Digital Learning Classroom
Active Learningการเรียนรู้เชิงรุกกิจกรรมการสอน

รวมแนวทางการออกแบบ และเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)

แชร์เรื่องนี้

แนวทางการออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)

ออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบรวมพลังอย่าง easy

มีใจความสำคัญดังนี้

การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)

การจัดการเรียนรู้เชิงรุกมุ่งเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการเรียนรู้มากกว่าการฟังเฉพาะผู้สอน เป็นวิธีการที่นักเรียนมีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ โดยให้ความสำคัญกับการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ และประยุกต์ใช้ความรู้

แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก

การออกแบบและเขียนแผนการเรียนรู้เชิงรุกสามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้

  1. การวิเคราะห์ผู้เรียน (Learner Analysis):
    • ประเมินพื้นฐานของผู้เรียน เช่น ความรู้เดิม ทักษะ ความสนใจ และบริบททางสังคม เพื่อให้เข้าใจความต้องการและพัฒนาการของผู้เรียน
  2. การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives):
    • ตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน โดยใช้เกณฑ์ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) เพื่อให้สามารถประเมินผลได้
  3. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Design Learning Activities):
    • ออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม เช่น การทำงานกลุ่ม การแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ การอภิปราย และการใช้เกมหรือเทคโนโลยีในการเรียนรู้
  4. การเลือกวิธีการประเมินผล (Assessment Methods):
    • เลือกวิธีการประเมินผลที่หลากหลาย เช่น การประเมินจากงานที่ทำ การนำเสนอ หรือการทดสอบที่วัดความสามารถในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน
  5. การจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้ (Prepare Learning Materials):
    • จัดเตรียมสื่อที่สนับสนุนการเรียนรู้ เช่น เอกสารอ้างอิง วิดีโอ สื่อดิจิทัล และแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
  6. การบริหารจัดการเวลา (Time Management):
    • กำหนดเวลาให้เหมาะสมสำหรับแต่ละกิจกรรม และปรับให้ยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้เรียน

การรวมพลังใน New Normal

การรวมพลังในบริบท New Normal มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและการร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ:

  • เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology):
    • ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน และการประเมินผล เช่น แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ หรือแอปพลิเคชันเพื่อการศึกษา
  • การสื่อสารและการร่วมมือ (Communication and Collaboration):
    • ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผยและการทำงานเป็นทีมระหว่างครูและผู้เรียน เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและเป็นมิตร
  • การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility):
    • ปรับกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ เช่น การเรียนออนไลน์ และการเรียนแบบผสมผสาน (Blended Learning)

สรุป:

วิดีโอนี้แนะนำแนวทางการออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างง่าย ๆ ภายใต้บริบท New Normal โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน การใช้เทคโนโลยี และการรวมพลังในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย


การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning

วิดีโอ “การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning” จากช่อง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมยศ นาวีการ” อธิบายขั้นตอนและเทคนิคการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning อย่างละเอียด ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

ใจความสำคัญ

1. การวิเคราะห์ผู้เรียน (Learner Analysis)

  • รวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้เรียน เช่น ความรู้เดิม ความสนใจ และบริบทการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนได้

2. การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives)

  • กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน โดยใช้แนวทางของ Bloom’s Taxonomy เพื่อระบุระดับของการเรียนรู้ที่ต้องการให้บรรลุ เช่น การจำ (Remember), การเข้าใจ (Understand), การนำไปใช้ (Apply), การวิเคราะห์ (Analyze), การสังเคราะห์ (Synthesize), และการประเมินค่า (Evaluate)

3. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Designing Learning Activities)

  • กิจกรรมต้องเน้นการมีส่วนร่วม (Engagement) และการโต้ตอบ (Interaction) ของผู้เรียน เช่น:
    • การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning): การทำงานเป็นทีมเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดและช่วยเหลือกัน
    • การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning): ให้ผู้เรียนแก้ไขปัญหาจริงหรือจำลอง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
    • การเรียนรู้แบบใช้โครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning): ผู้เรียนทำโครงการที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนและนำเสนอผลการเรียนรู้

4. การประเมินผล (Assessment)

  • ออกแบบการประเมินที่หลากหลายและเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เช่น:
    • การประเมินแบบรวมตัว (Formative Assessment): การประเมินในระหว่างการเรียนเพื่อปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้
    • การประเมินแบบสรุป (Summative Assessment): การประเมินเมื่อสิ้นสุดหน่วยการเรียนรู้เพื่อวัดความสำเร็จของผู้เรียน
    • การประเมินเพื่อน (Peer Assessment) และ การประเมินตนเอง (Self-Assessment): เพื่อส่งเสริมการสะท้อนตนเองและการพัฒนาตนเอง

5. การใช้เทคโนโลยี (Utilizing Technology)

  • ใช้เครื่องมือดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ในการสนับสนุนการเรียนรู้ เช่น:
    • ระบบการจัดการเรียนรู้ (LMS) เพื่อจัดการสื่อการเรียนรู้และการสื่อสาร
    • แอปพลิเคชันสำหรับการทำงานร่วมกัน (Collaboration Tools) เช่น Google Docs, Padlet เพื่อส่งเสริมการทำงานกลุ่ม

6. การวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Planning the Learning Management):

  • จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยละเอียด ซึ่งควรรวมถึง:
    • การจัดลำดับการสอน (Sequencing): วางแผนลำดับเนื้อหาที่จะสอนอย่างเป็นระบบ
    • การจัดเวลา (Timing): จัดเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่าง ๆ
    • การจัดเตรียมทรัพยากร (Resource Preparation): เตรียมสื่อและอุปกรณ์การสอน

7. การพัฒนาและปรับปรุงแผนการสอน (Developing and Refining the Teaching Plan):

  • ทดลองใช้แผนการสอนและรับความคิดเห็นจากผู้เรียนเพื่อปรับปรุงแผนการสอนอย่างต่อเนื่อง

สรุป

การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เน้นการวิเคราะห์ผู้เรียน การตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การออกแบบกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วม การประเมินที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีสนับสนุน และการพัฒนาแผนการสอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในบริบทที่แตกต่างกัน

ลิงก์วิดีโอ


การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active learning

ใจความสำคัญ

1. ความสำคัญของ Active Learning

  • การมีส่วนร่วมของผู้เรียน: Active Learning เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ มากกว่าการฟังบรรยายจากครูเพียงอย่างเดียว
  • การพัฒนาทักษะสำคัญ: กระบวนการนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน
  • การสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้: เน้นการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและมีความสนุกสนานในการเรียนรู้

2. ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

2.1 การวิเคราะห์และกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives)

  • การวิเคราะห์ผู้เรียน: เข้าใจพื้นฐานและความต้องการของผู้เรียน เช่น ความรู้เดิมและความสนใจ
  • การกำหนดวัตถุประสงค์: ใช้หลักการ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) ในการตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและวัดผลได้

2.2 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Designing Learning Activities)

  • การเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม: กิจกรรมต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการโต้ตอบของผู้เรียน เช่น:
    • การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning): ผู้เรียนทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
    • การแก้ปัญหา (Problem-Based Learning): ผู้เรียนเผชิญกับปัญหาจริงและต้องใช้ทักษะในการแก้ไขปัญหา
    • การใช้โครงการ (Project-Based Learning): ผู้เรียนทำโครงการที่เชื่อมโยงกับบทเรียนและนำเสนอผลการเรียนรู้
    • การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion): ส่งเสริมให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความคิด
  • การใช้เทคนิคและเครื่องมือดิจิทัล: ใช้สื่อการสอนและเครื่องมือดิจิทัล เช่น วิดีโอ บทเรียนออนไลน์ แอปพลิเคชันเพื่อการทำงานร่วมกัน (เช่น Google Classroom, Kahoot)

2.3 การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment)

  • การประเมินแบบรวมตัว (Formative Assessment): ตรวจสอบและปรับปรุงการเรียนรู้ระหว่างกระบวนการ เช่น การประเมินผ่านกิจกรรมหรือการสอบระหว่างการเรียน
  • การประเมินแบบสรุป (Summative Assessment): ประเมินความสำเร็จของผู้เรียนเมื่อสิ้นสุดหน่วยการเรียนรู้ เช่น การทดสอบ การทำรายงาน หรือโครงงาน
  • การประเมินตนเองและการประเมินเพื่อน (Self and Peer Assessment): ส่งเสริมการสะท้อนตนเองและการรับข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมชั้น

2.4 การวางแผนและเตรียมการสอน (Planning and Preparation)

  • การจัดลำดับเนื้อหา (Content Sequencing): จัดลำดับเนื้อหาการสอนอย่างเป็นระบบและเหมาะสมกับเวลา
  • การจัดเวลา (Timing): จัดเวลาสำหรับแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสม และยืดหยุ่นตามสถานการณ์
  • การจัดเตรียมสื่อและทรัพยากร (Resource Preparation): เตรียมสื่อการสอนที่สนับสนุนการเรียนรู้ เช่น เอกสารประกอบการสอน สื่อดิจิทัล หรืออุปกรณ์สำหรับกิจกรรม

2.5 การพัฒนาและปรับปรุงแผนการสอน (Developing and Refining the Plan)

  • การทดลองใช้ (Pilot Testing): นำแผนการสอนไปใช้จริงเพื่อประเมินผลและรับข้อเสนอแนะ
  • การปรับปรุง (Improvement): ปรับปรุงแผนการสอนตามผลการทดลองใช้และความคิดเห็นจากผู้เรียน

3. ตัวอย่างการออกแบบกิจกรรม Active Learning

  • กิจกรรมการเรียนรู้ผ่านเกม (Game-Based Learning): ใช้เกมในการสอนเพื่อเพิ่มความสนุกสนานและความสนใจ
  • การใช้สถานการณ์จำลอง (Simulations): สร้างสถานการณ์จำลองเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะการแก้ปัญหา
  • การอภิปรายกรณีศึกษา (Case Study Discussion): นำกรณีศึกษาเข้ามาในห้องเรียนเพื่ออภิปรายและวิเคราะห์ปัญหา

สรุป

การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มุ่งเน้นการวิเคราะห์ผู้เรียน การตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การออกแบบกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วม การประเมินผลที่หลากหลาย การวางแผนการสอนที่เป็นระบบ และการปรับปรุงแผนการสอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนในบริบทต่าง ๆ

ลิงก์วิดีโอ:


การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้


ว PA เขียนแผนการสอนอย่างไรให้ครบ 8 ประเด็น


เขียนแผนการสอนอย่างไรให้ไม่ผิด 


สมรรถนะคืออะไร การจัดการออกแบบการเรียนการที่เน้นสมรรถนะทำได้อย่างไร


EdTalk เปิดมุมมองโลกการศึกษา : Active Learning คืออะไร


การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้

https://youtu.be/8hw-jmkuCd4?si=7ueiTddwlxJbGZC4

ที่มาของข้อมูลและการรวบรวมจาก วิชาการหวานเจี๊ยบ https://www.facebook.com/CareKrubyDrJeab 

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!