Digital Learning Classroom
ความรู้ทั่วไปบทความสอบผู้บริหาร

การบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาสำหรับผู้มุ่งหวังตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

แชร์เรื่องนี้

การบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาสำหรับผู้มุ่งหวังตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ส่วนที่ 1: ปรัชญาและหลักการของคุณภาพการศึกษา

ส่วนนี้เป็นการวางรากฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ “คุณภาพ” ในบริบททางการศึกษา โดยเปลี่ยนจากคำจำกัดความทั่วไปสู่การประยุกต์ใช้ที่เฉพาะเจาะจงภายในบริบทของประเทศไทย การมีคำจำกัดความของคุณภาพที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับร่วมกันถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับความสำเร็จของระบบการจัดการใดๆ

1.1 การนิยามคุณภาพในบริบทการศึกษาไทย: การวิเคราะห์มุมมองเชิงกฎหมายและเชิงวิชาการ

ธรรมชาติของ “คุณภาพ” ที่มีหลายมิติ

การทำความเข้าใจ “การจัดการคุณภาพ” จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการแยกองค์ประกอบของคำสองคำ คือ “การจัดการ” และ “คุณภาพ” 1 คุณภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นสัมบูรณ์ แต่ถูกนิยามโดยความสามารถในการตอบสนองหรือสูงกว่าความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1 ในบริบททางการศึกษา ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ครอบคลุมทั้งผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และประเทศชาติโดยรวม ดังนั้น การจัดการคุณภาพจึงหมายถึงกระบวนการในการใช้ทรัพยากรเพื่อผลิตสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือผู้รับบริการ 1

อาณัติทางกฎหมายเพื่อการพัฒนาแบบองค์รวม

คำนิยามของคุณภาพการศึกษาถูกยึดโยงไว้กับกฎหมายสูงสุดทางการศึกษาของไทย คือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่าการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม 2 คำนิยามทางกฎหมายนี้ได้ยกระดับแนวคิดเรื่องคุณภาพให้สูงกว่าเพียงแค่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่ครอบคลุมถึงการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้านและสมบูรณ์ 4

คำจำกัดความเชิงวิชาการและวิชาชีพ

มุมมองเชิงวิชาการได้ขยายความเพิ่มเติม เช่น ศิลป์ชัย อ่วงตระกูล ได้ให้ความหมายของการบริหารการศึกษาว่าเป็นการดำเนินงานร่วมกับกลุ่มบุคคลมืออาชีพและชุมชน เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างมีคุณภาพ 5 สิ่งนี้เน้นย้ำถึงมิติเชิงปฏิบัติการของคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องถูก “ส่งมอบ” อย่างแข็งขันผ่านการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ

การสังเคราะห์: คุณภาพคือความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและการเติบโตแบบองค์รวม

เมื่อสังเคราะห์มุมมองเหล่านี้เข้าด้วยกัน การจัดการคุณภาพการศึกษาจึงหมายถึงกระบวนการในการใช้ทรัพยากรเพื่อส่งมอบบริการทางการศึกษาที่ไม่เพียงตอบสนองข้อกำหนดที่ชัดเจนของหลักสูตร แต่ยังต้องส่งเสริมการพัฒนาแบบองค์รวมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะนำไปสู่ความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียน ผู้ปกครอง และสังคมโดยรวม 1

การที่องค์กรจะเลือกนิยาม “คุณภาพ” อย่างไรนั้นถือเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เพราะมันจะกำหนดลำดับความสำคัญและแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทั้งหมด กรอบกฎหมายของไทยได้เลือกนิยามคุณภาพไว้อย่างกว้างและครอบคลุมถึงการเป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” 2 นั่นหมายความว่าตัวชี้วัดคุณภาพสำหรับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) จะต้องไปไกลกว่าแค่คะแนนสอบมาตรฐาน (เช่น O-NET) แต่ต้องรวมถึงตัวชี้วัดด้านการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ทักษะทางสังคม และสุขภาวะด้วย ผู้อำนวยการที่มุ่งเน้นเพียงแค่การจัดอันดับทางวิชาการของโรงเรียนจึงถือว่ามีการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับปรัชญาการศึกษาของชาติอย่างสิ้นเชิง

1.2 เสาหลักของการจัดการคุณภาพ: การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

เสาหลักที่ 1: การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centricity)

นี่คือหลักการที่เป็นหัวใจสำคัญ เป้าหมายสูงสุดของการศึกษาที่มีคุณภาพคือการยกระดับผลลัพธ์ของผู้เรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นจริงและสอดคล้องกับชีวิต (“สภาพแวดล้อมของการทำงานจริง”) การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ และการจัดกิจกรรมที่บูรณาการเข้ากับหลักสูตรเพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ 5 จุดเน้นต้องอยู่ที่การพัฒนาสมรรถนะที่สำคัญ เช่น การคิดวิเคราะห์ การสร้างนวัตกรรม และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 7

เสาหลักที่ 2: การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement – CI)

คุณภาพไม่ใช่สภาวะที่หยุดนิ่ง แต่เป็นกระบวนการที่ไม่หยุดยั้งของการปรับปรุงให้ดีขึ้น หลักการนี้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นกลไกสำคัญในระบบการจัดการคุณภาพสมัยใหม่ 4 สิ่งนี้ต้องการวัฒนธรรมองค์กรที่กระบวนการต่างๆ ได้รับการทบทวนและปรับปรุงอยู่เสมอ 9

เสาหลักที่ 3: การมีส่วนร่วมและการเข้ามามีบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement and Participation)

คุณภาพไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่ต้องการการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของบุคลากรทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ซึ่งต้องประกอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 5 นอกจากนี้ ระบบจะต้องเปิดรับข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมแห่งความร่วมมือในการพัฒนา 7 หลักการนี้ยังขยายไปถึงการกระจายอำนาจเพื่อให้บุคลากรในระดับสถานศึกษามีอำนาจในการตัดสินใจและดำเนินงาน 5

ในทางปฏิบัติมีความท้าทายที่เกิดจากความตึงเครียดระหว่างข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานจากส่วนกลางกับหลักการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติระบุถึงความจำเป็นที่จะต้องมีทั้ง “เอกภาพด้านนโยบาย” และ “ความหลากหลายในการปฏิบัติ” 11 ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาคือบุคคลที่ทำงานอยู่ ณ จุดเชื่อมต่อของความตึงเครียดนี้ บทบาทที่สำคัญของผู้อำนวยการจึงไม่ใช่แค่การบังคับใช้มาตรฐานจากส่วนกลาง แต่คือการอำนวยความสะดวกให้สถานศึกษาสามารถ “ตีความ” และ “บรรลุ” มาตรฐานเหล่านั้นในแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นและความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของตนเอง หากไม่สามารถบริหารจัดการความท้าทายนี้ได้ จะนำไปสู่การทำงานแบบแข็งทื่อที่มุ่งเน้นเพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบซึ่งบั่นทอนนวัตกรรม หรือในทางกลับกันอาจเกิดความไร้ทิศทางจนมาตรฐานถูกละเลย

ส่วนที่ 2: กรอบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อความเป็นเลิศทางการศึกษา

ส่วนนี้จะเปลี่ยนจากปรัชญาไปสู่รูปแบบการจัดการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยจะสำรวจกรอบการทำงานที่นำมาจากโลกธุรกิจ ได้แก่ การจัดการคุณภาพโดยรวม (TQM) วงจรคุณภาพ (PDCA) และการเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าจะสามารถปรับใช้กับสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของระบบการศึกษาภาครัฐได้อย่างไร

2.1 การจัดการคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management – TQM): เจาะลึกปรัชญาของเดมมิ่ง, จูรัน และครอสบี

แนวคิดหลักของ TQM

TQM คือปรัชญาการบริหารที่ให้ทุกคนในองค์กรเข้ามามีส่วนร่วมในความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงคุณภาพและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า 9 เป็นแนวทางเชิงระบบที่บูรณาการความพยายามทั้งหมดในการพัฒนา รักษา และปรับปรุงคุณภาพ 12 ในบริบททางการศึกษา “ลูกค้า” ไม่ได้หมายถึงเพียงนักเรียน แต่ยังรวมถึงผู้ปกครองและชุมชนด้วย 12

องค์ประกอบสำคัญของ TQM

องค์ประกอบหลักของ TQM ประกอบด้วย การมุ่งเน้นที่ลูกค้า (ทั้งภายในและภายนอก) การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วม การให้ความสำคัญกับกระบวนการ และการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลจากการวัดผลทางสถิติ 9

ปรมาจารย์แห่งคุณภาพ:

  • W. Edwards Deming: มีชื่อเสียงจาก “หลักการ 14 ข้อสู่การบริหารจัดการ” ซึ่งรวมถึงการสร้างความมุ่งมั่นในวัตถุประสงค์อย่างแน่วแน่, การยุติการพึ่งพาการตรวจสอบ, การทลายกำแพงระหว่างหน่วยงาน และการขจัดความกลัวให้หมดไป 13 แนวคิดของเขาเป็นรากฐานของแนวคิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
  • Joseph M. Juran: นิยามคุณภาพว่า “ความเหมาะสมกับการใช้งาน (Fitness for Use)” และให้ความสำคัญกับ “ต้นทุนแห่งคุณภาพ (Cost of Quality)” เขาเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด “ลูกค้าภายใน (Internal Customer)” และหลักการของพาเรโต (การแก้ปัญหาสำคัญเพียงไม่กี่อย่าง หรือ “Vital Few” จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาล) 13
  • Philip B. Crosby: เป็นที่รู้จักจากแนวคิด “คุณภาพไม่มีค่าใช้จ่าย (Quality is Free)” และ “ความบกพร่องเป็นศูนย์ (Zero Defect)” เขานิยามคุณภาพว่า “การทำได้ตามข้อกำหนด (Conformance to Requirement)” โดยเชื่อว่าต้นทุนในการป้องกันความผิดพลาดนั้นต่ำกว่าต้นทุนในการแก้ไขเสมอ 13

การนำ TQM มาใช้ในสถานศึกษา

กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล การกำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพ และการสร้างแผนปฏิบัติการเพื่อการนำไปใช้ 9 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรซึ่งต้องขับเคลื่อนโดยภาวะผู้นำ

2.2 วงจร PDCA: กรอบการทำงานเชิงปฏิบัติเพื่อการพัฒนาระบบในสถาบันการศึกษา

วงจรเดมมิ่ง (The Deming Cycle)

วงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act) หรือที่รู้จักกันในชื่อวงจรเดมมิ่ง คือกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้ปรัชญา TQM 12 เป็นกระบวนการ 4 ขั้นตอนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สำหรับการบริหารจัดการกระบวนการและระบบอย่างเป็นวัฏจักร

สี่ขั้นตอนในบริบททางการศึกษา:

  • Plan (P – วางแผน): สถานศึกษาระบุปัญหา (เช่น ผลการอ่านของนักเรียนต่ำ) และพัฒนาแผนเพื่อการปรับปรุง (เช่น การนำโปรแกรมส่งเสริมการอ่านใหม่มาใช้) 12 ขั้นตอนนี้รวมถึงการวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
  • Do (D – ปฏิบัติ): สถานศึกษานำแผนไปปฏิบัติในวงจำกัด (เช่น โครงการนำร่องในบางห้องเรียน) 12 นี่คือขั้นตอนของการลงมือทำ 14
  • Check (C – ตรวจสอบ): สถานศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลจากโครงการนำร่อง เพื่อดูว่าแผนที่วางไว้ได้ผลตามที่คาดหวังหรือไม่ 12 เป็นการติดตามและประเมินผลลัพธ์เทียบกับแผน 14
  • Act (A – ปรับปรุง): จากผลการตรวจสอบ สถานศึกษาจะดำเนินการขั้นต่อไป หากแผนประสบความสำเร็จ ก็จะขยายผลไปใช้ในวงกว้าง หากไม่สำเร็จ ก็จะนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขแผน และเริ่มต้นวงจรใหม่อีกครั้ง 12 นี่คือขั้นตอนของการปรับแก้และสร้างมาตรฐานใหม่ 14

PDCA ในฐานะหัวใจของการประกันคุณภาพภายใน

วงจร PDCA ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการพื้นฐานของการประกันคุณภาพภายใน (IQA) ในสถานศึกษา 6 มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการการพัฒนาของตนเองได้อย่างเป็นระบบ 15

2.3 การเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) เพื่อความเป็นเลิศ: เครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับผลการดำเนินงานของสถาบัน

คำจำกัดความและวัตถุประสงค์

Benchmarking คือกระบวนการเปรียบเทียบกระบวนการและผลการดำเนินงานของตนเองกับองค์กรที่เป็นเลิศในด้านนั้นๆ (“Best Practice”) เพื่อค้นหาแนวทางในการปรับปรุง 17 เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่นเพื่อสร้างการพัฒนาแบบก้าวกระโดด 18

ประเภทของการเทียบเคียงสมรรถนะ

การเทียบเคียงฯ มีหลายรูปแบบ เช่น การเทียบเคียงกับคู่แข่ง (Competitive Benchmarking) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับองค์กรคู่แข่งโดยตรง และการเทียบเคียงเชิงหน้าที่ (Functional Benchmarking) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบหน้าที่งานที่คล้ายคลึงกันกับองค์กรในอุตสาหกรรมอื่น 19 ในทางการศึกษา อาจหมายถึงการที่โรงเรียนแห่งหนึ่งเปรียบเทียบโปรแกรมวิทยาศาสตร์ของตนกับโรงเรียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ

กระบวนการเทียบเคียงสมรรถนะในสถานศึกษา:

  1. วางแผน (Plan): กำหนดว่าจะเทียบเคียงเรื่องอะไร (เช่น กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมของนักเรียน, โปรแกรมพัฒนาครู) และระบุสถานศึกษาต้นแบบที่มีผลการดำเนินงานสูง 19
  2. รวบรวมข้อมูล (Collect): เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและกระบวนการจากสถานศึกษาต้นแบบ ผ่านการเยี่ยมชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันข้อมูล 18
  3. วิเคราะห์ (Analyze): วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุช่องว่าง (Gap) ของผลการดำเนินงาน และทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้สถานศึกษาต้นแบบมีผลงานที่เหนือกว่า
  4. ปรับใช้และปรับปรุง (Adapt and Improve): นำแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของตนเอง และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการปรับปรุง 20 ซึ่งรวมถึงการตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานใหม่โดยอิงจากสิ่งที่ได้เรียนรู้

การนำกรอบการทำงานเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประสิทธิผลนั้นต้องการมากกว่าแค่การทำตามขั้นตอน แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรอย่างรากลึก ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าหลายองค์กรนำเพียง “ศัพท์” ของ TQM หรือ PDCA มาใช้ แต่ล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เพราะขาดการเปลี่ยนแปลงเชิงปรัชญา 12 ความท้าทายที่แท้จริงสำหรับผู้อำนวยการ สพท. จึงไม่ใช่แค่การสอนขั้นตอนของ PDCA ให้กับโรงเรียน แต่คือการสร้างวัฒนธรรมระดับเขตพื้นที่ที่ส่งเสริม “การขจัดความกลัว” 13 การให้อำนาจแก่บุคลากร และการยอมรับการประเมินผลที่อิงกับข้อมูลโดยไม่มุ่งเน้นการลงโทษ หากปราศจากรากฐานทางวัฒนธรรมนี้ กรอบการทำงานต่างๆ จะกลายเป็นเพียงภาระงานเอกสารที่ไร้ความหมาย

นอกจากนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถทำหน้าที่เป็น “นายหน้าการเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking Broker)” เพื่อแก้ไขปัญหาความโดดเดี่ยวของสถานศึกษาได้ สถานศึกษาแต่ละแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล มักขาดทรัพยากร เครือข่าย และมุมมองในการทำ Benchmarking อย่างมีประสิทธิภาพ 20 สพท. ซึ่งมีมุมมองภาพรวมของทุกโรงเรียนในสังกัด สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างเป็นระบบ ผู้อำนวยการสามารถสร้าง “ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Community of Practice)” ในระดับเขตพื้นที่ โดย สพท. จะทำหน้าที่ระบุโรงเรียนที่มีผลงานโดดเด่นในด้านต่างๆ (เช่น การสอน STEM, การดูแลนักเรียนพิเศษ) และอำนวยความสะดวกในการสร้างความร่วมมือเพื่อการเทียบเคียงสมรรถนะระหว่างโรงเรียนเหล่านั้นกับโรงเรียนอื่นๆ ในเขตพื้นที่ วิธีการนี้จะเปลี่ยนบทบาทของ สพท. จากหน่วยงานธุรการให้กลายเป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์สำหรับการแบ่งปันความรู้และการพัฒนาร่วมกัน

ส่วนที่ 3: สถาปัตยกรรมเชิงกฎหมายและนโยบายของคุณภาพการศึกษาไทย

ส่วนนี้จะให้การวิเคราะห์เชิงลึกด้านกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่ผู้อำนวยการ สพท. ต้องยึดถือปฏิบัติ โดยจะเจาะลึกกฎหมายและกฎระเบียบสำคัญที่กำหนดโครงสร้าง มาตรฐาน และกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย

3.1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์หมวด 6 ว่าด้วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

รากฐานทางกฎหมาย

พระราชบัญญัตินี้เป็นเสาหลักของระบบการศึกษาไทยสมัยใหม่ มาตรา 9 ได้วางหลักการสำคัญในการจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ซึ่งรวมถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท 11

หมวด 6: มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา (มาตรา 47-51)

  • มาตรา 47: บัญญัติให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาซึ่งประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน (IQA)และ ระบบการประกันคุณภาพภายนอก (EQA) โดยกำหนดให้ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาเป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 11 นี่คือฐานทางกฎหมายของระบบประกันคุณภาพทั้งหมด
  • มาตรา 48: กำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาต้องให้ความร่วมมือในการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรา 49: บัญญัติให้มีหน่วยงานประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งต่อมาคือ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และกำหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งต้องได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปี
  • มาตรา 50: กำหนดให้สถานศึกษาต้องนำเสนอผลการประเมินคุณภาพทั้งภายในและภายนอกต่อคณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด และเปิดเผยต่อสาธารณชน
  • มาตรา 51: ให้อำนาจหน่วยงานต้นสังกัดในการเสนอมาตรการปรับปรุง หากผลการดำเนินงานของสถานศึกษาไม่เป็นที่น่าพอใจ

นอกจากนี้ มาตรา 37 ยังได้ระบุถึงบทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการบริหารจัดการศึกษาและพัฒนางานวิชาการ ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 22

3.2 กฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561: การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการประกันคุณภาพ

เหตุผลในการเปลี่ยนแปลง

กฎกระทรวงฉบับนี้ถูกประกาศใช้แทนฉบับ พ.ศ. 2553 ซึ่งถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับหลักการประกันคุณภาพที่แท้จริงและสร้างภาระที่ไม่จำเป็นให้แก่สถานศึกษาและหน่วยงานภายนอก 23 การเข้าใจบริบทนี้เป็นสิ่งสำคัญในการตีความเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ข้อกำหนดที่สำคัญ:

  • ข้อ 3: กำหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน โดยดำเนินการดังนี้:
    1. กำหนดมาตรฐานสถานศึกษา: จัดทำมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาแต่ละระดับที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 24
    2. จัดทำแผนพัฒนา: จัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด 24
    3. ดำเนินการ ติดตาม และประเมินผล: ดำเนินการตามแผน และจัดให้มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายใน 24
    4. จัดทำรายงาน: จัดทำและจัดส่งรายงานผลการประเมินตนเอง (Self-Assessment Report – SAR) ให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นประจำทุกปี 24
  • ข้อ 4: กำหนดขั้นตอนการทำงานระหว่างสถานศึกษา, หน่วยงานต้นสังกัด (สพท.) และ สมศ. โดยเมื่อ สพท. ได้รับ SAR จากสถานศึกษาแล้ว จะรวบรวมรายงานดังกล่าวพร้อมกับประเด็นที่ต้องการให้มีการประเมินเพิ่มเติมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แล้วจัดส่งให้ สมศ. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประเมินคุณภาพภายนอก 24 บทบาทนี้ทำให้ สพท. เป็นช่องทางส่งผ่านข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่ง

เจตนารมณ์ของกฎหมาย

กฎกระทรวงฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อลดภาระงานเอกสาร, ให้อำนาจสถานศึกษาในการกำหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพของตนเองภายใต้กรอบมาตรฐานชาติ และทำให้กระบวนการทั้งหมดเน้นการพัฒนามากกว่าการตัดสิน 7

กฎกระทรวง พ.ศ. 2561 ได้เปลี่ยน “ภาระการพิสูจน์” คุณภาพไปอย่างสิ้นเชิง ภายใต้ระบบเดิม (ที่ถูกวิจารณ์ใน 23) ภาระอยู่ที่สถานศึกษาที่จะต้อง “พิสูจน์” การปฏิบัติตามข้อกำหนดต่อผู้ประเมินภายนอกผ่านเอกสารจำนวนมหาศาล แต่ระบบใหม่ 24 ได้เปลี่ยนภาระนี้ไป ความรับผิดชอบหลักในปัจจุบันอยู่ที่สถานศึกษาที่จะต้องดำเนินการ “ประเมินตนเอง” อย่างมีความหมายและสร้างแผนพัฒนาที่น่าเชื่อถือ บทบาทของ สพท. และ สมศ. จึงเปลี่ยนไปสู่การ “ตรวจสอบและสนับสนุน” กระบวนการภายในนี้ แทนที่จะเป็นการตรวจสอบเชิงลึกจากจุดเริ่มต้น ซึ่งทำให้รายงานการประเมินตนเอง (SAR) ของสถานศึกษากลายเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดในระบบทั้งหมด กลยุทธ์หลักของผู้อำนวยการ สพท. ในการยกระดับคุณภาพของเขตพื้นที่จึงต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างขีดความสามารถของสถานศึกษาในการดำเนินการประเมินตนเองอย่างมีคุณภาพและซื่อสัตย์ และเขียน SAR ที่มีประสิทธิภาพ

3.3 มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3 มาตรฐาน: การตรวจสอบตัวชี้วัดและความคาดหวังอย่างละเอียด

กรอบของคุณภาพ

มาตรฐานการศึกษาฉบับ พ.ศ. 2561 นี้เป็นตัวกำหนดรูปธรรมของ “คุณภาพ” ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 25 เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่สถานศึกษาใช้ในการพัฒนามาตรฐานของตนเองและใช้ในการประเมิน

  • มาตรฐานที่ 1: คุณภาพของผู้เรียน: นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นย่อย:
    • 1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน: มุ่งเน้นสมรรถนะหลัก เช่น ความสามารถในการอ่านเขียน คำนวณ การสื่อสาร การคิดวิเคราะห์ การสร้างนวัตกรรม และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 7
    • 1.2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน: มุ่งเน้นค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ความภูมิใจในความเป็นไทย และความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 8
  • มาตรฐานที่ 2: กระบวนการบริหารและการจัดการ: มุ่งเน้นบทบาทของผู้บริหารและระบบของสถานศึกษา ตัวชี้วัดสำคัญได้แก่ การมีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่ชัดเจน, การมีระบบบริหารจัดการคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ, การดำเนินงานพัฒนาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียน, การพัฒนาครูและบุคลากร, การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 7
  • มาตรฐานที่ 3: กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ: มุ่งเน้นการปฏิบัติในชั้นเรียน ตัวชี้วัดสำคัญได้แก่ การจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง, การใช้สื่อเทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย, การบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก, การตรวจสอบและประเมินผู้เรียนอย่างเป็นระบบ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู 8

มาตรฐานทั้งสามนี้ไม่ได้เป็นเพียงรายการตรวจสอบ แต่เป็น “โซ่แห่งความรับผิดชอบเชิงสาเหตุ” กล่าวคือ มาตรฐานที่ 2 (การบริหารจัดการที่ดี) จะเอื้อให้เกิดมาตรฐานที่ 3 (การสอนที่ดี) ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์คือมาตรฐานที่ 1 (ผู้เรียนที่มีคุณภาพ) โครงสร้างนี้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ทรงพลังสำหรับผู้อำนวยการ สพท. หากโรงเรียนในเขตพื้นที่ล้มเหลวในมาตรฐานที่ 1 (ผลลัพธ์ผู้เรียนต่ำ) ผู้อำนวยการไม่ควรเพียงแค่สั่งให้ครูสอนให้ดีขึ้น แต่ต้องสืบสวนไปตามโซ่สาเหตุนี้: ปัญหาอยู่ที่การสอนในชั้นเรียนจริงหรือไม่ (มาตรฐานที่ 3) หรือแท้จริงแล้วเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ (มาตรฐานที่ 2) ซึ่งล้มเหลวในการให้การสนับสนุน ทรัพยากร และการพัฒนาที่จำเป็นแก่ครู? แนวทางการคิดเชิงระบบเช่นนี้จะช่วยให้ผู้อำนวยการสามารถระบุและแก้ไข “รากของปัญหา” แทนที่จะจัดการเพียงแค่ “อาการ”

มาตรฐานประเด็นพิจารณาตัวชี้วัด/ความคาดหวังสำคัญ
มาตรฐานที่ 1: คุณภาพของผู้เรียน1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน• มีความสามารถในการอ่าน การเขียน การสื่อสาร และการคิดคำนวณ
• มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ปัญหา
• มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรม
• มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
• มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา
1.2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน• มีคุณลักษณะและค่านิยมที่ดีตามที่สถานศึกษากำหนด
• มีความภูมิใจในท้องถิ่นและความเป็นไทย
• ยอมรับที่จะอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างและหลากหลาย
• มีสุขภาวะทางร่างกายและจิตสังคมที่ดี
มาตรฐานที่ 2: กระบวนการบริหารและการจัดการ• มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่ชัดเจน
• มีระบบบริหารจัดการคุณภาพของสถานศึกษา
• ดำเนินงานพัฒนาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้าน
• พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ
• จัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
• จัดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ
มาตรฐานที่ 3: กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ• จัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง
• ใช้สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้
• มีการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก
• ตรวจสอบและประเมินผู้เรียนอย่างเป็นระบบและนำผลมาพัฒนา
• มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อมูลสะท้อนกลับเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้

ส่วนที่ 4: ระบบการประกันคุณภาพแบบคู่ขนาน: กลไกภายในและภายนอก

ส่วนนี้จะอธิบายกลไกการทำงานของระบบประกันคุณภาพ โดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่แตกต่างแต่เชื่อมโยงกันของการประกันคุณภาพภายใน (IQA) และการประกันคุณภาพภายนอก (EQA) และเน้นย้ำว่า IQA ที่แข็งแกร่งคือรากฐานของ EQA ที่ประสบความสำเร็จ

4.1 การประกันคุณภาพภายใน (IQA): ความรับผิดชอบหลักของสถานศึกษา

กระบวนการ IQA

นี่คือวงจรการจัดการคุณภาพอย่างต่อเนื่องของสถานศึกษาเอง ซึ่งมีขั้นตอนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง พ.ศ. 2561 24 และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

  1. กำหนดมาตรฐานและเป้าหมาย: สถานศึกษากำหนดมาตรฐานและเป้าหมายของตนเอง โดยใช้มาตรฐานการศึกษาชาติ 3 มาตรฐานเป็นกรอบ 27
  2. จัดทำแผนพัฒนา: สถานศึกษาจัดทำแผนพัฒนาระยะหลายปีและแผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27
  3. ดำเนินการตามแผน: สถานศึกษาดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในแผน 29
  4. ติดตามและประเมินผลภายใน: สถานศึกษาตรวจสอบความก้าวหน้า รวบรวมข้อมูล และประเมินผลการดำเนินงานของตนเองเทียบกับมาตรฐานที่ตั้งไว้อย่างสม่ำเสมอ 28 ซึ่งก็คือขั้นตอน “Check” ของวงจร PDCA
  5. จัดทำรายงานการประเมินตนเอง (SAR): เมื่อสิ้นปีการศึกษา สถานศึกษาจะสังเคราะห์ผลการดำเนินงานทั้งหมดลงในรายงาน SAR ซึ่งเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับคุณภาพและการพัฒนาของสถานศึกษา และต้องเปิดเผยรายงานนี้ต่อสาธารณะ 24

IQA ในฐานะกระบวนการเพื่อการพัฒนา

เป้าหมายหลักของ IQA ไม่ใช่เพียงเพื่อจัดทำรายงาน แต่เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงพัฒนาที่แท้จริงและต่อเนื่องภายในสถานศึกษา ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในองค์กร 6

4.2 การประกันคุณภาพภายนอก (EQA): การตรวจสอบเพื่อความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

บทบาทของ สมศ.

สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นองค์กรมหาชนอิสระที่รับผิดชอบการดำเนินการประเมินคุณภาพภายนอก 30 โดยมีภารกิจในการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสาธารณชน 31

กระบวนการ EQA สมัยใหม่

กระบวนการ EQA ได้รับการปฏิรูปให้สอดคล้องกับกฎกระทรวง พ.ศ. 2561 โดยไม่ได้เป็นการตรวจสอบเชิงลึกที่แยกส่วนออกมา แต่เป็นการต่อยอดจาก IQA ของสถานศึกษา

  • กระบวนการเริ่มต้นเมื่อ สมศ. ได้รับและวิเคราะห์ SAR ของสถานศึกษาและข้อมูลเพิ่มเติมจาก สพท. 24
  • การประเมินจะมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการประเมินตนเองของสถานศึกษา และให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อการพัฒนา 30
  • การเยี่ยมสถานศึกษา (ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบปกติหรือออนไลน์) มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันข้อมูลและทำความเข้าใจในเชิงลึก ไม่ใช่การสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบ 31
  • ผลลัพธ์คือรายงานพร้อมข้อเสนอแนะที่จะถูกส่งกลับไปยังสถานศึกษาและ สพท. เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนารอบต่อไปของ IQA 24
  • ความถี่: การประเมิน EQA จะต้องเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกๆ ห้าปี 31

4.3 ความสัมพันธ์เชิงเกื้อกูล: การบูรณาการ IQA และ EQA

IQA ในฐานะรากฐาน

ระบบ IQA และรายงาน SAR ที่แข็งแกร่ง ซื่อสัตย์ และอุดมด้วยข้อมูล เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับกระบวนการ EQA ที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ SAR คือแหล่งข้อมูลหลักสำหรับผู้ประเมินภายนอก 32

EQA ในฐานะตัวกระตุ้น

EQA ให้มุมมองจากภายนอกที่สามารถยืนยันจุดแข็งของสถานศึกษา ชี้ให้เห็นจุดบอด และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดพลังในวงจร IQA รอบถัดไป นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะว่าระบบภายในของสถานศึกษานั้นน่าเชื่อถือ 6

วงจรการไหลของข้อมูล

กระบวนการประกันคุณภาพเป็นวงจรที่ต่อเนื่อง: สถานศึกษาดำเนินงาน IQA → จัดทำ SAR → สพท. ตรวจสอบและให้ข้อมูลเพิ่มเติม → สมศ. ดำเนินการ EQA โดยใช้ SAR เป็นหลัก → สมศ. ให้ข้อเสนอแนะ → สถานศึกษานำข้อเสนอแนะไปปรับปรุงวงจร IQA ของตนเอง 24

ภายใต้ระบบใหม่นี้ บทบาทของ สพท. ได้เปลี่ยนจาก “ผู้ตรวจสอบเบื้องต้น” ไปสู่ “กัลยาณมิตรเชิงวิพากษ์ (Critical Friend)” หน้าที่หลักของ สพท. เมื่อได้รับ SAR ไม่ใช่การ “ตรวจแก้” รายงานก่อนส่งให้ สมศ. แต่เป็นการอ่านเพื่อทำความเข้าใจความท้าทายที่สถานศึกษาประเมินตนเอง และ “เพิ่มมุมมองของตนเอง” ว่า สมศ. ควรจะตรวจสอบประเด็นใดเป็นพิเศษ 24 นี่หมายความว่าผู้อำนวยการต้องพัฒนาบุคลากรของตน โดยเฉพาะศึกษานิเทศก์ ให้สามารถวิเคราะห์ SAR และให้ข้อมูลป้อนกลับที่ลึกซึ้งและสร้างสรรค์ เพื่อชี้นำการประเมินภายนอกไปยังจุดที่สำคัญที่สุดต่อการพัฒนา การเพียงแค่ลงนามรับรอง SAR โดยไม่มีการวิเคราะห์ถือเป็นการละเลยหน้าที่ใหม่ที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นนี้

ในทางกลับกัน “SAR ที่อ่อนแอ” ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวเชิงระบบของการสนับสนุนจาก สพท. เมื่อสถานศึกษาจัดทำ SAR ที่มีคุณภาพต่ำ (เช่น ขาดข้อมูล ไม่สะท้อนความจริง เขียนไม่ดี) มันไม่ได้เป็นเพียงความล้มเหลวของสถานศึกษานั้นๆ แต่เป็นตัวชี้วัดว่าระบบสนับสนุนของ สพท. ได้ล้มเหลว SAR ที่อ่อนแอสะท้อนว่าสถานศึกษาขาดขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และการปฏิบัติงานอย่างไตร่ตรอง ซึ่งเป็นทักษะที่หน่วยงานนิเทศและพัฒนาของ สพท. ควรจะต้องเข้าไปเสริมสร้าง 22 ดังนั้น ผู้อำนวยการที่ชาญฉลาดจะไม่เพียงแค่ตำหนิสถานศึกษาสำหรับ SAR ที่อ่อนแอ แต่จะใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์หาสาเหตุของความบกพร่องในระบบการให้บริการสนับสนุนของ สพท. เอง

มิติการประกันคุณภาพภายใน (IQA)การประกันคุณภาพภายนอก (EQA)
วัตถุประสงค์การพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากภายในการตรวจสอบเพื่อยืนยันคุณภาพและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
ผู้ดำเนินการหลักสถานศึกษา (ผู้บริหาร ครู บุคลากร)สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
ความถี่ต่อเนื่อง (อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง)อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 5 ปี
ผลผลิตหลักรายงานการประเมินตนเอง (SAR)รายงานผลการประเมินคุณภาพภายนอกพร้อมข้อเสนอแนะ
จุดเน้นการปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพการตรวจสอบผลลัพธ์และยืนยันความน่าเชื่อถือของระบบ IQA

ส่วนที่ 5: ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา: ผู้เร่งปฏิกิริยาสู่การพลิกโฉมคุณภาพระดับภูมิภาค

ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด ซึ่งมุ่งเน้นโดยตรงไปยังบทบาทเป้าหมายของผู้ใช้งาน โดยจะสังเคราะห์แนวคิดทั้งหมดที่กล่าวมา—ปรัชญา กรอบการทำงาน และกฎหมาย—เพื่อกำหนดความรับผิดชอบและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้อำนวยการ สพท. ในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา

5.1 บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายในการประกันคุณภาพ: การวิเคราะห์เชิงกฎหมายและบริหาร

อาณัติทางกฎหมายของ สพท.

หน้าที่ของ สพท. ตามที่ระบุในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฯ นั้นชัดเจน โดย “กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา” ได้รับมอบหมายโดยตรงให้ทำหน้าที่วิจัย พัฒนา ส่งเสริม ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา 22

ผู้อำนวยการในฐานะผู้บริหารสูงสุด

ในฐานะหัวหน้าหน่วยงาน ผู้อำนวยการ สพท. มีหน้าที่รับผิดชอบสูงสุดในการทำให้ภารกิจเหล่านี้สำเร็จลุล่วง ซึ่งรวมถึง:

  • พัฒนานโยบายและแผนระดับเขตพื้นที่: จัดทำนโยบาย แผนพัฒนา และมาตรฐานการศึกษาของเขตพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานระดับชาติ 22
  • กำกับ ติดตาม และประเมินผล: กำกับดูแล ติดตาม และประเมินผลสถานศึกษาในสังกัด 22
  • บริหารจัดการระบบประกันคุณภาพ: จัดระบบการประกันคุณภาพการศึกษาและประเมินผลสถานศึกษาในเขตพื้นที่ 22
  • สนับสนุนและจัดสรรทรัพยากร: ให้การสนับสนุนและทรัพยากรแก่สถานศึกษาเพื่อช่วยให้บรรลุมาตรฐานคุณภาพ 34

บทบาทในกระบวนการ IQA/EQA

ดังที่กล่าวไปในส่วนที่ 4 ผู้อำนวยการมีบทบาทสำคัญในการรับรายงาน SAR จากสถานศึกษา, ให้ข้อมูลเชิงกลยุทธ์แก่ สมศ. และติดตามผลตามข้อเสนอแนะของ EQA 24

5.2 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์: จากการมุ่งเน้นการปฏิบัติตามกฎสู่การสร้างความมุ่งมั่นในคุณภาพของสถานศึกษา

ก้าวข้ามงานบริหาร

บทบาทของผู้อำนวยการไม่ใช่เพียงงานด้านธุรการ แต่เป็นงานเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างวัฒนธรรมคุณภาพให้เกิดขึ้นทั่วทั้งเขตพื้นที่

การดำเนินการที่สำคัญของผู้นำ:

  • การสร้างขีดความสามารถ (Building Capacity): พัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในการนำระบบ IQA ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจัดอบรม, การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และการส่งเสริมแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ 34
  • การส่งเสริมความร่วมมือ (Fostering Collaboration): สร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาเพื่อการทำ Benchmarking และการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อทลายกำแพงของความโดดเดี่ยวที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา 36
  • การตัดสินใจบนฐานข้อมูล (Data-Driven Decision Making): สนับสนุนการใช้ข้อมูลผลการดำเนินงาน ไม่ใช่เพื่อการลงโทษ แต่เพื่อการวินิจฉัยและให้การสนับสนุนที่ตรงจุด
  • การระดมทรัพยากร (Resource Mobilization): ประสานงานการจัดสรรทรัพยากร (งบประมาณ บุคลากร วัสดุ) เพื่อสนับสนุนโครงการริเริ่มในการปรับปรุงคุณภาพของสถานศึกษา 36

5.3 การแปลงนโยบาย สพฐ. สู่การปฏิบัติ: การนำทางวาระและทิศทางปัจจุบัน

ผู้อำนวยการในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบาย

ผู้อำนวยการ สพท. คือกลไกหลักในการแปลงนโยบายระดับชาติจาก สพฐ. และกระทรวงศึกษาธิการให้กลายเป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในระดับท้องถิ่น

การวิเคราะห์นโยบาย สพฐ. ปัจจุบัน (ปีงบประมาณ 2567-2569)

นโยบายล่าสุดจาก สพฐ. มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพหลายด้าน 37 เช่น:

  • ความปลอดภัยและสุขภาวะของผู้เรียน: นโยบายที่เน้นสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ปลอดภัยและการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต 37 ซึ่งเชื่อมโยงกลับไปยังนิยามของคุณภาพแบบองค์รวม
  • การจัดการภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss): โครงการริเริ่มเพื่อฟื้นฟูผลกระทบทางการศึกษาจากการระบาดของ COVID-19 40
  • การลดภาระครู: นโยบายที่มุ่งลดภาระงานธุรการเพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทกับการสอนได้เต็มที่ 39
  • การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล: การผลักดันให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเรียนรู้และการบริหารจัดการ 37

ความท้าทายของผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการต้องบูรณาการนโยบายใหม่ๆ ที่มักมีความเร่งด่วนเหล่านี้เข้ากับกรอบการประกันคุณภาพที่มีอยู่เดิมอย่างมีกลยุทธ์ โดยไม่สร้างภาระที่มากเกินไปให้กับสถานศึกษา

เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของผู้อำนวยการคือ “หน่วยศึกษานิเทศก์” การวิเคราะห์หน้าที่ตามกฎหมายของ สพท. 22 ชี้ชัดว่า “กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา” คือหน่วยปฏิบัติการหลักด้านการประกันคุณภาพ ผู้อำนวยการที่มีประสิทธิภาพจะไม่พยายามกำกับดูแลคุณภาพของโรงเรียนหลายร้อยแห่งด้วยตนเอง แต่จะลงทุนอย่างหนักในการเปลี่ยนบทบาทของศึกษานิเทศก์จาก “ผู้ตรวจราชการ” แบบดั้งเดิมให้เป็น “โค้ชผู้เชี่ยวชาญ” และ “ที่ปรึกษาด้านระบบคุณภาพ” คุณภาพของทั้งเขตพื้นที่จะแปรผันโดยตรงกับคุณภาพและขีดความสามารถของหน่วยศึกษานิเทศก์นี้

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการยังต้องบริหารจัดการบทบาทที่ขัดแย้งกันสองบทบาท คือ “ผู้สนับสนุน” และ “ผู้ประเมิน” สพท. มีหน้าที่ทั้ง “สนับสนุน” สถานศึกษา (ให้ทรัพยากร, จัดอบรม) และ “ประเมิน” สถานศึกษา (ติดตามผลการดำเนินงาน, รายงานต่อ สมศ.) 22 บทบาททั้งสองนี้มีความขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ หากสถานศึกษามอง สพท. เป็นเพียงผู้ประเมิน ก็จะไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนที่แท้จริงและขอรับการสนับสนุน เพราะกลัวจะถูกตัดสินในแง่ลบ ผู้อำนวยการที่ยอดเยี่ยมจะต้องบริหารจัดการความขัดแย้งนี้อย่างมีกลยุทธ์ อาจทำได้โดยการแยกหน้าที่สองส่วนนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน (เช่น มีทีมสำหรับโค้ชชิ่ง และอีกทีมสำหรับการประเมินที่เป็นทางการ) หรือโดยการสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้สถานศึกษารู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดเผยปัญหาและขอความช่วยเหลือ หากล้มเหลวในการจัดการความขัดแย้งนี้ จะนำไปสู่บรรยากาศของความกลัวและความไม่จริงใจ ซึ่งทำให้การพัฒนาคุณภาพที่แท้จริงเป็นไปไม่ได้

ส่วนที่ 6: ประเด็นร่วมสมัยและอนาคตของภาวะผู้นำทางการศึกษา

ส่วนวิเคราะห์สุดท้ายนี้จะนำเสนอมุมมองที่กว้างขึ้น โดยเชื่อมโยงประเด็นทางเทคนิคของการจัดการคุณภาพเข้ากับความท้าทายและทิศทางในอนาคตของการศึกษาไทย เพื่อทดสอบความตระหนักรู้เชิงกลยุทธ์และความสามารถในการคิดไปข้างหน้าของผู้สมัคร

6.1 ความท้าทายสำคัญ: การจัดการช่องว่างคุณภาพ ความไร้ประสิทธิภาพเชิงระบบ และความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูป

วิกฤตคุณภาพ

แม้จะมีระบบประกันคุณภาพ แต่การศึกษาไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่หยั่งรากลึก:

  • คุณภาพโดยรวมและคะแนน PISA ที่ต่ำ: ข้อมูลชี้ว่าผลการดำเนินงานของนักเรียนไทยยังตามหลังนานาชาติ 42
  • ความเหลื่อมล้ำที่สูง: ความแตกต่างอย่างมหาศาลในด้านคุณภาพและทรัพยากรระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท และระหว่างโรงเรียนประเภทต่างๆ 42
  • หลักสูตรและการสอนที่ล้าสมัย: หลักสูตรที่ถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 และรูปแบบการสอนที่ต้องเปลี่ยนไปสู่การเรียนรู้เชิงรุกมากขึ้น 42
  • คุณภาพและขวัญกำลังใจของครู: ปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาครู ภาระงานธุรการที่หนัก และระบบวิทยฐานะที่อาจไม่เชื่อมโยงกับการพัฒนาผลลัพธ์ของผู้เรียนอย่างแท้จริง 42
  • อุปสรรคเชิงโครงสร้างและระบบราชการ: ระบบราชการที่รวมศูนย์และเทอะทะ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อนวัตกรรมและทำให้การปฏิรูปล่าช้า 42

6.2 หนทางข้างหน้า: นวัตกรรม ความรับผิดชอบ และบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้นำทางการศึกษา

การเชื่อมโยงการจัดการคุณภาพสู่ทางออก

กรอบการจัดการคุณภาพที่กล่าวถึงไม่ใช่เป็นเพียงข้อกำหนดทางราชการ แต่เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการรับมือกับความท้าทายที่ฝังลึกเหล่านี้

ผู้อำนวยการในฐานะตัวแทนการปฏิรูป

ผู้อำนวยการ สพท. ไม่ใช่เพียงผู้จัดการรักษาสภาพปัจจุบัน แต่เป็นตัวจักรสำคัญในการปฏิรูปภายในเขตพื้นที่ของตน บทบาทนี้รวมถึง:

  • การสนับสนุนนวัตกรรม: ใช้ความยืดหยุ่นภายในกรอบการประกันคุณภาพเพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษาทดลองวิธีการสอนและเทคโนโลยีใหม่ๆ โครงการ “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (Education Sandbox)” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของทิศทางนโยบายนี้ 46
  • การขับเคลื่อนความเสมอภาค: ใช้ข้อมูลคุณภาพเพื่อระบุและจัดสรรทรัพยากรไปยังสถานศึกษาและนักเรียนที่ด้อยโอกาสที่สุด ทำให้ความเสมอภาคเป็นเสาหลักของกลยุทธ์คุณภาพระดับเขตพื้นที่
  • การสร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคต: เป็นผู้นำในการทำให้การพัฒนาวิชาชีพครูมุ่งเน้นไปที่ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต เช่น การสอนในยุคดิจิทัล และการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม
  • การนำด้วยวิสัยทัศน์: สื่อสารวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเป็นเลิศทางการศึกษาในเขตพื้นที่ เพื่อสร้างความมุ่งมั่นจากผู้บริหารสถานศึกษา ครู และชุมชน

ผู้อำนวยการ สพท. คือ “ไมล์สุดท้าย” ของการปฏิรูปการศึกษา นโยบายและการปฏิรูปะดับชาติมักล้มเหลวไม่ใช่เพราะเป็นแนวคิดที่ไม่ดี แต่เพราะล้มเหลวในขั้นตอนการนำไปปฏิบัติในระดับท้องถิ่น 42 ผู้อำนวยการ สพท. คือข้อต่อที่สำคัญที่สุดใน “ไมล์สุดท้าย” ของกระบวนการนี้ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการแปลเป้าหมายการปฏิรูปที่เป็นนามธรรม (เช่น “ลดความเหลื่อมล้ำ”, “เพิ่มคะแนน PISA”) ให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับบริบทสำหรับโรงเรียนในเขตพื้นที่ของตน ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิรูปการศึกษาชาติจึงขึ้นอยู่กับความสามารถและภาวะผู้นำของผู้อำนวยการ สพท. เป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน การจัดการคุณภาพยังเป็น “ยาถอนพิษ” ของความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย ความท้าทายสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองและทิศทางนโยบายอยู่เสมอ ซึ่งขัดขวางการพัฒนาการศึกษาในระยะยาว 42 ระบบการจัดการคุณภาพระดับเขตพื้นที่ที่แข็งแกร่งและฝังลึก ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการที่มั่นคงของ PDCA และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถทำหน้าที่เป็นพลังที่สร้างเสถียรภาพได้ หากผู้อำนวยการสามารถสร้างวัฒนธรรม IQA ที่เข้มแข็งได้สำเร็จ สถานศึกษาจะมีกลไกภายในสำหรับการพัฒนาที่ทำงานต่อไปได้ ไม่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นใครหรือโครงการเร่งด่วนล่าสุดคืออะไร สิ่งนี้จะเปลี่ยนการจัดการคุณภาพจากภาระงานด้านการรายงานให้กลายเป็นกลไกเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความยืดหยุ่นและปกป้องการพัฒนาผู้เรียนในระยะยาวจากความผันผวนทางการเมืองในระยะสั้น

ส่วนที่ 7: แบบทดสอบจำลองสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ส่วนนี้เป็นเครื่องมือสำหรับการประเมินตนเอง ซึ่งออกแบบมาเพื่อจำลองการสอบจริง คำถามจะถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบไม่ใช่เพียงแค่ความจำ แต่ยังรวมถึงทักษะการวิเคราะห์ การประยุกต์ใช้ และการคิดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งสะท้อนถึงประเด็นสำคัญที่ได้วิเคราะห์มาตลอดทั้งรายงาน

7.1 คำแนะนำและภาพรวม

แบบทดสอบนี้ประกอบด้วยคำถามปรนัย 30 ข้อ ซึ่งออกแบบตามขอบเขตเนื้อหาที่มักปรากฏในการสอบคัดเลือก 49 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความเข้าใจในประเด็นสำคัญ กรอบกฎหมาย และความท้าทายเชิงภาวะผู้นำที่ครอบคลุมในรายงานฉบับนี้ คำถามแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ คำถามวัดความรู้ความจำ, คำถามวัดการประยุกต์ใช้ และคำถามวัดการตัดสินใจเชิงสถานการณ์/กลยุทธ์

7.2 คำถามปรนัย 30 ข้อ


1. ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่มีลักษณะสำคัญที่สุดตามข้อใด
ก. มีความรู้และทักษะทางวิชาการที่เป็นเลิศ
ข. เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม
ค. สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานระดับนานาชาติได้
ง. มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเชี่ยวชาญ

2. ปรัชญาการบริหารคุณภาพของ Joseph M. Juran ที่เน้นการแก้ปัญหาที่สำคัญเพียงไม่กี่อย่างแต่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาล เรียกว่าหลักการอะไร
ก. Zero Defect
ข. Fitness for Use
ค. Pareto Principle (Vital Few)
ง. Continuous Improvement

3. ข้อใดคือหัวใจสำคัญของวงจรคุณภาพ PDCA ในขั้นตอน “Check (C)”
ก. การวางแผนโครงการนำร่อง
ข. การลงมือปฏิบัติตามแผนที่กำหนด
ค. การรวบรวมข้อมูลและประเมินผลลัพธ์เทียบกับเป้าหมาย
ง. การขยายผลโครงการที่ประสบความสำเร็จ

4. ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 เมื่อสถานศึกษาจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง (SAR) เสร็จสิ้น จะต้องส่งให้หน่วยงานใดเป็นลำดับแรก
ก. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
ข. คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ค. หน่วยงานต้นสังกัด หรือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ง. กระทรวงศึกษาธิการ

5. ข้อใด ไม่ใช่ องค์ประกอบของมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 1: คุณภาพของผู้เรียน
ก. ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน
ข. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน
ค. การพัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ
ง. ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของผู้เรียน

6. ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาตามมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ประกอบด้วยระบบใดบ้าง
ก. ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประเมินโดยต้นสังกัด
ข. ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก
ค. ระบบการประเมินตนเอง และระบบการประเมินโดย สมศ.
ง. ระบบการพัฒนาครู และระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน

7. วัตถุประสงค์หลักของการเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) ในสถานศึกษาคืออะไร
ก. เพื่อจัดอันดับสถานศึกษาในเขตพื้นที่
ข. เพื่อเรียนรู้แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) จากสถานศึกษาอื่นมาปรับใช้
ค. เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องของสถานศึกษาอื่น
ง. เพื่อสร้างความร่วมมือในการจัดซื้อจัดจ้าง

8. ตามโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กลุ่มงานใดมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการวิจัย พัฒนา ส่งเสริม และตรวจสอบการประกันคุณภาพการศึกษา
ก. กลุ่มอำนวยการ
ข. กลุ่มบริหารงานบุคคล
ค. กลุ่มนโยบายและแผน
ง. กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา

9. สถานศึกษาแห่งหนึ่งนำผลการประเมิน O-NET ปีก่อนมาวิเคราะห์เพื่อหาจุดอ่อน จากนั้นจึงจัดทำโครงการสอนซ่อมเสริมให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เมื่อสิ้นสุดโครงการได้มีการทดสอบเพื่อวัดผลความก้าวหน้า และนำผลที่ได้ไปปรับปรุงโครงการสำหรับปีถัดไป กระบวนการนี้สอดคล้องกับหลักการใดมากที่สุด
ก. TQM (Total Quality Management)
ข. PDCA Cycle
ค. Benchmarking
ง. Zero Defect

10. ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งต้องการยกระดับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ จึงได้นำคณะครูไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เพื่อเรียนรู้กระบวนการและเทคนิคการสอน แล้วนำมาปรับใช้กับบริบทของโรงเรียนตนเอง การกระทำดังกล่าวคือตัวอย่างของเครื่องมือการบริหารใด
ก. การบริหารจัดการความเสี่ยง
ข. การเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking)
ค. การจัดการคุณภาพโดยรวม (TQM)
ง. การบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก

11. ข้อใดคือเจตนารมณ์ที่สำคัญที่สุดของการออกกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 มาแทนที่ฉบับ พ.ศ. 2553
ก. เพื่อเพิ่มจำนวนมาตรฐานและตัวบ่งชี้ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ข. เพื่อลดภาระงานเอกสารและส่งเสริมให้การประกันคุณภาพเป็นกระบวนการเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริง
ค. เพื่อโอนย้ายอำนาจการประเมินจาก สมศ. มาให้หน่วยงานต้นสังกัดทั้งหมด
ง. เพื่อกำหนดให้ทุกสถานศึกษาใช้มาตรฐานและแผนพัฒนาแบบเดียวกัน

1.2. มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 3 “กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” มุ่งเน้นการประเมินสิ่งใดเป็นหลัก
ก. วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของผู้บริหาร
ข. คุณภาพของหลักสูตรและแผนการจัดการศึกษา
ค. พฤติกรรมการสอนของครูในชั้นเรียนและการประเมินผู้เรียน
ง. ผลสัมฤทธิ์และคุณลักษณะของผู้เรียน

13. ในฐานะผู้อำนวยการ สพท. เมื่อท่านได้รับรายงาน SAR จากสถานศึกษาตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2561 ท่านมีบทบาทสำคัญอย่างไรก่อนส่งต่อไปยัง สมศ.
ก. ตรวจแก้ไขข้อผิดพลาดในรายงาน SAR ให้ถูกต้องสมบูรณ์
ข. ให้คะแนนและจัดลำดับคุณภาพของสถานศึกษาตามรายงาน SAR
ค. เพิ่มเติมประเด็นที่ต้องการให้มีการประเมินและติดตามตรวจสอบจากมุมมองของเขตพื้นที่และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ง. รับรองรายงาน SAR และส่งต่อไปยัง สมศ. โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

14. แนวคิด “คุณภาพไม่มีค่าใช้จ่าย (Quality is Free)” ของ Philip B. Crosby มีความหมายว่าอย่างไรในบริบททางการศึกษา
ก. การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง
ข. ต้นทุนในการ “ป้องกัน” ปัญหาคุณภาพ (เช่น การพัฒนาครู) ย่อมต่ำกว่าต้นทุนในการ “แก้ไข” (เช่น การสอนซ่อมเสริมนักเรียนที่เรียนไม่ทัน)
ค. รัฐบาลควรให้บริการการศึกษาที่มีคุณภาพแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ง. คุณภาพการศึกษาเป็นสิ่งที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้

15. ข้อใดคือความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างการประกันคุณภาพภายใน (IQA) และการประกันคุณภาพภายนอก (EQA)
ก. IQA และ EQA เป็นกระบวนการที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
ข. EQA เป็นกระบวนการที่สำคัญกว่า IQA เพราะเป็นการตัดสินจากหน่วยงานภายนอก
ค. IQA ที่มีประสิทธิภาพเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้กระบวนการ EQA มีความหมายและน่าเชื่อถือ
ง. สถานศึกษาต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง IQA หรือ EQA ในแต่ละปี

16. ตามนโยบาย สพฐ. ปัจจุบัน การ “ลดภาระครู” มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออะไร
ก. เพื่อลดชั่วโมงการทำงานของครู
ข. เพื่อให้ครูมีเวลาในการพัฒนาตนเองและทุ่มเทกับการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น
ค. เพื่อลดงบประมาณที่ใช้ในการจ้างบุคลากรฝ่ายธุรการ
ง. เพื่อเปลี่ยนไปใช้ระบบการสอนออนไลน์ทั้งหมด

17. หากผลการประเมิน PISA ของประเทศต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ผู้อำนวยการ สพท. ควรใช้กรอบมาตรฐานการศึกษาชาติข้อใดเป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์หาสาเหตุเชิงระบบในเขตพื้นที่ของตนเอง
ก. เริ่มจากมาตรฐานที่ 1 (คุณภาพผู้เรียน) แล้วไล่ไปที่มาตรฐานที่ 2 และ 3
ข. เริ่มจากมาตรฐานที่ 2 (การบริหารจัดการ) และมาตรฐานที่ 3 (การจัดการเรียนการสอน) เพื่อหาสาเหตุที่ส่งผลต่อมาตรฐานที่ 1
ค. มุ่งเน้นไปที่มาตรฐานที่ 1 (คุณภาพผู้เรียน) เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์สุดท้าย
ง. มุ่งเน้นไปที่มาตรฐานที่ 2 (การบริหารจัดการ) เพียงอย่างเดียว เพราะผู้บริหารคือผู้รับผิดชอบสูงสุด

18. การที่ผู้อำนวยการ สพท. จัดตั้ง “ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)” ระหว่างโรงเรียนในสังกัด เพื่อให้โรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์สูงได้แบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีกับโรงเรียนอื่น เป็นการส่งเสริมหลักการบริหารคุณภาพข้อใด
ก. การขจัดความกลัว (Driving out fear)
ข. การเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) และการมีส่วนร่วม
ค. ความบกพร่องเป็นศูนย์ (Zero Defect)
ง. การยุติการพึ่งพาการตรวจสอบ

19. ความท้าทายสำคัญของการศึกษาไทยคือ “ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูง” ในฐานะผู้อำนวยการ สพท. ท่านจะใช้กลไกการประกันคุณภาพเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
ก. กำหนดให้ทุกโรงเรียนใช้มาตรฐานและตัวชี้วัดเดียวกันอย่างเคร่งครัด
ข. ใช้ข้อมูลจาก SAR เพื่อระบุโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนและจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนอย่างตรงจุด
ค. เสนอให้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำ
ง. มุ่งเน้นพัฒนาเฉพาะโรงเรียนที่มีศักยภาพสูงให้เป็นโรงเรียนต้นแบบ

20. ข้อใดคือบทบาทของผู้อำนวยการ สพท. ที่สะท้อนความเข้าใจในภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ แทนที่จะเป็นเพียงผู้บริหารงานธุรการ
ก. การลงนามในเอกสารและอนุมัติโครงการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
ข. การจัดประชุมชี้แจงนโยบายจากส่วนกลางให้สถานศึกษาทราบเป็นประจำ
ค. การสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันและพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยศึกษานิเทศก์ให้เป็นโค้ชด้านคุณภาพ
ง. การตรวจเยี่ยมโรงเรียนเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยตามรายการที่กำหนด

21. เมื่อท่านเป็นผู้อำนวยการ สพท. และพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่จัดทำรายงาน SAR ที่มีคุณภาพต่ำ ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ท่านควรดำเนินการใดเป็นอันดับแรกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ก. ออกคำสั่งตำหนิผู้บริหารโรงเรียนที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบาย
ข. จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาภายนอกมาจัดทำ SAR ให้กับทุกโรงเรียน
ค. จัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารและครูในด้านการประเมินตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูล และการวางแผนพัฒนา
ง. รายงานปัญหาให้ สพฐ. ทราบ และรอรับนโยบายเพื่อดำเนินการต่อไป

22. ผู้อำนวยการ สพท. ท่านหนึ่งต้องการบริหารจัดการบทบาทที่ขัดแย้งกันระหว่าง “ผู้สนับสนุน” และ “ผู้ประเมิน” ของหน่วยศึกษานิเทศก์ ข้อใดเป็นแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด
ก. เน้นบทบาทการประเมินและตรวจสอบเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ข. ยกเลิกบทบาทการประเมินทั้งหมด และให้ทำหน้าที่สนับสนุนเพียงอย่างเดียว
ค. สร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ และอาจแบ่งทีมศึกษานิเทศก์สำหรับงานโค้ชชิ่งและงานประเมินที่เป็นทางการ
ง. ให้ผู้บริหารโรงเรียนประเมินการทำงานของศึกษานิเทศก์ทุกเดือน

23. การที่ระบบการประกันคุณภาพที่เข้มแข็งสามารถช่วยให้สถานศึกษามีทิศทางการพัฒนาที่ต่อเนื่องได้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อยครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดการคุณภาพในแง่ใด
ก. เป็นเครื่องมือสร้างความยืดหยุ่นและเสถียรภาพในการพัฒนาท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบาย
ข. เป็นเครื่องมือในการต่อต้านนโยบายจากส่วนกลาง
ค. เป็นเครื่องมือในการของบประมาณเพิ่มเติม
ง. เป็นเครื่องมือในการลดภาระงานของผู้บริหาร

24. มาตรฐานที่ 2 “กระบวนการบริหารและการจัดการ” เน้นย้ำถึงความสำคัญของสิ่งใดมากที่สุด
ก. จำนวนนักเรียนต่อห้องเรียน
ข. ความสวยงามของอาคารสถานที่
ค. ระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพและภาวะผู้นำของผู้บริหาร
ง. งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี

25. ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกกี่ปี
ก. 3 ปี
ข. 4 ปี
ค. 5 ปี
ง. 6 ปี

26. ข้อใดคือตัวอย่างของการนำหลัก “การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ก. ครูบรรยายเนื้อหาตามหนังสือเรียนอย่างเคร่งครัด
ข. นักเรียนทุกคนต้องทำแบบฝึกหัดเดียวกันและส่งพร้อมกัน
ค. ครูออกแบบกิจกรรมโครงงานที่ให้นักเรียนได้สืบค้นและแก้ปัญหาตามความสนใจ
ง. การสอบวัดผลเน้นการท่องจำเนื้อหาเป็นหลัก

27. การที่ สพท. วิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของทุกโรงเรียนในสังกัด เพื่อระบุ “โรงเรียนต้นแบบ” ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ แล้วจัดกิจกรรมให้โรงเรียนอื่นมาเรียนรู้ ถือเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดใดในระดับเขตพื้นที่
ก. วงจร PDCA
ข. การเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking)
ค. หลักการ 14 ข้อของเดมมิ่ง
ง. การบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก

28. หากท่านเป็นผู้อำนวยการ สพท. และได้รับนโยบายเร่งด่วนเรื่อง “การสร้างความปลอดภัยในสถานศึกษา” ท่านจะบูรณาการนโยบายนี้เข้ากับระบบประกันคุณภาพที่มีอยู่เดิมได้อย่างไร
ก. แยกเป็นโครงการพิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบประกันคุณภาพ
ข. กำหนดให้ “ความปลอดภัย” เป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมในมาตรฐานที่ 2 (การบริหารจัดการ) และมาตรฐานที่ 1 (คุณลักษณะผู้เรียน) ในการประเมิน IQA ของสถานศึกษา
ค. สั่งให้ทุกโรงเรียนหยุดกิจกรรมอื่นและมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว
ง. มอบหมายให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ สพท.

29. “SAR ที่อ่อนแอ คือสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวของการสนับสนุนจาก สพท.” ข้อความนี้มีความหมายเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้อำนวยการ สพท. อย่างไร
ก. ควรลงโทษสถานศึกษาที่จัดทำ SAR คุณภาพต่ำ
ข. ควรพิจารณาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการนิเทศและสนับสนุนของ สพท. เอง
ค. ควรลดความสำคัญของ SAR ในกระบวนการประเมิน
ง. ควรเสนอให้ สมศ. ยกเว้นการประเมินสถานศึกษาที่มี SAR อ่อนแอ

30. เป้าหมายสูงสุดของการบริหารและการจัดการคุณภาพการศึกษาคืออะไร
ก. เพื่อให้สถานศึกษาผ่านการประเมินคุณภาพภายนอกจาก สมศ.
ข. เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดมีความพึงพอใจในผลการดำเนินงาน
ค. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา
ง. เพื่อให้ผู้บริหารและครูได้รับการเลื่อนวิทยฐานะ

7.3 เฉลยพร้อมคำอธิบายและเอกสารอ้างอิง

1. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ระบุชัดเจนว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมและเป็นองค์รวม ข้ออื่นเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยของคุณภาพ แต่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด  

2. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: หลักการพาเรโต (Pareto Principle) หรือกฎ 80/20 ที่ Joseph M. Juran นำมาประยุกต์ใช้ ชี้ว่าปัญหา 80% มักเกิดจากสาเหตุสำคัญเพียง 20% (Vital Few) การมุ่งแก้ปัญหาส่วนน้อยที่สำคัญนี้จะให้ผลตอบแทนสูงสุด  

3. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: ขั้นตอน Check (ตรวจสอบ) คือการวัดผลและประเมินผลการดำเนินงานที่ได้ทำไปในขั้นตอน Do เพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้ในขั้นตอน Plan  

4. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: กฎกระทรวง พ.ศ. 2561 ข้อ 3 และ 4 กำหนดให้สถานศึกษาจัดส่งรายงาน SAR ให้แก่ “หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่กำกับดูแล” ซึ่งสำหรับโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ก็คือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อรวบรวมและส่งต่อให้ สมศ.  

5. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: “การพัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ” เป็นองค์ประกอบของมาตรฐานที่ 2: กระบวนการบริหารและการจัดการ ส่วนข้อ ก, ข, และ ง เป็นองค์ประกอบของมาตรฐานที่ 1: คุณภาพของผู้เรียน  

6. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: มาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาซึ่งประกอบด้วย “ระบบการประกันคุณภาพภายใน” และ “ระบบการประกันคุณภาพภายนอก”  

7. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: หัวใจของ Benchmarking คือการเรียนรู้จากองค์กรอื่นที่มีผลการดำเนินงานดีกว่า เพื่อนำแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) มาปรับปรุงองค์กรของตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  

8. คำตอบ: ง.
คำอธิบาย: ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา “กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา” มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการวิจัย พัฒนา ส่งเสริม มาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา  

9. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: กระบวนการที่อธิบาย (วิเคราะห์/วางแผน → ลงมือทำ → วัดผล → ปรับปรุง) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวงจร PDCA  

10. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: การไปศึกษาดูงานองค์กรที่เป็นเลิศเพื่อเรียนรู้กระบวนการและนำมาปรับใช้ เป็นลักษณะเด่นของการทำ Benchmarking  

11. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวง พ.ศ. 2561 คือเพื่อปรับปรุงระบบเดิมที่ถูกมองว่าสร้างภาระเอกสารมากเกินความจำเป็น และเพื่อให้ระบบใหม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง  

12. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: มาตรฐานที่ 3 มุ่งเน้น “กระบวนการ” ในชั้นเรียนโดยตรง ประเมินว่าครูจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือไม่ รวมถึงการใช้สื่อ การบริหารจัดการชั้นเรียน และการวัดผลประเมินผล  

13. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: กฎกระทรวง พ.ศ. 2561 ข้อ 4 กำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัด (สพท.) จัดส่งรายงาน SAR “พร้อมกับประเด็นต่างๆ ที่ต้องการให้มีการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ” ให้แก่ สมศ. นี่คือบทบาทเชิงกลยุทธ์ในการชี้นำการประเมินภายนอก  

14. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: แนวคิด “Quality is Free” ของ Crosby ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพไม่ต้องใช้เงิน แต่หมายความว่า “ต้นทุนของการทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่แรก” (การป้องกัน) นั้นถูกกว่า “ต้นทุนของความล้มเหลว” (การแก้ไข) เสมอ  

15. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: IQA เป็นกระบวนการพัฒนาภายในที่ต่อเนื่อง ส่วน EQA เป็นการตรวจสอบจากภายนอกเพื่อยืนยันคุณภาพและสร้างความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โดย EQA จะใช้ผลจาก IQA (คือ SAR) เป็นข้อมูลพื้นฐาน ดังนั้น IQA ที่ดีจึงเป็นรากฐานของ EQA ที่มีความหมาย  

16. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: นโยบายลดภาระครู มุ่งหวังที่จะลดภาระงานที่ไม่ใช่การสอน (เช่น งานเอกสาร, การประเมินที่ไม่จำเป็น) เพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับการเตรียมการสอน, การพัฒนาตนเอง และการดูแลนักเรียนได้อย่างเต็มที่  

17. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: การคิดเชิงระบบตาม “โซ่แห่งความรับผิดชอบเชิงสาเหตุ” (มาตรฐาน 2 → มาตรฐาน 3 → มาตรฐาน 1) ชี้ว่าผลลัพธ์ผู้เรียนที่ต่ำ (มาตรฐาน 1) มักมีรากเหง้ามาจากปัญหาในกระบวนการบริหารจัดการ (มาตรฐาน 2) และ/หรือกระบวนการสอน (มาตรฐาน 3) การเริ่มวิเคราะห์จากต้นเหตุจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่า  

18. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: การจัดให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียน โดยมีโรงเรียนที่เก่งกว่าเป็นต้นแบบ คือการประยุกต์ใช้หลักการ Benchmarking และยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจของ TQM  

19. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: ระบบประกันคุณภาพ โดยเฉพาะข้อมูลจาก SAR และการนิเทศติดตาม จะช่วยให้ สพท. มองเห็นภาพรวมของเขตพื้นที่และระบุได้ว่าโรงเรียนใดมีความต้องการและช่องว่างด้านคุณภาพมากที่สุด ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากร (งบประมาณ, บุคลากร, การพัฒนา) ไปช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดและเป็นธรรม  

20. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์มุ่งเน้นการสร้างระบบและพัฒนาคน (Capacity Building) เพื่อให้องค์กรสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืน การพัฒนาหน่วยศึกษานิเทศก์ให้เป็นโค้ชคือการสร้างกลไกขับเคลื่อนคุณภาพในระยะยาว ซึ่งเป็นบทบาทเชิงกลยุทธ์ ต่างจากข้ออื่นที่เป็นงานบริหารจัดการประจำ  

21. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: ปัญหา SAR คุณภาพต่ำเป็นปัญหาเชิงระบบที่สะท้อนถึงการขาดขีดความสามารถของบุคลากร การแก้ปัญหาที่รากเหง้าคือการพัฒนาศักยภาพของพวกเขา ไม่ใช่การลงโทษ (ก) หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (ข) การดำเนินการเชิงรุก (ค) มีประสิทธิภาพกว่าการรอรับคำสั่ง (ง)

22. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: นี่คือการบริหารจัดการความขัดแย้งเชิงบทบาทที่ซับซ้อน การสร้างความไว้วางใจเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เพื่อให้โรงเรียนกล้าเปิดเผยปัญหาเพื่อรับการสนับสนุน การแยกทีมอาจเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยลดความขัดแย้งนี้ ทำให้บทบาทการสนับสนุนและการประเมินสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งคู่

23. คำตอบ: ก.
คำอธิบาย: ระบบประกันคุณภาพที่ฝังลึกในวัฒนธรรมองค์กร (โดยเฉพาะ IQA) จะสร้างวงจรการพัฒนาที่ขับเคลื่อนจากภายใน ทำให้สถานศึกษามีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถดำเนินงานต่อไปได้ แม้ว่านโยบายระดับบนจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม  

24. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: มาตรฐานที่ 2 เน้นที่ “กระบวนการ” บริหารจัดการ ซึ่งหัวใจสำคัญคือระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (เช่น ระบบประกันคุณภาพ, ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน) และภาวะผู้นำของผู้บริหารในการขับเคลื่อนระบบเหล่านั้น  

25. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคสอง กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปี  

26. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางคือการเปลี่ยนบทบาทจากครูเป็นผู้สอน มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง กิจกรรมโครงงานที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกหัวข้อและสืบเสาะหาคำตอบคือตัวอย่างที่ชัดเจน  

27. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: การระบุองค์กรต้นแบบ (Best-in-Class) และจัดให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จากต้นแบบนั้น คือสาระสำคัญของการทำ Benchmarking ในระดับองค์กรหรือระดับเขตพื้นที่  

28. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: การบูรณาการที่ดีคือการผนวกนโยบายใหม่เข้ากับโครงสร้างและระบบงานเดิมที่มีอยู่ การกำหนดให้ความปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการประเมิน IQA จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาคุณภาพปกติของโรงเรียน ไม่ใช่ภาระงานที่เพิ่มขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว  

29. คำตอบ: ข.
คำอธิบาย: มุมมองเชิงกลยุทธ์มองว่า SAR ที่อ่อนแอไม่ใช่แค่ความผิดของโรงเรียน แต่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนว่ากระบวนการสนับสนุน, นิเทศ, และพัฒนาศักยภาพของ สพท. อาจมีข้อบกพร่อง จึงเป็นโอกาสที่ผู้อำนวยการจะใช้ในการทบทวนและปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานตนเอง  

30. คำตอบ: ค.
คำอธิบาย: เป้าหมายสูงสุดของระบบการศึกษาทั้งหมดคือ “ผู้เรียน” การประเมินจาก สมศ. หรือความพึงพอใจของต้นสังกัดเป็นเพียงกลไกหรือตัวชี้วัดระหว่างทาง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการทำให้ผู้เรียนทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพตามที่มาตรฐานและปรัชญาการศึกษากำหนดไว้  

 

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!