กรณีศึกษาผลงานวิทยฐานะเชี่ยวชาญ: การขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศด้วย TANIWIT MODEL ของโรงเรียนตานีวิทยา
กรณีศึกษาผลงานวิทยฐานะเชี่ยวชาญ: การขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศด้วย TANIWIT MODEL ของโรงเรียนตานีวิทยา
1. บทนำ: ภาพรวมและบริบทของโรงเรียนตานีวิทยา
เอกสารฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับ “TANIWIT MODEL” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการที่โรงเรียนตานีวิทยาพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่ซับซ้อนและขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศทางการศึกษา โมเดลดังกล่าวไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหานเฉพาะหน้าของโรงเรียน แต่ยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบที่ทรงคุณค่าสำหรับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการจัดการอย่างเป็นระบบ
โรงเรียนตานีวิทยาเป็นสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในชุมชน โดยมีข้อมูลพื้นฐานที่น่าสนใจดังนี้:
- ขนาดโรงเรียน: โรงเรียนขนาดใหญ่
- จำนวนนักเรียน: 721 คน
- จำนวนบุคลากร: 49 คน
- ระดับที่เปิดสอน: มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
- สถานะ: โรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School)
จากสถานะและศักยภาพดังกล่าว โรงเรียนได้เผชิญกับความท้าทายหลายมิติที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหารูปแบบการบริหารจัดการใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. สภาพปัญหาและความท้าทาย: จุดเปลี่ยนสู่การพัฒนานวัตกรรม
การวินิจฉัยความท้าทายขององค์กรอย่างแม่นยำและอิงตามข้อมูลเชิงประจักษ์ ถือเป็นขั้นตอนชี้ขาดที่เป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ในส่วนนี้จะลงรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่โรงเรียนตานีวิทยาได้ระบุขึ้นจากการวิเคราะห์รายงานการประเมินตนเอง (SAR) ประจำปีการศึกษา 2565 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการ
จากการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถสรุปประเด็นความท้าทายหลักได้ 4 ด้าน ดังนี้
- ด้านผู้เรียน (Student Domain):
- พฤติกรรมไม่พึงประสงค์: นักเรียนแสดงออกถึงพฤติกรรมเสี่ยงหลายประการ เช่น การหนีเรียน, ความเสี่ยงต่อปัญหายาเสพติด, การติดเกม และปัญหาชู้สาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเรียนรู้โดยรวม
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: นักเรียนที่มีผลการเรียนระดับ 3 ขึ้นไป มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 63.52 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดไว้ที่ร้อยละ 70
- ผลการเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์: มีนักเรียนติด 0, ร, มส จำนวน 314 รายการ คิดเป็นร้อยละ 5.11 ของผลการเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 3 อย่างมีนัยสำคัญ
- ด้านหลักสูตร (Curriculum Domain):
- หลักสูตรของสถานศึกษายังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน ชุมชน และผู้ปกครองได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้การเรียนรู้ขาดความเชื่อมโยงกับบริบทชีวิตจริง
- ด้านบุคลากร (Personnel Domain):
- โรงเรียนมีครูบรรจุใหม่จำนวนมากซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ แต่ยังขาดประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอน
- ครูมีภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอนที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพและเวลาในการเตรียมการสอน
- ด้านชุมชนและผู้ปกครอง (Community and Parent Domain):
- ผู้ปกครองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างยากจน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสนับสนุนด้านการศึกษาของบุตรหลาน เช่น การขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ การวิเคราะห์ SWOT ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้เผยให้เห็นถึงศักยภาพที่สามารถนำมาใช้เป็นฐานในการพัฒนาได้
- จุดแข็ง (ปัจจัยภายใน): ครูบรรจุใหม่เป็นบุคลากรคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางสูง พร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัว
- โอกาส (ปัจจัยภายนอก): โรงเรียนได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากผู้นำท้องถิ่น ศิษย์เก่า ผู้ปกครอง และนักธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือและผลักดันการพัฒนา
การตระหนักถึงปัญหาและโอกาสอย่างรอบด้านนี้ ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนฉบับใหม่ที่ชัดเจนและท้าทายยิ่งขึ้น
3. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนา: การวางรากฐานสู่มาตรฐานสากล
วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมคือเข็มทิศนำทางการเปลี่ยนแปลงขององค์กร โรงเรียนตานีวิทยาได้กำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การพัฒนาเพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศและตอบสนองต่อความท้าทายที่เผชิญอยู่
วิสัยทัศน์ของโรงเรียนตานีวิทยาถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนดังนี้:
โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพตามหลักธรรมาภิบาล น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บนพื้นฐานความเป็นไทยและการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 พัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล
เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โรงเรียนได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานหลัก 4 ประการ ได้แก่:
- พัฒนานักเรียนสู่มาตรฐานสากล
- พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
- พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
- พัฒนาคุณภาพและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ
การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เหล่านี้ตั้งอยู่บนกรอบแนวคิดและนโยบายระดับชาติที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าทิศทางการพัฒนาสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
- ศาสตร์พระราชา (เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา)
- ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
- แผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี
- แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
จากวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่วางไว้นี้ โรงเรียนได้พัฒนาเครื่องมือบริหารจัดการเชิงนวัตกรรมที่มีชื่อว่า “TANIWIT MODEL” เพื่อเป็นกลไกหลักในการแปลงนโยบายและกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติจริง
4. ถอดรหัส TANIWIT MODEL: นวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา
TANIWIT MODEL คือหัวใจของกระบวนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นกรอบการบริหารจัดการที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (Output) โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพายุทธศาสตร์ของโรงเรียนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและขับเคลื่อนด้วยวงจรคุณภาพ (PDCA)
องค์ประกอบของโมเดลสามารถแยกวิเคราะห์ได้ 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. ปัจจัยนำเข้า (Input): ทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนกระบวนการ ได้แก่ ทรัพยากรบุคคล, วัสดุอุปกรณ์, งบประมาณ และนโยบายจากหน่วยงานต้นสังกัด
2. กระบวนการ (Process): เป็นกลไกการทำงานที่ถอดรหัสมาจากชื่อ “TANIWIT” ซึ่งแต่ละตัวอักษรมีความหมายเชิงปฏิบัติการดังตารางต่อไปนี้
Acronym | คำอธิบาย (Description) |
T – Teamwork | การสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของโรงเรียน |
A – Action | การลงมือปฏิบัติหน้าที่อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ โดยยึดมั่นในวงจรคุณภาพ (Plan-Do-Check-Act) เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง |
N – iNternational | การตั้งเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ |
I – Integration | การบูรณาการแผนงาน โครงการ และระบบสารสนเทศให้สอดประสานกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหลักสูตรที่ไม่เชื่อมโยงและสร้างความเป็นเอกภาพในการทำงาน |
W – Work Ethic & Tech | การส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรม (Work Ethic) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรมในการปฏิบัติงาน |
I – Evaluation | การกำหนดกระบวนการประเมินผลที่ต่อเนื่องและหลากหลาย เพื่อใช้ข้อมูลในการติดตามความก้าวหน้าและตัดสินใจปรับปรุงการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย |
T – Teacher & Students | การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Student-Centered) และปรับบทบาทครูสู่การเป็นโค้ช เพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำกว่าเป้าหมายและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ |
3. ผลลัพธ์ (Output): ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้โมเดลนี้ในการบริหารจัดการ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จในมิติต่าง ๆ จะถูกนำเสนอและวิเคราะห์อย่างละเอียดในหัวข้อที่ 6
การให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ “T – Teacher & Students” ในโมเดลนี้ ได้นำไปสู่การริเริ่มโครงการพัฒนาบุคลากรครูอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นต้นแบบการปฏิบัติที่ชัดเจน
5. การลงมือปฏิบัติ: ต้นแบบการพัฒนาครูสู่ศตวรรษที่ 21
ประสิทธิผลของกรอบการบริหารเชิงกลยุทธ์วัดได้จากความสามารถในการแปลงแนวคิดนามธรรมสู่โครงการปฏิบัติที่วัดผลได้ กรณีศึกษาของโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ณ โรงเรียนตานีวิทยา แสดงให้เห็นถึงการนำองค์ประกอบ ‘T’ (Teacher & Students) ของ TANIWIT MODEL มาขยายผลในระดับปฏิบัติการได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน “รูปแบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21”
โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาศักยภาพและทักษะของครูให้สามารถจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการนิเทศภายในที่พัฒนาขึ้นนี้มีรากฐานมาจากการสังเคราะห์งานวิจัยและแนวคิดทางการศึกษา ประกอบด้วย 8 ขั้นตอนที่เป็นระบบ ดังนี้
- ประชุมวางแผนการนิเทศ: กำหนดเป้าหมาย ขอบเขต และปฏิทินการนิเทศร่วมกัน
- ให้ความรู้และความเข้าใจ: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
- นิเทศการสอนและสังเกตพฤติกรรม: ผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่มสาระเข้าสังเกตการณ์ในชั้นเรียนตามแผนที่วางไว้
- วิเคราะห์ข้อมูลจากการนิเทศ: รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ
- ประชุมสะท้อนผลหลังการนิเทศ: จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (PLC) เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ครูผู้สอนในบรรยากาศที่สร้างสรรค์
- สร้างเสริมกำลังใจ: ให้การยกย่องชมเชยและสนับสนุนครูที่มีการพัฒนาและมีความมุ่งมั่นตั้งใจ
- ประเมินผลการนิเทศ: ประเมินความสำเร็จของกระบวนการนิเทศทั้งในระดับบุคคลและภาพรวม
- รายงานผลการนิเทศ: จัดทำสรุปและรายงานผลเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนารอบต่อไป
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาครูผ่านกระบวนการที่เป็นระบบนี้ ได้ส่งผลโดยตรงต่อการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนและนำไปสู่ความสำเร็จที่วัดผลได้ของทั้งนักเรียนและสถานศึกษาในภาพรวม
6. การประเมินความสำเร็จ: ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของการเปลี่ยนแปลง
บทพิสูจน์ที่แท้จริงของนวัตกรรมการบริหารจัดการคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การนำ TANIWIT MODEL มาใช้ในการขับเคลื่อนโรงเรียนตานีวิทยาได้สร้างผลกระทบเชิงบวกที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ คุณภาพผู้เรียน คุณภาพครูและบุคลากร และคุณภาพของสถานศึกษา
6.1 คุณภาพผู้เรียน (Student Quality)
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: สัดส่วนของนักเรียนที่ได้รับผลการเรียนระดับ 3 ขึ้นไป ในปีการศึกษา 2565 เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2564 ถึง 3.35%
- ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET): ผลคะแนนเฉลี่ย O-NET ของนักเรียนระดับชั้น ม.3 แสดงแนวโน้มการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ระดับชั้น ม.6 ประสบกับความท้าทายในปีการศึกษา 2565 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติม
ระดับชั้น | ปี 2563 | ปี 2564 | ปี 2565 |
มัธยมศึกษาปีที่ 3 | — | 32.97 | 33.43 |
มัธยมศึกษาปีที่ 6 | 30.79 | 32.50 | 27.63 |
- รางวัลและความสำเร็จระดับชาติ/นานาชาติ: นักเรียนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนผ่านการแข่งขันในเวทีต่าง ๆ อาทิ
- รางวัลชนะเลิศ การแข่งขันเครื่องบินพลังยาง (รับถ้วยพระราชทาน)
- รางวัลเหรียญทอง การแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติ ครั้งที่ 14
- รางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง หลายรายการจากงานศิลปหัตถกรรมแห่งชาติ เช่น การเล่านิทานคุณธรรม
6.2 คุณภาพครูและบุคลากร (Teacher and Personnel Quality)
ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงผู้เรียน แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพของบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ
- นายสุรพงษ์ รัตนโคตร (ผู้อำนวยการ): ได้รับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) เหรียญทอง รองชนะเลิศอันดับ 1 ระดับชาติ ประเภทผู้อำนวยการยอดเยี่ยม และรางวัลผู้บังคับบัญชาลูกเสือดีเด่น
- คุณครูดวงใจ บุตรดี: ได้รับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. ชนะเลิศ เหรียญทอง ประเภทผู้สอนยอดเยี่ยม
- คุณครูสุดาพร ครบหมู่: เป็นครูผู้ฝึกสอนนักเรียนได้รับรางวัลประกวดบรรยายธรรม ระดับชาติ
- คุณครูพีระพงษ์ ปุณยธิ: ได้รับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. เหรียญทอง ระดับชาติ ประเภทครูผู้สอนยอดเยี่ยม Active Teacher
6.3 คุณภาพสถานศึกษา (School Quality)
- การประเมินและรางวัล: โรงเรียนได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภายนอกในหลากหลายมิติ
- ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) อยู่ใน ระดับสูง
- ได้รับการรับรองเป็น โรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School)
- ได้รับรางวัล โรงเรียนสวยงามน่าอยู่ อันดับ 1 ดีเยี่ยม
- ผ่านการประเมินคุณภาพภายนอกรอบที่ 4 ใน ระดับ “ดี” ทุกมาตรฐาน
- ความเชื่อมั่นจากชุมชน: ความสำเร็จเชิงประจักษ์ได้สร้างความไว้วางใจจากผู้ปกครองและชุมชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนผ่านการสนับสนุนทรัพยากรและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักเรียน
- การสนับสนุนจากภายนอก: ได้รับงบประมาณสนับสนุน 2.5 ล้านบาท, รถบรรทุกมูลค่า 1 ล้านบาท, คอมพิวเตอร์มูลค่า 316,000 บาท และการก่อสร้างถนนคอนกรีต
- จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น:
ปีการศึกษา | จำนวนนักเรียน (คน) |
2564 | 611 |
2565 | 678 |
2566 | 721 |
ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกมิตินี้เป็นเครื่องยืนยันประสิทธิภาพของ TANIWIT MODEL ในฐานะเครื่องมือขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศได้อย่างแท้จริง
7. สรุปและถอดบทเรียน: ปัจจัยแห่งความสำเร็จสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
ความสำเร็จของโรงเรียนตานีวิทยาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการพัฒนาที่เริ่มต้นจากการยอมรับและวิเคราะห์สภาพปัญหาอย่างตรงไปตรงมา สู่การสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และลงเอยด้วยการนำนวัตกรรมการบริหารจัดการ TANIWIT MODEL มาใช้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง กรณีศึกษานี้ได้ให้บทเรียนเชิงกลยุทธ์ที่ทรงคุณค่าซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จสามารถสรุปได้ดังนี้
- การวินิจฉัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Diagnosis): ความกล้าหาญที่จะยอมรับจุดอ่อนโดยใช้ข้อมูลที่เป็นจริง (เช่น รายงาน SAR) เป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนกลยุทธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
- การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnership): ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลากรภายในเท่านั้น แต่เกิดจากการระดมทรัพยากรและความร่วมมือจากชุมชน ศิษย์เก่า และผู้นำท้องถิ่น ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งเครือข่ายสนับสนุนและกลไกสะท้อนผลจากภายนอก
- กรอบการทำงานเชิงกลยุทธ์ที่บูรณาการ (Integrated Strategic Framework): TANIWIT MODEL ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างวิสัยทัศน์กับแผนปฏิบัติการ ทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นเป้าหมายและวิธีการทำงานที่สอดคล้องกัน ขจัดปัญหาการทำงานแบบแยกส่วน
- การลงทุนในทุนมนุษย์ (Investment in Human Capital): การให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนาครูผ่านกระบวนการนิเทศภายในที่เข้มแข็ง ถือเป็นการลงทุนที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ปลายทางที่สำคัญที่สุด
- วัฒนธรรมการบริหารที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ (Results-Driven Management): การใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อติดตามความก้าวหน้าและสื่อสารความสำเร็จอย่างโปร่งใส ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
วิสัยทัศน์และกลยุทธ์เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสถานศึกษาของโรงเรียนตานีวิทยา โดยถูกกำหนดขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่วิเคราะห์ได้ และมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพของทุกภาคส่วนในโรงเรียน
1. บริบทของการกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์
ก่อนที่จะมีการกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม โรงเรียนตานีวิทยาได้มีการ วิเคราะห์สภาพปัญหา บริบท สภาพแวดล้อม อย่างละเอียด
ความท้าทายหลักที่ต้องแก้ไขผ่านวิสัยทัศน์และกลยุทธ์:
- ด้านผู้เรียน: นักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ปัญหาการหนีเรียน ปัญหาเสี่ยงต่อยาเสพติด ติดเกม และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับ 3 ขึ้นไปต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ร้อยละ 63.52 ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 70)
- ด้านหลักสูตร: หลักสูตรสถานศึกษาไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และผู้ปกครอง
- ด้านบุคลากร: ข้าราชการครูที่มาบรรจุใหม่ยังขาดประสบการณ์ในการสอน และครูมีภาระงานอื่นหลากหลาย
จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้บริหารจึงเกิด แรงบันดาลใจและแนวทางในการพัฒนา โดยมีเป้าหมายหลักคือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตในยุคศตวรรษที่ 21 ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
2. วิสัยทัศน์ (Vision): ทิศทางหลักของการพัฒนา
วิสัยทัศน์ของโรงเรียนตานีวิทยาเป็นกรอบทิศทางที่ครอบคลุมการพัฒนาทั้งระบบ โดยมุ่งเน้น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:
“โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ”
นอกจากนี้ วิสัยทัศน์ยังกำหนดแนวทางการดำเนินงานบนพื้นฐานสำคัญที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลก:
- ยึดหลักธรรมาภิบาล: ในการบริหารจัดการ
- น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: เป็นพื้นฐานการดำเนินงาน
- บนพื้นฐานความเป็นไทย: ควบคู่ไปกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21
- พัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล (World Class Standard School): โรงเรียนตานีวิทยาเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลอยู่แล้ว
3. กลยุทธ์การบริหาร (Strategies): แผนงานสู่การปฏิบัติ
เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” โรงเรียนได้กำหนดกลยุทธ์การบริหารที่เน้นการพัฒนาในด้านที่สำคัญและจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาของโรงเรียน:
- กลยุทธ์ที่ 2: พัฒนา หลัก สูตร และ กระบวน การ เรียน รู้ โดย ยึด หลัก ปรัชญา ของ เศรษฐกิจ พอ เพียง
- ความสำคัญ: กลยุทธ์นี้มุ่งแก้ไขปัญหาเรื่องหลักสูตรที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
- กลยุทธ์ที่ 3: พัฒนา ครู และ บุคลากร ทาง การ ศึกษา
- ความสำคัญ: กลยุทธ์นี้มุ่งแก้ไขปัญหาเรื่องครูที่บรรจุใหม่ขาดประสบการณ์และมีภาระงานหลากหลาย ซึ่งการพัฒนานี้ยังรวมถึงการใช้ นวัตกรรมการนิเทศภายใน เพื่อส่งเสริมให้ครูเป็นโค้ชในศตวรรษที่ 21 ตามที่กำหนดไว้ใน ธานีวิทย์โมเดล
- กลยุทธ์ที่ 4: พัฒนา คุณภาพ และ เทคโนโลยี ใน การ บริหาร จัด การ
- ความสำคัญ: กลยุทธ์นี้มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการบริหารงานในภาพรวม เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นองค์กรยุคใหม่ ทันสมัย และเป็นโรงเรียนคุณภาพ
4. การขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การพัฒนาสถานศึกษา
กลยุทธ์เหล่านี้ถูกนำไปสู่การปฏิบัติภายใต้รูปแบบการบริหารหลักที่เรียกว่า “ธานีวิทย์โมเดล” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่ใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) และเน้นการบริหารแบบมีส่วนร่วม โดยใช้ วงจรคุณภาพ PDCA ในการดำเนินงาน:
ผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ (Output):
การที่โรงเรียนสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ผ่านกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เกิดความสำเร็จใน 3 ด้าน:
- ด้านคุณภาพผู้เรียน: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ 3 ขึ้นไป เพิ่มขึ้น 3.35% และผลการทดสอบ O-NET มีค่าเฉลี่ยรวม เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงนักเรียนได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ
- ด้านคุณภาพครู: ผู้บริหารและครูผู้สอนได้รับรางวัลระดับชาติมากมาย (สะท้อนผลจากกลยุทธ์ที่ 3)
- ด้านคุณภาพสถานศึกษา: โรงเรียนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ได้รับรางวัล 3 สากลไทย และได้รับรางวัลโรงเรียนสวยงามน่าอยู่ อันดับดีเยี่ยม อันดับ 1 รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง ส่งผลให้จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 611 คนในปี 2564 เป็น 721 คนในปี 2566 (สะท้อนผลจากกลยุทธ์ที่ 4 และวิสัยทัศน์โดยรวม)
กลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหารที่โรงเรียนตานีวิทยาได้นำมาใช้ส่งผลต่อการพัฒนาสถานศึกษาและคุณภาพผู้เรียนอย่างชัดเจน โดยผลลัพธ์เหล่านี้ถูกสรุปเป็นความสำเร็จในการบริหารจัดการ 3 ด้าน ดังนี้
1. ผลกระทบจากกลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหาร
โรงเรียนตานีวิทยาได้กำหนดวิสัยทัศน์เน้น “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” และได้ดำเนินการภายใต้รูปแบบการบริหารที่มีชื่อว่า ธานีวิทย์โมเดล ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่เน้นการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ผ่านการบริหารแบบมีส่วนร่วม และใช้กระบวนการพัฒนาตามวงจรคุณภาพ PDCA
กลยุทธ์สำคัญที่นำไปสู่ผลลัพธ์:
- กลยุทธ์ที่ 2: พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
- กลยุทธ์ที่ 3: พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
- กลยุทธ์ที่ 4: พัฒนาคุณภาพและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ
นวัตกรรมหลักที่ขับเคลื่อน:
- ธานีวิทย์โมเดล (ส่วน Process): เน้นการทำงานเป็นทีม (PP work), การปฏิบัติหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ (A Action), การยกระดับสู่มาตรฐานสากล (N and International), การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูต้องปรับบทบาทจากผู้สอนเป็นโค้ชหรือผู้ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (T Teacher and Test)
- นวัตกรรมการนิเทศภายใน: พัฒนารูปแบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการทำวิจัย R&D เพื่อส่งเสริมสมรรถนะครู
2. ผลที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน (Output ด้านที่ 1)
การใช้กลยุทธ์และนวัตกรรมการบริหารข้างต้นส่งผลให้คุณภาพผู้เรียนดีขึ้นในด้านผลสัมฤทธิ์และรางวัลต่าง ๆ:
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: ร้อยละของนักเรียนที่ได้รับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละรายวิชาในระดับ 3 ขึ้นไป ตั้งแต่ชั้น ม.1 ถึง ม.6 เพิ่มขึ้น 3.35% เมื่อเปรียบเทียบปีการศึกษา 2564 และปี 2565
- ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET): ค่าเฉลี่ยรวมผลการทดสอบ O-NET ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเปรียบเทียบปีการศึกษา 2563 ถึง ปี 2565
- รางวัลและความสามารถของผู้เรียน:
- นักเรียนได้รับรางวัลชนะเลิศเครื่องบินพลังยาง ได้รับถ้วยพระราชทาน
- นักเรียนได้รับรางวัลเหรียญทองในระดับที่ 3 จากการแข่งขันประเทศไทยและนานาชาติ ครั้งที่ 14
- นักเรียนได้รับรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ในงานศิลปหัตถกรรมแห่งชาติหลายรายการ เช่น การเล่านิทานคุณธรรม และการแข่งขันการตอบปัญหาในกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา
3. ผลที่ส่งผลต่อการพัฒนาสถานศึกษา (Output ด้านที่ 3)
การดำเนินงานตามกลยุทธ์และรูปแบบการบริหาร ธานีวิทย์โมเดล ทำให้สถานศึกษามีพัฒนาการและได้รับการยอมรับในระดับสูง:
- ความเชื่อมั่นและการสนับสนุน: โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง ชุมชน ศิษย์เก่า และนักธุรกิจในท้องที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการสนับสนุนงบประมาณ (เช่น 2.5 ล้านบาท) รถ 6 ล้อ และเครื่องคอมพิวเตอร์
- จำนวนผู้เรียนที่เพิ่มขึ้น: โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองส่งบุตรหลานมาเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเพิ่มจาก 611 คนในปี 2564 เป็น 721 คนในปี 2566
- มาตรฐานและผลการประเมิน:
- โรงเรียนมีผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ที่ดี
- โรงเรียนเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School) และได้รับรางวัล 3 สากลไทย
- ผ่านการประเมินรอบที่ 4 โดยได้ระดับ ดีทุกมาตรฐาน
- ได้รับรางวัลโรงเรียนสวยงามน่าอยู่ อันดับดีเยี่ยม อันดับ 1
การพัฒนาบุคลากร (ปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาสถานศึกษา – Output ด้านที่ 2):
ผลลัพธ์อีกด้านหนึ่งคือคุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์:
- ผู้บริหารสถานศึกษา: ได้รับรางวัลเหรียญทอง รองชนะเลิศอันดับ 1 ระดับชาติ รางวัลทรงคุณค่า สพฐ. ประเภทผู้อำนวยการสถานศึกษายอดเยี่ยม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการเรียนการสอนและการส่งเสริมการใช้ PLC
- ครูผู้สอน: ครูได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองผู้สอนยอดเยี่ยม ด้านวิชาการ และได้รับรางวัลชมเชย สพฐ. ระดับชาติเหรียญทอง ในรายการครูผู้สอนยอดเยี่ยม Active Teacher ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอน
บทบาทของ “ธานีวิทย์โมเดล” ในบริบทของการพัฒนาสถานศึกษาของโรงเรียนตานีวิทยา
นวัตกรรมการบริหาร “ธานีวิทย์โมเดล” เป็นรูปแบบการบริหารที่โรงเรียนตานีวิทยาได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ที่เน้น “โรงเรียนคุณภาพ ผู้เรียนคุณภาพ บริหารคุณภาพ” และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การพัฒนาสถานศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมและคุณภาพการศึกษาที่โรงเรียนประสบอยู่
1. บริบทและความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมการบริหาร
ก่อนการนำ ธานีวิทย์โมเดล มาใช้ โรงเรียนตานีวิทยาประสบปัญหาหลายด้าน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้ระดับ 3 ขึ้นไปต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ 63.52 ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 70), มีผลการเรียน “0 ร ม ส” เกินค่าเป้าหมาย, ปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของผู้เรียน เช่น การหนีเรียน ติดเกม และปัญหายาเสพติด, รวมถึงหลักสูตรที่ยังไม่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
จากปัญหาเหล่านี้ ผู้บริหารจึงเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนารูปแบบการบริหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ สามารถใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 และแข่งขันในเวทีโลกได้
2. หลักการและองค์ประกอบของธานีวิทย์โมเดล
ธานีวิทย์โมเดล ถูกพัฒนาขึ้นจากการศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เพื่อให้โรงเรียนเป็นองค์กรยุคใหม่ ทันสมัย และพัฒนาคุณภาพสอดคล้องกับการศึกษาในปัจจุบัน
หลักการพื้นฐานที่ยึดถือ: นวัตกรรมนี้ยึดกรอบแนวทางของ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”), ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี, และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
รูปแบบการบริหาร: ธานีวิทย์โมเดลยึดการบริหารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ผ่านการบริหารแบบ มีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วน และนำแผนงานโครงการสู่การปฏิบัติโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA
กระบวนการพัฒนาและบริหาร (Process): นวัตกรรมนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่คือ Input, Process, และ Output โดยในส่วนของ กระบวนการ (Process) ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหาร ภายใต้รูปแบบธานีวิทย์โมเดล ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
- PP work: เน้นการ ทำงานเป็นทีม
- A Action: การปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารอย่าง สร้างสรรค์ ด้วยวงจรคุณภาพ
- N and International: การพัฒนาโรงเรียนสู่ มาตรฐานสากล และการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนและการบริหารด้วยระบบคุณภาพ
- T Teacher and Test: เน้นการจัดการเรียนการสอนที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูต้องปรับบทบาทจากครูผู้สอนเป็น โค้ช (Coach) หรือ ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
- I integration: การ บูรณาการ และประสานกลมกลืนกับแผน กระบวนการ และสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าประสงค์ที่สำคัญของโรงเรียน
- Work And Tex: การสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ เทคโนโลยี เพื่อเป็นตัวประสานการทำงานและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่
3. ผลกระทบของโมเดลต่อการพัฒนาสถานศึกษา (Output)
ธานีวิทย์โมเดลทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์และนำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการ (Output) ใน 3 ด้าน:
A. ด้านคุณภาพผู้เรียน (ผลลัพธ์โดยตรง):
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในระดับ 3 ขึ้นไปของนักเรียนทุกชั้น (ม.1 ถึง ม.6) เพิ่มขึ้น 3.35% เมื่อเทียบปี 2564 และ 2565
- ผลการทดสอบ O-NET (ชั้น ม.3) มีค่าเฉลี่ยรวม เพิ่มขึ้นทุกปี ในช่วงปีการศึกษา 2563 ถึง 2565
- นักเรียนได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ เช่น รางวัลชนะเลิศเครื่องบินพลังยางได้รับถ้วยพระราชทาน และรางวัลเหรียญทองในงานศิลปหัตถกรรมแห่งชาติหลายรายการ
B. ด้านคุณภาพสถานศึกษา (ผลลัพธ์เชิงระบบ): การใช้นวัตกรรมนี้ทำให้สถานศึกษาพัฒนาอย่างยั่งยืนและได้รับการยอมรับสูง:
- โรงเรียนมีผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ที่ดี
- โรงเรียนได้รับรางวัล 3 สากลไทย และรางวัลโรงเรียนสวยงามน่าอยู่ อันดับดีเยี่ยม อันดับ 1
- โรงเรียนผ่านการประเมินรอบที่ 4 โดยได้ระดับ ดีทุกมาตรฐาน
- โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง โดยมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (จาก 611 คนในปี 2564 เป็น 721 คนในปี 2566)
- ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน ศิษย์เก่า และนักธุรกิจในท้องที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบงบประมาณ (เช่น 2.5 ล้านบาท) และวัสดุอุปกรณ์ (เช่น รถ 6 ล้อ และเครื่องคอมพิวเตอร์)
C. การขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ครู: ภายใต้การบริหารด้วยธานีวิทย์โมเดล โรงเรียนยังได้พัฒนา นวัตกรรมย่อย เพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูโดยเฉพาะ นั่นคือ การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการทำวิจัย R&D 8 ขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าครูสามารถปรับบทบาทเป็นโค้ชตามหลักการของโมเดลได้ ซึ่งส่งผลให้ครูผู้สอนได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอนในระดับชาติหลายรายการ
นวัตกรรมการพัฒนาครูที่เรียกว่า “การ พัฒนา รูป แบบ การ นิเทศ ภาย ใน เพื่อ ส่ง เสริม สมรรถนะ ครู ใน การ จัด การ เรียน รู้ ใน ศตวรรษ ที่ 21” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โรงเรียนตานีวิทยาใช้ในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ โดยเป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ครูบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน ธานีวิทย์โมเดล
บริบทและความเชื่อมโยงกับธานีวิทย์โมเดล
การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในเกิดขึ้นเนื่องจากโรงเรียนตานีวิทยามีความท้าทายด้านบุคลากร คือ ข้า ราชการ ครู ที่ มา บรรจุ ใหม่ ยัง ขาด ประสบการณ์ ใน การ สอน และ ครู มี ภาระ งาน อื่น หลาก หลาย ซึ่งส่งผลต่อการจัด การ เรียน การ สอน
เพื่อแก้ไขปัญหานี้และเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการบริหาร ธานีวิทย์โมเดล ซึ่งกำหนดให้ครูต้องปฏิรูปบทบาทเป็น ครูทศวรรษที่ 21 คือต้อง เปลี่ยน จาก ครู ผู้ สอน เป็น โค้ช หรือ ผู้ อำนวย ความ สะดวก ใน การ เรียน รู้ โรงเรียนจึงได้พัฒนานวัตกรรมการนิเทศภายในขึ้น
นวัตกรรมนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมสมรรถนะครู เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการโดยรวมของโรงเรียนจะถูกนำไปใช้สู่ตัวครูและผู้เรียนอย่างแท้จริง และสนับสนุนการสร้าง ชุม ชน แห่ง การ เรียน รู้ PLC ในโรงเรียน
องค์ประกอบและกระบวนการของนวัตกรรมการนิเทศภายใน
รูปแบบการนิเทศภายในนี้เป็นผลมาจากการทำ วิจัย R&D (Research and Development) เพื่อส่ง เสริม สมรรถนะ ครู ใน ด้าน ต่าง ๆ โดยหลังจากวิเคราะห์กระบวนการนิเทศจากนักการศึกษาแล้ว ได้สรุปกระบวนการนิเทศเป็นทั้งหมด 8 ขั้นตอน ดังนี้:
- ประชุมวางแผนการนิเทศ
- ให้ความรู้ และ ความเข้าใจ ในการจัดกิจกรรม
- ทำการนิเทศการสอน และสังเกตพฤติกรรมของครูผู้สอน
- วิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้จากการนิเทศการสอน
- ประชุมหลังการนิเทศ การสอน
- สั่งเสริมกำลัง ใจ
- ประเมินผลการนิเทศ
- รายงานผลการนิเทศ
นวัตกรรมนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสมรรถนะครู 2 สมรรถนะ ได้แก่ สมรรถนะหลัก และ สมรรถนะ ประจำสายงาน
ผลกระทบต่อการพัฒนาสถานศึกษา (ด้านคุณภาพครู)
ผลลัพธ์ของการใช้นวัตกรรมการพัฒนาครูนี้ปรากฏในความสำเร็จด้านที่ 2 คือ ด้าน คุณภาพ ครู และ บุคลากร ทาง การ ศึกษา ซึ่งเป็นการยืนยันว่ากลยุทธ์ที่ 3 (พัฒนา ครู และ บุคลากร ทาง การ ศึกษา) และนวัตกรรมย่อยนี้ประสบความสำเร็จ:
- ความสำเร็จของครูผู้สอน: ครูผู้สอนได้รับรางวัลระดับชาติหลายรายการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่พัฒนาขึ้นตามเป้าหมายของนวัตกรรม:
- คุณครูได้รับรางวัล ชนะ เลิศ เหรียญ ทอง ผู้ สอน ยอด เยี่ยม ในกิจกรรมนักเรียน ด้านวิชาการ
- คุณครูได้รับรางวัลชมเชย สพฐ. ระดับชาติ เหรียญ ทอง ในรายการ ครู ผู้ สอน ยอด เยี่ยม Active teacher ด้าน นวัตกรรม และ เทคโนโลยี การ สอน
- การส่งเสริม PLC โดยผู้บริหาร: ผู้บริหารโรงเรียนเองได้รับรางวัลในระดับชาติ (เหรียญทอง รอง ชนะ เลิศ อันดับ 1) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อการเรียนการสอน และการส่ง เสริม การ ใช้ PLC ซึ่งเน้นย้ำว่าการบริหารคุณภาพตาม ธานีวิทย์โมเดล ได้ให้ความสำคัญกับการสร้าง ชุม ชน แห่ง การ เรียน รู้ และนวัตกรรมการนิเทศภายในนี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว
ขอขอบคุณ แผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ นวัตกรรมการบริหาร ว.PA วฐ.ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ นายสุรพงษ์ รัตนโคตร
Comments
Powered by Facebook Comments