ถอดรหัสมาตรฐานที่ 5 สุขภาวะและความปลอดภัยองค์รวม (Holistic Well-being and Safety) ในมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568
ถอดรหัสมาตรฐานที่ 5 สุขภาวะและความปลอดภัยองค์รวม (Holistic Well-being and Safety) ในมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com
__________________________________
I. บทนำ: นิยามใหม่ของ “สุขภาวะและความปลอดภัย” ในฐานะมาตรฐานวิชาชีพ
การประกาศใช้ “ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568” ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย 1 การปรับปรุงครั้งนี้มิใช่เป็นเพียงการแก้ไขเอกสารเชิงธุรการ แต่สะท้อนถึงการยกระดับวิชาชีพ (Professionalization) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการที่ข้อบังคับนี้แยกมาตรฐานวิชาชีพ “ครูปฐมวัย” ออกมาเป็นฉบับเฉพาะ 1
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงการยอมรับในระดับนโยบายว่า ศาสตร์แห่งการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย (ช่วงวัย 0-6 ปี) มีความท้าทาย ซับซ้อน และต้องอาศัยองค์ความรู้เฉพาะทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการจัดการศึกษาในระดับประถมหรือมัธยมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มาตรฐานที่ 5: สุขภาวะและความปลอดภัย” ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญและเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกด้าน
มาตรฐานที่ 5 นี้ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ที่สำคัญ โดยยกระดับความคาดหวังต่อครูปฐมวัย จากบทบาทเดิมที่เป็น “ผู้ดูแลขั้นพื้นฐาน” (Basic Caregiver) ไปสู่การเป็น “ผู้จัดการสุขภาวะและความปลอดภัยแบบองค์รวม” (Holistic Well-being and Safety Manager) อย่างเต็มรูปแบบ มาตรฐานนี้ไม่ได้จำกัดความหมายของ “ความปลอดภัย” ไว้เพียงการป้องกันอุบัติเหตุทางกาย แต่ขยายขอบเขตให้ครอบคลุม 4 มิติหลักแห่งสุขภาวะอย่างชัดเจน ได้แก่ (1) สุขภาวะทางกายและจิตใจ, (2) โภชนาการ, (3) ความปลอดภัยจากสภาพแวดล้อมและสังคม, และ (4) การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ดังที่ระบุไว้ในสาระความรู้ (ข้อ 5.1) และสมรรถนะ (ข้อ 5.2)
รายงานฉบับนี้จึงมุ่งวิเคราะห์และถอดรหัสองค์ประกอบของมาตรฐานที่ 5 ในทุกมิติ โดยเชื่อมโยงข้อกำหนดเชิงนโยบายเข้ากับแนวปฏิบัติจริงและหลักฐานเชิงประจักษ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึกแก่ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยในการนำมาตรฐานนี้ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
II. ภาคที่ 1: องค์ประกอบแห่งความรู้ – รากฐานที่ครูต้องมี
มาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ข้อ 5.1 ได้กำหนด “สาระความรู้” ที่ครูปฐมวัยทุกคนต้องมี เพื่อเป็นรากฐานในการปฏิบัติงานด้านสุขภาวะและความปลอดภัย ภาคนี้จะทำการวิเคราะห์องค์ความรู้ที่จำเป็นในแต่ละด้าน
บทที่ 1: การส่งเสริมสุขภาวะทางกายและจิตใจ
1.1 สุขภาวะทางกาย: จากการเฝ้าระวังสู่การส่งเสริมเชิงรุก
ความรู้ด้านสุขภาวะทางกายตามมาตรฐานที่ 5.1 ได้ยกระดับความคาดหวังต่อครูให้มีลักษณะกึ่งการแพทย์ (Quasi-medical) มากขึ้น ครูไม่เพียงต้องมีความรู้ในการสังเกตพัฒนาการทั่วไป แต่ต้องมีความรู้ในการประเมินและเฝ้าระวังพัฒนาการตามวัยอย่างเป็นระบบ เช่น การทราบถึงสัญญาณผิดปกติที่ชัดเจน (เช่น เด็กอายุ 9 เดือนยังนั่งเองไม่ได้ หรือ 6 เดือนยังไม่หันหาเสียง) 4
องค์ความรู้สำคัญที่ครูต้องมี คือ แนวทางการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ (4D) ของกระทรวงสาธารณสุข 4 และความเข้าใจใน PPCT Model ซึ่งเป็นโมเดลที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคคลและแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างยั่งยืน 5
ความรู้เหล่านี้ต้องถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติงานจริง เช่น ครูต้องรู้ขั้นตอนการตรวจคัดกรองสุขภาพประจำวันอย่างละเอียด (ตรวจผม, เล็บ, สุขภาพช่องปาก, ความสะอาดร่างกาย) และต้องสำรวจร่องรอยการบาดเจ็บก่อนรับเด็กเข้าเรียนทุกเช้า นอกจากนี้ ครูต้องมีความรู้ในการจัดทำและติดตามประวัติการได้รับวัคซีนของเด็กทุกคน 4
บริบทที่ทำให้องค์ความรู้ส่วนนี้มีความสำคัญเร่งด่วน คือ สถิติปัญหาสุขภาพเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ข้อมูลการสำรวจพบว่า เด็กปฐมวัยไทยมีภาวะเตี้ยและอ้วน (1 ใน 10) และมีเพียงร้อยละ 49.5 เท่านั้นที่ส่วนสูงดีสมส่วน 5 ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่าความรู้ของครู (5.1) ไม่สามารถหยุดอยู่แค่การ “ป้องกันโรค” แต่ต้องเป็นการ “แทรกแซงเชิงรุก” (Proactive Intervention) เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการและการเจริญเติบโต
1.2 สุขภาวะทางใจ: การสร้างความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
ในมิติของ “สุขภาวะทางใจ” มาตรฐาน 5.1 กำหนดให้ครูต้องมีความรู้ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการส่งเสริม “ความฉลาดทางอารมณ์” (Emotional Quotient – EQ) องค์ความรู้หลักในส่วนนี้มาจากกรมสุขภาพจิต (Department of Mental Health) ซึ่งได้จัดทำเครื่องมือสนับสนุนครูไว้อย่างเป็นระบบ
ครูต้องมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของ “คู่มือความฉลาดทางอารมณ์ เด็กอายุ 3-5 ปี” 6 และต้องศึกษา “คู่มือจัดกิจกรรมเสริมสร้างอีคิวเด็กปฐมวัย” 7 เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนได้จริง กล่าวได้ว่า หากมาตรฐาน 5.1 คือ “สิ่งที่ต้องรู้” (What) คู่มือเหล่านี้จากกรมสุขภาพจิตก็คือ “วิธีปฏิบัติ” (How) ที่ครูต้องยึดถือ
นอกจากความรู้ในการส่งเสริม EQ ในเด็กปกติแล้ว มาตรฐาน 5.1 ยังครอบคลุมถึงความรู้ในการคัดกรองปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ที่พบบ่อยในเด็กปฐมวัย ครูต้องมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับลักษณะของเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD) หรือเด็กที่มีภาวะเรียนรู้ช้า 8 เพื่อให้สามารถสังเกต, คัดกรอง, และให้การดูแลเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง รวมถึงความรู้ในการสื่อสารและทำงานร่วมกับครอบครัว (เช่น กรณีแม่วัยรุ่น) เพื่อร่วมกันดูแลเด็กกลุ่มนี้ 9
บทที่ 2: โภชนาการอัจฉริยะสำหรับเด็กปฐมวัย
2.1 ความรู้ด้านหลักโภชนาการ
มาตรฐาน 5.1 กำหนดให้ครูต้องมีความรู้ด้านโภชนาการในระดับที่สามารถ “ออกแบบ” และ “บริหารจัดการ” ได้ ไม่ใช่เพียงการ “จัดหา” อาหารไปวันๆ องค์ความรู้ที่จำเป็นประกอบด้วย:
- ความรู้ด้านพลังงาน: ครูต้องทราบปริมาณพลังงาน (แคลอรี) โดยประมาณที่เด็กแต่ละช่วงวัยควรได้รับต่อวัน ได้แก่ อายุ 1-3 ปี ควรได้รับ 1,000 กิโลแคลอรี และอายุ 4-6 ปี ควรได้รับ 1,300 กิโลแKALอรี 10
- ความรู้ด้านองค์ประกอบอาหาร: ครูต้องรู้หลักการจัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ, การเสริมนมจืดวันละ 2-3 แก้ว, การฝึกให้เด็กกินผักผลไม้จนเป็นนิสัย 11 และที่สำคัญคือการฝึกให้เด็กกินอาหารรสธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงรสหวานจัด, มันจัด, และเค็มจัด 11
- ความรู้ด้านแหล่งข้อมูล: ครูต้องมีความรู้และสามารถเข้าถึง “ตำรับอาหารสำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย” ซึ่งเผยแพร่โดยกรมอนามัย เพื่อใช้เป็นแนวทางหลักในการวางแผนเมนูอาหาร 12
2.2 ความรู้ด้านการจัดการสุขาภิบาล
การมีเมนูอาหารที่ดีจะไร้ประโยชน์หากกระบวนการเตรียมการปนเปื้อน มาตรฐาน 5.1 จึงกำหนดให้ครูต้องมีความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร (Food Hygiene) อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะ “หลักการปรุงอาหาร 3 ส” (3S Principles) ได้แก่ 1) สงวนคุณค่า (รักษาคุณค่าทางโภชนาการ), 2) สุก (ปรุงสุกเพื่อทำลายเชื้อโรค), และ 3) สะอาด (ทั้งวัตถุดิบ ภาชนะ และผู้ปรุง) 11
นอกจากนี้ ความรู้ยังต้องครอบคลุมถึงการจัดการเชิงกายภาพ เช่น การออกแบบและดูแลสถานที่เตรียมและปรุงอาหาร (ครัว) รวมถึงสถานที่รับประทานอาหาร ให้สะอาด ถูกหลักอนามัย และเป็นสัดส่วน ป้องกันการปนเปื้อน 13
บทที่ 3: การจัดการความปลอดภัยและสวัสดิศึกษา
3.1 ความรู้เรื่องการจัดการสภาพแวดล้อม
มาตรฐาน 5.1 กำหนดให้ครูต้องมีความรู้ในการ “จัดการความปลอดภัย” ซึ่งเป็นองค์ความรู้เชิงระบบ ครูต้องเข้าใจแนวคิด “การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ” 14 ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การดูแลความสะอาด แต่ครอบคลุม 5 ด้านหลัก ได้แก่:
- การป้องกันอุบัติเหตุ: เช่น การใช้หมวกนิรภัย, การเก็บของมีคม 14
- การใช้ผลิตภัณฑ์ปลอดภัย: การเลือกของเล่นที่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) 14
- การป้องกันผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม: การป้องกันมลพิษทางอากาศ, น้ำ, ดิน 14
- การรับมือภัยพิบัติ: การวางแผนอพยพ, การซ้อมหนีไฟ 14
- การป้องกันความรุนแรง: การละเมิดสิทธิเด็ก 14
ครูต้องมีความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร (ความมั่นคงแข็งแรง) 14, มาตรฐานสนามเด็กเล่น (เช่น ต้องใช้วัสดุดูดซับแรงกระแทก, เครื่องเล่นต้องได้มาตรฐานและติดตั้งถูกต้อง) 14, และสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร (เช่น การจัดการจราจรหน้าโรงเรียน) 14
3.2 ความรู้เรื่อง “สวัสดิศึกษา” และ “ความปลอดภัยทางสังคม”
นี่คือองค์ความรู้ที่เป็นหัวใจสำคัญและมีความซับซ้อนที่สุดในมาตรฐานที่ 5 “สวัสดิศึกษา” (Welfare Education) 16 ในอดีตอาจหมายถึงการสอนให้เด็ก “ท่องจำ” กฎความปลอดภัย (เช่น “อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า”) แต่ในบริบทของมาตรฐานใหม่นี้ องค์ความรู้ดังกล่าวได้ถูกยกระดับขึ้น
มาตรฐาน 5.2 กำหนดสมรรถนะให้ครูต้อง “ส่งเสริมให้เด็กสามารถดูแลความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นได้” การจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้นั้น ครูต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งกว่าการให้ข้อมูล
โครงการ “ความปลอดภัยในเด็ก” (Child Safety) ของมหาวิทยาลัยมหิดล 18 ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่า การที่เด็กจะสามารถดูแลตนเองให้ปลอดภัยได้นั้น เด็กจำเป็นต้องมี “ทักษะสมองเพื่อบริหารจัดการชีวิตให้สำเร็จ” หรือ Executive Functions (EF) ซึ่งเป็นพื้นฐานของ “ทักษะในศตวรรษที่ 21”
ดังนั้น องค์ความรู้ (5.1) ที่ครูต้องมีในยุคใหม่ จึงไม่ใช่แค่ความรู้เรื่อง “อันตราย” (Hazards) แต่เป็นความรู้เชิง “ประสาทวิทยาศาสตร์” (Neuroscience) ว่าจะออกแบบกิจกรรมอย่างไรเพื่อสร้างทักษะ EF (เช่น ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-Inhibitory Control, การวางแผน-Planning, การจำเพื่อใช้งาน-Working Memory) เพื่อให้เด็กสามารถ ประยุกต์ ความรู้เรื่องความปลอดภัยไปใช้ในสถานการณ์จริงที่ไม่คาดคิดได้
นอกจากนี้ ครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับ “ความปลอดภัยทางสังคม” (Social Safety) 18 ซึ่งหมายถึงความรู้ความเข้าใจในปัจจัยแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเด็กและโรงเรียน เช่น นโยบายสาธารณะ, กฎหมายคุ้มครองเด็ก, และการสนับสนุนของชุมชน ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงไปยัง “ระบบนิเวศรอบตัว” ที่มาตรฐานครูปฐมวัยฉบับนี้ให้ความสำคัญ
บทที่ 4: เทคโนโลยีในฐานะเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้
4.1 ความรู้ในการเลือกและใช้เทคโนโลยี
มาตรฐาน 5.1 กำหนดให้ครูมีความรู้ในการ “ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (Appropriate Technology) คำว่า “เหมาะสม” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพง แต่หมายถึงการใช้งานที่ “สอดคล้องกับหลักการพัฒนาการของเด็ก” 19
องค์ความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ครูต้องมี คือ “4 เทคนิคเลือกเเละใช้สื่อดิจิทัล” (MIDL) จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 20 ซึ่งครูต้องยึดเป็นหลักในการปฏิบัติ ได้แก่:
- เน้นการโต้ตอบ (Interactive): ครูต้องมีความรู้ว่าจะไม่ปล่อยให้เด็กดูหน้าจอตามลำพัง แต่ต้องนั่งลงพูดคุย, ตั้งคำถาม, และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อ 20
- เหมาะกับวัย (Age-Appropriate): ครูต้องรู้ว่าเด็กวัยเตาะแตะ (Toddler) ควรใช้สื่อแบบมีผู้ใหญ่ร่วมด้วยเสมอ (Co-use) ในขณะที่เด็กอนุบาลที่โตขึ้นอาจเริ่มสำรวจเองได้บ้าง 20
- ร่วมสนุกด้วยกัน (Supportive): ครูต้องรู้ว่าเทคโนโลยีที่ดีที่สุด คือเทคโนโลยีที่สนับสนุนให้เด็กกลับไปทำกิจกรรมในโลกแห่งความเป็นจริง (เช่น ใช้แอปฯ ถ่ายรูปดอกไม้ แล้วออกไปสำรวจดอกไม้จริงนอกห้อง) 20
- ส่งเสริมการรู้ดิจิทัล (Digital Literacy): ครูต้องมีความรู้ในการเป็น “ต้นแบบ” (Role Model) ของการใช้สื่อดิจิทัลอย่างเหมาะสม 20
4.2 ความรู้เรื่องการบูรณาการ
ครูต้องมีความรู้ว่าเทคโนโลยีมีสถานะเป็น “เครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้” ไม่ใช่ “ผู้สอนหลัก” 19 องค์ความรู้ของครูคือการออกแบบกิจกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการคิดค้น (เช่น การใช้โปรแกรมผสมสี) หรือการฝึกแก้ปัญหา 19
อย่างไรก็ตาม แม้มาตรฐาน 5.1 จะกำหนดให้ครู “ต้องรู้” แต่ข้อมูลจากการวิจัยชี้ให้เห็น “ช่องว่าง” (Gap) ที่สำคัญ 21 ผลการวิจัยพบว่า ในทางปฏิบัติ การใช้เทคโนโลยีของครูอนุบาล โดยเฉพาะ “ด้านการผลิตสื่อและนวัตกรรม” ยังคงอยู่ใน “ระดับปฏิบัติน้อย” 21 นี่จึงเป็นความท้าทายเร่งด่วนที่สุด ที่สถาบันผลิตครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยกระดับองค์ความรู้ (5.1) ของครูในด้านนี้โดยเร็ว
III. ภาคที่ 2: สมรรถนะเชิงปฏิบัติการ – การเปลี่ยนความรู้สู่การปฏิบัติ
มาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ข้อ 5.2 กำหนด “สมรรถนะ” หรือความสามารถในการปฏิบัติงานจริง ภาคนี้จะวิเคราะห์ว่าครูต้อง “ทำอะไร” เพื่อเปลี่ยนองค์ความรู้ในภาคที่ 1 ให้เป็นการกระทำที่วัดผลได้
บทที่ 5: การดูแลและตอบสนองความต้องการรายบุคคล
5.1 สมรรถนะการปฏิบัติ: การตอบสนองทางกายและใจ
สมรรถนะในข้อ 5.2 นี้ คือความสามารถในการ “ดูแล เอาใจใส่ ตอบสนองความต้องการทางร่างกายและจิตใจของเด็กเป็นรายบุคคล” นี่คือการนำความรู้จากบทที่ 1 มาปฏิบัติจริง
- การปฏิบัติทางกาย: ครูต้องแสดงสมรรถนะในการดำเนินการคัดกรองสุขภาพประจำวัน (ตรวจเล็บ, ผม, ฟัน, ร่องรอย) 4, สามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขอนามัย (เช่น กิจกรรมล้างมือที่ถูกต้อง) 4, และมีความสามารถในการเฝ้าระวังและบันทึกพัฒนาการเด็กรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง 22
- การปฏิบัติทางใจ: ครูต้องแสดงสมรรถนะในการประยุกต์ใช้ “คู่มือจัดกิจกรรมเสริมสร้างอีคิว” 7 ในห้องเรียนจริง, สามารถสังเกตและให้คำปรึกษาเบื้องต้น 8, และที่สำคัญคือ มีสมรรถนะในการสร้าง “ความผูกพัน” (Attachment) ที่มั่นคงกับเด็ก 4
สมรรถนะ “การตอบสนองรายบุคคล” (Individualized Response) คือหัวใจสำคัญ หมายถึงครูต้องมีความสามารถในการ “ปฏิบัติต่างกัน” (Differentiation) ครูที่มีสมรรถนะตามมาตรฐาน 5.2 จะต้องสามารถแยกแยะได้ว่าเด็กคนใดอยู่ใน “กลุ่มปกติ” ที่ต้องการการส่งเสริม EQ ทั่วไป 7 และเด็กคนใดอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” (เช่น มีแนวโน้มสมาธิสั้น หรือมาจากครอบครัวเปราะบาง) ที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษหรือต้องส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ 8
บทที่ 6: การสร้างวัฒนธรรมโภชนาการที่ดี
มาตรฐาน 5.2 ได้แยกสมรรถนะด้านโภชนาการออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อการทำงานจริงของครู
6.1 สมรรถนะด้านโลจิสติกส์: การจัดอาหาร
นี่คือสมรรถนะในการ “จัดอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนและเหมาะสมตามหลักโภชนาการ” เป็นความสามารถในการปฏิบัติการเชิง “โลจิสติกส์”
ครูต้องแสดงสมรรถนะในการนำองค์ความรู้ (5.1) มาทำให้เกิดขึ้นจริง ได้แก่ ความสามารถในการแปลง “ตำรับอาหาร” ของกรมอนามัย 12 ให้กลายเป็นอาหารกลางวันจริงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, ความสามารถในการควบคุมกระบวนการปรุงอาหารให้เป็นไปตาม “หลัก 3 ส” (สงวนคุณค่า, สุก, สะอาด) 11, และสมรรถนะในการบริหารจัดการครัวและสถานที่รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ 13
6.2 สมรรถนะด้านจิตวิทยา: การส่งเสริมพฤติกรรม
นี่คือสมรรถนะในการ “ส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี” เป็นความสามารถในการปฏิบัติการเชิง “จิตวิทยาและpädagogik (ศาสตร์การสอน)”
ครูที่มีสมรรถนะอาจ “จัด” อาหารได้ดี (6.1) แต่ล้มเหลวในการ “ส่งเสริม” (6.2) ก็เป็นได้ สมรรถนะในส่วนนี้จึงวัดความสามารถในการประยุกต์ใช้จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก 23 เพื่อสร้างวัฒนธรรมการกินที่ดี ตัวอย่างสมรรถนะที่ครูต้องแสดงออก ได้แก่:
- ความสามารถในการฝึกให้เด็กลองอาหารชนิดใหม่ (เช่น ผักใบเขียว, มะเขือเทศ) โดยเริ่มทีละน้อย และที่สำคัญคือ โดยไม่บังคับ (No Forcing) 10
- ความสามารถในการดัดแปลงหน้าตา, สีสัน, และกลิ่นของอาหาร ให้น่าสนใจ 10
- ความสามารถในการสร้าง “วินัยการกิน” ที่เหมาะสม (เช่น นั่งกินเป็นที่) 23 และการเป็นแบบอย่างที่ดีในการรับประทานอาหาร
- ความสามารถในการจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ปกครอง เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการปลูกฝังพฤติกรรมที่บ้าน 11
บทที่ 7: การสร้าง “วงล้อมแห่งความปลอดภัย”
7.1 สมรรถนะในการจัดการสภาพแวดล้อม
นี่คือสมรรถนะในการ “จัดสภาพแวดล้อม ระบบการดูแลความปลอดภัยและการช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ” ครูต้องสามารถนำความรู้เชิงระบบ (5.1) มาสู่การปฏิบัติจริง 14 เช่น:
- การเดินสำรวจและประเมินจุดเสี่ยง (Risk Assessment) ภายในและภายนอกอาคารอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อยทุก 3 เดือน) 14
- การดำเนินการบำรุงรักษาเครื่องเล่นสนาม 14
- การจัดเก็บสารเคมีและของมีคมให้พ้นมือเด็ก 14
- การซ้อมแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน (เช่น อัคคีภัย) 14
7.2 สมรรถนะในการสอนสวัสดิศึกษา
นี่คือสมรรถนะในการ “ส่งเสริมให้เด็กสามารถดูแลความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นได้” ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้เรื่อง Executive Functions (EF) ที่กล่าวถึงในบทที่ 3.2 ครูที่มีสมรรถนะตามมาตรฐาน 5.2 จะไม่เพียงแค่ “สอน” กฎความปลอดภัย 15 แต่ต้อง “สร้างทักษะสมอง” (EF) ที่เป็นรากฐานของพฤติกรรมปลอดภัย 18
- ตัวอย่างการสอนแบบเก่า (ขาดสมรรถนะ 5.2): ครูสอนท่องจำว่า “ข้ามถนนต้องระวังรถ”
- ตัวอย่างการสอนตามมาตรฐานใหม่ (มีสมรรถนะ 5.2): ครูออกแบบกิจกรรม “เกมสัญญาณไฟจราจร” ให้เด็กฝึก “หยุด” ทันทีเมื่อเห็นสีแดง (ฝึกทักษะยับยั้งชั่งใจ – Inhibitory Control) และ “เคลื่อนไหว” เมื่อเห็นสีเขียว (ฝึกทักษะการปรับเปลี่ยน – Cognitive Flexibility) ซึ่งเป็นการสร้างทักษะสมอง EF ที่จำเป็นต่อการข้ามถนนในสถานการณ์จริง
7.3 การสังเคราะห์ 3 บทบาทของครู
สมรรถนะของครูในการสร้างวงล้อมแห่งความปลอดภัย คือความสามารถในการบูรณาการ 3 บทบาทที่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันตลอดเวลา 15 ได้แก่:
- บทบาทด้านการจัดสภาพแวดล้อม: (เช่น ตรวจสอบว่าเครื่องเล่นสนามได้มาตรฐาน ไม่มีน็อตหลุด) 14
- บทบาทด้านการดูแลและปกป้องคุ้มครอง: (เช่น ยืนเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดขณะเด็กกำลังเล่นเครื่องเล่นนั้น) 15
- บทบาทด้านการสอน: (เช่น สอนวิธีเล่นที่ถูกต้อง, สอนการแบ่งปัน, และสร้างทักษะ EF ผ่านการเล่น) 15
บทที่ 8: การปฏิบัติการเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
8.1 สมรรถนะในการเลือกและบูรณาการ
สมรรถนะในข้อ 5.2 นี้ คือ “เลือกใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม” ครูต้องแสดงความสามารถในการ “เลือก” และ “ใช้” เครื่องมือดิจิทัล
- สมรรถนะการเลือก: ครูต้องสามารถประเมินแอปพลิเคชันหรือสื่อดิจิทัล โดยใช้ “4 เทคนิคเลือกสื่อ” (MIDL) 20 เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ
- สมรรถนะการใช้: ครูต้องแสดงบทบาทเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) 19 โดยใช้สื่อนั้นเพื่อกระตุ้นการสนทนาและการเรียนรู้ 20 ไม่ใช่การเปิดสื่อทิ้งไว้เพื่อให้เด็กนิ่ง (ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างไม่เหมาะสม)
สมรรถนะในข้อ 5.2 นี้ จะเป็นหนึ่งใน “จุดอ่อน” ที่สำคัญในการประเมินครูปฐมวัยในยุคปัจจุบัน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่าง ข้อกำหนดของมาตรฐาน (ที่คาดหวังให้ครูใช้เทคโนโลยีอย่างบูรณาการ 19) กับ การปฏิบัติจริง (ที่ผลวิจัยชี้ว่าครูยังขาดทักษะในการผลิตและใช้สื่อ) 21 การพัฒนาสมรรถนะนี้จึงต้องเป็นวาระเร่งด่วนในการพัฒนาวิชาชีพครู (Professional Development) ต่อไป
IV. ภาคที่ 3: บทสังเคราะห์ “ระบบนิเวศแห่งความปลอดภัย”
ภาคนี้จะทำการสังเคราะห์องค์ความรู้ (5.1) และสมรรถนะ (5.2) เข้ากับข้อกำหนดอื่น ๆ ในมาตรฐานวิชาชีพ โดยเฉพาะมาตรฐาน 1.2.1 (การปฏิบัติหน้าที่ครู) และแนวคิดเรื่อง “ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัว” ซึ่งเป็นกรอบคิดสำคัญของมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัยฉบับนี้
บทที่ 9: สมรรถนะทางกฎหมาย – การคุ้มครองสิทธิเด็ก
9.1 การเชื่อมโยงมาตรฐาน 5 และ 1.2.1
ในมาตรฐานการปฏิบัติงาน (ข้อ 1.2.1) ได้ระบุชัดเจนว่า ครูต้อง “คุ้มครองสิทธิของเด็กปฐมวัยทุกคนให้อยู่รอดปลอดภัย” และ “ส่งเสริมสุขนิสัยที่ดี ดูแลโภชนาการ สุขอนามัย และดูแลความปลอดภัย…”
นี่คือการสังเคราะห์ที่สำคัญที่สุด: มาตรฐาน 1.2.1 ทำหน้าที่เป็น “กรอบบังคับทางกฎหมาย” (The Legal Mandate) ในขณะที่มาตรฐานที่ 5 ทำหน้าที่เป็น “แนวปฏิบัติการ” (The Operational Manual)
ความเชื่อมโยงนี้หมายความว่า การปฏิบัติตามมาตรฐานที่ 5 (การดูแลสุขภาพ, โภชนาการ, ความปลอดภัย) ไม่ใช่ “ทางเลือก” ที่ครูจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่เป็น “หน้าที่” ที่ครูต้องปฏิบัติเพื่อ “คุ้มครองสิทธิ” ของเด็ก 24
ดังนั้น ครูที่เพิกเฉยต่อเด็กที่ขาดสารอาหาร (ละเมิดมาตรฐาน 5.2 ด้านโภชนาการ) หรือปล่อยปละละเลยสภาพแวดล้อมจนเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก (ละเมิดมาตรฐาน 5.2 ด้านความปลอดภัย) จึงไม่เพียงแต่บกพร่องต่อมาตรฐานที่ 5 เท่านั้น แต่ยังอาจถือว่า “บกพร่องต่อหน้าที่” ในการคุ้มครองสิทธิเด็กตามมาตรฐาน 1.2.1 อีกด้วย
9.2 ความรู้และสมรรถนะทางกฎหมาย
เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐาน 1.2.1 และ 5.2 ได้อย่างสมบูรณ์ ครูจึงจำเป็นต้องมี “สมรรถนะทางกฎหมาย” (Legal Competency) เพิ่มเติม ได้แก่:
- พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562: ครูต้องมีความรู้ในพระราชบัญญัตินี้ 26 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่กำหนดให้ “บูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน” 29 เพื่อพัฒนาเด็ก
- พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546: ครูต้องมีความรู้ในพระราชบัญญัตินี้ 30 ซึ่งเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ครู “ต้องใช้” เมื่อการดูแลในสถานศึกษาไม่เพียงพอ เช่น ในกรณีที่สงสัยว่าเด็กถูกกระทำความรุนแรงจากที่บ้าน 31
สมรรถนะของครู (5.2) จึงขยายขอบเขตไปไกลกว่าการสอนในห้องเรียน แต่รวมถึงสมรรถนะในการ “ประสานงานกับระบบกฎหมาย” และการพิทักษ์สิทธิเด็ก 31
บทที่ 10: การประสานพลังครอบครัว ชุมชน และกฎหมาย
10.1 บทบาทของครูในฐานะ “ผู้ประสานงานระบบนิเวศ”
แนวคิด “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ที่ปรากฏในมาตรฐานครูปฐมวัย ไม่ใช่หัวข้อความรู้แยกส่วน แต่คือ “วิธีการปฏิบัติงาน” (The Modality) ของมาตรฐานที่ 5 ครูไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาวะและความปลอดภัยได้ด้วยตัวคนเดียวในห้องเรียน ครูจึงต้องสวมบทบาท “ผู้ประสานงานระบบนิเวศ” (Ecosystem Coordinator)
10.2 การปฏิบัติการร่วมกับ “ครอบครัว”
สมรรถนะของครูตามมาตรฐาน 5.2 (เช่น การส่งเสริมพฤติกรรมการกิน 23 หรือการส่งเสริม EQ 7) จะไม่สามารถบรรลุผลได้เลยหากปราศจาก “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” 32
ครูต้องมีสมรรถนะในการดึงผู้ปกครองเข้ามา “ร่วมตัดสินใจ”, “ร่วมดำเนินการ”, และ “ร่วมประเมินผล” 32 ไม่ใช่เพียงการ “แจ้งให้ทราบ” ในวันประชุมผู้ปกครอง 11 เช่น การจัดกิจกรรม “แปลงผักหรรษา” ที่ให้ผู้ปกครองนำเมนูผักมาร่วมรับประทานที่ศูนย์ฯ 11
10.3 การปฏิบัติการร่วมกับ “ชุมชน”
สมรรถนะ 5.2 ด้านการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ขยายขอบเขตความรับผิดชอบของครูออกไปนอกรั้วสถานศึกษา ครูต้องมีสมรรถนะในการ “ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน” 22 เพื่อร่วมกันสร้าง “สภาพแวดล้อมและสังคมที่ปลอดภัย” 33
ตัวอย่างสมรรถนะ เช่น การประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล 33 เพื่อจัดการจราจรหรือทางเท้าหน้าสถานศึกษาให้ปลอดภัย 14, การประสานงานกับ สสส. เพื่อขอองค์ความรู้ด้านความปลอดภัย 14, หรือการใช้ชุมชนเป็น “แหล่งเรียนรู้” ด้านสุขภาวะ 34
10.4 การปฏิบัติการร่วมกับ “ภาคีเครือข่าย”
ครูต้องมีสมรรถนะในการทำงานร่วมกับภาคีวิชาชีพอื่น (Interprofessional Collaboration) เพื่อดูแลเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (ดังระบุในสมรรถนะ 5.2 – การดูแลรายบุคคล)
- เครือข่ายสาธารณสุข: การส่งต่อเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าให้ “บุคลากรทางการแพทย์” หรือ รพ.สต. 4, การประสานงานกับนักจิตวิทยาจากกรมสุขภาพจิต 8
- เครือข่ายวิชาการ: การเข้าร่วมโครงการกับสถาบันการศึกษา (เช่น โครงการ Child Safety ของมหิดล) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้าน EF และความปลอดภัย 18
- เครือข่ายกฎหมาย: การประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์หรือเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 30
10.5 ตารางสังเคราะห์: การบูรณาการมาตรฐานที่ 5 สู่ระบบนิเวศ
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานเชิงระบบนิเวศที่ชัดเจน ตารางต่อไปนี้จะสังเคราะห์การปฏิบัติงานตามมาตรฐานที่ 5 (สมรรถนะ 5.2) ว่าต้องเชื่อมต่อ (Interface) กับพันธมิตรใดในระบบนิเวศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการคุ้มครองสิทธิ (1.2.1)
ตารางที่ 1: ตารางสังเคราะห์การปฏิบัติงานมาตรฐานที่ 5 ภายในระบบนิเวศ (Synthesis Matrix for Standard 5 Implementation within the Ecosystem)
| มิติของมาตรฐานที่ 5 (Dimension of Standard 5) | สมรรถนะครู (5.2) (Teacher Competency) | บทบาท/การเชื่อมต่อ “ครอบครัว” (Family Interface) | บทบาท/การเชื่อมต่อ “ชุมชน/องค์กร” (Community/Org. Interface) | บทบาท/การเชื่อมต่อ “ระบบสาธารณสุข/กฎหมาย” (Health/Legal Interface) |
| 1. สุขภาวะทางกาย | – ดูแล เอาใจใส่ ตอบสนองความต้องการร่างกาย – ตรวจคัดกรองสุขภาพประจำวัน 4 | – สื่อสารผลการคัดกรองสุขภาพ – ติดตามประวัติวัคซีน – ร่วมมือกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง | – ประสาน อสม. หรือ รพ.สต. ในการตรวจสุขภาพประจำปี 4 | – ส่งต่อเด็กที่พัฒนาการล่าช้าหรือเจ็บป่วยไปยังบุคลากรทางการแพทย์ 4 |
| 2. สุขภาวะทางใจ | – ดูแล เอาใจใส่ ตอบสนองความต้องการจิตใจ – จัดกิจกรรมส่งเสริม EQ 7 | – จัดอบรมผู้ปกครองเรื่อง EQ 7 – ให้คำปรึกษาการเลี้ยงดูเชิงบวก – สื่อสารกรณีเด็กกลุ่มเสี่ยง 8 | – ประสาน สสส. หรือกรมสุขภาพจิต เพื่อขอสื่อ/วิทยากร 7 | – ส่งต่อเด็กกลุ่มเสี่ยง (เช่น ADHD, ซึมเศร้า) ไปยังกรมสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยา 8 |
| 3. โภชนาการ | – จัดอาหารตามหลักโภชนาการ 12 – ส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่ดี (ไม่บังคับ) 10 | – สื่อสารเมนูอาหาร (Food Policy) – จัดกิจกรรม “ทำอาหารร่วมกับผู้ปกครอง” 11 – รณรงค์ “ขนมปลอดภัย” | – ประสานชุมชน/อบต. ในการจัดหาวัตถุดิบ (เช่น ผักปลอดสารพิษ) – ร่วมมือกับกรมอนามัยในการประเมินมาตรฐานครัว 13 | – ส่งต่อเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ (อ้วน/เตี้ย) รุนแรง ให้กรมอนามัยหรือโรงพยาบาล 5 |
| 4. ความปลอดภัย (กายภาพ) | – จัดสภาพแวดล้อม/อาคาร/สนามเด็กเล่นให้ปลอดภัย 14 – ซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติ | – สื่อสารนโยบายความปลอดภัย (เช่น การรับ-ส่ง) – ขอความร่วมมือผู้ปกครองในการดูแลความปลอดภัยนอกเวลาเรียน 32 | – ประสาน อบต./เทศบาล เพื่อจัดการจุดเสี่ยงนอกรั้ว (เช่น ทางม้าลาย, ไฟส่องสว่าง) 22 | – ประสานหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย/โรงพยาบาล ในการซ้อมแผนฉุกเฉิน 14 |
| 5. ความปลอดภัย (สังคม/สวัสดิศึกษา) | – ส่งเสริมให้เด็กดูแลตนเองได้ 15 – สอน/สร้างทักษะสมอง (EF) 18 | – สื่อสารความสำคัญของ EF – แจ้งเตือนภัยคุกคามทางสังคม (เช่น โรคระบาด, คนแปลกหน้า) | – ประสานมหาวิทยาลัย/เครือข่าย (เช่น มหิดล 18) เพื่อพัฒนาหลักสูตร EF/ความปลอดภัย | – แจ้งเหตุตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 30 กรณีสงสัยการละเมิด/ความรุนแรงในครอบครัว 31 |
| 6. เทคโนโลยีที่เหมาะสม | – เลือกใช้สื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุน 19 – ใช้สื่อแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Co-use) 20 | – สื่อสาร “4 เทคนิคใช้สื่อ” 20 กับผู้ปกครอง – สร้างข้อตกลงเรื่องเวลาหน้าจอ (Screen Time) ที่สอดคล้องกันที่บ้านและโรงเรียน | – ประสาน สสส. หรือภาคี เพื่อขอสื่อความรู้ดิจิทัล (MIDL) 20 | – ส่งต่อกรณีเด็กติดจอ (Screen Addiction) ที่รุนแรง ให้แพทย์หรือนักจิตวิทยาเด็ก |
V. บทสรุป: จาก “ผู้ดูแล” สู่ “สถาปนิกผู้สร้างสุขภาวะและความปลอดภัย”
การวิเคราะห์มาตรฐานที่ 5: สุขภาวะและความปลอดภัย ในข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 1 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการปฏิรูปบทบาทของครูปฐมวัยในประเทศไทย
มาตรฐานนี้ได้ผลักดันให้ครูก้าวข้ามบทบาท “ผู้ดูแล” (Caregiver) ที่เน้นการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ไปสู่การเป็น “สถาปนิก” (Architect) ผู้สร้างระบบสุขภาวะ และเป็น “ผู้ประสานงาน” (Coordinator) ผู้ถักทอเครือข่ายแห่งความปลอดภัย
ในฐานะ “สถาปนิก” ครูต้องมีความรู้ (5.1) และสมรรถนะ (5.2) ในการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย (ผ่านโภชนาการที่แม่นยำ 10) และจิตใจ (ผ่านการสร้าง EQ 7)
ในฐานะ “ผู้ประสานงาน” ครูต้องใช้มาตรฐาน 1.2.1 เป็นเข็มทิศทางกฎหมายในการ “คุ้มครองสิทธิ” เด็ก 30 โดยประสานพลังจาก “ระบบนิเวศ” ทั้งหมด ทั้งครอบครัว 32, ชุมชน 33, และภาคีเครือข่ายวิชาชีพอื่น 4 เพื่อสร้างหลักประกันว่าเด็กจะ “อยู่รอดและปลอดภัย”
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือการยกระดับสมรรถนะครู (Teacher Up-skilling) ให้ทันต่อความคาดหวังที่สูงขึ้นของมาตรฐานนี้ โดยเฉพาะใน 2 ประเด็นเร่งด่วนที่การวิเคราะห์นี้ค้นพบ:
- การเปลี่ยนผ่านด้านสวัสดิศึกษา: จากการ “สอนกฎ” ไปสู่การ “สร้างทักษะสมอง (EF)” 18 ซึ่งต้องอาศัยความรู้เชิงลึกด้านประสาทวิทยาศาสตร์
- การบูรณาการเทคโนโลยี: การลดช่องว่างระหว่าง “ข้อกำหนด” ที่ต้องการให้ใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ 19 กับ “การปฏิบัติจริง” ที่ครูยังขาดทักษะในการผลิตและบูรณาการสื่อ 21
การบรรลุมาตรฐานที่ 5 นี้ จึงเป็นภารกิจที่ท้าทาย แต่มีความสำคัญสูงสุด เพราะเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่พลเมืองรุ่นต่อไปของประเทศ
Works cited
- ราชกิจจานุเบกษา (22 สิงหาคม 2568) เผยแพร่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย …, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/news-2140/
- ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 – ครูเชียงราย, accessed November 5, 2025, https://www.kruchiangrai.net/2025/08/25/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2-%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89-4/
- ราชกิจจานุเบกษา (22 สิงหาคม 2568) เผยแพร่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 – OBEC TV, accessed November 5, 2025, https://obectv.tv/news_detail/52
- แนวทางการส่งเสริมคุณภาพ – สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านสุขภาพ (4D) – กระทรวงสาธารณสุข, accessed November 5, 2025, https://pkto.moph.go.th/document/Department/10/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E(4D)/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E(4D).pdf
- การส่งเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัยให้สูงดีสมส่วนในยุคประเทศไทย 4.0 โดยใช้ PPCT Model – ThaiJo, accessed November 5, 2025, https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsp/article/view/250509
- คู่มือความฉลาดทางอารมณ์ เด็กอายุ 3-5 ปี สำหรับผู้ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชน, accessed November 5, 2025, https://dmh-elibrary.org/items/show/13
- กลุ่มปฐมวัยและวัยเรียน – กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต, accessed November 5, 2025, https://dmhpd.dmh.go.th/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/
- การดาเนินงานสุขภาพจิต กลุ่มเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี), accessed November 5, 2025, https://cloud-atg.moph.go.th/promote/sites/default/files/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2.pdf
- คู่มือแนวทางการดูแล เด็กปฐมวัยจากแม่วัยรุ่น (ฉบับปรับปรุง), accessed November 5, 2025, https://dmh.go.th/Download/Guide/file/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%20(%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87).pdf
- การส่งเสริมโภชนาการในเด็กวัยก่อนเรียน Nutritional Prom – ThaiJO, accessed November 5, 2025, https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/download/102092/79009
- accessed November 5, 2025, https://resource.thaihealth.or.th/files/66/3_%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89.pdf
- ตำรับอาหารสำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย อายุ 1 – 5 ปี – 366 Q-KIDS, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/knowledge/manual-1902/
- แนวทางการจัดอาหาร บริบาลนํ า และสร้างสุขภาวะ – Unicef, accessed November 5, 2025, https://www.unicef.org/thailand/media/2691/file/UNICEF%20Nutrition%20and%20Hygiene%20Guideline%202019.pdf
- 8 วิธีสร้างสภาพแวดล้อมในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ปลอดภัย – 366 Q-KIDS, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/knowledge/articles-knowledge-1944/
- การศึกษาบทบาทครูในการส่งเสริมพฤติกรรมความปลอดภัยของเด็กวัยอนุบาล …, accessed November 5, 2025, https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=3854&context=chulaetd
- หลักสูตร “ประกาศนียบัตรผู้ดูแลเด็กปฐมวัย” – CMU Lifelong Education, accessed November 5, 2025, https://www.lifelong.cmu.ac.th/old/files/curriculum/000085.pdf
- การเสริมสร้างทักษะความปลอดภัยของเด็กปฐมวัย E – ThaiJO, accessed November 5, 2025, https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/download/165925/120025/463626
- โครงการมหิดลเพื่อสังคม “ความปลอดภัยในเด็ก (Child Safety …, accessed November 5, 2025, https://sustainability.mahidol.ac.th/th/case-study/SDGs/detail/984
- เทคโนโลยีกับการสื่อสารสำหรับเด็กปฐมวัย – Google Docs, accessed November 5, 2025, https://docs.google.com/document/d/1XP4mEXFzqSetHusvLfPZMX2NF7b1huUq8B25OcE5WBk/preview?hgd=1
- 4 เทคนิคเลือกเเละใช้สื่อดิจิทัลเพื่อเด็กปฐมวัย – ภาพโลโก้ของสำนักงาน …, accessed November 5, 2025, https://www.thaihealth.or.th/4-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD/
- การวิเคราะห์การใช้เทคโนโลยีของครูอนุบาลในการสนับสนุนการจัดการเรียนรู้สาหรับเด็กอนุบาล สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ – O J E D, accessed November 5, 2025, https://so01.tci-thaijo.org/index.php/OJED/article/download/40526/33446/
- แนวทางการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อความป, accessed November 5, 2025, https://fa7.naxapi.com/tanchoom.go.th/dnm_file/project/40500845_center.pdf
- ปลูกฝังนิสัยการกินและโภชนาการที่ดีเพื่อเด็กวัยหัดเดิน 1 ปีขึ้นไป, accessed November 5, 2025, https://www.s-momclub.com/articles/baby/encourage-healthy-eating-in-children
- แผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2566 – 2570, accessed November 5, 2025, https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/1743737815231-36536251.pdf
- แนวแนะวิธีการเลี้ยงดูดูแ ล และพัฒ นาเด็กปฐมว – UNICEF, accessed November 5, 2025, https://www.unicef.org/thailand/media/2066/file/Parenting%20guidelines%20for%20children%200-5%20years%20old.pdf
- พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 – 366 Q-KIDS, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/knowledge/manual-1744/
- พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 – กระทรวงศึกษาธิการ, accessed November 5, 2025, https://www.moe.go.th/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80/
- พระราชบัญญัติ การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเ, accessed November 5, 2025, https://law.thaihealth.or.th/wp-content/uploads/sites/34/2023/10/01-%E0%B8%9E.%E0%B8%A3.%E0%B8%9A.-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%9E.%E0%B8%A8.-2562.pdf
- พระราชบัญญัติ การ พัฒนา เด็ก ปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๒ – พระราชบัญญัติ สมเด็จ …, accessed November 5, 2025, https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/056/T_0005.PDF
- พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นปีที่๕๘ ในรัชกาลปัจจุบัน – กรมกิจการเด็กและเยาวชน, accessed November 5, 2025, https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/1638170189326-511345003.pdf
- Infographic บทบาทครูกับการช่วยเหลือเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง | มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก, accessed November 5, 2025, https://www.thaichildrights.org/articles/infographic_roleofeducatorshelpchild/
- รูปแบบการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาปฐมวัย Parental Participation Model In Early Childhood Education Management, accessed November 5, 2025, https://edu.buu.ac.th/vesd/year7_2554_1/artical6_2554_1.pdf
- เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยในสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาเถร, accessed November 5, 2025, https://www.nontathen.go.th/fileupload/6443713810.pdf
- ครู/ผู้ดูแลเด็ก, accessed November 5, 2025, https://nanongthoom.go.th/fileupload/9700784087.pdf
Comments
Powered by Facebook Comments

