การเตรียมตัวเพื่อการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา (ว 10/2564)
การเตรียมตัวเพื่อการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา (ว 10/2564)
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 26 ตุลาคม 2568
__________________________________
บทนำ: ทำความเข้าใจภาพรวมและหัวใจสำคัญของ ว 10/2564
หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 10 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า ว 10/2564) ถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญของการประเมินเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนการศึกษาแห่งชาติ.1 หลักเกณฑ์ใหม่นี้มีหลักการและเหตุผลสำคัญที่ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ภาพรวมระบบประเมินใหม่: มุ่งเน้นผลลัพธ์ ลดภาระเอกสาร
หัวใจสำคัญของ ว 10/2564 คือการเปลี่ยนจากการประเมินที่เน้นเอกสารจำนวนมาก ไปสู่การประเมินที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา (Based on Learning Outcomes).1 แนวคิดนี้สะท้อนผ่านหลักการสำคัญ 3 ประการคือ
Back to school: คุณภาพการศึกษาต้องเริ่มต้นที่ห้องเรียน การปฏิบัติงานของผู้บริหารต้องเชื่อมโยงและส่งผลโดยตรงต่อการเรียนการสอน
Focus on classroom: การประเมินจะพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานจริง สมรรถนะในการบริหาร (Performance) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน (Student Outcomes) เป็นสำคัญ
Digital Performance Appraisal (DPA): การนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการยื่นคำขอ ส่งหลักฐาน และดำเนินการประเมิน เพื่อลดภาระการจัดทำเอกสาร ประหยัดงบประมาณ เพิ่มความโปร่งใส และประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงนี้มีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษามีสมรรถนะในการบริหารสถานศึกษา เป็นผู้นำทางวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง สามารถปรับประยุกต์ แก้ไขปัญหา ริเริ่ม พัฒนา คิดค้น ปรับเปลี่ยน และสร้างการเปลี่ยนแปลงในการบริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ คุณภาพผู้เรียน คุณภาพครู และคุณภาพสถานศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม.1 สิ่งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการให้ความสำคัญกับ “เอกสาร” และ “ผลงานทางวิชาการ” (ซึ่งยังคงมีอยู่สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญขึ้นไป แต่ลดบทบาทลง) ในระบบเดิม มาสู่การประเมิน “สมรรถนะ” (Competency-based) และ “ผลลัพธ์การปฏิบัติงาน” (Performance-based) ที่วัดผลได้จริงผ่านข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) และสื่อดิจิทัล (วิดีทัศน์) ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านที่อนุญาตให้ใช้ผลงานเดิมได้ชั่วคราว แต่ทิศทางหลักมุ่งไปสู่การประเมินรูปแบบใหม่นี้.1
ความเชื่อมโยงของระบบ PA, การเลื่อนวิทยฐานะ (ม.54), และการคงวิทยฐานะ (ม.55): PA คือหัวใจหลัก
ว 10/2564 ได้บูรณาการระบบการประเมินที่เคยแยกส่วนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมี “ข้อตกลงในการพัฒนางาน” (Performance Agreement: PA) เป็นกลไกศูนย์กลาง.1 PA คือข้อตกลงที่ผู้บริหารสถานศึกษาเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อแสดงเจตจำนงในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษาภายในรอบการประเมิน (ปีงบประมาณ) โดยสะท้อนระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ และสอดคล้องกับเป้าหมาย บริบทสถานศึกษา รวมถึงนโยบายส่วนราชการ
PA ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง: ครอบคลุมการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่ง 5 ด้าน (บริหารวิชาการฯ, บริหารจัดการสถานศึกษา, บริหารการเปลี่ยนแปลงฯ, บริหารงานชุมชนฯ, พัฒนาตนเองฯ) และภาระงานตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทาย: มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการจัดทำรายงานและวิดีโอสำหรับการขอเลื่อนวิทยฐานะ
ผลการประเมิน PA ในแต่ละปีงบประมาณ ซึ่งประเมินโดยคณะกรรมการ 3 คน จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ 3 ด้านหลัก
1. ใช้เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน
2. ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ (ตามมาตรา 54): ผู้ขอต้องมีผลการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 70 จากกรรมการแต่ละคน) ย้อนหลังตามจำนวนรอบที่กำหนด (ปกติ 3 รอบ เว้นแต่กรณีลดหย่อน).1
3. ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อดำรงไว้ซึ่งวิทยฐานะ (ตามมาตรา 55): ผู้มีวิทยฐานะต้องได้รับการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ทุกปี เพื่อแสดงว่ายังคงมีความรู้ความสามารถตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่.1
ดังนั้น การจัดทำและปฏิบัติงานตาม PA อย่างมีคุณภาพ จึงไม่ใช่เพียงภาระงานประจำปี แต่เป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งยวดต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้
ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง (Expected Levels of Practice): บรรทัดฐานสู่ความสำเร็จ
ว 10/2564 กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีการพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น ตาม “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ที่สอดคล้องกับตำแหน่งและวิทยฐานะ.1 ระดับเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคำจำกัดความเชิงทฤษฎี แต่เป็น “บรรทัดฐาน” ที่คณะกรรมการประเมินใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาทั้งการประเมิน PA ประจำปี และการประเมินเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ.ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังเรียงตามลำดับจากระดับพื้นฐานถึงระดับสูง ได้แก่
- ปรับประยุกต์ (Apply and Adapt): สำหรับตำแหน่งที่ยังไม่มีวิทยฐานะ สามารถปรับประยุกต์ความรู้และแนวทางการบริหารมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับบริบท.1
- แก้ไขปัญหา (Solve the Problem): สำหรับวิทยฐานะชำนาญการ สามารถรับรู้ปัญหาและแก้ไขปัญหาในการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาได้.1
- ริเริ่ม พัฒนา (Originate and Improve): สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สามารถริเริ่ม พัฒนางานบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้.1
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน (Invent and Transform): สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ สามารถคิดค้น พัฒนานวัตกรรมทางการบริหาร และปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้คุณภาพการศึกษาสูงขึ้น เป็นแบบอย่างและให้คำปรึกษาผู้อื่นได้.1
- สร้างการเปลี่ยนแปลง (Create an Impact): สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ สามารถพัฒนานวัตกรรม เผยแพร่ ขยายผล จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงวิชาชีพ เป็นแบบอย่าง ให้คำปรึกษา และเป็นผู้นำได้.1
การที่ผู้บริหารจะแสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานตามแผนพัฒนา (ด้านที่ 1) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (ด้านที่ 2) นั้น สอดคล้องและ “ถึง” ระดับที่วิทยฐานะที่ตนเองขออย่างแท้จริง ถือเป็นกุญแจสำคัญในการประเมิน การทำความเข้าใจความหมายเชิงปฏิบัติของแต่ละระดับจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
คู่มือฉบับนี้จะนำเสนอแนวทางเชิงปฏิบัติอย่างละเอียด ตั้งแต่การวางแผนระยะยาว การจัดทำรายงานด้านที่ 1 การผลิตสื่อวิดีทัศน์สำหรับด้านที่ 1 และ 2 ตลอดจนการวางแผนเก็บรวบรวมผลงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถเตรียมความพร้อมและนำเสนอผลการปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ว 10/2564 และบรรลุเป้าหมายความก้าวหน้าในวิทยฐานะตามที่มุ่งหวัง
ส่วนที่ 1: การถอดรหัสรายงานด้านที่ 1 การเขียนแผนพัฒนายุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ
รายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมทางการบริหาร (ด้านที่ 1) ในรูปแบบไฟล์ PDF ถือเป็นเอกสารหลักที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องจัดทำเพื่อเสนอขอรับการประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564.1 รายงานฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวบรวมผลงาน แต่เป็นการนำเสนอเรื่องราว (Narrative) ของการพัฒนาสถานศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริหาร ซึ่งต้องสะท้อนให้เห็นถึงทักษะการวางแผน กลยุทธ์ การใช้นวัตกรรม และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสอดคล้องกับ “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน
1.1 การเชื่อมโยงจาก PA สู่รายงานเล่มหลัก: หัวใจคือ “ประเด็นท้าทาย”
จุดเริ่มต้นและแกนกลางของรายงาน PDF ด้านที่ 1 คือ “ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา” ซึ่งปรากฏอยู่ในแบบข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA 1/บส) ที่ผู้บริหารได้จัดทำและเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในแต่ละปีงบประมาณ.1 ประเด็นท้าทายนี้ไม่ใช่เพียงหัวข้อโครงการ แต่เป็นโจทย์สำคัญที่ผู้บริหารมุ่งมั่นจะดำเนินการเพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา โดยต้องสะท้อน “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ (หรือสูงกว่า) อย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น:
ผู้บริหารที่ยังไม่มีวิทยฐานะ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ ปรับประยุกต์ แนวทางการบริหารจัดการที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบริบทของสถานศึกษาตนเอง.1
ผู้บริหารวิทยฐานะชำนาญการ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ แก้ไขปัญหา ที่เป็นรูปธรรมซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียน ครู หรือสถานศึกษา.1
ผู้บริหารวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ ริเริ่ม พัฒนา สิ่งใหม่ๆ หรือปรับปรุงกระบวนการเดิมให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.1
ผู้บริหารวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ คิดค้น ปรับเปลี่ยน นวัตกรรมหรือแนวทางปฏิบัติที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และสามารถเป็นแบบอย่างได้.1
ผู้บริหารวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ประเด็นท้าทายควรมุ่งแสดงให้เห็นถึงการ สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่ยั่งยืน สามารถขยายผลและส่งผลกระทบต่อวงวิชาชีพ.1
การเลือกและกำหนดประเด็นท้าทายที่มีคุณภาพ:
การเลือกประเด็นท้าทายที่มีคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการทำ PA ถือเป็นบันไดขั้นแรกสู่ความสำเร็จในการประเมิน ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- ความสำคัญ (Significance): เป็นประเด็นปัญหาหรือโอกาสในการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียน ครู หรือสถานศึกษาอย่างแท้จริง
- ความสอดคล้อง (Alignment): สอดคล้องกับบริบท สภาพปัญหา หรือจุดเน้นของสถานศึกษา รวมถึงนโยบายของส่วนราชการและกระทรวงศึกษาธิการ.1
- ความเป็นไปได้ (Feasibility): สามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้ภายในกรอบเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่
- การวัดผล (Measurability): สามารถกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ) ที่ชัดเจนและวัดผลได้.1
- ความท้าทาย (Challenge): มีความท้าทายเหมาะสมกับระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามวิทยฐานะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเกินไป หรือเป็นงานประจำตามปกติ
การออกแบบ PA และประเด็นท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง:
เพื่อให้รายงานด้านที่ 1 มีความลุ่มลึกและแสดงพัฒนาการที่ชัดเจน การออกแบบ PA และการเลือก “ประเด็นท้าทาย” ควรมีลักษณะเป็น “ยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง” (Strategic Continuity) ตลอดระยะเวลา 3 ปีงบประมาณที่คุณสมบัติกำหนดให้ต้องมีผล PA ผ่านเกณฑ์ย้อนหลัง.1 แทนที่จะเลือกประเด็นท้าทายที่ไม่เกี่ยวข้องกันในแต่ละปี ควรวางแผนให้ประเด็นท้าทายในแต่ละปีมีความเชื่อมโยง ต่อยอด หรือขยายผลซึ่งกันและกัน เช่น ปีแรกอาจเน้นการ “แก้ไขปัญหา” พื้นฐาน ปีที่สองอาจ “ริเริ่ม พัฒนา” แนวทางใหม่จากผลปีแรก และปีที่สามอาจ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” เป็นนวัตกรรมที่ยั่งยืน หรือขยายผล. การนำเสนอผลงานที่เกิดจาก PA ที่เชื่อมโยงกันเช่นนี้ จะช่วยแสดงให้กรรมการเห็นถึงพัฒนาการของผู้บริหาร การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพสถานศึกษาอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติที่คาดหวังที่สูงขึ้นตามวิทยฐานะได้ดีกว่าการนำเสนอโครงการเดี่ยวๆ ที่ไม่ต่อเนื่องกัน.1
1.2 กลยุทธ์การเขียนรายงาน PDF ให้ตรงใจกรรมการ (เจาะลึก 8 ตัวชี้วัด จาก PA 4/บส)
เมื่อมีประเด็นท้าทายที่ชัดเจนและแผนการดำเนินงาน (ซึ่งสะท้อนอยู่ใน PA ส่วนที่ 1 และ 2 ของแต่ละปี) ขั้นตอนต่อไปคือการเรียบเรียง “รายงานผลการดำเนินการ” ให้เป็นเอกสาร PDF ที่สมบูรณ์ เครื่องมือสำคัญที่ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจคือ “แบบประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2” (PA 4/บส) ซึ่งเป็นแบบประเมินที่คณะกรรมการจะใช้ในการพิจารณาให้คะแนน.1 แบบประเมินนี้มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยตามสังกัด (สพฐ., อาชีวศึกษา, กศน.) แต่มีโครงสร้างหลักร่วมกัน โดยด้านที่ 1 (ทักษะการวางแผนฯ) มีคะแนนเต็ม 40 คะแนน แบ่งเป็น 8 ตัวชี้วัด และด้านที่ 2 (ผลลัพธ์ฯ) มีคะแนนเต็ม 20 คะแนน แบ่งเป็น 4 ตัวชี้วัด.1
การเขียนรายงาน PDF ที่มีประสิทธิภาพ ควรมุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่ตอบโจทย์ “เกณฑ์การพิจารณาผลการปฏิบัติ” 5 ข้อ ซึ่งระบุไว้สำหรับแต่ละตัวชี้วัดทั้ง 8 ตัวในด้านที่ 1 ของแบบประเมิน PA 4/บส.1 แต่ละตัวชี้วัดมีคะแนนเต็ม 5 คะแนน โดยกรรมการจะให้คะแนนตาม Rubric ที่กำหนด.1 การเขียนรายงานจึงต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ หรือนวัตกรรมที่นำเสนอนั้น บรรลุเกณฑ์การพิจารณาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสะท้อนให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามวิทยฐานะที่ขอ
เจาะลึกการเขียนเนื้อหาให้ตอบโจทย์ 8 ตัวชี้วัด (ด้านที่ 1):
- ตัวชี้วัดที่ 1: มุ่งผลลัพธ์ผู้เรียนเป็นสำคัญ (Focus on Student Outcomes)
- เกณฑ์หลัก: ส่งเสริมผู้เรียน (ด้านการเรียนรู้/พัฒนาการ/คุณลักษณะ/สุขภาวะ), ผู้เรียนเป็นเป้าหมายโดยตรง, ดำเนินการตรงจุด/ตรงความต้องการ.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่าแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรมที่ทำนั้น มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาอะไรของผู้เรียนโดยตรง? มีการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) ของผู้เรียนก่อนเริ่มดำเนินการหรือไม่? ยกตัวอย่างรูปธรรมของการดำเนินการที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- ชำนาญการ (แก้ไขปัญหา): แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของผู้เรียน เช่น ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปัญหาพฤติกรรม
- ชำนาญการพิเศษ (ริเริ่ม พัฒนา): แสดงการริเริ่มกิจกรรม/วิธีการใหม่ๆ ที่ส่งเสริมผู้เรียนในด้านที่กว้างขึ้น หรือพัฒนากระบวนการเดิมให้ดีขึ้น
- เชี่ยวชาญ (คิดค้น ปรับเปลี่ยน): แสดงการคิดค้นหรือประยุกต์ใช้วิธีการใหม่ๆ ที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อส่งเสริมผู้เรียนอย่างรอบด้าน หรือแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจนได้ผลดียิ่งขึ้น
- เชี่ยวชาญพิเศษ (สร้างการเปลี่ยนแปลง): แสดงนวัตกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อผู้เรียน อาจเป็นที่ยอมรับและนำไปขยายผล
- ตัวชี้วัดที่ 2: มุ่งคุณภาพหลักสูตรและคุณภาพผู้เรียน (Focus on Curriculum and Student Quality)
- เกณฑ์หลัก: ปรับปรุง/พัฒนาหลักสูตร/กิจกรรม/สื่อ, สร้างความรู้/ประสบการณ์ใหม่, สอดคล้องกับสภาพผู้เรียน/บริบท.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่ามีการดำเนินการเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา (การพัฒนา, การนำไปใช้, การประเมินผล) หรือการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร หรือการพัฒนา/นำสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีมาใช้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ๆ ให้ผู้เรียนได้อย่างไร? และมีความเหมาะสมกับนักเรียนและโรงเรียนหรือไม่?
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการปรับปรุงเนื้อหา/กิจกรรม/สื่อ เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ในบางจุด หรือทำให้หลักสูตรสอดคล้องกับบริบทมากขึ้น
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการริเริ่มพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น/หลักสูตรบูรณาการ หรือนำสื่อ/เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้อย่างเป็นระบบ
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้นรูปแบบหลักสูตร/กิจกรรม/สื่อการสอนใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของหลักสูตรเดิม
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงนวัตกรรมหลักสูตร/การสอนที่ได้รับการยอมรับ สามารถเผยแพร่และสร้างแรงบันดาลใจให้สถานศึกษาอื่น
- ตัวชี้วัดที่ 3: มุ่งพัฒนาสมรรถนะของครู และผู้เรียน (Focus on Teacher and Student Competencies)
- เกณฑ์หลัก: เสริมสร้างสมรรถนะจากการปฏิบัติจริง, ครูได้รับการพัฒนาสมรรถนะ (การสอน/การทำงาน), ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสมรรถนะตามหลักสูตร.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่าแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรมที่ทำ ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะ (Competencies) ที่จำเป็นของครู (เช่น สมรรถนะการจัดการเรียนรู้, การวัดประเมินผล, การใช้เทคโนโลยี) และผู้เรียน (เช่น สมรรถนะหลักตามหลักสูตร, ทักษะศตวรรษที่ 21) อย่างไร? เน้นการพัฒนาที่เกิดจากการลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่การอบรม
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการจัดกิจกรรม/อบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อแก้ปัญหา/พัฒนาสมรรถนะครูหรือผู้เรียนในจุดที่ยังบกพร่อง
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการริเริ่มโครงการพัฒนาสมรรถนะครู/ผู้เรียนอย่างเป็นระบบ หรือใช้แนวทางใหม่ๆ เช่น Coaching, PLC, Project-Based Learning
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้นรูปแบบ/เครื่องมือในการพัฒนาสมรรถนะครู/ผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพสูง หรือการบูรณาการการพัฒนาสมรรถนะเข้ากับกระบวนการทำงานปกติ
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงนวัตกรรมในการพัฒนาสมรรถนะที่ส่งผลกระทบสูง สามารถเป็นต้นแบบและขยายผลได้
- ตัวชี้วัดที่ 4: มุ่งพัฒนาครู โดยใช้ระบบให้คำปรึกษา ชี้แนะ (Focus on Teacher Development via Mentoring/Coaching)
- เกณฑ์หลัก: ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้, เป็นผู้ชี้แนะ/ให้คำปรึกษา, เป็นผู้นำ PLC.1
- แนวทางการเขียน: แสดงบทบาทของผู้บริหารในการเป็นโค้ช (Coach) หรือพี่เลี้ยง (Mentor) ให้กับครูอย่างไร? มีการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในโรงเรียน และมีบทบาทนำในการขับเคลื่อน PLC อย่างไร? มีกระบวนการสังเกตการสอนและให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) แก่ครูหรือไม่?
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการให้คำปรึกษา/ชี้แนะครูเพื่อแก้ปัญหาการสอนเฉพาะหน้า หรือการเริ่มต้นจัดตั้งกลุ่ม PLC
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการสร้างระบบ Coaching/Mentoring ที่ชัดเจน หรือการขับเคลื่อน PLC อย่างต่อเนื่องจนเห็นผล
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้นรูปแบบ/กระบวนการ PLC หรือ Coaching ที่มีประสิทธิภาพ หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ครูช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนา
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงให้เห็นว่าระบบการพัฒนาครูผ่าน PLC/Coaching ของสถานศึกษาสามารถเป็นต้นแบบให้สถานศึกษาอื่นได้
- ตัวชี้วัดที่ 5: มุ่งพัฒนาระบบและกระบวนการทำงาน (Focus on System and Process Development)
- เกณฑ์หลัก: วิเคราะห์/ออกแบบกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ, พัฒนาคุณภาพระบบงานต่อเนื่อง, ระบบงานมีความยั่งยืน.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่ามีการวิเคราะห์ ปรับปรุง หรือพัฒนาระบบงานต่างๆ ในสถานศึกษา (เช่น ระบบสารสนเทศ, ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน, ระบบประกันคุณภาพ, ระบบการเงิน/พัสดุ) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไร? มีการกำหนดขั้นตอน วิธีปฏิบัติที่ชัดเจนหรือไม่? การพัฒนานั้นส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้นและยั่งยืนอย่างไร?
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการปรับปรุงขั้นตอนการทำงานบางอย่างเพื่อลดความซ้ำซ้อน หรือแก้ปัญหาคอขวดในกระบวนการ
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการริเริ่มนำระบบงานใหม่ๆ (อาจเป็นระบบ IT หรือ Manual) เข้ามาใช้ หรือพัฒนาระบบงานเดิมให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้น/ออกแบบระบบงานใหม่ที่บูรณาการหลายส่วนเข้าด้วยกัน หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงานขององค์กร
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงให้เห็นว่าระบบงานที่พัฒนาขึ้นเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นได้ และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสถานศึกษา
- ตัวชี้วัดที่ 6: มุ่งนวัตกรรมการทำงานอย่างสร้างสรรค์ (Focus on Creative Work Innovation)
- เกณฑ์หลัก: เป้าหมายการพัฒนาชัดเจน, สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้, นำนวัตกรรม/เครื่องมือบริหารมาประยุกต์ใช้.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่ามีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสถานศึกษาไปสู่ทิศทางใด? มีการส่งเสริมบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในองค์กรอย่างไร? ได้นำแนวคิด/เครื่องมือ/นวัตกรรมทางการบริหารจัดการ (เช่น TQM, BSC, KM, Design Thinking) มาปรับใช้อย่างไร?
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการนำเครื่องมือบริหารพื้นฐานมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะจุด หรือการส่งเสริมให้ครูทดลองวิธีการใหม่ๆ
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการนำนวัตกรรม/เครื่องมือบริหารมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับคุณภาพสถานศึกษา หรือการสร้างโครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้น/พัฒนานวัตกรรมทางการบริหารที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นนวัตกรรมอย่างแท้จริง
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นส่งผลกระทบสูงต่อคุณภาพสถานศึกษา และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
- ตัวชี้วัดที่ 7: มุ่งระดมทรัพยากร เครือข่าย และความร่วมมือ (Focus on Resource Mobilization, Networks, and Collaboration)
- เกณฑ์หลัก: ประสานความร่วมมือ (ผู้ปกครอง/ชุมชน), ใช้เครือข่ายระดมทรัพยากร/ความร่วมมือ (ภายนอก), สถานศึกษาได้รับประโยชน์.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่ามีวิธีการสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง ชุมชน และองค์กรภายนอก (เช่น สถานประกอบการ, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐ/เอกชน) อย่างไร? มีการใช้เครือข่ายเหล่านี้ในการระดมทรัพยากร (งบประมาณ, วัสดุ, บุคลากร, ความรู้) หรือสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถานศึกษาและผู้เรียนอย่างไรบ้าง? ยกตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการประสานงานกับผู้ปกครอง/ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือการขอรับการสนับสนุนทรัพยากรพื้นฐาน
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือใหม่ๆ หรือการพัฒนากิจกรรมความร่วมมือที่มีอยู่เดิมให้เป็นระบบและเกิดประโยชน์มากขึ้น
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้นรูปแบบความร่วมมือใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) หรือการบูรณาการเครือข่ายเข้ากับการจัดการเรียนการสอน/บริหารสถานศึกษาอย่างลึกซึ้ง
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายความร่วมมือที่สร้างขึ้นมีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นต้นแบบในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาได้
- ตัวชี้วัดที่ 8: มุ่งสร้างภาวะผู้นำร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Focus on Shared Leadership among Stakeholders)
- เกณฑ์หลัก: ทำงานเป็นทีม/เรียนรู้ร่วมกัน, เน้นการมีส่วนร่วม, แสดงภาวะผู้นำในการเปลี่ยนแปลง.1
- แนวทางการเขียน: อธิบายว่ามีกระบวนการทำงานที่ส่งเสริมให้ครู บุคลากร ผู้เรียน ผู้ปกครอง หรือชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและขับเคลื่อนการพัฒนาสถานศึกษาอย่างไร? มีการกระจายอำนาจ หรือสร้างทีมนำ (Leading Team) ในการดำเนินงานหรือไม่? ผู้บริหารแสดงบทบาทผู้นำในการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
การเชื่อมโยงระดับปฏิบัติ:
- แก้ไขปัญหา: แสดงการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาแสดงความคิดเห็น หรือการมอบหมายงานให้ทีมครูรับผิดชอบมากขึ้น
- ริเริ่ม พัฒนา: แสดงการสร้างกลไก/โครงสร้างการมีส่วนร่วมที่ชัดเจน (เช่น คณะกรรมการชุดต่างๆ) หรือการพัฒนาทีมครูให้มีภาวะผู้นำ
- คิดค้น ปรับเปลี่ยน: แสดงการคิดค้นรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่เหมาะสมกับบริบท หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของและร่วมกันขับเคลื่อน
- สร้างการเปลี่ยนแปลง: แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นำร่วมที่สร้างขึ้นส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็งขององค์กร
การมุ่งสู่คะแนนที่สูงกว่า: กุญแจสู่การผ่านเกณฑ์
เกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับสำหรับแต่ละตัวชี้วัด 1 บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า กรรมการไม่ได้ประเมินเพียงว่า “ทำหรือไม่ทำ” (ซึ่งอาจได้คะแนน 3 คือ ปฏิบัติได้ตามระดับที่คาดหวัง) แต่ประเมิน “คุณภาพ” และ “ระดับความสำเร็จ” ที่สอดคล้องกับวิทยฐานะที่ขอ โดยคะแนน 4 หมายถึง “ปฏิบัติได้สูงกว่าระดับที่คาดหวัง” และคะแนน 5 หมายถึง “ปฏิบัติได้สูงกว่าระดับที่คาดหวังมาก” (ตาม Rubric เดิม แต่ในแบบประเมินจริงใช้ 1-5 โดย 5 คือสูงสุด)
เนื่องจากเกณฑ์การตัดสินกำหนดคะแนนผ่านที่สูงขึ้นสำหรับวิทยฐานะที่สูงขึ้น (ชำนาญการ 65%, ชำนาญการพิเศษ 70%, เชี่ยวชาญ 75%, เชี่ยวชาญพิเศษ 80%) 1, การเขียนรายงานเพียงเพื่อให้ครบองค์ประกอบตามมาตรฐาน (ระดับคะแนน 3) อาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ขอวิทยฐานะชำนาญการพิเศษขึ้นไป ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นนำเสนอผลงานและหลักฐานที่สะท้อนการปฏิบัติที่โดดเด่น มีความริเริ่ม สร้างสรรค์ หรือสร้างผลกระทบที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับ “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ที่สูงขึ้น (เช่น การริเริ่มพัฒนา, การคิดค้นปรับเปลี่ยน) เพื่อให้มีโอกาสได้รับคะแนนในระดับ 4 หรือ 5 มากขึ้น และสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินที่ท้าทายได้สำเร็จ
1.3 ตัวอย่างโครงสร้างรายงาน (PDF) และการร้อยเรียงหลักฐาน
เพื่อให้รายงาน PDF ด้านที่ 1 มีความสมบูรณ์ ชัดเจน และง่ายต่อการประเมิน ควรมีการจัดโครงสร้างเนื้อหาที่เป็นระบบ และมีเทคนิคการนำเสนอหลักฐานที่กระชับแต่ทรงพลัง
โครงสร้างรายงานที่แนะนำ:
แม้ ก.ค.ศ. ไม่ได้กำหนดรูปแบบตายตัว แต่โครงสร้างที่คล้ายคลึงกับรายงานการวิจัยหรือรายงานผลโครงการ จะช่วยให้การนำเสนอเป็นระบบและครอบคลุมประเด็นสำคัญได้ดี โครงสร้างที่แนะนำประกอบด้วย:
บทที่ 1 บทนำ (Introduction):
- ความเป็นมาและความสำคัญ: อธิบายบริบทของสถานศึกษา สภาพปัญหา หรือโอกาสในการพัฒนาที่นำมาสู่การกำหนด “ประเด็นท้าทาย” (เชื่อมโยงจาก PA ส่วนที่ 2) ชี้ให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน
- วัตถุประสงค์ของการพัฒนา: ระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สอดคล้องกับประเด็นท้าทาย และสามารถวัดผลได้ (ควรสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่คาดหวังใน PA)
- นิยามศัพท์ (ถ้าจำเป็น): อธิบายคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในรายงาน
- ขอบเขตของการพัฒนา: ระบุกลุ่มเป้าหมาย (ผู้เรียน, ครู), พื้นที่ดำเนินการ, และระยะเวลา
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และนวัตกรรม/กลยุทธ์ที่ใช้ (Conceptual Framework and Methodology):
- แนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: สรุปสาระสำคัญของแนวคิด หลักการ หรือทฤษฎีทางการบริหาร การจัดการเรียนรู้ หรือการพัฒนาคุณภาพ ที่นำมาใช้เป็นฐานในการออกแบบแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรม
- รายละเอียดของนวัตกรรม/กลยุทธ์/เครื่องมือ: อธิบายลักษณะสำคัญ ขั้นตอนการทำงาน หรือองค์ประกอบของนวัตกรรม กลยุทธ์ หรือเครื่องมือที่ผู้บริหารนำมาใช้ในการดำเนินการตามประเด็นท้าทาย (ส่วนนี้สำคัญมากในการแสดงให้เห็นถึง “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” เช่น เป็นการปรับประยุกต์, การแก้ไขปัญหา, การริเริ่มพัฒนา, หรือการคิดค้นปรับเปลี่ยน)
บทที่ 3 วิธีดำเนินการพัฒนา (Implementation Process):
- ขั้นตอนการดำเนินงาน: อธิบายลำดับขั้นตอนในการนำแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรมไปปฏิบัติอย่างละเอียด ตั้งแต่การเตรียมการ การดำเนินงาน การนิเทศติดตาม
- กลุ่มเป้าหมาย: ระบุรายละเอียดกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมหรือได้รับผลจากการพัฒนา
- ระยะเวลาและทรัพยากร: ระบุช่วงเวลาในการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน และทรัพยากร (งบประมาณ, บุคลากร, วัสดุ) ที่ใช้
- การมีส่วนร่วม: อธิบายบทบาทของผู้เกี่ยวข้อง (ครู, นักเรียน, ผู้ปกครอง, ชุมชน, เครือข่าย) ในการดำเนินงาน (ส่วนนี้ใช้แสดงหลักฐานตอบโจทย์ตัวชี้วัดด้านที่ 1 ข้อ 7 และ 8 ได้ดี)
- เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล/ประเมินผล: อธิบายเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามประเมินผลระหว่างดำเนินการ
บทที่ 4 ผลการดำเนินการและอภิปรายผล (Results and Discussion):
- ผลการพัฒนาตามวัตถุประสงค์: นำเสนอผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ เปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อาจนำเสนอในรูปแบบตาราง กราฟ หรือการบรรยาย ประกอบข้อมูลเชิงปริมาณ (เช่น คะแนนเฉลี่ย, ร้อยละความสำเร็จ) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (เช่น ผลการสัมภาษณ์, การสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป, ตัวอย่างผลงาน) (ผลลัพธ์ส่วนนี้ควรเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะนำเสนอในวิดีโอไฟล์ที่ 2)
- อภิปรายผล: วิเคราะห์และอธิบายว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ อย่างไร? ปัจจัยใดส่งผลต่อความสำเร็จหรือข้อจำกัด? ผลที่ได้สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับแนวคิด/ทฤษฎีที่ใช้อย่างไร?
- ข้อเสนอแนะ: เสนอแนะแนวทางการนำผลไปใช้ประโยชน์ หรือแนวทางการพัฒนาต่อยอดในอนาคต
ภาคผนวก (Appendices) (ถ้าจำเป็น):
- อาจแนบเอกสารสำคัญบางส่วนเพื่อประกอบความเข้าใจ เช่น เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลฉบับเต็ม, ตัวอย่างสื่อ/นวัตกรรม, ภาพกิจกรรมสำคัญ (เลือกเฉพาะที่จำเป็น ไม่ต้องใส่ทั้งหมด)
เทคนิคการอ้างอิงหลักฐานอย่างมีประสิทธิภาพ:
เนื่องจากระบบ DPA เน้นการส่งไฟล์ดิจิทัลและการลดภาระเอกสาร 1, การแนบหลักฐานจำนวนมากในภาคผนวกของรายงาน PDF จึงไม่ใช่วิธีที่แนะนำ แนวทางที่มีประสิทธิภาพกว่าคือ:
- สร้างระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล: จัดเก็บไฟล์หลักฐานทั้งหมด (เช่น แผนการสอน, รายงานโครงการ, ภาพถ่าย, วิดีโอสั้น, แบบประเมิน, ผลงานนักเรียน) อย่างเป็นระบบใน Cloud Storage (รายละเอียดในส่วนที่ 3)
- เขียนอ้างอิงในเนื้อหารายงาน: ในเนื้อหาส่วนที่กล่าวถึงการดำเนินการหรือผลลัพธ์ ให้เขียนอ้างอิงถึงหลักฐานที่จัดเก็บไว้ เช่น “(ดังปรากฏในรายงานการประชุม PLC กลุ่มสาระฯ ครั้งที่ 3/2569)” หรือ “(ดูภาพกิจกรรมได้ที่ Folder ‘กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ปี 69’)” หรือ “(ผลการประเมินความพึงพอใจ อยู่ในไฟล์ ‘Survey_Results_Q4_69.pdf’)”
- จัดทำบัญชีหลักฐาน (Optional but Recommended): อาจจัดทำเอกสารแยกต่างหาก (หรือเป็นส่วนหนึ่งของภาคผนวก) ที่เป็นรายการสรุปหลักฐานสำคัญทั้งหมด พร้อมระบุตำแหน่งที่จัดเก็บในระบบไฟล์ดิจิทัล เพื่อให้กรรมการสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้หากต้องการ
วิธีการนี้จะทำให้รายงาน PDF มีความกระชับ ตรงประเด็น มุ่งเน้นการวิเคราะห์และนำเสนอสาระสำคัญ ขณะเดียวกันก็ยังคงความน่าเชื่อถือ เพราะมีหลักฐานสนับสนุนที่พร้อมให้ตรวจสอบได้เสมอ
ความยาวที่เหมาะสม:
รายงาน PDF ด้านที่ 1 ควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป โดยทั่วไป ความยาวประมาณ 30-50 หน้า (ไม่รวมภาคผนวก) ถือว่าเหมาะสมสำหรับวิทยฐานะชำนาญการ ถึง ชำนาญการพิเศษ ส่วนวิทยฐานะเชี่ยวชาญขึ้นไป อาจมีความยาวมากกว่านี้ได้เล็กน้อยตามความซับซ้อนของเนื้อหา สิ่งสำคัญคือเนื้อหาต้อง กระชับ ชัดเจน ตรงประเด็นตามเกณฑ์การประเมิน และ มีคุณภาพทางวิชาการ สามารถสื่อสารให้กรรมการเข้าใจถึงทักษะ กลยุทธ์ และผลการดำเนินงานของผู้บริหารได้อย่างครบถ้วน
ส่วนที่ 2: การผลิตวิดีทัศน์ (ด้านที่ 1 และ ด้านที่ 2) การนำเสนอผลงานในยุคดิจิทัล
นอกเหนือจากรายงาน PDF แล้ว ว 10/2564 กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาต้องนำเสนอผลงานผ่านสื่อวิดีทัศน์ จำนวน 2 ไฟล์ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2.1 ไฟล์วิดีทัศน์เหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารได้แสดงความสามารถในการสื่อสาร การนำเสนอ และที่สำคัญคือ การแสดงให้เห็น “ภาพจริง” ของการปฏิบัติงานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ซึ่งแตกต่างจากการนำเสนอผ่านตัวอักษรในรายงาน การผลิตวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการประเมิน
2.1 การเตรียมการทั่วไป (Pre-Production): หัวใจคือการวางแผน
การผลิตวิดีทัศน์ที่ดีเริ่มต้นจากการวางแผนและการเตรียมการอย่างรอบคอบ เพื่อให้การถ่ายทำราบรื่นและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
การเขียนสคริปต์ (Scripting) ที่ทรงพลัง:
แม้ว่าการนำเสนอควรเป็นธรรมชาติ แต่การมีสคริปต์หรืออย่างน้อยโครงร่างการพูด (Outline) จะช่วยให้การนำเสนอมีลำดับ ชัดเจน ไม่วกวน และอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด
- วางโครงเรื่อง (Outline/Storyboard): กำหนดประเด็นหลักที่จะพูดในแต่ละช่วงเวลาอย่างชัดเจน อาจร่างเป็น Storyboard คร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมการนำเสนอ
- โครงสร้างพื้นฐาน: บทนำ ( สร้างความน่าสนใจ), เนื้อหาหลัก (อธิบายกระบวนการ/ผลลัพธ์, ยกตัวอย่าง), บทสรุป (สรุปประเด็นสำคัญ, Call to action หรือ ข้อคิด)
- เขียนเป็น “หัวข้อพูด” (Talking Points): แทนที่จะเขียนบทพูดทุกคำ ควรเขียนเป็นหัวข้อสำคัญ ประเด็นย่อย หรือ Keywords ที่จะพูด เพื่อช่วยเตือนความจำ แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติในการนำเสนอ ไม่ดูเหมือนการท่องจำ
- คำนวณเวลา: ซ้อมพูดตามหัวข้อที่เตรียมไว้พร้อมจับเวลาจริง เพื่อปรับเนื้อหาให้พอดีกับกรอบเวลาที่กำหนด (ไฟล์ที่ 1 ไม่เกิน 15 นาที, ไฟล์ที่ 2 ไม่เกิน 10 นาที).1 การพูดเร็วเกินไปอาจทำให้ฟังไม่ทัน การพูดช้าเกินไปอาจทำให้เนื้อหาไม่ครบถ้วน
- วางแผนการใช้สื่อประกอบ: สำหรับไฟล์ที่ 1 (ที่อาจใช้ PowerPoint) ให้ระบุในสคริปต์ว่าจะเปลี่ยนสไลด์เมื่อใด เนื้อหาบนสไลด์ควรสอดคล้องกับสิ่งที่พูด สำหรับไฟล์ที่ 2 (ที่อนุญาตให้ Insert ภาพ/วิดีโอ) ให้ระบุว่าจะแทรกสื่อใด ณ จุดใดของการบรรยาย เพื่อสื่อความหมายอะไร.1
การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์:
การเลือกสถานที่และเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมมีผลอย่างมากต่อคุณภาพของวิดีโอ
สถานที่ถ่ายทำ:
- ต้องเป็น สถานศึกษาที่ปฏิบัติงานจริง.1
- เลือกมุมที่สื่อถึงบริบทการทำงาน เช่น ห้องทำงาน ห้องประชุม หรือพื้นที่ในโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำเสนอ
- สภาพแวดล้อมควรเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่รกรุงรัง
- แสงสว่างเพียงพอ: ควรใช้แสงธรรมชาติ (เช่น ใกล้หน้าต่าง) หรือใช้อุปกรณ์ให้แสงสว่างช่วย เพื่อให้ภาพคมชัด ไม่มืดหรือสว่างจ้าเกินไป
- เสียงรบกวนน้อย: เลือกเวลาและสถานที่ที่เงียบสงบ หลีกเลี่ยงเสียงรบกวนจากภายนอก เช่น เสียงรถ เสียงประกาศ เสียงเด็ก.1 ฉากหลังจะต้องไม่มีบุคคลอื่นใดมาร่วมนำเสนอ.1
อุปกรณ์พื้นฐาน:
- กล้อง: ใช้กล้องวิดีโอ หรือแม้แต่ กล้องจากโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ที่มีความละเอียดสูงก็เพียงพอ.1 ต้องใช้กล้องเพียงตัวเดียว (Single video camera).1
- ไมโครโฟน: สำคัญมาก เพื่อให้เสียงพูดชัดเจน ควรใช้ไมโครโฟนแยก ไม่ใช่ไมค์จากตัวกล้องโดยตรง แนะนำ ไมโครโฟนแบบหนีบปกเสื้อ (Lavalier microphone) ทั้งแบบมีสายหรือไร้สาย จะช่วยให้เสียงพูดชัดเจนและลดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี
- ขาตั้งกล้อง (Tripod): จำเป็น เพื่อให้กล้องนิ่ง ภาพไม่สั่นไหว
- อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (Lighting): อาจใช้ Ring light หรือ Softbox หากแสงธรรมชาติไม่เพียงพอ
การตั้งค่าไฟล์:
- ประเภทไฟล์: ต้องบันทึกเป็นไฟล์ .mp4 เท่านั้น.1
- ความละเอียด: ตั้งค่าความละเอียดให้สูงพอที่ภาพและเสียงจะคมชัดเพียงพอต่อการประเมิน (เช่น Full HD 1080p).1 ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสียงไม่แตกหรือเบาจนเกินไป
2.2 การผลิตวิดีทัศน์ ไฟล์ที่ 1 (นำเสนอด้านที่ 1 – ไม่เกิน 15 นาที): ท้าทายด้วย One-Take
ไฟล์วิดีทัศน์ไฟล์แรกนี้เป็นการนำเสนอ “การพัฒนาสถานศึกษา กลยุทธ์ การใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมทางการบริหาร” ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับรายงาน PDF ด้านที่ 1 มีความยาว ไม่เกิน 15 นาที และมีข้อกำหนดทางเทคนิคที่เข้มงวดเป็นพิเศษ.1
ทำความเข้าใจข้อจำกัดที่ท้าทาย:
ข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดของไฟล์นี้คือ ต้องเป็นการบันทึกแบบ One-Take recording หมายถึง ถ่ายทำต่อเนื่องครั้งเดียว ห้ามหยุดพัก ห้ามตัดต่อ (Un-Editing).1 นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามอื่นๆ คือ:
- ไม่มีส่วนนำ (No Title): ห้ามมีชื่อเรื่อง ชื่อผู้จัดทำ หรือโลโก้ใดๆ ปรากฏในช่วงต้นหรือท้ายวิดีโอ
- ไม่มีดนตรีประกอบหรือสอดแทรก (No Music)
- ไม่มีการแต่งเติมภาพ (No effect): ห้ามใช้เทคนิคพิเศษทางภาพหรือเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อจำกัดเหล่านี้มีนัยสำคัญ เพราะเป็นการวัดความสามารถในการนำเสนอ การสื่อสาร และการคิดวิเคราะห์ของผู้บริหารภายใต้สภาวะจริง ไม่ใช่การนำเสนอที่ผ่านการตัดต่อปรุงแต่งจนสมบูรณ์แบบ กรรมการต้องการเห็น “ภาวะผู้นำ” และ “ทักษะการสื่อสาร” ที่แท้จริงภายใต้แรงกดดัน ซึ่งสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าได้.1
เทคนิคการนำเสนอภายใต้ข้อจำกัด:
การซ้อม การซ้อม และการซ้อม: คือกุญแจสำคัญที่สุดในการถ่ายทำแบบ One-Take
- ซ้อมพูดหน้ากล้องจริงหลายๆ ครั้ง อาจบันทึกวิดีโอการซ้อมเพื่อดูข้อบกพร่องและปรับปรุง
- ซ้อมจับเวลาจริงให้แม่นยำ เพื่อให้เนื้อหาครบถ้วนใน 15 นาที
- ซ้อมจนรู้สึกคล่อง มั่นใจ และสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ติดขัด
ภาษากายและน้ำเสียง:
- การสบตากล้อง (Eye Contact): มองที่เลนส์กล้องเหมือนกำลังพูดคุยกับกรรมการโดยตรง สร้างความเชื่อมโยงและความน่าเชื่อถือ
- ท่าทาง (Posture & Gestures): ยืนหรือนั่งตัวตรง แสดงท่าทางประกอบการพูดอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็งหรือแสดงท่าทางมากเกินไป
- น้ำเสียง (Tone of Voice): พูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน มีพลัง มีจังหวะจะโคน ไม่เร่งรีบหรือเนิบนาบเกินไป สื่อสารความกระตือรือร้นและความมั่นใจ
การใช้สื่อนำเสนอประกอบ (PowerPoint, Keynote, Google Slides):
อนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำ One-Take ไม่ใช่การมาใส่เพิ่มทีหลัง.1 อาจใช้วิธีฉายขึ้นจอโปรเจกเตอร์ด้านหลัง หรือแสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์/แท็บเล็ตที่อยู่ในเฟรมกล้อง หรืออาจใช้เทคนิค Picture-in-Picture (หากทำได้โดยไม่ตัดต่อวิดีโอหลัก)
การออกแบบสไลด์:
- เน้นภาพและ Keywords: ใช้ภาพถ่าย กราฟิก Infographic หรือคำสำคัญสั้นๆ เป็นหลัก เพื่อดึงดูดความสนใจและช่วยเสริมความเข้าใจ.1
- ลดทอนข้อความ: หลีกเลี่ยงสไลด์ที่มีแต่ตัวหนังสือยาวๆ เพราะผู้นำเสนอควรเป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก ไม่ใช่ผู้อ่านสไลด์
- ความสอดคล้อง: เนื้อหาบนสไลด์ต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กับสิ่งที่กำลังพูด ณ ขณะนั้น
- จังหวะการเปลี่ยนสไลด์: ผู้พูดต้องควบคุมการเปลี่ยนสไลด์ด้วยตนเอง (หรือมีผู้ช่วยที่ซ้อมจังหวะมาอย่างดี) ให้ราบรื่น ไม่ติดขัด หรือผิดจังหวะกับเนื้อหาที่พูด
โครงสร้างเนื้อหา 15 นาที (ตัวอย่างการจัดสรรเวลา):
โครงสร้างนี้เป็นเพียงแนวทาง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของเนื้อหา
(นาทีที่ 0-2) บทนำ:
- แนะนำตนเอง (ชื่อ-สกุล, ตำแหน่ง, สถานศึกษา)
- กล่าวถึงชื่อแผนพัฒนา/กลยุทธ์/นวัตกรรม ที่จะนำเสนอ (ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นท้าทายใน PA)
- อธิบายสภาพปัญหา ความสำคัญ หรือแรงบันดาลใจที่นำมาสู่การพัฒนานี้ (สร้างความน่าสนใจ)
(นาทีที่ 2-10) เนื้อหาหลัก: กระบวนการและแนวคิด:
- อธิบายแนวคิด/หลักการ/ทฤษฎี หรือรายละเอียดของกลยุทธ์/เครื่องมือ/นวัตกรรมที่นำมาใช้ (แสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจ และระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง)
- บรรยายขั้นตอน/กระบวนการดำเนินงานตามแผนที่ได้วางไว้ (แสดงทักษะการวางแผนและการจัดการ)
- สอดแทรกการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกับ 8 ตัวชี้วัดด้านที่ 1 (เช่น การพัฒนาครูผ่าน PLC, การสร้างเครือข่าย, การพัฒนาระบบงาน)
- เน้นบทบาทของตนเองในฐานะผู้นำในการขับเคลื่อน
(นาทีที่ 10-14) ผลที่คาดหวังและปัจจัย:
- สรุปผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา (เป็นการปูทางไปสู่วิดีโอไฟล์ที่ 2)
- อาจกล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ หรือข้อจำกัด/ความท้าทายที่พบระหว่างดำเนินการ (แสดงการวิเคราะห์และการเรียนรู้)
(นาทีที่ 14-15) บทสรุป:
- สรุปย้ำประเด็นสำคัญ หรือ Key Message ที่ต้องการสื่อสาร
- กล่าวขอบคุณคณะกรรมการ
2.3 การผลิตวิดีทัศน์ ไฟล์ที่ 2 (นำเสนอผลลัพธ์ด้านที่ 2 – ไม่เกิน 10 นาที): Show, Don’t Tell
ไฟล์วิดีทัศน์ที่สองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ “ผลลัพธ์ในการพัฒนาการบริหารสถานศึกษา” ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการตามแผน/กลยุทธ์/นวัตกรรมที่นำเสนอในไฟล์แรกและรายงาน PDF.1 มีความยาว ไม่เกิน 10 นาที และมีข้อกำหนดทางเทคนิคที่ผ่อนคลายกว่าไฟล์แรกเล็กน้อย แต่ยังคงมีข้อจำกัดที่ต้องปฏิบัติตาม.1
ทำความเข้าใจข้อจำกัดและข้ออนุญาต:
- ข้อห้าม: ยังคงห้ามมีส่วนนำ (Title), ห้ามมีดนตรีประกอบ, และห้ามมีเสียงพิเศษที่สร้างขึ้น (No sound effect).1
- ข้ออนุญาต: อนุญาตให้ สอดแทรก (Insert) ภาพนิ่ง หรือ ภาพเคลื่อนไหว เข้ามาระหว่างการบรรยายได้.1 การอนุญาตนี้คือจุดสำคัญที่ทำให้วิดีโอไฟล์นี้แตกต่างจากไฟล์แรก และเปิดโอกาสให้ “แสดง” หลักฐานเชิงประจักษ์ แทนที่จะ “บอกเล่า” เพียงอย่างเดียว
เทคนิคการนำเสนอผลลัพธ์ให้น่าเชื่อถือ:
วิดีโอไฟล์นี้คือ “เวทีพิสูจน์” ผลลัพธ์ที่อ้างไว้ การนำเสนอจึงต้องเน้นความน่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
การเล่าเรื่อง (Storytelling): แทนที่จะนำเสนอข้อมูลดิบหรือสถิติเพียงอย่างเดียว ควรใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อทำให้ผลลัพธ์มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ เช่น เล่าเรื่องความสำเร็จของนักเรียนที่ได้รับการพัฒนา เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของครู หรือเล่าเรื่องบรรยากาศของโรงเรียนที่ดีขึ้น
ใช้พลังของ B-Roll (ภาพ/วิดีโอสอดแทรก): การ Insert ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว (เรียกว่า B-Roll) อย่างถูกจังหวะและมีความหมาย จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้กรรมการ “เห็นภาพ” การเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด
รวบรวมฟุตเทจ: คัดเลือกภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” (Tangible Evidence) 1 เช่น:
- ภาพกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่
- ตัวอย่างผลงาน/ชิ้นงาน/โครงงานของนักเรียน (ก่อน-หลัง ถ้ามี)
- บรรยากาศการทำงานร่วมกันของครูในวง PLC
- สภาพแวดล้อมทางกายภาพของโรงเรียนที่พัฒนาขึ้น
- ภาพการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง/ชุมชน
- คลิปสั้นๆ (ไม่มีเสียงประกอบ) ของบรรยากาศในห้องเรียนที่เปลี่ยนไป
- (ข้อควรระวัง: หากมีการสัมภาษณ์ ต้องแน่ใจว่าไม่มีดนตรีหรือเอฟเฟกต์ประกอบ และควรสั้นกระชับ)
- การ Insert ที่มีประสิทธิภาพ: ภาพหรือวิดีโอที่แทรกเข้ามาต้อง สอดคล้องโดยตรง กับสิ่งที่ผู้บริหารกำลังบรรยาย ณ ขณะนั้น และช่วย เสริม ให้ข้อมูลนั้นชัดเจนและหนักแน่นยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการใส่ภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือใส่มากเกินไปจนดูรกและน่าสับสน
โครงสร้างเนื้อหา 10 นาที (เชื่อมโยง 4 ตัวชี้วัด ด้านที่ 2 จาก PA 4/บส):
โครงสร้างควรเน้นการนำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยอ้างอิงกับ 4 ตัวชี้วัดในด้านที่ 2 ของแบบประเมิน PA 4/บส.1
(นาทีที่ 0-1) บทนำ:
- ทบทวนสั้นๆ ถึงเป้าหมาย/วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาที่นำเสนอในด้านที่ 1
- เกริ่นนำว่าจะนำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการนั้นๆ
(นาทีที่ 1-3) ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.2):
- นำเสนอการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน อย่างเป็นรูปธรรม
- ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ (เช่น ผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้น, จำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์) ประกอบกับข้อมูลเชิงคุณภาพ (เช่น ตัวอย่างพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป, ทักษะที่เพิ่มขึ้น, ความสุขในการเรียนรู้)
- Insert B-Roll: ภาพผลงานนักเรียน, กราฟแสดงผลสัมฤทธิ์, คลิปสั้นๆ ของนักเรียนขณะทำกิจกรรม
(นาทีที่ 3-5) ผลลัพธ์ที่เกิดกับครู (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.3):
- นำเสนอการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับครู ทั้งด้านทักษะการสอน การทำงานร่วมกัน หรือทัศนคติ
- Insert B-Roll: ภาพครูใช้เทคนิคการสอนใหม่, บรรยากาศ PLC, ผลงานของครู
(นาทีที่ 5-8) ผลลัพธ์ที่เกิดกับสถานศึกษา (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.4):
- นำเสนอภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษา ทั้งด้านกายภาพ บรรยากาศองค์กร หรือการยอมรับจากภายนอก
- อาจรวมถึงผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ปกครองและชุมชน
- Insert B-Roll: ภาพสภาพแวดล้อมโรงเรียนที่พัฒนาขึ้น, ภาพกิจกรรมร่วมกับชุมชน, รางวัล/เกียรติบัตรที่สถานศึกษาได้รับ
(นาทีที่ 8-10) บทสรุป (เชื่อมโยงตัวชี้วัด 2.1):
- สรุปย้ำความสำเร็จของการพัฒนาเทียบกับเป้าหมาย
- เน้นย้ำว่าผลลัพธ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการของผู้บริหาร (ตามตัวชี้วัด 2.1)
- อาจกล่าวถึงความเชื่อมโยงกับ “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะ
- กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาต่อยอด หรือความยั่งยืนของผลลัพธ์
- กล่าวขอบคุณคณะกรรมการ
ข้อควรระวังในการผลิตวิดีโอไฟล์ที่ 2:
- ลิขสิทธิ์: ระมัดระวังการใช้ภาพ ฟอนต์ หรือองค์ประกอบอื่นๆ ที่อาจมีลิขสิทธิ์
- ข้อมูลส่วนบุคคล: หากมีการถ่ายภาพหรือวิดีโอที่เห็นใบหน้าบุคคลชัดเจน (โดยเฉพาะนักเรียน) ควรได้รับความยินยอมก่อนนำมาใช้
- คุณภาพเสียงบรรยาย: เสียงพูดของผู้บริหารต้องชัดเจน สม่ำเสมอ ไม่ถูกเสียงจาก B-Roll กลบ.1
- การตัดต่อ: แม้จะอนุญาตให้ Insert ภาพ/วิดีโอ แต่การตัดต่อส่วนที่เป็นการบรรยายหลักของผู้บริหารควรทำเท่าที่จำเป็น (เช่น ตัดส่วนที่พูดผิดออก) และต้องไม่ทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยน หรือดูไม่ต่อเนื่อง
การผลิตวิดีโอทั้งสองไฟล์นี้ต้องอาศัยทั้งทักษะการนำเสนอ ทักษะทางเทคนิค และความเข้าใจในเกณฑ์การประเมินอย่างลึกซึ้ง การเตรียมการที่ดีและการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถสร้างสรรค์สื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพและสร้างความประทับใจให้แก่คณะกรรมการประเมินได้
ส่วนที่ 3: ปฏิทินการเก็บรวบรวมผลงานระยะยาว (เริ่มต้น พ.ศ. 2568)
การเตรียมตัวเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564 ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติข้อสำคัญที่กำหนดให้ผู้ขอต้องมีผลการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน (หรือตามเงื่อนไขลดหย่อน).1 ดังนั้น การวางแผนเก็บรวบรวมผลงานและหลักฐานอย่างเป็นระบบในระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องการยื่นขอประเมิน จะมีข้อมูลและหลักฐานที่ครบถ้วน เพียงพอ และมีคุณภาพ สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนด
3.1 แนวคิดการเก็บหลักฐานแบบ “PA-Driven”: วางแผนจากปลายทาง
หัวใจสำคัญของการเก็บรวบรวมผลงานที่มีประสิทธิภาพตามแนวทาง ว 10/2564 คือการเริ่มต้นจากการ “ออกแบบ” ข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA 1/บส) ในแต่ละปีงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย.1 แทนที่จะทำ PA ไปตามภาระงานปกติ ควรพิจารณาถึงเป้าหมายระยะยาวในการขอเลื่อนวิทยฐานะ และออกแบบ “ประเด็นท้าทาย” (PA ส่วนที่ 2) รวมถึงระบุ “งาน (Tasks)”, “ผลลัพธ์ (Outcomes)”, และ “ตัวชี้วัด (Indicators)” (PA ส่วนที่ 1) 1 ให้สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น และสะท้อนระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะที่ต้องการขอ
เมื่อมี PA ที่ออกแบบมาอย่างดีแล้ว การเก็บหลักฐานก็จะมีทิศทางที่ชัดเจน กล่าวคือ หลักฐานที่เก็บรวบรวมในแต่ละปี ควรเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ยืนยันหรือแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จตาม “ผลลัพธ์” และ “ตัวชี้วัด” ที่ระบุไว้ใน PA ของปีนั้นๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม การเก็บหลักฐานจึงไม่ใช่การเก็บทุกอย่างที่ทำ แต่เป็นการเก็บอย่างมีจุดเน้น (Focus) และมีเป้าหมาย (Purpose-driven) โดยมี PA เป็นเข็มทิศนำทาง
3.2 ระบบการจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล (Digital Filing System): สร้างคลังสมบัติ
ในยุคที่การประเมินเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (DPA) 1 และมุ่งลดภาระเอกสาร 1, การสร้างระบบจัดเก็บไฟล์หลักฐานแบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ระบบนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การรวบรวมและจัดส่งหลักฐานผ่านระบบ DPA เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น แต่ยังเป็น “คลังสมบัติ” ที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถค้นหา อ้างอิง และดึงข้อมูลมาใช้ประกอบการเขียนรายงาน PDF หรือการผลิตสื่อวิดีทัศน์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
โครงสร้างระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่แนะนำ:
แพลตฟอร์ม: เลือกใช้บริการ Cloud Storage ที่เข้าถึงง่ายและมีความปลอดภัย เช่น Google Drive, OneDrive หรือ Dropbox ซึ่งช่วยให้เข้าถึงไฟล์ได้จากทุกที่ และป้องกันข้อมูลสูญหาย
โครงสร้าง Folder: การจัดระเบียบ Folder ที่ดีจะช่วยให้ค้นหาไฟล์ได้ง่าย ควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนและสอดคล้องกันทุกปี ตัวอย่างโครงสร้างที่แนะนำ:
- Folder หลัก (Root Folder): อาจตั้งชื่อว่า “แฟ้มพัฒนางานวิทยฐานะ_[ชื่อผู้บริหาร]”
- Folder ปีงบประมาณ: ภายใน Folder หลัก สร้าง Folder ย่อยแยกตามปีงบประมาณ เช่น “PA ปีงบประมาณ 2568”, “PA ปีงบประมาณ 2569”, “PA ปีงบประมาณ 2570”
- Folder ตามมาตรฐานตำแหน่ง (ภายในแต่ละปี): ภายใน Folder ของแต่ละปี สร้าง Folder ย่อยตาม 5 ด้านของมาตรฐานตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา 1 เพื่อจัดเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในแต่ละด้าน:
- 1_บริหารวิชาการและความเป็นผู้นำ
- 2_บริหารจัดการสถานศึกษา
- 3_บริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
- 4_บริหารงานชุมชนและเครือข่าย
- 5_พัฒนาตนเองและวิชาชีพ
- Folder ประเด็นท้าทาย (ภายในแต่ละปี): อาจสร้าง Folder แยกสำหรับเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ประเด็นท้าทาย” ใน PA ส่วนที่ 2 ของปีนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น ประเด็นท้าทาย_การยกระดับผลสัมฤทธิ์O-NET
- Folder หลักฐานการประเมิน PA (ภายในแต่ละปี): เก็บไฟล์ PA 1/บส, แบบประเมิน PA 2/บส และแบบสรุป PA 3/บส ของปีนั้นๆ ไว้ใน Folder นี้
การตั้งชื่อไฟล์ (File Naming Convention): ตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมายชัดเจน บอกเนื้อหา วันที่ หรือกิจกรรม เพื่อให้ค้นหาได้ง่าย เช่น
- รายงานประชุมPLC_กลุ่มสาระวิทย์_ครั้งที่1_15พย68.pdf
- ภาพกิจกรรม_ค่ายพัฒนาทักษะชีวิต_20-22มค69_IMG_001.jpg
- แบบนิเทศการสอน_ครูสมชาย_เทอม1_69.docx
- เกียรติบัตร_อบรมผู้นำยุคดิจิทัล_30เมย69.pdf
ประเภทไฟล์: จัดเก็บไฟล์ในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลายตามลักษณะของหลักฐาน เช่น.pdf,.docx,.xlsx,.jpg,.png,.mp4 (สำหรับคลิปวิดีโอสั้นๆ), หรืออาจเก็บเป็น Link ไปยังแหล่งข้อมูลออนไลน์ (เช่น เว็บไซต์โรงเรียน, Google Photos)
การสร้างและดูแลรักษาระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลนี้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 3 ปี จะช่วยลดภาระและความกังวลเมื่อถึงเวลาต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นขอประเมินได้อย่างมาก
3.3 ปฏิทินการดำเนินงาน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2571) สู่การยื่นประเมิน
เพื่อให้การเตรียมความพร้อมและการเก็บรวบรวมหลักฐานเป็นไปอย่างมีแบบแผนและต่อเนื่อง การกำหนดปฏิทินการดำเนินงานระยะยาว 3 ปี (12 ไตรมาส) ก่อนถึงกำหนดที่คาดว่าจะยื่นขอประเมิน (เช่น ยื่นช่วงปลายปีงบประมาณ 2571 หรือต้นปีงบประมาณ 2572) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ปฏิทินนี้จะช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภารกิจที่ต้องทำในแต่ละช่วงเวลา และประเภทของหลักฐานที่ควรจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 3 ปี จะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ (มีผล PA ผ่านเกณฑ์ 3 รอบการประเมินติดต่อกัน) 1 และมีข้อมูล/หลักฐานเพียงพอสำหรับจัดทำรายงาน PDF และสื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพ
ตารางที่ 1: ปฏิทินการเก็บรวบรวมผลงาน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2571)
| ปีงบประมาณ | ไตรมาส | ช่วงเวลา (โดยประมาณ) | ภารกิจหลัก (PA Task & Evidence Collection) | หลักฐานสำคัญที่ต้องเก็บ (ตัวอย่าง) | ข้อสังเกต / เชื่อมโยงวิทยฐานะ |
| ปีที่ 1 (2568) | Q1 | ต.ค. 67 – ธ.ค. 67 | – จัดทำ PA 1/บส ปี 68 (ออกแบบประเด็นท้าทายปีแรก ให้เชื่อมโยงเป้าหมายระยะยาว) – วิเคราะห์บริบท/สภาพปัญหา/ความต้องการ – วางแผนการดำเนินงานตาม PA – ประชุมชี้แจง/สร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง | – PA 1/บส ปี 68 (ฉบับสมบูรณ์) – ข้อมูล/รายงานการวิเคราะห์บริบท – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ประจำปี – รายงานการประชุมชี้แจง | – ประเด็นท้าทายต้องสะท้อนระดับปฏิบัติที่คาดหวัง (เริ่มจากระดับที่ดำรงอยู่) – เก็บข้อมูล Baseline ก่อนเริ่มดำเนินการ |
| Q2 | ม.ค. 68 – มี.ค. 68 | – เริ่มดำเนินงานตามแผน/โครงการ ที่ระบุใน PA – จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน/ครู – ดำเนินการ PLC / นิเทศภายใน – เริ่มเก็บรวบรวมหลักฐานการปฏิบัติงาน | – ภาพถ่าย/คลิปวิดีโอสั้นๆ ของกิจกรรม – รายงาน/บันทึกการประชุม PLC – แบบบันทึกการนิเทศ/ให้ข้อมูลป้อนกลับ – ตัวอย่างผลงาน/ชิ้นงาน นักเรียน/ครู (ระยะเริ่มต้น) | – เก็บหลักฐานที่แสดง “กระบวนการ” ทำงาน (เช่น การมีส่วนร่วม, การใช้ PLC) – เน้นหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ “ตัวชี้วัด” ใน PA | |
| Q3 | เม.ย. 68 – มิ.ย. 68 | – ดำเนินงานต่อเนื่อง – ติดตามความก้าวหน้า/ประเมินผลระหว่างดำเนินการ – แก้ไขปัญหา/ปรับปรุงแผน (ถ้ามี) – เข้ารับการพัฒนาตนเอง/วิชาชีพ – เก็บรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม | – รายงานความก้าวหน้าโครงการ – บันทึกการแก้ไขปัญหา/การปรับแผน – เกียรติบัตร/วุฒิบัตร/เอกสารประกอบการอบรม/สัมมนา – ผลการประเมินระหว่างทาง (ถ้ามี) | – แสดงให้เห็นถึงการติดตามและปรับปรุงงาน (Reflection & Adjustment) – หลักฐานการพัฒนาตนเอง (ด้านที่ 5) ต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนางานบริหาร | |
| Q4 | ก.ค. 68 – ก.ย. 68 | – ดำเนินงานในช่วงสุดท้าย – รวบรวม/สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ทั้งปี – จัดทำข้อมูล/หลักฐาน เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี – รับการประเมิน PA จากคณะกรรมการ – จัดเก็บผลการประเมิน PA ปี 68 | – ร่างรายงานสรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 68 – หลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงผลลัพธ์ (ตามตัวชี้วัด) – แบบประเมิน PA 2/บส (ที่กรรมการประเมิน) – แบบสรุปผล PA 3/บส (หลังประเมินเสร็จ) | – ผลการประเมิน PA ปีแรกต้องผ่านเกณฑ์ (70% จาก กก.แต่ละคน) – เริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นของประเด็นท้าทาย | |
| ปีที่ 2 (2569) | Q1 | ต.ค. 68 – ธ.ค. 68 | – จัดทำ PA 1/บส ปี 69 (ต่อยอด/ขยายผลจากปี 68 หรือกำหนดประเด็นท้าทายใหม่ที่เชื่อมโยง) – วางแผนการดำเนินงานปีที่ 2 – เริ่มดำเนินงานตาม PA ปี 69 | – PA 1/บส ปี 69 (ฉบับสมบูรณ์) – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ปี 2 | – ประเด็นท้าทายปีที่ 2 ควรก้าวหน้า/ท้าทายขึ้น – แสดงให้เห็นการนำผล/ข้อเสนอแนะจากปีแรกมาปรับปรุง |
| Q2-Q3 | ม.ค. 69 – มิ.ย. 69 | – ดำเนินงานตามแผนปีที่ 2 – จัดกิจกรรม/PLC/นิเทศ/พัฒนาตนเอง (เหมือนปี 68) – เน้นเก็บหลักฐานที่แสดง “พัฒนาการ” หรือ “ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น” จากปีแรก | – หลักฐานเหมือนปี 68 แต่เพิ่มเติม: – ผลการทดสอบ/ประเมิน ที่แสดงค่าสูงขึ้น – นวัตกรรม/รูปแบบ/แนวทาง ที่พัฒนาขึ้น – หลักฐานการยอมรับ/รางวัล (ถ้ามี) | – แสดงให้เห็นการ “ริเริ่ม พัฒนา” หรือ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน” ที่ชัดเจนขึ้น (ตามระดับที่คาดหวัง) – เปรียบเทียบผลลัพธ์กับปีแรก | |
| Q4 | ก.ค. 69 – ก.ย. 69 | – สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 69 – เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี – รับการประเมิน PA ปี 69 – จัดเก็บผลการประเมิน PA ปี 69 | – ร่างรายงานสรุปผล PA ปี 69 – หลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงผลลัพธ์ปี 2 – แบบประเมิน PA 2/บส ปี 69 – แบบสรุปผล PA 3/บส ปี 69 | – ผลการประเมิน PA ปีที่ 2 ต้องผ่านเกณฑ์ – ผลลัพธ์จากการดำเนินงาน 2 ปี ควรเห็นชัดเจนขึ้น | |
| ปีที่ 3 (2570) | Q1 | ต.ค. 69 – ธ.ค. 69 | – จัดทำ PA 1/บส ปี 70 (ต่อยอด/ขยายผล/สร้างความยั่งยืน หรือประเด็นใหม่ที่เชื่อมโยง) – วางแผนการดำเนินงานปีที่ 3 – เริ่มดำเนินงานตาม PA ปี 70 | – PA 1/บส ปี 70 (ฉบับสมบูรณ์) – แผนปฏิบัติการ/แผนงาน/โครงการ ปี 3 | – ประเด็นท้าทายปีที่ 3 อาจเน้นการสร้างผลกระทบที่กว้างขึ้น/ยั่งยืน – หากขอวิทยฐานะสูง อาจต้องแสดงการ “คิดค้น” หรือ “สร้างการเปลี่ยนแปลง” |
| Q2-Q3 | ม.ค. 70 – มิ.ย. 70 | – ดำเนินงานตามแผนปีที่ 3 – จัดกิจกรรม/PLC/นิเทศ/พัฒนาตนเอง (เหมือนปี 69) – เน้นเก็บหลักฐานที่แสดง “ผลลัพธ์สูงสุด” “ความยั่งยืน” หรือ “การขยายผล” | – หลักฐานเหมือนปี 69 แต่เพิ่มเติม: – หลักฐานการเผยแพร่/ขยายผล (บทความ, นำเสนอ, ศึกษาดูงาน) – รางวัล/การยอมรับ ในระดับที่สูงขึ้น – หลักฐานความยั่งยืน (เช่น กลายเป็นแนวปฏิบัติปกติของ รร.) | – แสดงให้เห็นผลกระทบ (Impact) ที่ชัดเจน – รวบรวมหลักฐานสำคัญสำหรับเขียนรายงาน PDF ด้านที่ 1 และทำวิดีโอ | |
| Q4 | ก.ค. 70 – ก.ย. 70 | – สรุปผลการดำเนินงานตาม PA ปี 70 (และภาพรวม 3 ปี) – เตรียมรับการประเมิน PA สิ้นปี – รับการประเมิน PA ปี 70 – เริ่มร่างรายงาน PDF ด้านที่ 1 (สรุปผล 3 ปี) – เริ่มวางโครงร่าง/เขียนสคริปต์วิดีโอ | – ร่างรายงานสรุปผล PA ปี 70 – แบบประเมิน PA 2/บส ปี 70 – แบบสรุปผล PA 3/บส ปี 70 – ร่างรายงาน PDF ด้านที่ 1 (ฉบับร่างแรก) – Storyboard/Script วิดีโอ (ร่างแรก) | – ผลการประเมิน PA ปีที่ 3 ต้องผ่านเกณฑ์ (ครบ 3 ปี) – เริ่มกระบวนการสังเคราะห์ข้อมูล 3 ปี เพื่อทำผลงานเสนอขอฯ | |
| หลังสิ้นปีที่ 3 | – | ต.ค. 70 เป็นต้นไป | – จัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1 ฉบับสมบูรณ์ – (ถ้าขอ ชช./ชชพ.) จัดทำผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3) – ถ่ายทำและผลิตวิดีโอ ไฟล์ที่ 1 (ด้านที่ 1) และ ไฟล์ที่ 2 (ด้านที่ 2) – เตรียมเอกสาร/ไฟล์ทั้งหมดให้พร้อม – ยื่นคำขอผ่านระบบ DPA (ตามรอบที่เปิดรับ) | – รายงาน PDF ด้านที่ 1 (ฉบับสมบูรณ์) – ผลงานทางวิชาการ PDF (ถ้ามี) – ไฟล์วิดีโอ.mp4 (2 ไฟล์) – ผล PA ย้อนหลัง 3 ปี (อยู่ในระบบ DPA) – เอกสารคุณสมบัติอื่นๆ | – ตรวจสอบคุณสมบัติให้ครบถ้วนก่อนยื่น – ตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของไฟล์ทั้งหมด |
หมายเหตุ:
- ตารางนี้เป็นเพียงกรอบแนวคิด ผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละท่านจำเป็นต้องปรับรายละเอียดของ “ภารกิจหลัก” และ “หลักฐานที่ต้องเก็บ” ให้สอดคล้องกับ “ประเด็นท้าทาย”, แผนงาน, บริบทของสถานศึกษา, และวิทยฐานะที่ต้องการขอรับการประเมิน
- การเก็บหลักฐานควรทำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ไม่ควรรอทำเมื่อใกล้สิ้นปีหรือใกล้ถึงเวลายื่นขอประเมิน
- ควรมีการทบทวนและประเมินความก้าวหน้าของการเก็บหลักฐานเป็นระยะๆ (เช่น ทุกสิ้นไตรมาส) เพื่อให้มั่นใจว่ามีหลักฐานเพียงพอและมีคุณภาพ
ตารางที่ 2: การแปลความหมายระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง สู่การปฏิบัติจริง (ตัวอย่าง)
เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า การปฏิบัติงานในแต่ละด้านตามมาตรฐานตำแหน่งนั้น ควรแสดงออกในระดับใดจึงจะสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะชำนาญการ (แก้ไขปัญหา), ชำนาญการพิเศษ (ริเริ่ม พัฒนา), และเชี่ยวชาญ (คิดค้น ปรับเปลี่ยน) ตารางต่อไปนี้จึงขอยกตัวอย่างการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในแต่ละระดับ
| ด้านมาตรฐานตำแหน่ง | ระดับ: ชำนาญการ (แก้ไขปัญหา – Solve the Problem) | ระดับ: ชำนาญการพิเศษ (ริเริ่ม พัฒนา – Originate & Improve) | ระดับ: เชี่ยวชาญ (คิดค้น ปรับเปลี่ยน – Invent & Transform) |
| 1. ด้านบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำฯ | – แก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ต่ำในบางกลุ่มสาระฯ โดยปรับปรุงแผนการสอน/สื่อ – ใช้ PLC เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาครูที่ไม่เข้าใจเทคนิคการสอนใหม่ | – ริเริ่มนำรูปแบบการสอน Active Learning มาใช้อย่างเป็นระบบทั้ง รร. – พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่เน้นทักษะอาชีพ/ทักษะชีวิตตามบริบทท้องถิ่น – ริเริ่มระบบนิเทศภายในแบบ Coaching | – คิดค้นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่แก้ปัญหาผู้เรียนกลุ่มพิเศษ (เช่น LD, Gifted) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ – พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่โดดเด่นจนเป็นที่ยอมรับ/เป็นต้นแบบ – เป็นที่ปรึกษา/วิทยากรด้านการพัฒนาหลักสูตร/การสอน ให้กับ รร. อื่น |
| 2. ด้านบริหารจัดการสถานศึกษา | – แก้ไขปัญหาข้อมูลนักเรียนไม่เป็นปัจจุบันโดยปรับปรุงระบบจัดเก็บ – ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน | – ริเริ่มนำระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) มาใช้ในการตัดสินใจ – พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ครอบคลุมและมีเครือข่ายผู้ปกครองเข้มแข็ง – ริเริ่มโครงการโรงเรียนปลอดภัย | – คิดค้นรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากร (งบประมาณ, บุคลากร) ที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุด – ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานภายในให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล – เป็นแบบอย่างด้านการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล |
| 3. ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ฯ | – นำนโยบาย สพฐ./ส่วนราชการ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ รร. – แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง/การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยการสื่อสารสร้างความเข้าใจ | – ริเริ่มกำหนดกลยุทธ์การพัฒนา รร. ระยะ 3 ปี ที่ชัดเจนและท้าทาย – พัฒนาโครงการ/นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ – ริเริ่มใช้เครื่องมือบริหารจัดการสมัยใหม่ (เช่น BSC, OKR) | – คิดค้นนวัตกรรม/รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่สามารถนำ รร. ก้าวข้ามวิกฤตหรือสร้างการพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้ – ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเน้นนวัตกรรม – เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร |
| 4. ด้านบริหารงานชุมชนและเครือข่าย | – แก้ไขปัญหาความสัมพันธ์กับชุมชนโดยจัดกิจกรรมพบปะ/สร้างความเข้าใจ – ประสานขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง/กรรมการสถานศึกษาในการจัดกิจกรรม | – ริเริ่มสร้างเครือข่ายความร่วมมือใหม่ๆ กับสถานประกอบการ/มหาวิทยาลัย – พัฒนารูปแบบการระดมทรัพยากรจากศิษย์เก่า/ชุมชน อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง – ริเริ่มโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน | – คิดค้นรูปแบบความร่วมมือกับชุมชน/เครือข่าย ที่สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) และยั่งยืน – ปรับเปลี่ยนบทบาท รร. ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนอย่างแท้จริง – เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา |
| 5. ด้านพัฒนาตนเองและวิชาชีพ | – เข้ารับการอบรมตามที่หน่วยงานต้นสังกัดจัด – แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนผู้บริหารเพื่อแก้ปัญหาการบริหารงาน | – ริเริ่มศึกษาหาความรู้/ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการบริหาร (เช่น ภาษา, Digital Literacy) ด้วยตนเอง – นำความรู้/นวัตกรรมที่ได้จากการพัฒนาตนเองมาปรับปรุงการบริหารงาน รร. – เป็นแกนนำ PLC ในกลุ่มผู้บริหาร | – คิดค้น/สร้างองค์ความรู้ หรือนวัตกรรมทางการบริหารจากการศึกษา/วิจัย/ปฏิบัติจริง – นำเสนอผลงาน/แนวคิดในการประชุมวิชาการ หรือเผยแพร่ในวงกว้าง – เป็นวิทยากร/พี่เลี้ยง/ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาวิชาชีพผู้บริหาร |
(หมายเหตุ: ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงแนวทาง การปฏิบัติจริงต้องพิจารณาตามบริบทและความเหมาะสม)
การเก็บหลักฐานในฐานะ “การสร้างเรื่องราว”:
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การเก็บหลักฐานไม่ใช่เพียงการสะสมเอกสารหรือไฟล์ต่างๆ ให้ได้จำนวนมาก แต่เป็นการ “สร้างเรื่องราว” (Narrative Construction) ของการพัฒนาที่ผู้บริหารได้ขับเคลื่อนตลอดระยะเวลา 3 ปี เรื่องราวนี้ต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของการดำเนินงานในแต่ละปี ความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาหรือพัฒนา การนำแนวคิด/กลยุทธ์/นวัตกรรมมาใช้อย่างเหมาะสม และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ที่สำคัญที่สุด เรื่องราวนี้ต้องสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารได้ปฏิบัติงาน “ถึง” ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามวิทยฐานะที่ขอรับการประเมินอย่างแท้จริง.1 ปฏิทินการดำเนินงานและระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่ได้นำเสนอไปนั้น คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมวัตถุดิบ และเรียงร้อยเรื่องราวการพัฒนานี้ให้มีความชัดเจน เป็นระบบ น่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินได้อย่างสมบูรณ์
บทสรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จและการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย
การเตรียมความพร้อมเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักเกณฑ์ ว 10/2564 เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักเกณฑ์อย่างถ่องแท้ การวางแผนระยะยาวอย่างเป็นระบบ และการลงมือปฏิบัติงานพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง คู่มือฉบับนี้ได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติโดยละเอียดใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การจัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1, การผลิตสื่อวิดีทัศน์สำหรับด้านที่ 1 และ 2, และการวางแผนเก็บรวบรวมผลงานระยะยาว
กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการประเมิน ว 10/2564 ประกอบด้วย:
- ความเข้าใจในหลักการและหัวใจของ ว 10/2564: ตระหนักถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์สู่การประเมินที่เน้นผลลัพธ์ (Outcomes-based) สมรรถนะ (Competency-based) และการปฏิบัติงานจริง (Performance-based) โดยมี PA เป็นศูนย์กลาง และใช้ระบบ DPA ในการดำเนินการ.1
- การออกแบบและขับเคลื่อน PA อย่างมีคุณภาพ: จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) ที่มี “ประเด็นท้าทาย” ที่ชัดเจน สอดคล้องกับบริบทและนโยบาย มีตัวชี้วัดที่วัดผลได้ และที่สำคัญคือ สะท้อน “ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง” ตามวิทยฐานะที่ดำรงอยู่หรือต้องการขอ.1 การวางแผน PA ให้มีความต่อเนื่องเชิงยุทธศาสตร์ตลอด 3 ปี จะช่วยสร้างเรื่องราวการพัฒนาที่ทรงพลัง.1
- การจัดทำรายงาน PDF ด้านที่ 1 ที่ตรงตามเกณฑ์: เขียนรายงานผลการดำเนินการที่แสดงให้เห็นถึงทักษะการวางแผน กลยุทธ์ การใช้นวัตกรรม โดยนำเสนอเนื้อหาให้ตอบโจทย์เกณฑ์การพิจารณาของ 8 ตัวชี้วัดในแบบประเมิน PA 4/บส อย่างชัดเจน พร้อมอ้างอิงหลักฐานอย่างเป็นระบบ.1
- การผลิตสื่อวิดีทัศน์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ:
- ไฟล์ที่ 1 (ด้านที่ 1): เตรียมตัวและฝึกซ้อมอย่างดีเยี่ยมเพื่อนำเสนอแผน/กลยุทธ์/กระบวนการ ภายใต้ข้อจำกัด One-Take อย่างมั่นใจและเป็นธรรมชาติ.1
- ไฟล์ที่ 2 (ด้านที่ 2): ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องและการสอดแทรกภาพ/วิดีโอ (B-Roll) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ “แสดง” ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา.1
- การวางแผนและเก็บรวบรวมหลักฐานระยะยาว: สร้างระบบจัดเก็บไฟล์ดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ และดำเนินการเก็บหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ PA อย่างสม่ำเสมอตามปฏิทินที่วางไว้ตลอด 3 ปีงบประมาณ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอและพร้อมสำหรับการยื่นขอประเมิน.1
การเตรียมตัวขั้นสุดท้าย:
ก่อนการยื่นคำขอผ่านระบบ DPA ผู้บริหารควรดำเนินการทบทวนและตรวจสอบความพร้อมในขั้นตอนสุดท้าย:
- ตรวจสอบคุณสมบัติ: ให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่หลักเกณฑ์กำหนด ทั้งระยะเวลาดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ, ผลการประเมิน PA ย้อนหลัง (ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ทุกปี), และคุณสมบัติด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม.1
- ตรวจสอบคุณภาพไฟล์: ตรวจทานความถูกต้อง ครบถ้วน และคุณภาพของไฟล์ PDF และไฟล์วิดีโอ.mp4 ทั้งสองไฟล์ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ ก.ค.ศ. ทุกประการ.1
- ทำความเข้าใจระบบ DPA: ศึกษาคู่มือการใช้งานระบบ DPA 1 และเตรียมข้อมูล/ไฟล์ต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการนำเข้าสู่ระบบ
การประเมินวิทยฐานะตาม ว 10/2564 แม้จะมีความท้าทายและแตกต่างจากระบบเดิม แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะได้แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำทางวิชาการและผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง การเตรียมตัวอย่างเข้าใจและเป็นระบบตามแนวทางที่นำเสนอในคู่มือนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านในการเดินทางสู่ความก้าวหน้าในวิชาชีพต่อไป.
Works cited
คู่มือ ว 10 ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา
Comments
Powered by Facebook Comments

