แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา
แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา
รูปแบบการบริหารสถานศึกษา หมายถึง โครงสร้างหรือแบบแผนที่แสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ดีควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษา
ประเภทของโมเดลสามารถสรุปได้ดังนี้
1. โมเดลภาษา (Verbal Model)
– เป็นการพรรณนาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยคำบรรยาย
– ตัวอย่าง: รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
2. โมเดลรูปภาพ (Image Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ:
a) ลักษณะสาเหตุ (Causal) ตัวอย่าง: โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
b) ลักษณะแผนภาพ (Diagrams) ตัวอย่าง: รูปแบบการบริหารจัดการภาคเอกชน
3. โมเดลคณิตศาสตร์ (Mathematical Model)
– แสดงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ด้วยฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
– ตัวอย่าง: แบบจำลองสมการ, โปรแกรมเชิงเส้น
4. โมเดลกายภาพ (Physical Model) แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
a) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อจำลองสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น แบบจำลองรถยนต์ หุ่นไล่กา หุ่นร้านเสื้อผ้า แบบจำลองอาคาร
b) ลักษณะที่ใช้เป็นต้นแบบเพื่อการผลิตสิ่งนั้น ๆ (ขนาดเท่าของจริง) ตัวอย่างเช่น แบบจำลองต้นแบบผลิตรถยนต์ ตัวแบบผลิตสินค้า ตัวแบบผลิตอุปกรณ์
ประเภทของโมเดลเหล่านี้เรียงลำดับจากนามธรรมไปสู่รูปธรรม ตามเกณฑ์ของความเสมือนจริง โดยโมเดลภาษามีลักษณะเป็นนามธรรมมากที่สุด ในขณะที่โมเดลกายภาพมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากที่สุด

แนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล
การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความเป็นระบบ นักวิจัยและนักพัฒนาควรเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน ขั้นตอนการดำเนินงาน และลักษณะของโมเดลที่ดี เพื่อสามารถสร้างหรือพัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การค้นพบองค์ความรู้ใหม่และการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมีประสิทธิผล
ดังนั้นในการวิจัยและพัฒนา การสร้างและพัฒนาโมเดลเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถอธิบาย ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ความหมายและจุดมุ่งหมาย
การสร้างโมเดล หมายถึง การริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในขณะที่
การพัฒนาโมเดล คือ การปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
ทั้งสองกระบวนการมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์ต่างๆ โดยศึกษาองค์ประกอบ ตัวแปร และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น
แนวคิดหลักในการสร้างและพัฒนาโมเดล
แนวคิดการสร้างและพัฒนาโมเดลประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ดังนี้
การค้นหาโมเดล เริ่มจากการศึกษาสภาพปรากฏการณ์ รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การสร้างโมเดลสมมติฐาน
การทดสอบโมเดล นำโมเดลที่สร้างขึ้นหรือมีอยู่แล้วไปทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อสรุปผลและอาจนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาต่อไป
นักวิจัยอาจเลือกดำเนินการตามแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือทั้งสองแนวทางก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย
ลักษณะของโมเดลที่ดี
โมเดลที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้
- สะท้อนปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างชัดเจน
- สร้างความคิดรวบยอดใหม่และเพิ่มองค์ความรู้
- แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ
- สามารถตรวจสอบและทดสอบได้
- มีความสามารถในการอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษา
การประยุกต์ใช้ในการวิจัยและพัฒนา
- การวิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนเริ่มสร้างหรือพัฒนาโมเดล ควรวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้เข้าใจบริบทและความต้องการอย่างแท้จริง
- การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ระบุว่าต้องการสร้างโมเดลใหม่หรือพัฒนาโมเดลที่มีอยู่ และกำหนดเป้าหมายของโมเดลให้ชัดเจน
- การเลือกวิธีการที่เหมาะสม เลือกเทคนิคและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่เหมาะสมกับลักษณะของโมเดลและข้อมูลที่มี
- การทดสอบและประเมินผล ดำเนินการทดสอบโมเดลอย่างเป็นระบบ และประเมินผลตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เช่น ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และประสิทธิภาพ
- การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาโมเดลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โมเดลมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สรุปแนวคิดการสร้างและการพัฒนาโมเดล ตามประเด็นได้ดังนี้
1. นิยาม
– การสร้าง คือ การริเริ่มดำเนินการสิ่งที่ศึกษาใหม่ ไม่ซ้ำซ้อนกับสิ่งที่มีมาก่อน
– การพัฒนา การนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงหรือแก้ไขให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ มีประโยชน์ และทันสมัยยิ่งขึ้น
2. จุดเริ่มต้น
– เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือสังคมที่มีความแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง
– มีความน่าสนใจและมีอิทธิพลต่อสิ่งอื่น ๆ
3. วัตถุประสงค์
– เพื่อเสาะแสวงหาความจริงในปรากฏการณ์
– ศึกษาส่วนประกอบ/องค์ประกอบ/ตัวแปร/หลักการ/แนวคิด/ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง
– วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
4. แนวคิดหลัก 2 ประการ
a) การค้นหาโมเดล
– ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
– รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
– วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล
– สร้างโมเดลสมมติฐาน
b) การนำโมเดลไปทดสอบ/ทดลอง/พิสูจน์
– ใช้โมเดลที่สร้างขึ้นหรือโมเดลที่มีอยู่แล้ว
– ทดสอบ ตรวจสอบ หรือทดลองใช้
– สรุปผลการใช้โมเดล
– อาจนำไปสู่การปรับปรุงหรือพัฒนาโมเดลต่อไป
5. ความยืดหยุ่นในการดำเนินการ
– นักวิจัยอาจเลือกทำเพียงแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรือทำทั้งสองแนวคิดก็ได้
6. เป้าหมาย
– ได้โมเดลที่สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
7. ลักษณะของโมเดลที่ดี
– สะท้อนปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
– สร้างความคิดรวบยอดใหม่ได้
– เพิ่มองค์ความรู้ได้
– แสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้ถูกต้องและเชื่อถือได้
– สามารถตรวจสอบและทดสอบได้
– สามารถอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้
แนวคิดนี้เน้นกระบวนการที่เป็นระบบในการสร้างและพัฒนาโมเดล โดยมุ่งเน้นทั้งการค้นหาความรู้ใหม่และการทดสอบความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้ได้โมเดลที่มีประสิทธิภาพในการอธิบายปรากฏการณ์ที่สนใจ
องค์ประกอบสำคัญของรูปแบบ
1. โครงสร้างหรือแบบแผน
– เป็นกรอบแนวคิดที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการบริหารสถานศึกษา
– มีการจัดระเบียบและลำดับขั้นตอนของการทำงานอย่างเป็นระบบ
2. ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ
– แสดงการเชื่อมโยงระหว่างส่วนต่างๆ ของสถานศึกษา
– รวมถึงการประสานงานระหว่างบุคลากร ทรัพยากร และกระบวนการทำงาน
3. การบริหารจัดการ
– ครอบคลุมกระบวนการวางแผน การจัดองค์กร การนำ และการควบคุม
– รวมถึงการตัดสินใจในด้านต่างๆ ของสถานศึกษา
4. เป้าหมายทางการศึกษา
– กำหนดทิศทางและผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา
– อาจรวมถึงการพัฒนาผู้เรียน การยกระดับคุณภาพการศึกษา และการพัฒนาชุมชน
5. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
– ประสิทธิภาพ คือ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในการดำเนินงาน
– ประสิทธิผล คือ ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ผมจะอธิบายวิธีการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นขั้นตอน ดังนี้
วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
- ศึกษาบริบทของสถานศึกษา
- วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis)
- ระบุปัญหาและความต้องการในการพัฒนา
กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย
- สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของสถานศึกษา
- กำหนดเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์
ออกแบบรูปแบบการบริหาร
- เลือกทฤษฎีการบริหารที่เหมาะสม
- กำหนดโครงสร้างการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
- วางแผนกระบวนการทำงานและการสื่อสารภายในองค์กร
พัฒนาบุคลากร
- จัดอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ให้แก่บุคลากร
- สร้างระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่เป็นธรรม
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สร้างวัฒนธรรมองค์กร
- กำหนดค่านิยมหลักของสถานศึกษา
- ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์
- สร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนา
นำรูปแบบไปทดลองใช้
- ทดลองใช้รูปแบบการบริหารในสถานการณ์จริง
- เก็บข้อมูลและสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ประเมินผลและปรับปรุง
- วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้
- รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- ปรับปรุงรูปแบบการบริหารตามผลการประเมิน
จัดทำคู่มือและเผยแพร่
- จัดทำคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษา
- เผยแพร่รูปแบบให้กับสถานศึกษาอื่นๆ ที่สนใจ
กระบวนการวิจัยโมเดล
กระบวนการวิจัยโมเดลประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก
- ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
- สร้างหรือพัฒนาโมเดล
- ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล
- ทดลองใช้โมเดล
- ประเมินการทดลองใช้โมเดล
ศึกษาสภาพปรากฏการณ์
– แนวคิด เพื่อให้ได้สารสนเทศของบริบทสิ่งที่ศึกษาทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
– เทคนิควิธีที่ใช้ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง การประชาพิจารณ์ การระดมสมอง การวิจัยเอกสาร การสำรวจ
เช่น
-
- การศึกษาจาก ผู้มีส่วน ได้-ส่วนเสีย (Stakeholder) หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
- การศึกษาเฉพาะรายกรณี (Case Study) หรือ พหุกรณี (Multi-Case Study) หรือบางครั้งอาจมี การนา แนวคิดเชิงพื้นที่มาผสมผสาน เช่น พหุพื้นที่- พหุกรณี (Multi-Site Multi-Case Study)
- การศึกษาในลักษณะวิเคราะห์จากเอกสาร หลักฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้ว
- การศึกษาสภาพปรากฏการณ์แบบเทียม ซึ่ง เป็ นการศึกษาข้อมูลที่ได้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิหรือ ผู้เชี่ยวชาญ
สร้างหรือพัฒนาโมเดล
– แนวคิด การสร้างโมเดลใหม่หรือพัฒนาโมเดลที่มีอยู่
– เทคนิควิธีที่ใช้ เช่น
-
- การประชาพิจารณ์
- การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
- การสังเกต
- การสัมภาษณ์
- การสอบถาม
- การวิจัยเอกสาร
- การระดมสมอง
- เทคนิคเดลฟาย (Traditional, EDFR, Computer-based, Conference, ระดมสมอง)
- แผนที่มโนทัศน์ (Concept mapping)
- วงล้ออนาคต (Future wheels)
- การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ (Cross-impact analysis)
- อนาคตภาพ (Scenarios)
- วงจรคุณภาพของ Deming (Plan-Do-Check-Action)
- วงจร PAOR (Plan-Act-Observe-Reflect)
- การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ (EFA) มาตรพหุมิติ (Multidimensional scaling)
ประเมินการสร้างและการพัฒนาโมเดล
– แนวคิด ประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำไปใช้
– มาตรฐานการประเมิน ความเป็นไปได้ (Feasibility) และความเหมาะสม (Propriety) ดังนี้
-
- มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ (Feasibility) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการนำไปปฏิบัติได้จริง ประหยัด และเกิดความคุ้มค่า
- มาตรฐานด้านความเหมาะสม (Propriety) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการได้ดำเนินการตามระเบียบแบบแผน เป็นไปตามหลักจริยธรรม ไม่ส่งผลกระทบเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
– เทคนิควิธีที่ใช้ เช่น
-
- การสัมภาษณ์
- การสอบถาม
- การระดมสมอง
- การสังเกต
- การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
- การประชาพิจารณ์
ทดลองใช้โมเดล
หลักการ
1) การเตรียมโมเดล (แผนการทดลองและคู่มือการนำไปใช้)
2) การกำหนดพื้นที่การทดลอง
3) การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย
ประเมินการทดลองใช้โมเดล
เมื่อทำการทดลองใช้ หรือทดสอบโมเดลแล้ว การประเมินก็เข้ามามีบทบาทอีกครั้งแต่บทบาทในขั้นตอนนี้จะเป็นไปเพื่อการพิสูจน์ตรวจสอบ ทดลองใช้ โดยสามารถนำแนวคิดการประเมินของ Joint Committee on Standard of Educational Evaluation (1994) มาประยุกต์ใช้ในการประเมินโมเดลประกอบด้วยมาตรฐาน 4 ด้านที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาใช้ได้ แต่จะขอให้นิยามการประเมินเพิ่มเติม 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานด้านอรรถะประโยชน์ และมาตรฐานด้านความถูกต้องแม่นยา ดังนี้
– แนวคิด ประเมินเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบ ทดลองใช้
– มาตรฐานการประเมิน อรรถประโยชน์ (Utility) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ความเหมาะสม (Propriety) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)
-
- มาตรฐานด้านอรรถะประโยชน์ (Utility) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถรับประกันถึงการให้สารสนเทศที่มีประโยชน์ มีคุณค่า สามารถสนองตอบต่อผู้ใช้
- มาตรฐานด้านความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) เป็นลักษณะของโมเดลที่สามารถ รับประกันถึงสารสนเทศที่ได้มีความครอบคลุมตรงตามลักษณะสิ่งที่ต้องการศึกษา แหล่งข้อมูล น่าเชื่อถือ เครื่องมือที่ใช้สามารถตรงตามสิ่งที่มุ่งศึกษา และการวิเคราะห์และการนำเสนอผล มีความถูกต้อง
– เทคนิควิธีที่ใช้
-
- การสัมภาษณ์
- การสอบถาม
- การสังเกต
- การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง
- การประชาพิจารณ์
- การระดมสมอง
แนวคิดการประเมินอื่นๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้
– แบบจำลองการประเมินที่เน้นจุดมุ่งหมาย (Objective Based Model)
– แบบจำลองการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal-Free Evaluation Model)
– การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
– การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation)
– การประเมินที่เน้นการนำผลไปใช้ประโยชน์ (Utilization-Focused evaluation)
– การประเมินแบบเสริมพลังอำนาจ (Empowerment Evaluation)
– การประเมินอิงการขับเคลื่อนทางทฤษฎี (Theory-Driven Evaluation)
– การประเมินแบบมีส่วนร่วม (Participatory Evaluation)
– การประเมินแบบร่วมมือรวมพลัง (Collaborative Evaluation)
การใช้สถิติในการตรวจสอบประเมินโมเดล
– สถิติทดสอบที (t-test)
– การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance)
– การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis)
– การวิเคราะห์จำแนก (Discriminant Analysis)
– การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis)
– การวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis)
– การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling)
ข้อพึงระวังในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา
การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงเรียน อย่างไรก็ตาม การพัฒนารูปแบบดังกล่าวมีความซับซ้อนและอาจเกิดปัญหาได้ หากไม่ได้รับการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ และนี่คือการนำเสนอข้อพึงระวังที่สำคัญในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพครับ
1. การละเลยบริบทเฉพาะของสถานศึกษา
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือการนำรูปแบบการบริหารสำเร็จรูปมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทเฉพาะของสถานศึกษา แต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างทั้งในด้านวัฒนธรรม ทรัพยากร และความต้องการของชุมชน การพัฒนารูปแบบการบริหารจึงควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและความต้องการเฉพาะของสถานศึกษานั้นๆ อย่างละเอียด
2. การขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยผู้บริหารเพียงฝ่ายเดียวอาจนำไปสู่การต่อต้านและความไม่เข้าใจจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะช่วยให้รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและได้รับการยอมรับมากขึ้น
3. การตั้งเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
การกำหนดเป้าหมายที่สูงเกินไป หรือต่ำเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนารูปแบบการบริหาร เป้าหมายที่สูงเกินไปอาจสร้างความกดดันและท้อแท้ ในขณะที่เป้าหมายที่ต่ำเกินไปอาจไม่สร้างแรงจูงใจในการพัฒนา ควรตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้จริง โดยพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงและทรัพยากรที่มีอยู่
4. การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป
การพยายามเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทั้งหมดในคราวเดียวอาจสร้างความสับสนและต่อต้านจากบุคลากร ควรวางแผนการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากส่วนที่สำคัญและจำเป็นก่อน และให้เวลาแก่บุคลากรในการปรับตัวและเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยลดแรงต้านและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการนำรูปแบบใหม่มาใช้
5. การละเลยการพัฒนาบุคลากร
การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่เตรียมความพร้อมของบุคลากรเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ควรจัดให้มีการอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับรูปแบบการบริหารใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรสร้างระบบสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่บุคลากรในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน
6. การขาดความยืดหยุ่น
แม้ว่าการมีรูปแบบการบริหารที่ชัดเจนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยึดติดกับรูปแบบจนไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะและพร้อมปรับปรุงอยู่เสมอจะช่วยให้รูปแบบการบริหารมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. การละเลยการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
การนำรูปแบบการบริหารใหม่มาใช้โดยไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ อาจทำให้ไม่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ควรมีระบบการประเมินผลที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาทั้งผลลัพธ์เชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
8. การไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่
การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ต้องใช้ทรัพยากรเกินกว่าที่มีอยู่อาจนำไปสู่ปัญหาในการนำไปปฏิบัติจริง ควรออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการหาแนวทางในการระดมทรัพยากรเพิ่มเติมอย่างสร้างสรรค์
9. การละเลยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
การพัฒนารูปแบบการบริหารที่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบทางการศึกษาอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและการถูกตรวจสอบ ควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ และออกแบบรูปแบบการบริหารให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย ในขณะเดียวกัน ก็ควรพิจารณาหาช่องทางในการสร้างนวัตกรรมภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่
10. การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ทั่วถึงอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการต่อต้านจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรมีแผนการสื่อสารที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม การสื่อสารควรมีความชัดเจน ต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้มีการซักถามและแสดงความคิดเห็น
บทสรุป
การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรอบคอบ การมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น การตระหนักถึงข้อพึงระวังที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ผู้บริหารและทีมพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาสถานศึกษาอย่างยั่งยืน
งานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา
1. การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management):
– Caldwell, B. J. (2005). School-based management. International Academy of Education.
– สุรินทร์ จีนสด (2560). รูปแบบการบริหารโรงเรียนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 13(1), 161-186.
2. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management):
– Somech, A. (2010). Participative decision making in schools: A mediating-moderating analytical framework for understanding school and teacher outcomes. Educational Administration Quarterly, 46(2), 174-209.
– วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วม: แนวคิดทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา. วารสารบริหารการศึกษา มศว, 11(21), 1-9.
3. การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management in Education):
– Sallis, E. (2014). Total quality management in education (3rd ed.). Routledge.
– รัตนา ดวงแก้ว (2556). การบริหารคุณภาพทั้งองค์การในสถานศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 15(4), 150-160.
4. การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถานศึกษา (Strategic Management in Education):
– Davies, B., & Davies, B. J. (2006). Developing a model for strategic leadership in schools. Educational Management Administration & Leadership, 34(1), 121-139.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2558). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถาบันการศึกษา: แนวคิดและการปฏิบัติ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(3), 1-14.
5. การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา (Change Management in Schools):
– Fullan, M. (2016). The new meaning of educational change (5th ed.). Teachers College Press.
– สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2562). การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา: บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, 9(1), 208-220.
6. การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล (School Management in the Digital Era):
– Sheninger, E. (2019). Digital leadership: Changing paradigms for changing times. Corwin Press.
– ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ (2561). การบริหารการศึกษาไทย 4.0 เป็นยุคของการบูรณาการข้ามศาสตร์. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี, 12(28), 1-8.
7. การพัฒนาภาวะผู้นำทางการศึกษา (Educational Leadership Development):
– Leithwood, K., & Sun, J. (2012). The nature and effects of transformational school leadership: A meta-analytic review of unpublished research. Educational Administration Quarterly, 48(3), 387-423.
– รัตนา ดวงแก้ว (2559). การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลง. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 18(2), 201-214.
8. การประกันคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assurance):
– Cheng, Y. C. (2003). Quality assurance in education: Internal, interface, and future. Quality Assurance in Education, 11(4), 202-213.
– สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และคณะ (2556). ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทย. วารสารวิธีวิทยาการวิจัย, 26(3), 261-290.
References
- Caldwell, B. J. (2005). *School-based management*. International Academy of Education.
- Cheng, Y. C. (2003). Quality assurance in education: Internal, interface, and future. *Quality Assurance in Education*, 11(4), 202-213.
- Davies, B., & Davies, B. J. (2006). Developing a model for strategic leadership in schools. *Educational Management Administration & Leadership*, 34(1), 121-139.
- Fullan, M. (2016). *The new meaning of educational change* (5th ed.). Teachers College Press.
- Leithwood, K., & Sun, J. (2012). The nature and effects of transformational school leadership: A meta-analytic review of unpublished research. *Educational Administration Quarterly*, 48(3), 387-423.
- ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2561). การบริหารการศึกษาไทย 4.0 เป็นยุคของการบูรณาการข้ามศาสตร์. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยธนบุรี*, 12(28), 1-8.
- รัตนา ดวงแก้ว. (2556). การบริหารคุณภาพทั้งองค์การในสถานศึกษา. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 15(4), 150-160.
- รัตนา ดวงแก้ว. (2559). การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลง. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 18(2), 201-214.
- Sallis, E. (2014). *Total quality management in education* (3rd ed.). Routledge.
- Sheninger, E. (2019). *Digital leadership: Changing paradigms for changing times*. Corwin Press.
- สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และคณะ. (2556). ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาไทย. *วารสารวิธีวิทยาการวิจัย*, 26(3), 261-290.
- Somech, A. (2010). Participative decision making in schools: A mediating-moderating analytical framework for understanding school and teacher outcomes. *Educational Administration Quarterly*, 46(2), 174-209.
- สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2558). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในสถาบันการศึกษา: แนวคิดและการปฏิบัติ. *วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร*, 17(3), 1-14.
- สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2562). การบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา: บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี*, 9(1), 208-220.
- สุรินทร์ จีนสด. (2560). รูปแบบการบริหารโรงเรียนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. *วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต*, 13(1), 161-186.
- วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์. (2557). การบริหารแบบมีส่วนร่วม: แนวคิดทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา. *วารสารบริหารการศึกษา มศว*, 11(21), 1-9.
ที่มาของข้อมูล
ชัยวิชิต เชียรชนะ (2560) การสร้างและการพัฒนาโมเดล/รูปแบบ/แบบจำลอง/ตัวแบบ วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย ปี ที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2560)
Comments
Powered by Facebook Comments