ทฤษฎีสมัยใหม่ที่จำเป็นมากสำหรับบริบทปัจจุบัน เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร.13
- ภาวะผู้นำแบบกระจายอำนาจ (Distributed Leadership): การเน้นการมีส่วนร่วมและการทำงานเป็นทีม.
กลุ่มทฤษฎีเฉพาะทาง (Content-Specific Theories)
- การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (SBM): เน้นการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา
- ทฤษฎีองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization – Peter Senge): เน้นการพัฒนาบุคลากรและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน (Constructivism/Constructionism): หากนวัตกรรมเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน3
4.2 ศิลปะการสังเคราะห์งานวิจัย (Research Synthesis)
แทนที่จะสรุปงานวิจัยทีละเรื่อง (นาย ก. ศึกษาเรื่อง… พบว่า… / นาย ข. ศึกษาเรื่อง… พบว่า…) ผู้บริหารควรเขียนในลักษณะ “สังเคราะห์ตามประเด็น” (Thematic Synthesis) เช่น:
“จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ (Best Practice Models) ของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ อาทิ 17, และ 14 พบจุดร่วมที่สำคัญประการหนึ่งคือ ‘การมีส่วนร่วม’ (Participation) เป็นปัจจัยความสำเร็จที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ยังขาดการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นช่องว่างความรู้ (Knowledge Gap) ที่งานวิจัยฉบับนี้มุ่งจะเติมเต็ม…”
4.3 การสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework Design)
กรอบแนวคิดคือ “พิมพ์เขียว” ของงานวิจัย ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร สำหรับงานวิจัยผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญ นิยมใช้กรอบแนวคิดแบบระบบ (System Approach) หรือแบบเหตุและผล
ตัวอย่างโครงสร้างกรอบแนวคิด
ตัวแปรต้น (Independent Variable): คือ “นวัตกรรม” ที่เราสร้างขึ้น เช่น รูปแบบการบริหารจัดการแบบ D-TECH Model.
ตัวแปรตาม (Dependent Variables): คือ “ผลลัพธ์” ที่คาดหวัง แบ่งเป็นระดับ:
- ระดับกระบวนการ: ประสิทธิภาพการบริหารงาน, บรรยากาศในโรงเรียน.
- ระดับครู: สมรรถนะการจัดการเรียนรู้, ความพึงพอใจ, การใช้สื่อเทคโนโลยี.21
- ระดับผู้เรียน: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, คุณลักษณะอันพึงประสงค์, ทักษะในศตวรรษที่ 21.
การเขียนกรอบแนวคิดต้องระบุทฤษฎีที่ใช้กำกับแต่ละตัวแปรอย่างชัดเจน เพื่อแสดงถึงความแม่นยำทางวิชาการ
ส่วนที่ 5: ยุทธศาสตร์ที่ 4 – การวางแผนและรังสรรค์นวัตกรรม (Planning & Innovation Design)
ขั้นตอนนี้คือหัวใจของการประเมินวิทยฐานะเชี่ยวชาญ กรรมการจะพิจารณาว่าท่าน “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” จริงหรือไม่ ผ่านความสมบูรณ์ของนวัตกรรมและกระบวนการวิจัยที่ใช้สร้างมันขึ้นมา
5.1 ระเบียบวิธีวิจัย: เส้นทางสู่คำตอบที่น่าเชื่อถือ
งานวิจัยของผู้บริหารสถานศึกษานิยมใช้ระเบียบวิธีวิจัย 2 รูปแบบหลัก หรือผสมผสานกัน:
- การวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D): เป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้าง “นวัตกรรม” หรือ “รูปแบบ” (Model) ใหม่ มีขั้นตอนมาตรฐาน 4 ระยะ (R1-D1-R2-D2) 5
- ระยะที่ 1 (R1 – Research): ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ (Needs Assessment)
- ระยะที่ 2 (D1 – Develop): การยกร่างและสร้างนวัตกรรม (Prototype Design)
- ระยะที่ 3 (R2 – Research/Implement): การทดลองใช้นวัตกรรม (Experimentation)
- ระยะที่ 4 (D2 – Develop/Evaluate): การประเมินผลและปรับปรุง (Evaluation & Improvement)
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR): เน้นกระบวนการที่ผู้บริหารและครูร่วมมือกันแก้ปัญหา เป็นวงจร PAOR (Plan-Act-Observe-Reflect) เหมาะสำหรับการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร แต่สำหรับระดับเชี่ยวชาญ ควรยกระดับ PAR ให้ได้ผลผลิตเป็น “รูปแบบการปฏิบัติที่เป็นเลิศ” (Best Practice Model) ในตอนท้าย.7
5.2 สถาปัตยกรรมของนวัตกรรม (Innovation Architecture)
นวัตกรรมของผู้บริหารต้องมี “ชื่อ” (Branding) และ “องค์ประกอบ” ที่ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและนำไปขยายผล การตั้งชื่อโมเดลนิยมใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษ (Acronym) ที่สื่อความหมายเชิงบวก
กรณีศึกษา: การสร้างโมเดล “D-TECH”
สมมติว่าผู้บริหารต้องการแก้ปัญหาครูสอนแบบเดิมๆ และนักเรียนขาดทักษะดิจิทัล ท่านอาจสังเคราะห์โมเดลชื่อ “D-TECH Model” ขึ้นมา โดยแต่ละตัวอักษรแทนขั้นตอนหรือกลยุทธ์การบริหาร
- D – Digital Infrastructure: การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้พร้อม (Hardware/Software)
- T – Training & Transformation: การอบรมพัฒนาครูเพื่อเปลี่ยน Mindset และ Skillset
- E – Empowerment: การเสริมพลังอำนาจ ให้ครูมีอิสระในการเลือกวิธีสอนและสื่อ
- C – Coaching & Mentoring: การนิเทศแบบชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง เพื่อประคองการเปลี่ยนแปลง
- H – High Performance Evaluation: การวัดประเมินผลมุ่งผลสัมฤทธิ์และสะท้อนผลกลับ
5.3 กระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ (Validity & Reliability)
นวัตกรรมที่ “คิดค้น” ขึ้นเอง ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพก่อนนำไปใช้ เพื่อป้องกันข้อครหาว่า “คิดเองเออเอง”
- การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity): นำร่างนวัตกรรมและเครื่องมือวิจัยเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ (Experts) จำนวน 3-5 ท่าน (เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย, ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ, ผอ.เชี่ยวชาญ) เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ค่าที่ยอมรับได้คือ 0.50 ขึ้นไป.9
- การหาประสิทธิภาพ (Efficiency): นำไปทดลองใช้กับกลุ่มเล็ก (Pilot Study) หรือเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (E1/E2) เพื่อดูความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
5.4 การวางแผนการทดลองใช้ (Implementation Plan)
ในขั้นตอนนี้ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จะนำนวัตกรรมไปใช้กับใคร (Population/Sample) เมื่อไหร่ และอย่างไร
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง: สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก-กลาง มักใช้ประชากรทั้งหมด (ครูทุกคน/นักเรียนทุกคน) แต่ถ้าเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ อาจเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เช่น เลือกเฉพาะระดับชั้น ม.1 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล: ต้องมีความหลากหลาย (Triangulation) 12
- แบบสอบถาม (Questionnaire): วัดความพึงพอใจ, ความคิดเห็น (Quantitative)
- แบบสัมภาษณ์/สนทนากลุ่ม (Interview/Focus Group): เจาะลึกความรู้สึกและปัญหา (Qualitative)
- แบบสังเกต/แบบประเมินสมรรถนะ (Observation/Rubrics): ดูพฤติกรรมจริง
- แบบทดสอบ/ผลสัมฤทธิ์ (Test/Achievement): วัดผลลัพธ์ผู้เรียน
ส่วนที่ 6: ยุทธศาสตร์ที่ 5 – การปรับปรุงพัฒนางานอย่างมีจริยธรรม (Improvement & Ethics)
ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำผลการวิจัยมาเขียนรายงาน (Chapter 4-5) และการปรับปรุงงาน นี่คือบทพิสูจน์ความเป็น “มืออาชีพ” ของผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญ ซึ่งต้องยึดมั่นในความถูกต้องทางวิชาการและจริยธรรม
6.1 การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล (Data Analysis & Visualization)
การนำเสนอผลการวิจัยในบทที่ 4 ไม่ควรมีแค่ตารางตัวเลขที่แห้งแล้ง แต่ต้องมีการ “เล่าเรื่องจากข้อมูล” (Data Storytelling)
สถิติที่ใช้
- สถิติพื้นฐาน: ค่าร้อยละ (Percentage), ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ใช้บรรยายสภาพทั่วไป
- สถิติทดสอบสมมติฐาน: t-test (Dependent) สำหรับเปรียบเทียบ “ก่อน-หลัง” การใช้นวัตกรรม นี่คือสถิติที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ว่านวัตกรรมได้ผลจริง (ค่าเฉลี่ยหลังใช้ต้องสูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญ) 22
การนำเสนอ: ใช้กราฟแท่งหรือกราฟเส้นประกอบตาราง เพื่อให้เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน เช่น กราฟเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปี 2566 vs 256723
6.2 การอภิปรายผล: เชื่อมโยงกลับสู่ทฤษฎี
บทที่ 5 (สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ) คือส่วนที่แสดงวุฒิภาวะทางวิชาการมากที่สุด การอภิปรายผล (Discussion) ไม่ใช่การสรุปผลซ้ำ แต่คือการอธิบายว่า “ทำไม” ผลจึงออกมาเป็นเช่นนั้น
- เทคนิคการเขียน: “ผลการวิจัยพบว่า… (What)… ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ… (Why: อธิบายด้วยเหตุผลจากนวัตกรรมของเรา)… ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ… (Who: อ้างอิงทฤษฎีบทที่ 2)… และสอดคล้องกับงานวิจัยของ… (Who: อ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง)”.22
- การอ้างอิงกลับไปหาทฤษฎีเป็นการยืนยันว่า สิ่งที่เรา “คิดค้น” นั้น มีหลักการรองรับ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
6.3 การปรับปรุงงานอื่น ไม่คัดลอก (Originality & Anti-Plagiarism)
มาตรฐานจริยธรรมที่สำคัญที่สุดในเกณฑ์ ว.PA คือ ผลงานต้องไม่คัดลอก (Plagiarism)
- การไม่คัดลอก (Non-Plagiarism): ห้ามนำผลงานของผู้อื่นมาแอบอ้าง หรือคัดลอกข้อความมาโดยไม่อ้างอิง การใช้โปรแกรมตรวจสอบการคัดลอกผลงาน (เช่น Akarawisu หรือ Turnitin) เป็นสิ่งที่พึงกระทำก่อนส่งผลงาน
- การปรับปรุง (Paraphrasing & Synthesizing): เมื่อนำแนวคิดคนอื่นมาใช้ ต้องทำการ “สรุปความ” และ “เรียบเรียงใหม่” ด้วยสำนวนของตนเอง (Paraphrasing) และต้องอ้างอิงแหล่งที่มาเสมอ (Citation)
- ความเป็นเจ้าของ (Ownership): นวัตกรรมต้องเกิดจากบริบทโรงเรียนเราจริงๆ แม้ชื่อโมเดลจะคล้ายกัน แต่รายละเอียดกิจกรรม (Activities) และบริบท (Context) ต้องเป็นของเรา ข้อมูลดิบต้องสามารถตรวจสอบได้ (Traceability)
6.4 การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์ (Dissemination & Utilization)
ผู้บริหารเชี่ยวชาญต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ผลงานวิจัยเมื่อเสร็จสิ้นแล้วต้องได้รับการเผยแพร่ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อวงวิชาการ
- การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ (Journal Publication) หรือนำเสนอในงานประชุมวิชาการ (Conference)
- การเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของโรงเรียน เขตพื้นที่ หรือระบบ OBEC Content Center.24
- การนำผลวิจัยไปต่อยอดเป็น “Best Practice” เพื่อประกวดแข่งขัน เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพจากหน่วยงานภายนอก.25
ส่วนที่ 7: กรณีศึกษาและตัวอย่างขั้นตอนการเขียนรายงานการวิจัย (Comprehensive Case Study)
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนที่สุด ขอนำเสนอกรณีศึกษาจำลอง (Mock-up) ของรายงานการวิจัยที่สมบูรณ์ตามแนวทาง 5 ขั้นตอน
ชื่อเรื่อง: การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเชิงนวัตกรรม “SMART-TECH Model” เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของครูและทักษะดิจิทัลของผู้เรียน โรงเรียนสุวรรณวิทยา
ขั้นตอนการเขียนทีละบท:
บทที่ 1 บทนำ (Introduction)
- ที่มาและความสำคัญ: เริ่มต้นด้วยนโยบาย “Thailand 4.0” และ “การศึกษาฐานสมรรถนะ” วิเคราะห์ปัญหาของโรงเรียนสุวรรณวิทยาที่พบว่าครู 70% ยังสอนแบบบรรยาย และผล O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าระดับชาติ (Review Problem & R2R). ระบุว่าวิธีการบริหารเดิม (สั่งการ) ไม่ได้ผล จึงต้องวิจัยสร้างรูปแบบใหม่.
- คำถามการวิจัย: รูปแบบการบริหาร SMART-TECH ควรมีองค์ประกอบใด? และมีผลต่อสมรรถนะครูอย่างไร?
- วัตถุประสงค์: 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหา 2. เพื่อสร้างรูปแบบ 3. เพื่อทดลองใช้ 4. เพื่อประเมินผล.
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Literature Review)
- เนื้อหา: นำเสนอแนวคิด “Digital Leadership” 13, ทฤษฎีระบบ (System Theory), แนวคิด Active Learning.
- การสังเคราะห์: ตารางวิเคราะห์องค์ประกอบรูปแบบการบริหารจากงานวิจัย 5 เล่ม เพื่อสรุปเป็นร่างกรอบแนวคิด (Find Theory).
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย (Methodology)
ระเบียบวิธี: ใช้ R&D 4 ขั้นตอน (Plan Innovation)
- ระยะที่ 1 (R1): สัมภาษณ์ครูและผู้ปกครอง 20 คน (Needs Assessment).
- ระยะที่ 2 (D1): ร่างรูปแบบ SMART-TECH (S=Strategy, M=Management, A=Active Learning, R=Reflection, T=Technology). ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน.
- ระยะที่ 3 (R2): ทดลองใช้กับครูทั้งโรงเรียน (30 คน) และนักเรียนชั้น ม.1-3 (200 คน) เป็นเวลา 1 ปีการศึกษา.
- ระยะที่ 4 (D2): ประเมินความพึงพอใจและถอดบทเรียน.
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล (Results)
- ตารางที่ 4.1: เปรียบเทียบสมรรถนะครูก่อนและหลังใช้รูปแบบ (นำเสนอค่า Mean, S.D., t-test). พบว่าหลังใช้สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ.
- แผนภูมิ: กราฟแสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เพิ่มขึ้นในปีการศึกษาที่ใช้นวัตกรรม.
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ (Discussion)
- อภิปรายผล: ความสำเร็จของโมเดล SMART-TECH เกิดจากตัว “T-Technology” ที่โรงเรียนสนับสนุนแท็บเล็ตให้ครู ทำให้ครูสนุกกับการสอน สอดคล้องกับทฤษฎีสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ (Learning Environment).20
- ข้อเสนอแนะ: ควรขยายผลโมเดลนี้สู่โรงเรียนเครือข่าย โดยปรับลดขนาดเทคโนโลยีให้เหมาะกับบริบทองบประมาณ (Improve/Scalability).
บทสรุป
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้บริหารสถานศึกษาเชี่ยวชาญ” ภายใต้ระบบ ว.PA มิใช่เป็นเพียงความสำเร็จส่วนบุคคล แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำทางวิชาการที่พร้อมจะ “คิดค้นและปรับเปลี่ยน” เพื่อคุณภาพของผู้เรียนอย่างแท้จริง รายงานการวิจัยที่ผ่านกระบวนการ R2R, การทบทวนปัญหาอย่างลึกซึ้ง, การสังเคราะห์ทฤษฎีที่แม่นยำ, การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ และการปรับปรุงงานอย่างมีจริยธรรม จะเป็นมรดกทางปัญญาที่สำคัญยิ่งกว่าตำแหน่งวิทยฐานะ เพราะมันคือ “พิมพ์เขียวแห่งความสำเร็จ” ที่จะถูกส่งต่อไปยังครู นักเรียน และสังคม เพื่อสร้างการศึกษาไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนสืบไป
Works cited
- แนวทางการยื่นขอมี หรือเลื่อนวิทยฐานะ ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ว 10/2564 », accessed December 5, 2025, https://krukob.com/web/v10-2564/
- หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตาแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทงการศึกษา ตาแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา – สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1, accessed December 5, 2025, https://nb1.go.th/web/pdf/pa_director.pdf
- คำนำ, accessed December 5, 2025, https://idcneu.com/edneupr/training/vpa/docs/book_pa1.pdf
- หลักเกณฑ์ ว 9/2564, accessed December 5, 2025, https://www.cpn1.go.th/2021/wp-content/uploads/2021/06/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%A7-9-PA.pdf
- แนวทางการสังเคราะห์และพัฒนางานวิจัยเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญ …, accessed December 5, 2025, https://krukob.com/web/news-128/
- การเริ่มดำเนินการ R2R ควรเริ่มจากอะไร – คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, accessed December 5, 2025, https://www.rama.mahidol.ac.th/health_service/th/km/07sep2015-1049
- R2R (Routine to Research) – จากงานประจำสู่งานวิจัย เพื่อความก้าวหน้าอย่างมีชั้นเชิง, accessed December 5, 2025, http://tpso4.m-society.go.th/images/DatabaseTPSO4/News_TPSO/Activities/2562/R2R-k.supunnee.pdf
- รายงานการวิจัยบุคลากร (R2R) เรื่อง ประสิทธิภาพของการปฏิบัติหน้าที่และการให้บริการงานธุรการ สานักงานคณบดีคณะเทคโนโลยี – มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, accessed December 5, 2025, https://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2562/M127099/Hachaiyaphum%20Supaporn.pdf
- R2R (Routine to Research) งานประจำสู่งานวิจัย – ศูนย์สุขภาพจิตที่ 3, accessed December 5, 2025, https://mhc3.dmh.go.th/file/manual/E-Book_R2R_%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2.pdf
- โครงการอบรมออนไลน์ เรื่อง เทคนิคการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย สำหรับสายสนับสนุนในระบบการศึกษาไทย (Routine to Research for Supporting Staff in the Thai Education System), accessed December 5, 2025, https://thailandpod.org/training/2025/R2R/course.html
- เรื่อง “One-sheet R2R proposal แผนที่สาหรับการวิจัยจากงานประจา”, accessed December 5, 2025, https://regis.rmutp.ac.th/academic/wp-content/uploads/2022/03/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-One-sheet-R2R.pdf
- เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างนวัตกรรม ในระดับเชี่ยวชาญ », accessed December 5, 2025, https://krukob.com/web/dpa-59/
- บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลด้วย Prompt Process – Starfishlabz, accessed December 5, 2025, https://www.starfishlabz.com/blog/1648-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-prompt-process
- แบบรายงานผลการปฏิบัติงานที่เปนเลิศ (best practice), accessed December 5, 2025, http://fth1.com/uppic/80100831/news/80100831_1_20250723-102828.pdf
- ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสอนของครู สหวิทยาเขตหนองสองห้อง–พล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น | วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ – Open Journal Systems, accessed December 5, 2025, https://ojs.mbu.ac.th/index.php/jbpe/article/view/2455
- ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูผู้สอน – ระบบสารสนเทศบัณฑิตวิทยาลัย – มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, accessed December 5, 2025, https://gsmis.snru.ac.th/e-thesis/file_att1/2021112962421229109_fulltext.pdf
- รายงานการวิจัยบุคลากร (R2R) เรื่อง แนวทางการส่งเ – มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, accessed December 5, 2025, https://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2562/M127716/Lavong%20Anucha.pdf
- การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ของกระทรวงศึกษาธิการ The Development of a Competencies – ThaiJo, accessed December 5, 2025, https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jsrc/article/download/256173/177384/1025990
- 174 เทคโนโลยีในการบริหารสถานศึกษา The Use of Technology in Educational, accessed December 5, 2025, http://journalgrad.ssru.ac.th/index.php/miniconference/article/view/5273/3861
- นวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในการพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ: กรณีตัวอย่างโรงเรียนเทศบาล 5 เด่นห้า – ONEC Backoffice for Administrator, accessed December 5, 2025, http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1892-file.pdf
- แบบรายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ-Best-Practice-โรงเรียนบ้านมะเดื่อ-1 – ++เครือข่ายวิชาการครู สควค.ภาคกลาง++, accessed December 5, 2025, https://www.psmt-central.org/wp-content/uploads/2024/07/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8-Best-Practice-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-1.pdf
- ตัวอย่างการเขียน บทที่ 5 เพื่อรายงานผลงานทางวิชาการครูเชี่ยวชาญ », accessed December 5, 2025, https://krukob.com/web/research-5/
- แบบรายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice), accessed December 5, 2025, https://www.phayao2.go.th/wp-content/uploads/2024/07/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8-obec-cc-%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9E.pdf
- แนวทางการขับเคลื่อน OBEC Content Center, accessed December 5, 2025, https://www.surasak.ac.th/web/ssmfile/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/OBEC%20CC/2.%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%20OBEC%20CC%20%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202567.pdf
- นำเสนอผลงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของสถานศึกษา ปีการศึกษา 2567 – 2568, accessed December 5, 2025, http://wpwschool.ac.th/news-detail_18609_366439
- รายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) 2567, accessed December 5, 2025, https://www.spmmsk.go.th/2025/01/30/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80/
Comments
Powered by Facebook Comments

