Digital Learning Classroom
ข่าวการศึกษาวิทยฐานะเชี่ยวชาญหลักการและแนวคิด

แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

แชร์เรื่องนี้

แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

รูปแบบการบริหารสถานศึกษา หมายถึง โครงสร้างหรือแบบแผนที่แสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ดีควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษา

ประเภทของโมเดลสามารถสรุปได้ดังนี้

1. โมเดลภาษา (Verbal Model)

– เป็นการพรรณนาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยคำบรรยาย
– ตัวอย่าง: รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง

2. โมเดลรูปภาพ (Image Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ:

a) ลักษณะสาเหตุ (Causal) ตัวอย่าง: โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
b) ลักษณะแผนภาพ (Diagrams) ตัวอย่าง: รูปแบบการบริหารจัดการภาคเอกชน

3. โมเดลคณิตศาสตร์ (Mathematical Model)

– แสดงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
– ตัวอย่าง: แบบจำลองสมการ, โปรแกรมเชิงเส้น

4. โมเดลกายภาพ (Physical Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ

a) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อจำลองสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น  แบบจำลองรถยนต์ หุ่นไล่กา  หุ่นร้านเสื้อผ้า แบบจำลองอาคาร
b) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อการผลิตสิ่งนั้น ๆ (ขนาดเท่าของจริง) ตัวอย่างเช่น แบบจำลองต้นแบบผลิตรถยนต์ ตัวแบบผลิตสินค้า ตัวแบบผลิตอุปกรณ์

ประเภทของโมเดลเหล่านี้เรียงลำดับจากนามธรรมไปสู่รูปธรรม ตามเกณฑ์ของความเสมือนจริง โดยโมเดลภาษามีลักษณะเป็นนามธรรมมากที่สุด ในขณะที่โมเดลกายภาพมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากที่สุด

ดัดแปลงจาก ชัยวิชิต เชียรชนะ : 2560

แนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล

การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความเป็นระบบ นักวิจัยและนักพัฒนาควรเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน ขั้นตอนการดำเนินงาน และลักษณะของโมเดลที่ดี เพื่อสามารถสร้างหรือพัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การค้นพบองค์ความรู้ใหม่และการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิผล

ดังนั้นในการวิจัยและพัฒนา การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถอธิบาย ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

ความหมายและจุดมุ่งหมาย

การสร้างโมเดล หมายถึง การริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในขณะที่

การพัฒนาโมเดล คือ การปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น

ทั้งสองกระบวนการมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์ต่างๆ โดยศึกษาองค์ประกอบ ตัวแปร และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น

แนวคิดหลักในการสร้างและพัฒนาโมเดล

แนวคิดการสร้างและพัฒนาโมเดลประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ดังนี้

การค้นหาโมเดล เริ่มจากการศึกษาสภาพปรากฏการณ์ รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การสร้างโมเดลสมมติฐาน

การทดสอบโมเดล นำโมเดลที่สร้างขึ้นหรือมีอยู่แล้วไปทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อสรุปผลและอาจนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาต่อไป

นักวิจัยอาจเลือกดำเนินการตามแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือทั้งสองแนวทางก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย

ลักษณะของโมเดลที่ดี

โมเดลที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้

  • สะท้อนปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างชัดเจน
  • สร้างความคิดรวบยอดใหม่และเพิ่มองค์ความรู้
  • แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ
  • สามารถตรวจสอบและทดสอบได้
  • มีความสามารถในการอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษา

การประยุกต์ใช้ในการวิจัยและพัฒนา

  • การวิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนเริ่มสร้างหรือพัฒนาโมเดล ควรวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้เข้าใจบริบทและความต้องการอย่างแท้จริง
  • การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ระบุว่าต้องการสร้างโมเดลใหม่หรือพัฒนาโมเดลที่มีอยู่ และกำหนดเป้าหมายของโมเดลให้ชัดเจน
  • การเลือกวิธีการที่เหมาะสม เลือกเทคนิคและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่เหมาะสมกับลักษณะของโมเดลและข้อมูลที่มี
  • การทดสอบและประเมินผล ดำเนินการทดสอบโมเดลอย่างเป็นระบบ และประเมินผลตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เช่น ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และประสิทธิภาพ
  • การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาโมเดลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โมเดลมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุปแนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล ตามประเด็นได้ดังนี้

1. นิยาม

– การสร้าง คือ การริเริ่มดำเนินการสิ่งที่ศึกษาใหม่ ไม่ซ้ำซ้อนกับสิ่งที่มีมาก่อน
– การพัฒนา การนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงหรือแก้ไขให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ มีประโยชน์ และทันสมัยยิ่งขึ้น

2. จุดเริ่มต้น

– เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือสังคมที่มีความแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง
– มีความน่าสนใจและมีอิทธิพลต่อสิ่งอื่น ๆ

3. วัตถุประสงค์

– เพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์
– ศึกษาส่วนประกอบ/องค์ประกอบ/ตัวแปร/หลักการ/แนวคิด/ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
– วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ

4. แนวคิดหลัก 2 ประการ

a) การค้นหาโมเดล

– ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
– รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
– วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล
– สร้างโมเดลสมมติฐาน

b) การนำโมเดลไปทดสอบ/ทดลอง/พิสูจน์

– ใช้โมเดลที่สร้างขึ้นหรือโมเดลที่มีอยู่แล้ว
– ทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้
– สรุปผลการใช้โมเดล
– อาจนำไปสู่การปรับปรุงหรือพัฒนาโมเดลต่อไป

5. ความยืดหยุ่นในการดำเนินการ

– นักวิจัยอาจเลือกทำเพียงแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรือทำทั้งสองแนวคิดก็ได้

6. เป้าหมาย

– ได้โมเดลที่สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

7. ลักษณะของโมเดลที่ดี

– สะท้อนปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สร้างความคิดรวบยอดใหม่ได้
– เพิ่มองค์ความรู้ได้
– แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้ถูกต้องและเชื่อถือได้
– สามารถตรวจสอบและทดสอบได้
– สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้

แนวคิดนี้เน้นกระบวนการที่เป็นระบบในการสร้างและพัฒนาโมเดล โดยมุ่งเน้นทั้งการค้นหาความรู้ใหม่และการทดสอบความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้ได้โมเดลที่มีประสิทธิภาพในการอธิบายปรากฏการณ์ที่สนใจ

องค์ประกอบสำคัญของรูปแบบ

1. โครงสร้างหรือแบบแผน

– เป็นกรอบแนวคิดที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการบริหารสถานศึกษา
– มีการจัดระเบียบและลำดับขั้นตอนของการทำงานอย่างเป็นระบบ

2. ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ

– แสดงการเชื่อมโยงระหว่างส่วนต่างๆ ของสถานศึกษา
– รวมถึงการประสานงานระหว่างบุคลากร ทรัพยากร และกระบวนการทำงาน

3. การบริหารจัดการ

– ครอบคลุมกระบวนการวางแผน การจัดองค์กร การนำ และการควบคุม
– รวมถึงการตัดสินใจในด้านต่างๆ ของสถานศึกษา

4. เป้าหมายทางการศึกษา

– กำหนดทิศทางและผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา
– อาจรวมถึงการพัฒนาผู้เรียน การยกระดับคุณภาพการศึกษา และการพัฒนาชุมชน

5. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล

– ประสิทธิภาพ คือ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในการดำเนินงาน
– ประสิทธิผล คือ ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ผมจะอธิบายวิธีการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นขั้นตอน ดังนี้

วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน

  • ศึกษาบริบทของสถานศึกษา
  • วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis)
  • ระบุปัญหาและความต้องการในการพัฒนา

กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย

  • สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของสถานศึกษา
  • กำหนดเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์

ออกแบบรูปแบบการบริหาร

  • เลือกทฤษฎีการบริหารที่เหมาะสม
  • กำหนดโครงสร้างการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
  • วางแผนกระบวนการทำงานและการสื่อสารภายในองค์กร

พัฒนาบุคลากร

  • จัดอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ให้แก่บุคลากร
  • สร้างระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่เป็นธรรม
  • ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

สร้างวัฒนธรรมองค์กร

  • กำหนดค่านิยมหลักของสถานศึกษา
  • ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์
  • สร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนา

นำรูปแบบไปทดลองใช้

  • ทดลองใช้รูปแบบการบริหารในสถานการณ์จริง
  • เก็บข้อมูลและสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ประเมินผลและปรับปรุง

  • วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้
  • รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • ปรับปรุงรูปแบบการบริหารตามผลการประเมิน

จัดทำคู่มือและเผยแพร่

  • จัดทำคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษา
  • เผยแพร่รูปแบบให้กับสถานศึกษาอื่นๆ ที่สนใจ

กระบวนการวิจัยโมเดล

กระบวนการวิจัยโมเดลประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก

  1. ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
  2. สร้างหรือพัฒนาโมเดล
  3. ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล
  4. ทดลองใช้โมเดล
  5. ประเมินการทดลองใช้โมเดล

ศึกษาสภาพปรากฏการณ์

แนวคิด  เพื่อให้ได้สารสนเทศของบริบทสิ่งที่ศึกษาทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
เทคนิควิธีที่ใช้ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง การประชาพิจารณ์  การระดมสมอง การวิจัยเอกสาร การสำรวจ

เช่น

    • การศึกษาจาก ผู้มีส่วน ได้-ส่วนเสีย (Stakeholder) หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
    • การศึกษาเฉพาะรายกรณี (Case Study) หรือ พหุกรณี (Multi-Case Study) หรือบางครั้งอาจมี การนา แนวคิดเชิงพื้นที่มาผสมผสาน เช่น พหุพื้นที่- พหุกรณี (Multi-Site Multi-Case Study)
    • การศึกษาในลักษณะวิเคราะห์จากเอกสาร หลักฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้ว
    • การศึกษาสภาพปรากฏการณ์แบบเทียม ซึ่ง เป็ นการศึกษาข้อมูลที่ได้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิหรือ ผู้เชี่ยวชาญ

สร้างหรือพัฒนาโมเดล

แนวคิด การสร้างโมเดลใหม่หรือพัฒนาโมเดลที่มีอยู่
เทคนิควิธีที่ใช้  เช่น

    • การประชาพิจารณ์
    • การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
    • การสังเกต
    • การสัมภาษณ์
    • การสอบถาม
    • การวิจัยเอกสาร
    • การระดมสมอง
    • เทคนิคเดลฟาย (Traditional, EDFR, Computer-based, Conference, ระดมสมอง)
    • แผนที่มโนทัศน์ (Concept mapping)
    • วงล้ออนาคต (Future wheels)
    • การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ (Cross-impact analysis)
    • อนาคตภาพ (Scenarios)
    • วงจรคุณภาพของ Deming (Plan-Do-Check-Action)
    • วงจร PAOR (Plan-Act-Observe-Reflect)
    • การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ (EFA) มาตรพหุมิติ (Multidimensional scaling)

ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล

แนวคิด ประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำไปใช้
มาตรฐานการประเมิน ความเป็นไปได้ (Feasibility) และความเหมาะสม (Propriety) ดังนี้

    • มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ (Feasibility) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการนำไปปฏิบัติได้จริง ประหยัด และเกิดความคุ้มค่า
    • มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการได้ดำเนินการตามระเบียบแบบแผน เป็นไปตามหลักจริยธรรม ไม่ส่งผลกระทบเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

เทคนิควิธีที่ใช้ เช่น

    • การสัมภาษณ์
    • การสอบถาม
    • การระดมสมอง
    • การสังเกต
    • การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
    • การประชาพิจารณ์

 ทดลองใช้โมเดล

หลักการ

1) การเตรียมโมเดล (แผนการทดลองและคู่มือการนำไปใช้)
2) การกำหนดพื้นที่การทดลอง
3) การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย

ประเมินการทดลองใช้โมเดล

เมื่อทำการทดลองใช้ หรือทดสอบโมเดลแล้ว การประเมินก็เข้ามามีบทบาทอีกครั้งแต่บทบาทในขั้นตอนนี้จะเป็นไปเพื่อการพิสูจน์ตรวจสอบ ทดลองใช้ โดยสามารถนำแนวคิดการประเมินของ Joint Committee on Standard of Educational Evaluation (1994) มาประยุกต์ใช้ในการประเมินโมเดลประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้านที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาใช้ได้ แต่จะขอให้นิยามการประเมินเพิ่มเติม 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานด้านอรรถะประโยชน์ และมาตรฐานด้านความถูกต้องแม่นยา ดังนี้

แนวคิด ประเมินเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบ ทดลองใช้
มาตรฐานการประเมิน อรรถประโยชน์ (Utility) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ความเหมาะสม (Propriety) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)

    • มาตรฐานด้านอรรถะประโยชน์ (Utility) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการให้สารสนเทศที่มีประโยชน์ มีคุณค่า สามารถสนองตอบต่อผู้ใช้
    • มาตรฐานด้านความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถ รับประกันถึงสารสนเทศที่ได้มีความครอบคลุมตรงตามลักษณะสิ่งที่ต้องการศึกษา แหล่งข้อมูล น่าเชื่อถือ เครื่องมือที่ใช้สามารถตรงตามสิ่งที่มุ่งศึกษา และการวิเคราะห์และการนำเสนอผล มีความถูกต้อง

–  เทคนิควิธีที่ใช้ 

    • การสัมภาษณ์
    • การสอบถาม
    • การสังเกต
    • การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
    • การประชาพิจารณ์
    • การระดมสมอง

 แนวคิดการประเมินอื่นๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้

– แบบจำลองการประเมินที่เน้นจุดมุ่งหมาย (Objective Based Model)
– แบบจำลองการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal-Free Evaluation Model)
– การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
– การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation)
– การประเมินที่เน้นการนำผลไปใช้ประโยชน์ (Utilization-Focused evaluation)
– การประเมินแบบเสริมพลังอำนาจ (Empowerment Evaluation)
– การประเมินอิงการขับเคลื่อนทางทฤษฎี (Theory-Driven Evaluation)
– การประเมินแบบมีส่วนร่วม (Participatory Evaluation)
– การประเมินแบบร่วมมือรวมพลัง (Collaborative Evaluation)

การใช้สถิติในการตรวจสอบประเมินโมเดล

– สถิติทดสอบที (t-test)
– การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance)
– การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis)
– การวิเคราะห์จำแนก (Discriminant Analysis)
– การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis)
– การวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis)
– การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling)

ข้อพึงระวังในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงเรียน อย่างไรก็ตาม การพัฒนารูปแบบดังกล่าวมีความซับซ้อนและอาจเกิดปัญหาได้ หากไม่ได้รับการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ และนี่คือการนำเสนอข้อพึงระวังที่สำคัญในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพครับ

1. การละเลยบริบทเฉพาะของสถานศึกษา

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือการนำรูปแบบการบริหารสำเร็จรูปมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทเฉพาะของสถานศึกษา แต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างทั้งในด้านวัฒนธรรม ทรัพยากร และความต้องการของชุมชน การพัฒนารูปแบบการบริหารจึงควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและความต้องการเฉพาะของสถานศึกษานั้นๆ อย่างละเอียด

 2. การขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยผู้บริหารเพียงฝ่ายเดียวอาจนำไปสู่การต่อต้านและความไม่เข้าใจจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะช่วยให้รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและได้รับการยอมรับมากขึ้น

3. การตั้งเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

การกำหนดเป้าหมายที่สูงเกินไป หรือต่ำเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนารูปแบบการบริหาร เป้าหมายที่สูงเกินไปอาจสร้างความกดดันและท้อแท้  ในขณะที่เป้าหมายที่ต่ำเกินไปอาจไม่สร้างแรงจูงใจในการพัฒนา ควรตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้จริง โดยพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงและทรัพยากรที่มีอยู่

4. การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป

การพยายามเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทั้งหมดในคราวเดียวอาจสร้างความสับสนและต่อต้านจากบุคลากร ควรวางแผนการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากส่วนที่สำคัญและจำเป็นก่อน และให้เวลาแก่บุคลากรในการปรับตัวและเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยลดแรงต้านและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการนำรูปแบบใหม่มาใช้

5. การละเลยการพัฒนาบุคลากร

การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่เตรียมความพร้อมของบุคลากรเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ควรจัดให้มีการอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับรูปแบบการบริหารใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรสร้างระบบสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่บุคลากรในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน

6. การขาดความยืดหยุ่น

แม้ว่าการมีรูปแบบการบริหารที่ชัดเจนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยึดติดกับรูปแบบจนไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะและพร้อมปรับปรุงอยู่เสมอจะช่วยให้รูปแบบการบริหารมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7. การละเลยการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ อาจทำให้ไม่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ควรมีระบบการประเมินผลที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาทั้งผลลัพธ์เชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

8. การไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่

การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ต้องใช้ทรัพยากรเกินกว่าที่มีอยู่อาจนำไปสู่ปัญหาในการนำไปปฏิบัติจริง ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการหาแนวทางในการระดมทรัพยากรเพิ่มเติมอย่างสร้างสรรค์

9. การละเลยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบทางการศึกษาอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและการถูกตรวจสอบ ควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ และออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย ในขณะเดียวกัน ก็ควรพิจารณาหาช่องทางในการสร้างนวัตกรรมภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่

10. การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ทั่วถึงอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการต่อต้านจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรมีแผนการสื่อสารที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม การสื่อสารควรมีความชัดเจน ต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้มีการซักถามและแสดงความคิดเห็น

บทสรุป

การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรอบคอบ การมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น การตระหนักถึงข้อพึงระวังที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาสถานศึกษาอย่างยั่งยืน

 

งานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

1. การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management):

– Caldwell, B. J. (2005). School-based management. International Academy of Education.
– สุรินทร์ จีนสด (2560). รูปแบบการบริหารโรงเรียนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 13(1), 161-186.

2. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management):

– Somech, A. (2010). Participative decision making in schools: A mediating-moderating analytical framework for understanding school and teacher outcomes. Educational Administration Quarterly, 46(2), 174-209.
– วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วม: แนวคิดทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา. วารสารบริหารการศึกษา มศว, 11(21), 1-9.

3. การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management in Education):

– Sallis, E. (2014). Total quality management in education (3rd ed.). Routledge.
– รัตนา ดวงแก้ว (2556). การบริหารคุณภาพทั้งองค์การในสถานศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 15(4), 150-160.

4. การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถานศึกษา (Strategic Management in Education):

– Davies, B., & Davies, B. J. (2006). Developing a model for strategic leadership in schools. Educational Management Administration & Leadership, 34(1), 121-139.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2558). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถาบันการศึกษา: แนวคิดและการปฏิบัติ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(3), 1-14.

5. การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา (Change Management in Schools):

– Fullan, M. (2016). The new meaning of educational change (5th ed.). Teachers College Press.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2562). การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา: บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, 9(1), 208-220.

6. การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล (School Management in the Digital Era):

– Sheninger, E. (2019). Digital leadership: Changing paradigms for changing times. Corwin Press.
– ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ (2561). การบริหารการศึกษาไทย 4.0 เป็นยุคของการบูรณาการข้ามศาสตร์. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี, 12(28), 1-8.

7. การพัฒนาภาวะผู้นำทางการศึกษา (Educational Leadership Development):

– Leithwood, K., & Sun, J. (2012). The nature and effects of transformational school leadership: A meta-analytic review of unpublished research. Educational Administration Quarterly, 48(3), 387-423.
– รัตนา ดวงแก้ว (2559). การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลง. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 18(2), 201-214.

8. การประกันคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assurance):

– Cheng, Y. C. (2003). Quality assurance in education: Internal, interface, and future. Quality Assurance in Education, 11(4), 202-213.
– สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และคณะ (2556). ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทย. วารสารวิธีวิทยาการวิจัย, 26(3), 261-290.

References

  • Caldwell, B. J. (2005). *School-based management*. International Academy of Education.
  • Cheng, Y. C. (2003). Quality assurance in education: Internal, interface, and future. *Quality Assurance in Education*, 11(4), 202-213.
  • Davies, B., & Davies, B. J. (2006). Developing a model for strategic leadership in schools. *Educational Management Administration & Leadership*, 34(1), 121-139.
  • Fullan, M. (2016). *The new meaning of educational change* (5th ed.). Teachers College Press.
  • Leithwood, K., & Sun, J. (2012). The nature and effects of transformational school leadership: A meta-analytic review of unpublished research. *Educational Administration Quarterly*, 48(3), 387-423.
  • ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2561). การบริหารการศึกษาไทย 4.0 เป็นยุคของการบูรณาการข้ามศาสตร์. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี*, 12(28), 1-8.
  • รัตนา ดวงแก้ว. (2556). การบริหารคุณภาพทั้งองค์การในสถานศึกษา. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 15(4), 150-160.
  • รัตนา ดวงแก้ว. (2559). การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลง. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 18(2), 201-214.
  • Sallis, E. (2014). *Total quality management in education* (3rd ed.). Routledge.
  • Sheninger, E. (2019). *Digital leadership: Changing paradigms for changing times*. Corwin Press.
  • สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และคณะ. (2556). ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทย. *วารสารวิธีวิทยาการวิจัย*, 26(3), 261-290.
  • Somech, A. (2010). Participative decision making in schools: A mediating-moderating analytical framework for understanding school and teacher outcomes. *Educational Administration Quarterly*, 46(2), 174-209.
  • สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2558). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถาบันการศึกษา: แนวคิดและการปฏิบัติ. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 17(3), 1-14.
  • สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2562). การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา: บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี*, 9(1), 208-220.
  • สุรินทร์ จีนสด. (2560). รูปแบบการบริหารโรงเรียนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต*, 13(1), 161-186.
  • วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์. (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วม: แนวคิดทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา. *วารสารบริหารการศึกษา มศว*, 11(21), 1-9.

ที่มาของข้อมูล

ชัยวิชิต เชียรชนะ (2560) การสร้างและการพัฒนาโมเดล/รูปแบบ/แบบจำลอง/ตัวแบบ วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย ปี ที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2560) 

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!