การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาในยุคดิจิทัล: บทเรียนจากการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะศึกษานิเทศก์
การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาในยุคดิจิทัล: บทเรียนจากการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะศึกษานิเทศก์
สรุปการอบรมเรื่องการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุพักตร์ พิบูลย์
จากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาสู่คุณภาพผู้เรียนให้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำอย่างยั่งยืน รูปแบบออนไลน์ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568
วิทยากร : องศาสตราจารย์ ดร.สุภัก์ พิบูลย์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น
สาระสำคัญ
1. ความหมายและประเภทของนวัตกรรม
- นวัตกรรมคือ สิ่งใหม่ที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์หรือการนำความรู้ที่มีอยู่มาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหา พัฒนางาน หรือยกระดับคุณภาพชีวิต
- ประเภทของนวัตกรรม (3 ประเภท):
- สิ่งประดิษฐ์ (Invention/Artifact) – ชิ้นงานจับต้องได้ เช่น แอปพลิเคชัน อุปกรณ์การเรียนการสอน
- กระบวนการ (Process) – วิธีการใหม่ เช่น วิธีการนิเทศแบบใหม่
- เนื้อหาสาระ (Content) – องค์ความรู้ใหม่ เช่น ตำรา ทฤษฎีใหม่
2. ลักษณะสำคัญของนวัตกรรมที่ดี (5 องค์ประกอบ)
- ตรงกับปัญหาแท้ – แก้ปัญหาที่แท้จริง
- Theory-based – มีฐานทฤษฎีรองรับ
- มีความใหม่ (Originality) – ใหม่ในระดับต่าง ๆ
- ความคิดสร้างสรรค์ทันยุค – ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
- ความยั่งยืน – สามารถใช้ต่อเนื่องได้
3. การนิเทศด้วยวิธี Participatory Action Research (PAR)
หลักการสำคัญ:
- ครูเป็นนักวิจัยร่วม (Co-researcher) ไม่ใช่แค่ผู้ถูกนิเทศ
- แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
- มีการสะท้อนคิดอย่างต่อเนื่อง
- เป็นการพัฒนาแบบ Bottom-up
ข้อดี:
- ลดช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ
- แก้ปัญหาจากบริบทจริง
- สร้างความเป็นเจ้าของในครู
4. การสร้างนวัตกรรมต้นแบบ
กระบวนการ R&D:
- รีวิว Literature (3 ด้าน: Content, Context, Methodology)
- ร่างต้นแบบ
- ตรวจสอบโดยผู้ทรง
- ทดลองใช้และปรับปรุง
- ประเมินประสิทธิผล
ตัวชี้วัดคุณภาพต้นแบบ (STEBE Model):
- S – Suitability (ความเหมาะสม)
- T – Theory-based (ฐานทฤษฎี)
- E – Effectiveness (ประสิทธิผล)
- B – Benefit (ประโยชน์)
- E – Evaluation (การประเมิน)
5. การประเมินประสิทธิผล (RLBR Model)
- R – Reaction (ความพอใจ)
- L – Learning (การเรียนรู้)
- B – Behavior (การเปลี่ยนพฤติกรรม)
- R – Result (ผลลัพธ์ที่เกิดกับนักเรียน)
6. กรณีศึกษา 9 เรื่อง
- การสร้างห้องเรียนออนไลน์สำหรับครูวิทยาศาสตร์บรรจุใหม่
- การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพออนไลน์
- การสร้างบทบาทผู้ปกครองในการแก้ปัญหานักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้านการอ่าน
- การใช้กิจกรรมในครอบครัวและชุมชนเพื่อเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพ
- การสร้างเครือข่ายครูผู้ร่วมนิเทศในระบบออนไลน์
- การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการสอนภาษาอังกฤษ
- การสร้างประเด็นท้าทายสำหรับครูชำนาญการพิเศษ
- การใช้กิจกรรมเกมในการสอนคณิตศาสตร์
- การนิเทศโดยใช้การวิจัยเป็นฐานสำหรับนักนิเทศยุคดิจิทัล
ประเด็นสำคัญและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
1. การเลือกปัญหาวิจัย
- หลักการ: แคบ-คม-ลึก-สร้างสรรค์-ทันยุค
- เลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีความร่วมมือสูง เช่น ครูบรรจุใหม่
- อย่าเลือกปัญหากว้างเกินไป
2. การสร้างบารมีทางวิชาการ
- ใช้ Research-based Supervision
- เตรียมตัวก่อนประชุมทุกครั้ง
- รีวิว Literature ก่อนให้คำแนะนำ
- สร้าง Portfolio ส่วนตัว
3. เทคโนโลยีที่ช่วยงานนิเทศ
- ChatGPT/Claude – ช่วยเขียนและแปลเอกสาร
- Gamma App – สร้าง PowerPoint รวดเร็ว
- Course Box AI – สร้างตำราออนไลน์
- Google Classroom/Microsoft Teams – นิเทศออนไลน์
4. แนวทางการพัฒนา
- ตั้งเป้าหมายชัดเจน – เช่น ขึ้นเชี่ยวชาญเมื่ออายุ 32
- อ่านหนังสือสม่ำเสมอ – วันละ 50 หน้า
- ทำงานหนักเพื่อสู่เป้า – แต่ต้องดูแลสุขภาพจิต
- ใช้เทคโนโลยี – เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
5. การสร้างเครือข่าย
- สร้าง Personal Learning Community
- หาครูแกนนำในแต่ละโรงเรียน (ใช้ Sociogram)
- สร้างห้องนิเทศออนไลน์แยกตามกลุ่มสาระ
6. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
สำหรับศึกษานิเทศก์รุ่นใหม่:
- เริ่มจากการแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่ตรงกับความต้องการ
- เซ็นสัญญาประเด็นท้าทายกับผู้อำนวยการเขต
- ใช้วิธี PAR เพื่อให้ครูมีส่วนร่วม
สำหรับการพัฒนาระบบ:
- สร้างแอป ESDC ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- พัฒนาระบบ Portfolio ออนไลน์
- ส่งเสริมการใช้ AI ในงานนิเทศ
สำหรับการยกระดับคุณภาพ:
- แก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกอย่างจริงจัง
- พัฒนาครูให้มี Digital Literacy
- สร้างมาตรฐานการนิเทศที่ชัดเจน
การอบรมครั้งนี้ให้ความรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ พร้อมกรณีศึกษาที่นำไปใช้ได้จริง เป็นแนวทางที่ดีสำหรับการพัฒนาสมรรถนะศึกษานิเทศก์ในยุคดิจิทัล
การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาในยุคดิจิทัล:
บทเรียนจากการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะศึกษานิเทศก์
_______________
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องอาศัยนักศึกษานิเทศก์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีบารมีทางวิชาการ การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุภัก์ พิบูลย์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น จึงเป็นเวทีสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์อันล้ำค่าแก่ศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ
ประสบการณ์และพื้นฐานของวิทยากร
รองศาสตราจารย์ ดร.สุภัก์ พิบูลย์ เป็นศึกษานิเทศก์ “โดยสายเลือด” ที่มีประสบการณ์การบรรยายมากกว่า 4,000 ครั้ง เริ่มต้นจากการเป็นครูโรงเรียนบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา 3 ปี ก่อนจะไปศึกษาต่อปริญญาโทสาขาการวัดผลและประเมินผลการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาเอกในสาขาเดียวกัน ประสบการณ์การทำงานครอบคลุมตั้งแต่การเป็นศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษาเขต 9 ผู้จัดการศูนย์นวัตกรรมนิเทศทางไกลหอประชุมพญาไท จนถึงการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ความโดดเด่นของท่านคือการใช้ “Research-based Supervision” คือการนิเทศที่อิงบนงานวิจัยเป็นฐาน ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งทำให้สามารถสร้างผลงานทางวิชาการ และได้รับการยอมรับในการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหลายเขต โดยไม่เคยดำรงตำแหน่งบริหารในระบบการศึกษามาก่อน
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับนวัตกรรม
ความหมายและประเภทของนวัตกรรม
นวัตกรรม คือ สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือการนำความรู้ที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์เพื่อการแก้ปัญหา พัฒนางาน หรือยกระดับคุณภาพชีวิต นวัตกรรมถูกสร้างขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ทั้งในด้านชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
นักวิชาการแบ่งประเภทของนวัตกรรมออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
1. สิ่งประดิษฐ์หรือชิ้นงานจับต้องได้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน เครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดรนส่งของ แผงโซล่าเซลล์ รวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยี และแอปพลิเคชันเพื่อสนับสนุนงานนิเทศ ประเทศใดเก่งด้านสิ่งประดิษฐ์มักจะมีฐานะร่ำรวย
2. นวัตกรรมประเภทกระบวนการ หรือวิธีการ เช่น กระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติของ Toyota (Toyota Production System) Telemedicine ของแพทย์ Blockchain ของการเงิน ระบบขนส่งรถไร้คนขับ สำหรับครูเราก็คือวิธีสอนใหม่ ๆ และวิธีนิเทศแบบใหม่ ๆ
3. นวัตกรรมประเภทเนื้อหาสาระหรือองค์ความรู้ใหม่ เช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ เทคโนโลยีการตัดต่อยีน Circular Economy Model Machine Learning หรือสำหรับครูเรา คือ เนื้อหาการสอน Coding สำหรับเด็กแต่ละช่วงชั้น และหลักการนิเทศเมื่อกลุ่มเป้าหมายมีศักยภาพแตกต่างกัน
ลักษณะสำคัญของนวัตกรรมที่ดี
เมื่อใดที่จะสร้างนวัตกรรม ต้องทำให้มีความเป็นนวัตกรรมตามเกณฑ์ 5 ประการ ดังนี้
1. ตรงกับปัญหาที่แท้จริง นวัตกรรมที่ดีต้องทำมาเพื่อแก้ปัญหาที่แท้จริง เช่น ปัญหาคะแนน PISA ที่ต่ำ อะไรคือนวัตกรรมที่เราเอาไปใช้แก้ปัญหา หากเรามองว่าการติวให้ทุกโรงเรียนช่วยกันติวเป็นนวัตกรรม มันจะยั่งยืนหรือไม่ การติวเด็กเก่งคงมาติว เด็กอ่อนคงไม่มา เด็กอ่านหนังสือไม่ออกคงไม่มา เฉพาะเด็กเก่งติวทุกครั้ง ดังนั้นการสอบ PISA ในรอบถัดไป หากการติวเข้มข้นเท่าไร เด็กกลุ่มเก่งจะเก่งขึ้น เด็กกลุ่มอ่อนจะยังอ่อนเหมือนเดิม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะสูงมาก ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะสูงมาก กลุ่มอ่อนยังคงเป็นตัวถ่วงเหมือนเดิม
2. สะท้อน Theory-based ต้องสร้างนวัตกรรมแบบใช้ทฤษฎีเป็นฐาน ไม่ว่าเราคิดนวัตกรรมตัวไหน หากคนถามว่าใช้หลักคิดอะไร ใช้ทฤษฎีอะไร เราควรตอบได้ว่าใช้หลักคิดอะไร ใช้ทฤษฎีอะไร
3. มีความใหม่ (Originality) ความใหม่ในโลก ใหม่ที่สุดในประเทศไทย ใหม่ที่สุดในจังหวัด ใหม่ที่สุดในโรงเรียน หากใหม่ที่สุดในโรงเรียนก็แปลว่ามันเก่าที่อื่น แต่สำหรับครูบางคนมันก็ใหม่ เขาก็ไม่เคยใช้มาก่อน ความใหม่ระดับประเทศ ระดับโลก ย่อมได้เปรียบความใหม่ระดับหมู่บ้าน
4. ความคิดสร้างสรรค์ทันยุค ยุคนี้เป็นยุคไอที ยุคดิจิทัล นวัตกรรมของเราต้องผูกมัดผูกติดกับไอที และประการที่ห้าคือ ยั่งยืน หากศึกษานิเทศก์คิดชุดนวัตกรรมและไปทดลองกับครู ครูให้ความร่วมมือดีมาก พอจบการทดลอง ศึกษานิเทศก์ขึ้นเชี่ยวชาญ นวัตกรรมตอนนั้นก็ไม่มีใครใช้อีกเลย ครูกลุ่มทดลอง 9 คนก็ไม่เอาไปใช้ แสดงว่ามันไม่ยั่งยืน
การนิเทศด้วยวิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
แนวคิดและหลักการ
การนิเทศด้วยวิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-based Supervision) เป็นนวัตกรรมการนิเทศที่ผู้บรรยายต้องการเน้นเป็นพิเศษ วิธีการนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการ ดังนี้
1. ครูมาเป็นนักวิจัย (Teacher Researcher) ครูมาเป็นผู้ร่วมวิจัย ศึกษานิเทศก์เป็นนักวิจัยหลัก ครูเป็นผู้ร่วมวิจัย ครูไม่เพียงเป็นผู้ถูกนิเทศ แต่เป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัย เป็นนักวิจัยที่ร่วมออกแบบ ร่วมเก็บข้อมูล ร่วมวิเคราะห์ผล ร่วมเขียนรายงานด้วย เขียนรายงานเป็นเล่มของโรงเรียนเขา แต่ละคนก็เขียนรายงานของโรงเรียนเขา เป็นเล่มของเขา เล่มนั้นเขาเป็นพระเอก เป็นผลงานเขา ชื่อครูคนนั้นอยู่ที่ปก ไม่ใช่ชื่อศึกษานิเทศก์อยู่ที่ปก มีเล่มที่ 10 เท่านั้นที่ปกเป็นชื่อศึกษานิเทศก์ แต่เล่มที่ 1 ถึงเล่มที่ 9 ที่ปกเป็นชื่อของครู ชื่อโรงเรียนเขา เพราะการทดลองที่โรงเรียนเขา
2. เป็นวิธีการที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ เพราะครูและศึกษานิเทศก์เรา พอมาอยู่ในภาคทฤษฎีนานๆ เราจากโรงเรียนมานาน เราจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับบริบทโรงเรียนและเด็กปัจจุบัน เด็กก้าวร้าวมากขึ้น ตอนเราเรียนก็ไม่เห็นก้าวร้าวเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ก้าวร้าวมากขึ้น เราไม่ค่อยเห็น เราค่อนข้างห่างโรงเรียนมากขึ้น แต่ครูยังอยู่ในห้องเรียน นี่ช่วยลด เนื่องจากทีมนักวิจัยหลักออกจากห้องเรียนมานานแล้ว แต่นักวิจัยร่วม 9 คนยังอยู่ในห้องเรียน เขาเห็นปัญหาในห้องเรียน นี่คือข้อดี จุดเด่นของมัน
3. แก้ปัญหาจากบริบทจริง เลือกปัญหาให้ชัด จะแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก ป.1 2 3 ก็ลุยที่ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก ป.1 2 3 ได้ร่วมกันคิด เป็นการพัฒนาแบบ Bottom-up คือเอาปัญหาจากโรงเรียน เอาความต้องการของครูเป็นหลัก ก่อนที่จะเซตโครงการวิจัย
การมีส่วนร่วมในกระบวนการ
การมีส่วนร่วมมีหลายมิติ หมายถึง การร่วมวางแผน ร่วมออกแบบโมเดลกลาง โมเดล Google Classroom กลาง ร่วมออกแบบ ขณะเดียวกันร่วมปฏิบัติการ ตอนไปปฏิบัติการ เขามีสิทธิ์ที่จะ Adopt รับโมเดลกลางมา Adapt ปรับโมเดลให้เหมาะกับโรงเรียนเขา เหมาะกับโรงเรียนเขา โรงเรียนเขามีผู้ปกครองที่สนใจอยู่ 2-3 คน เชิญมาอยู่ในห้อง Google Classroom ด้วย มาเป็นผู้สอนด้วย แม่คนนี้เป็นพยาบาล เชิญมาเป็นผู้สอนในห้องได้ ดูแลลูกเรื่องสุขศึกษา ครูดัดแปลงได้ แต่ละคนดัดแปลงเป็นของตัวเองได้ เพราะบริบทไม่เหมือนกัน มีการมาประชุมสะท้อนผลเป็นระยะๆ ประชุมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ประชุมเสร็จนำผลไปพัฒนาอย่างต่อเนื่องและใช้อย่างยั่งยืน
วิธีการนี้เข้าลักษณะนวัตกรรมที่ดี ตรงกับปัญหาแท้จริง และเรื่องของความยั่งยืนในการพัฒนา จะสูงมากเนื่องจากว่า อย่างน้อยครู 9 คนเห็นลีลานี้แล้ว ครู 9 คนใช้ ครูวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไปจะใช้ไม่ใช้ไม่รู้ แต่ครู 9 คนนี่ใช้อย่างต่อเนื่องแน่นอน Google Classroom โอกาสพัฒนาแบบยั่งยืนสูงมาก ความใหม่อยู่ที่นวัตกรรมเทคโนโลยี ใหม่อยู่แล้ว เอา Google Classroom มาใช้ Microsoft Teams มาใช้ มันก็สร้างสรรค์อยู่แล้ว
ประโยชน์ของวิธีการนี้
1. พัฒนาครู นิเทศครูไปด้วย ในตัวครูได้เรียนรู้การวิจัยไปด้วย ครูได้ฝึกทักษะการวิจัย วิเคราะห์อย่างเป็นระบบไปด้วย เพราะครูเป็นนักวิจัยร่วม ครูบางคนจบปริญญาตรีมาเท่านั้น จบการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นครูผู้ช่วย จบปริญญาตรีมาเท่านั้น ไม่ได้จบปริญญาโท ไม่ได้จบปริญญาเอก ยังไม่เก่งเรื่องการวิจัย แต่พอมาทำกับเรา เรียนรู้กระบวนการวิจัยไปด้วย เขารู้สึกเป็นเจ้าของด้วย ไม่ได้รู้สึกว่าถูกใช้ เขามีผลงานที่เป็นเจ้าของจริง เพราะเราไปสอนเขา 9 คนมาร่วมกับเรา เราสอนให้เขียน 9 เรื่อง 9 เรื่องย่อย และเรามาเขียนเรื่องที่ 10 หากเป็นแบบนี้แปลว่าครูได้ผลงาน
2. นวัตกรรมจะเหมาะสมกับบริบท ตรงกับปัญหาแท้ ครูได้รับการพัฒนาไปด้วย สร้างการทำงานแบบร่วมมือ โอกาสเกิดความยั่งยืนสูงมาก วิธีการนี้ยั่งยืนสูงมาก
กระบวนการสร้างและพัฒนานวัตกรรม
การเลือกปัญหาและการรีวิว Literature
การเลือกปัญหาเป็นเรื่องใหญ่สุด เป็นเรื่องสำคัญ เลือกปัญหามันต้องบาลานซ์ระหว่างความใหม่กับคุณค่า ความเป็นไปได้ ปัญหาที่จะทำต้องใหม่ด้วย มีคุณค่า เป็นไปได้ด้วย มีทรัพยากรที่จะทำ
การรีวิว Literature เมื่อใดเราเลือกปัญหาวิจัยและพัฒนาแล้ว การรีวิว Literature โปรดจำคำพูดไว้ บางทีอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้สอนในเรื่องนี้ เราต้องรีวิว 3 ด้าน
ด้านแรก คือ Content related หากกำลังสนใจเรื่องการนิเทศแบบ Mentoring and Coaching เนื้อหาคือเรื่องของ Mentoring and Coaching มันเป็นตัวแปรที่มุ่งศึกษา Content related หรือ Variable related ตัวแปรที่ศึกษาคือเรื่องของการ Coaching
ด้านที่สองคือ Context related กำลังจะทดลองสอนกับครูบรรจุใหม่ กำลังจะนิเทศครูบรรจุใหม่ ต้องไปศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับครูบรรจุใหม่ สิ่งที่ กกส. ทำกับครูบรรจุใหม่ ครูบรรจุใหม่เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ยังไม่ถึงกับแก้ปัญหา หมายความว่าอย่างไร ต้องไปเรียนรู้เรื่องวิถีชีวิตของครูบรรจุใหม่ ปัญหาของครูบรรจุใหม่ ระบบนิเทศกำกับติดตามครูบรรจุใหม่ นี่เรียกว่า Context related และศึกษาในครูบรรจุใหม่ ในสุพรรณบุรีเขต 2 ก็ศึกษาเรื่องบริบทของสุพรรณบุรีเขต 2 ด้วยว่า สุพรรณบุรีเขต 2 มีวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างไร นี่ก็คือรีวิวในแง่ของ Context related
ด้านที่สาม คือ รีวิวในเรื่องของ Methodology related กำลังคิดสร้างนวัตกรรมโดยใช้วิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กำลังจะใช้กระบวนการนิเทศด้วยใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) ต้องไปรีวิวว่า Participatory Action Research มันคืออะไร ทำกันอย่างไร งานวิจัยอื่นๆ ทำกันอย่างไร รีวิวตัวอย่างงานวิจัยให้มากที่สุดที่ใช้ PAR Methodology related
โดยทั่วไปนวัตกรรมวรรณกรรมจะมี 3 ส่วนคือ Content or Variable related, Context related และ Methodology related คนจำนวนมากไม่ review Context related ทำให้คิดนวัตกรรมไม่เหมาะสมกับบริบท เป็นไปไม่ได้ในเชิงบริบท และไม่รีวิว Methodology related ทำให้การออกแบบวิจัยไม่เฉียบคม
การสร้างต้นแบบนวัตกรรม
การสร้างต้นแบบนวัตกรรมต้องผ่านกระบวนการ R&D (Research and Development) เริ่มสังเคราะห์รีวิว Literature ร่างต้นแบบครั้งที่ 1 (D1) ร่างต้นแบบเสร็จไปให้ผู้ทรงตรวจ ผู้ทรงตรวจ ปรับปรุงนิดหน่อยตามผู้ทรง ปรับปรุงเสร็จไปลองใช้กับกลุ่มขนาดเล็ก ลองใช้เสร็จปรับปรุงอีกนิดหน่อย เรียกว่า R&D กระบวนการ R&D จนกว่ามั่นใจว่ามีคุณภาพ ถามว่ากี่รอบ ไม่จำเป็นต้องตอบได้ว่ากี่รอบ ทำจนกว่ามั่นใจว่าตัวนวัตกรรมมีคุณภาพขั้นพื้นฐาน ทำจนมั่นใจ นี่คือคำตอบของนักวิชาการ
หากยังไม่มั่นใจว่ามีคุณภาพ อย่าไปเอาลองใช้จริง หลายรอบได้ ควรทำให้เป็นงานปกติ เช่น เทอมนี้เราทำต้นแบบเสร็จ เราลองทำนิเทศแบบทั่ว ๆ ไป ลองใช้ เทอมสิ้นเทอมปรับ เทอมหน้าลองใช้ สิ้นเทอมปรับ นักนิเทศเรามีหน้าที่ทำงานอยู่แล้ว ก็คิดนวัตกรรมในการทำงาน ก็ลองได้ ลองเทอมนี้ปรับเทอมหน้า ลองเทอมนี้ปรับเทอมหน้า เรามีโอกาสลองในงานไปเรื่อย ๆ
ตัวชี้วัดคุณภาพต้นแบบ
นวัตกรรมต้นแบบควรผ่านตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นโดยองค์ประกอบที่ควรตรวจสอบคือ ความเหมาะสม (Appropriateness หรือ Propriety) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ความถูกต้องตามหลักวิชา (Accuracy)
Professor Stufflebeam เรียกนี่ว่า Appropriateness หรือ Propriety ความเหมาะสม Feasibility ความเป็นไปได้ Accuracy ความถูกต้องตามหลักวิชา หลายคนเอามาใช้ เขาเรียกคำเดียวคือความเหมาะสม แต่ความเหมาะสมนิยามว่า ความเหมาะสมในที่นี้หมายถึง นวัตกรรมตัวนี้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เหมาะสมกับเวลาที่ใช้ เป็นไปได้ในเวลาตามชั้นเรียนปกติ และเป็นไปได้ที่พ่อแม่จะสามารถร่วมมือสนับสนุน รวมถึงเหมาะสมในแง่ความถูกต้องตามหลักวิชา หากเป็นแบบนั้น คนนั้นนิยามความเหมาะสมเป็นตัวแปรหลัก แกนิยามครอบคลุมไปถึงความเป็นไปได้และความถูกต้องด้วย ไม่มีใครว่า
แต่หากทำแบบ Stufflebeam วงเล็บ 1 ดูความเหมาะสม วงเล็บ 2 ดูความเป็นไปได้ วงเล็บ 3 ดูความถูกต้องตามหลักวิชา ตัวแปรต้นของเราหรือรูปแบบผ่านผู้ทรงดู 3 ด้าน ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ ด้านความถูกต้องตามหลักวิชา ผู้ทรงยืนยัน 3 ตัวนี้มักจะเป็นตัวชี้วัดความเป็นต้นแบบนวัตกรรมก่อนใช้
หลังจากนั้น เอาไปใช้ พอเอาไปใช้เสร็จ ประเมินประสิทธิผลของมัน เอาไปใช้ พอเอาไปใช้เสร็จ มันกลายเป็นโปรแกรม Effectiveness Research ประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม ประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรม ถามว่าเราใช้กระบวนการวิจัยตรวจสอบประสิทธิผลดูจากตัวไหน อะไรคือตัวชี้วัด อะไรคือตัวชี้วัดสำคัญของประสิทธิผล
Stufflebeam เรียกตัวนี้ว่า Utility ประโยชน์ของนวัตกรรม นักเรียน ครูเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้นวัตกรรม ครูเกิดความพึงพอใจ ครูเกิดการเรียนรู้ ครูเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรม นักเรียนเกิดการเรียนรู้สูง เราบอกว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับการใช้นวัตกรรม 1 ครูเกิดความพึงพอใจ Reaction ครูเกิดการ Learning ตัว L ครูเกิด Behavior change ตัว B Result เกิดผลลัพธ์กับเด็ก นักเรียนเรียนดีขึ้น R RLBR โมเดลเกิดประโยชน์ทั้งครูไปถึงเด็ก
Stufflebeam เรียกตัวที่ 5 ว่า Sustainability ประโยชน์ของนวัตกรรมด้าน Sustainability ตัวชี้วัดความยั่งยืน ครูมีแนวโน้มการใช้ในภาคเรียนถัดไป ผู้ปกครองในโมเดลของเรา เรียนแบบโครงงานที่ผู้ปกครองมีส่วนร่วม ผู้ปกครองแฮปปี้มากกับการที่ลูกไปกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างช่วยล้างชาม ทำงานบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ดูแลต้นไม้ ผู้ปกครองแฮปปี้มาก ผู้ปกครองเลยขอบคุณครู และเทอมถัด ๆ ไป พ่อแม่กับลูกก็มีการวางแผนร่วมกัน พอผู้ปกครองพอใจ ผู้ปกครองมีส่วนร่วม โอกาส Sustainability สูงมาก ตัวชี้วัด Sustainability คือความพึงพอใจของ Stakeholder ความร่วมมือของ Stakeholder เป็นตัวชี้วัด
การประเมินประสิทธิผลด้วยโมเดล RLBR
ตัวชี้วัดความสำเร็จของนวัตกรรม นวัตกรรมต้นแบบเรามักจะดูกันในเรื่องความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้องตามหลักวิชา ดูก่อนทดลอง อาจจะประเมินโดยผู้ทรงก่อนทดลองใช้จริง แต่พอไปทดลองใช้จริงแล้ว เราดูประสิทธิผล ประสิทธิผลนั้นให้ดูในแง่ของ Utility ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงกับ Sustainability ทั้ง 5 Dimension นี้เป็น Dimension ของ Professor Stufflebeam คนคิด CIPP Model
Appropriateness, Feasibility, Accuracy มักจะดูก่อนทดลอง หลังจากนั้น Utility และ Sustainability ดูหลังทดลอง ดูจากผลการทดลองจริงๆ ตัวชี้วัดเหล่านี้ นักวิจัยมีสิทธิ์ที่หลังจากทดลองใช้แล้ว มีสิทธิ์ที่จะไปถามครูที่ร่วมว่า โมเดลนี้เหมาะสมมั้ย ครูจริงๆ ความเหมาะสมควรดูก่อนทดลอง แต่หลังจากใช้จริง ก็มีสิทธิ์ที่ Empirical Appropriate คือเหมาะสมจริงๆ หลังจากทดลองแล้ว ครูก็ตอบว่าเหมาะสมจริง ๆ เป็นไปได้จริง ๆ และเกิดประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ มีโอกาสยั่งยืนจริง ๆ ไปถามความเหมาะสม ความเป็นไปได้อีกครั้งหนึ่งก็ได้หลังจากใช้จริงแล้ว เราเรียกว่ายืนยัน ยืนยันในด้านความเหมาะสม ความเป็นไปได้อีกชั้นหนึ่ง หลังจากทดลองเสร็จ
ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้องตามหลักวิชา ควรดูก่อนทดลอง แล้วหลังทดลองดูเชิงยืนยันได้ แต่หลังทดลองต้องไม่พลาดเรื่องดู Utility ประโยชน์ที่เกิดขึ้น และ Sustainability ผลกระทบระยะยาว ความยั่งยืนในการพัฒนา นี่คือประสิทธิผลการสร้างต้นแบบนวัตกรรมและประสิทธิผล
สำหรับการประเมินประโยชน์ ทุกครั้งที่นักนิเทศทำ นักนิเทศทุกคนจะพูดประโยชน์คือ 1 ครูพอใจ นำเสนอตารางความพึงพอใจของครู ครูเกิดการเรียนรู้ ครูเกิดการ Learning เกิดการเรียนรู้ นำเสนอคะแนนประเมินการเรียนรู้ของครูเกี่ยวกับกระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ครูรู้เข้าใจมากขึ้น 3 ครูเปลี่ยนพฤติกรรม ขณะนี้ครูนำกระบวนการเหล่านี้ไปใช้สอนอย่างต่อเนื่อง หลังจากจบการวิจัยแล้วก็ยังใช้อยู่ แสดงว่าครูเปลี่ยนพฤติกรรมการสอน Behavior change 4 เกิดผลต่อเด็ก เกิด Result
เราเรียกโมเดลนี้ว่า RLBR Model Reaction ความพึงพอใจของครู Learning การเรียนรู้ของครู Behavior พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของครู Result ผลลัพธ์ที่เกิดกับเด็ก ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า RLBR Model เป็นโมเดลของ Professor Kirkpatrick ในการประเมินโครงการ ในการประเมินนวัตกรรมใดๆ ในการประเมินโครงการใดๆ เมื่อใดเราเอานวัตกรรมการนิเทศไปลงกับครู 1 ครูพอใจ Reaction 2 ครู Learning ครูเกิดการเรียนรู้ Learning 3 ครู Behavior change พฤติกรรมเปลี่ยน RLB 4 Result ผลลัพธ์เกิด
กรณีศึกษานวัตกรรมการนิเทศ 9 เรื่อง
หลักการในการเลือกและตั้งชื่อ
ในการเลือกนวัตกรรมเพื่อทดลองและจะสร้างเป็นผลงานทางวิชาการ มีหลักการคือ “แคบ-คม-ลึก-สร้างสรรค์-ทันยุค” เลือกประเด็นวิจัยและพัฒนาไม่ต้องเลือกกว้าง แต่เน้นความเฉียบคมในเชิงทฤษฎีและสร้างสรรค์ในตัวนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีช่วย เรียกว่าทันยุค
กรณีศึกษาที่ 1: การสร้างห้องเรียนออนไลน์สำหรับครูวิทยาศาสตร์บรรจุใหม่
ชื่อเรื่อง: การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสรรค์ห้องเรียนออนไลน์สนับสนุนการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติสำหรับครูวิทยาศาสตร์บรรจุใหม่ สพป.กทม.เขต 1
กลุ่มเป้าหมาย: ครูวิทยาศาสตร์บรรจุใหม่ (นิยามเป็นครูที่ยังไม่มีวิทยฐานะชำนาญการ) มีความร่วมมือสูงเพราะเขายังใหม่อยู่ ยังเด็กอยู่
วิธีการ: ใช้การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เชิญครูใหม่มาร่วมเป็นผู้วิจัย ช่วยกับครูสร้างสรรค์ห้องเรียนออนไลน์ มาคิดห้องเรียนออนไลน์ที่ดีควรเป็นแบบไหน ปฏิสัมพันธ์ในห้องควรเป็นแบบไหน ควรให้พ่อแม่ที่เก่งๆเข้ามาอยู่ในห้องด้วยเพื่อช่วยตรวจงานได้ด้วย ช่วยกันคิดห้องเรียนออนไลน์กับครู
หลังจากคิดห้องเรียนออนไลน์กลางเวอร์ชั่น X แล้ว ครูแต่ละคนมีสิทธิ์ไปปรับให้เป็นเวอร์ชั่น X1 X2 X3 X4 X5 ได้ เพราะครูร่วมทดลองตั้ง 9 คน สามารถปรับให้ตรงกับบริบทตนเองได้ ให้ปรับในบริบทของตนเอง บางครูบรรจุใหม่ในโรงเรียนเทพศิรินทร์ กับครูบรรจุใหม่โรงเรียนวัดนา มันเด็กมันไม่เหมือนกัน ครูบรรจุใหม่สวนกุหลาบ กับครูบรรจุใหม่โรงเรียนขนาดเล็กที่ฝั่งธน มันไม่เหมือนกัน ความพร้อมไม่เท่ากัน คิดห้องเรียนออนไลน์เสร็จ กลาง ให้ทุกคนปรับให้เหมาะกับบริบทตัวเองได้ จากห้องเรียนออนไลน์โมเดล X เป็น X1 X2 X3 X4 X5 ถึง X9 ได้ มีครู 9 คน
หลังจากนั้นสนับสนุนการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติ ต้องมีการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูเป็นระยะๆ ทั้ง 9 คนเป็นระยะๆ สุดท้ายต้องสอนให้เขาเขียนรายงานการวิจัย ศึกษานิเทศก์จะเขียนเรื่องนี้ ขึ้นเชี่ยวชาญ หรือหากเป็นเชี่ยวชาญอยู่แล้วก็ขึ้นเชี่ยวชาญพิเศษ เพราะเราทำตัวเกิดประโยชน์ในวงกว้าง
กรณีศึกษาที่ 2: การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพออนไลน์
ชื่อเรื่อง: การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพออนไลน์เพื่อพัฒนาสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้สำหรับครูบรรจุใหม่กลุ่มสาระสังคมศึกษา สพป.ระนอง
กลุ่มเป้าหมาย: ครูบรรจุใหม่กลุ่มสาระสังคมศึกษา เลือกกลุ่มแคบ ไม่ไปยุ่งกลุ่มอื่น แคบ สร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย สร้างสรรค์ PLC มันก็สร้างสรรค์อยู่ ทันยุคอยู่ PLC ก็สร้างสรรค์ทันยุค ออนไลน์ก็สร้างสรรค์ทันยุค ช่วยแก้ปัญหาครูบรรจุใหม่ มันก็ตรงกับปัญหาแท้
วิธีการ: เน้นสร้าง PLC เป็นหลัก สร้างชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ Professional Learning Community แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ให้ข้อมูลป้อนกลับทุกคน สะท้อน มาพบกันทุก 1 เดือน 1 เดือนละครั้ง ออนไลน์ เดือนละครั้ง เล่า Best Practice เล่า Problem เล่า Best Practice เล่า Problem เมื่อใดพูด Problem เอา Problem ก่อนวาระแรก Problem เพื่อทุกคนช่วยกันแนะ ต่อไปวาระ Best Practice เพื่อเก็บ เล่า Problem เพื่อช่วยกันแก้ เล่า Best Practice เพื่อเก็บไปใช้ แล้วก็ไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เก็บเสร็จไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นการพัฒนาสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครูบรรจุใหม่
กรณีศึกษาที่ 3: การสร้างบทบาทผู้ปกครองในการแก้ปัญหานักเรียนกลุ่มเสี่ยง
ชื่อเรื่อง: การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสรรค์บทบาทร่วมของผู้ปกครองในการแก้ปัญหานักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้านการอ่านช่วงชั้นที่ 1
กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้านการอ่านช่วงชั้นที่ 1 คือ 1 เด็กLD 2 เด็กอ่านไม่ออกจบป.1 เด็กปกติแต่จบป.1 ยังอ่านไม่ออก จบป.2 แล้วก็ยังอ่านไม่คล่อง จบป.3 แล้วยังอ่านแบบตีความไม่ได้ นี่เด็กกลุ่มเสี่ยงช่วงชั้นที่ 1 อ่านไม่ออก อ่านไม่คล่อง อ่านจับใจความไม่ได้ คือเด็กกลุ่มเสี่ยงช่วงชั้นที่ 1 ต้องสลายไปให้หมดไปจากประเทศ หากสลายตรงนี้ได้ คุณภาพจะขึ้น
วิธีการ: เน้นบทบาทผู้ปกครองเข้ามาช่วย ฝึกที่โรงเรียน ฝึกเพิ่มที่บ้าน ฝึกที่โรงเรียน ฝึกเพิ่มที่บ้าน ฝึกที่โรงเรียน ฝึกเพิ่มที่บ้าน เด็กไม่ต้องเข้าค่าย เด็กเข้าค่ายที่บ้าน มีบัตรคำ มีบัตรประโยค มีบัตรอักษรสระ พยัญชนะสระวรรณยุกต์ ส่งไปบ้าน ให้พ่อแม่ยกลูกตอบ พ่อแม่ยกลูกอ่าน บทบาทร่วมระหว่างผู้ปกครองเพื่อแก้ปัญหานักเรียนกลุ่มเสี่ยงด้านการอ่าน เอาผู้ปกครองมาร่วม และเน้นทักษะการอ่าน เน้นทำงานร่วมระหว่างบ้านกับผู้ปกครอง การประเมินติดตามผลอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเด็กอ่านออกหมด
กรณีศึกษาที่ 4: การใช้กิจกรรมในครอบครัวและชุมชน
ชื่อเรื่อง: การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมในครอบครัวและชุมชนเพื่อเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพ สถานศึกษาขนาดเล็กครูไม่ครบชั้น สพป.สุรินทร์
เหตุผล: การเลือกแบบนี้แปลว่าเลือกสถานศึกษาขนาดเล็กครูไม่ครบชั้น แสดงว่าครูมันน้อยอยู่แล้ว หากเอามาสอนที่โรงเรียนอีกก็มีปัญหา และกลุ่มวิชาการงานไม่จำเป็นต้องเรียนที่โรงเรียน เรียนที่บ้านได้ พ่อแม่กับลูกทำอาหารกัน 9 อย่างต่อภาคเรียน พ่อแม่กับลูกร่วมดูแลสัตว์เลี้ยง ร่วมดูแลต้นไม้ ร่วมดูแลสวนหย่อม ร่วมจัดการสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ ร่วมกันทำอาชีพที่สะอาดถูกสุขลักษณะ ทำที่บ้านได้หมดเลย
เนื่องจากว่าครูไม่ครบชั้น มาโรงเรียนก็ไม่มีครู ครูไม่ครบชั้น เขาเลยผลักไปที่ให้กิจกรรมไปลงที่บ้านให้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ เลือกบริบทดี กลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพต้องลงที่บ้านอยู่แล้ว เลือกบริบทดี โรงเรียนขนาดเล็กครูไม่ค่อยมีอยู่แล้ว ก็ให้พ่อแม่เข้ามา Take action เรื่องการดูแลรักษาบ้าน เรื่องงานบ้าน มันจะได้จับต้นปัญหาได้เป็นชุมชนเข้าช่วย เน้นกิจกรรมในครอบครัว เน้นกิจกรรมในชุมชน เน้นวิชาพื้นฐานอาชีพ นี่เหมาะกับบริบทแบบนี้
กรณีศึกษาที่ 5: การสร้างเครือข่ายครูผู้ร่วมนิเทศ
ชื่อเรื่อง: การสร้างเครือข่ายครูผู้ร่วมนิเทศในระบบออนไลน์เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้ช่วย สพป.ขอนแก่น เขต 4
ปัญหา: ครูผู้ช่วยได้รับการดูแลโดยครูพี่เลี้ยงกับผอ.โรงเรียน ตอนเป็นครูผู้ช่วย ศึกษานิเทศก์เราไปนิเทศเขา เวลาก็ไม่มี ศึกษานิเทศก์คนนี้เลยคิดสร้างเครือข่ายผู้ร่วมนิเทศ
วิธีการ: ทำ 9 ห้อง ห้องแรกเครือข่ายผู้ร่วมนิเทศวิชาคณิตศาสตร์ ห้องที่ 2 เครือข่ายผู้ร่วมนิเทศวิชาภาษาไทย ห้องที่ 3 เครือข่ายผู้ร่วมนิเทศวิชาสังคมศึกษา ตั้ง 9 กลุ่มสาระ รวมทั้งเครือข่ายผู้ร่วมนิเทศกลุ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หรือกลุ่มที่ 9 ตั้ง 9 กลุ่ม เขาเองเป็นศึกษานิเทศก์วิทยาศาสตร์ เขาก็เป็นหัวหน้าทีมเครือข่ายของห้องวิทยาศาสตร์ อีกคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมของคณิตศาสตร์ อีกคนนึงเป็นหัวหน้าทีมของสังคม แล้วแต่ว่าใครเอกไหนมา ก็โปรดเป็นหัวหน้าทีมห้องนั้น เขาเชิญครูเชี่ยวชาญ ครูชำนาญ ครูเชี่ยวชาญทุกคนในทุกกลุ่มสาระมาอยู่ในห้องของตนเอง ครูเชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์มาอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์ ครูเชี่ยวชาญ คศ.4 คณิตศาสตร์มาอยู่ห้องคณิตศาสตร์ ครู คศ.4 สังคมมาอยู่ในห้องสังคม เขาเรียกว่าสร้างเครือข่ายนิเทศ แล้วเชิญครูบรรจุใหม่ทุกคนเข้าห้องเหล่านั้นด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ครูใหม่สังคม ครูใหม่คนใดมีปัญหาโปรดถามในห้องทันที ที่ครูใหม่ถาม ครูเชี่ยวชาญจะตอบ ศึกษานิเทศก์จะตอบ ครูเชี่ยวชาญจะตอบ ศึกษานิเทศก์จะตอบ ทุกเดือนสรุปปัญหากันทีนึง ซิมโพเซียมกันทีนึง ทุกเดือนซิมโพเซียมกันทีนึง หากทำแบบนี้แปลว่าใครเก่งขึ้นบ้าง
แน่นอน ศึกษานิเทศก์ที่เป็นหัวแต่ละห้องก็เก่งขึ้น ครูผู้ร่วมนิเทศจะเก่งขึ้น เขาเป็นครูชำนาญ ครูเชี่ยวชาญอยู่แล้ว พอเขามาเป็นผู้นิเทศแกนนำในระดับเขตพื้นที่ เขากลายเป็นดังระดับเขตพื้นที่ เขาสามารถสร้างผลงานเป็น คศ.5 ได้ เพราะเขาดังในเขตพื้นที่ เขามาเป็นครูผู้ร่วมนิเทศกับ สพป.ขอนแก่นเขต 4 เขาเลยดังมาก คอยแนะนำ มีหลักฐานชัดว่าทำชีท ทำชีท ทำชีทต้นแบบ ทำชีทต้นแบบ ทำชีทต้นแบบ จนเป็นประโยชน์กับครูวิชาวิทยาศาสตร์ คศ.4 กับครูวิทยาศาสตร์บรรจุใหม่ เขาเป็นครูวิทยาศาสตร์ ครูเชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์แล้ว ทำชีท แนะนำครูใหม่ แนะนำครูใหม่วิชาวิทยาศาสตร์ในห้องวิทยาศาสตร์ เขาไม่ไปแนะนำห้องอื่น ห้องอื่นก็แนะนำโดยครูเชี่ยวชาญคนอื่น ครูชำนาญการพิเศษคนอื่น เขาแนะนำบ่อยๆ เขาสามารถรวมเล่มได้อยู่แล้ว
ศึกษานิเทศก์ ครูผู้ร่วมนิเทศคนนี้ จากครูเชี่ยวชาญวิชาวิทยาศาสตร์ เขาเตรียมตัวขึ้นสู่ครูเชี่ยวชาญพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ มีสิทธิ์ที่จะได้เล่มนี้ เล่มกลาง เรื่องที่ 5 ไปเพื่อขอเป็นเชี่ยวชาญ ยกเว้นเป็นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เล่มนี้ก็เตรียมขอเป็นเชี่ยวชาญพิเศษ ก็ขอเป็นเชี่ยวชาญพิเศษ แล้วแต่ว่าณวันนี้เป็นอยู่ตรงไหน วิธีการแบบนี้เป็นวิธีการที่สร้างเครือข่ายนิเทศ
หากสร้างเครือข่ายผู้ร่วมนิเทศกันทั้งประเทศ จะเข้มแข็งมากทันที เอาครู คศ.3 เก่งๆ และครู คศ.4 ทุกคนที่รัฐจ้างแพงมาก โปรดมาอยู่ในห้องเครือข่ายนิเทศวิชาโน้น วิชานี้ วิชานั้น ของเขตพื้นที่ และเราจะร่วมกันพัฒนาการเรียนการสอน หากแบบนี้คือสร้างเครือข่ายผู้ร่วมนิเทศ เรื่องนี้ก็มีอนาคตที่ดี
กรณีศึกษาที่ 6: การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการสอนภาษาอังกฤษ
ชื่อเรื่อง: พัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพออนไลน์เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับครูที่สอนไม่ตรงวิชาเอก สพป.อุบลราชธานี เขต 3
ปัญหา: ในอุบลราชธานีเขต 3 มีครูที่ต้องไปสอนภาษาอังกฤษ ครูคณิตศาสตร์ต้องไปสอนภาษาอังกฤษ ไม่มีครูเอกภาษาอังกฤษ ครูสังคมต้องไปสอนภาษาอังกฤษ ครูสังคมไปสอนภาษาอังกฤษ มันเยอะมาก
วิธีการ: หน้าที่ศึกษานิเทศก์วิชาภาษาอังกฤษคือไปสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพออนไลน์เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับครูที่สอนไม่ตรงวิชาเอก เขาเครียดจะตาย เครียดสุดๆ กับการสอนไม่ตรงความรู้ก็ไม่มี Accent ก็ไม่ใช่อยู่แล้ว เราก็ไทย Accent ไทยอยู่แล้ว และเอกเราไม่ตรงด้วย เขาเครียดสุดๆ พอมีคนมาช่วยโดยศึกษานิเทศก์ตั้งชื่อแบบนี้ พัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ เรียนสมัครเข้ากลุ่มเลย เพราะเขาอยากให้คือคนช่วย เอาครูภาษาอังกฤษเก่งๆ ครูแกนนำเข้ามาอยู่ในห้องด้วย ในห้องออนไลน์ด้วย เพื่อนิเทศเขา เพื่อทำชีทช่วยเขา เพื่อทำชีทช่วยเขา ชีทต้นแบบ ใบงาน ใบความรู้ต้นแบบช่วยเขา เพื่อครูไม่ตรงวุฒิจะได้สอนอย่างมีคุณภาพ คุณภาพมันก็ขึ้น ศึกษานิเทศก์ค่อยมาเขียนเรื่องที่ 6
กรณีศึกษาที่ 7: การสร้างประเด็นท้าทายสำหรับครูชำนาญการพิเศษ
ชื่อเรื่อง: วิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงานประเด็นท้าทายในระบบ PA สำหรับครูชำนาญการพิเศษกลุ่มสาระสังคมศึกษา ปราจีนบุรี-นครนายก
เหตุผล: ทำไมไปเอาครูชำนาญการพิเศษมาเป็นเป้าหมาย ครูชำนาญการพิเศษทุกคนใน สพม.ประจีนบุรี-นครนายก สนใจจะขึ้นเป็นครูเชี่ยวชาญ พอศึกษานิเทศก์ประกาศว่า เราจะร่วมกันคิดสร้างสรรค์ประเด็นท้าทายในระบบ PA สำหรับครูชำนาญการพิเศษ เชิญทุกท่านที่เป็นครูชำนาญการพิเศษที่สนใจโปรดสมัคร รับ 17 คน ครู คศ.สามีเท่าไหร่ไม่รู้ รับ 17 คน สมัครมา 19 อย่าทิ้งเขาเลย เอา 19
ครูชำนาญการพิเศษ 19 เข้าห้องแล้ว เรามาออกแบบการสอนวิชาสังคมศึกษา และเรามากำหนดประเด็นท้าทายในวิชาสังคมด้วยกัน ต่างคนต่างกำหนดประเด็นท้าทายของตนเอง และไปออกแบบพัฒนาการสอนสังคมที่บูรณาการประเด็นท้าทายในการสอนสังคมของวิชาตนเอง มาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นระยะๆ กับทีมเรา แน่นอน เป้าหมายของเราคือ 19 คน ต้องเขียน ต้องได้รับการประเมิน PA และต้องเขียนรายงานการวิจัย หากได้ 19 คนรายงานการวิจัย 19 เล่ม กลุ่มสาระสังคมศึกษาทั้ง 19 คน โปรดไปส่งผลงานเชี่ยวชาญได้ ศึกษานิเทศก์จะเขียนเรื่องนี้ ขึ้นเชี่ยวชาญเหมือนกัน หรือหากเราเชี่ยวชาญอยู่แล้วก็ขึ้นเชี่ยวชาญพิเศษ เพราะเราทำตัวเกิดประโยชน์ในวงกว้าง หากเราส่งเสริมให้ครูชำนาญการพิเศษขึ้นเชี่ยวชาญได้ตั้ง 19 คน เราควรเป็นอะไร เราก็ควรเป็นเชี่ยวชาญหรือเชี่ยวชาญพิเศษ
แบบนี้คือเราไปเลือกกลุ่มที่เขาอยากทำอยู่แล้ว PA ก็ถูกบังคับอยู่แล้ว ถูกบังคับ PA อยู่แล้ว เขาอยากเป็น คศ.4 อยู่แล้ว เราไปเลือกเขา เชื่อว่าเขารีบสมัครกันทุกคน เผลอๆต้องเล่นเส้นเลยในการสมัคร ก็คือประชุมออกแบบ ทดลองใช้ ประเมินอย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตามหลักของวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
กรณีศึกษาที่ 8: การใช้กิจกรรมเกมในการสอนคณิตศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การนิเทศด้วยวิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสรรค์การใช้กิจกรรมเกมสำหรับการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์
ปัญหา: เด็กมันเบื่อคณิตศาสตร์ เด็กมันเบื่อ มันจำเป็นต้องใช้กิจกรรมเกม โดยเฉพาะเด็กประถม ช่วงชั้นที่ 1 ป.1 2 3 เลือกวิชาคณิตศาสตร์เพราะเด็กมันเบื่อ ง่าย เลือกชั้น ป.1 2 3 เป็นเรื่องการสร้างเจตคติที่สำคัญ กิจกรรมเกมเหมาะสมกับการปลูกฝังเจตคติต่อวิชา
วิธีการ: ใช้กระบวนการนิเทศแบบ PAR แปลว่าเชิญครูที่สมัคร 25 คนมาร่วมคิดการใช้กระบวนการเกมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ทำแผนการสอน และไปทดลอง ลองแล้วมานั่งประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไปลองระยะที่ 2 มาประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไปลองระยะที่ 3 ทำเรื่อยๆ จนสิ้นปี เราจะสอนให้เขียนรายงานการวิจัยเรื่องนี้
กรณีศึกษาที่ 9: การนิเทศโดยใช้การวิจัยเป็นฐานสำหรับนักนิเทศยุคดิจิทัล
ชื่อเรื่อง: การนิเทศโดยใช้การวิจัยเป็นฐานสำหรับนักนิเทศยุคดิจิทัล (Supervision using research approach for digital era supervisor)
ลักษณะ: จริงๆ เรื่องนี้มันเป็นนวัตกรรมประเภท Content นะครับ เหมือนกับเราต้องการเขียนตำรา เขียนตำรา จริงๆ ก็จะตัดสินคิดที่จะเขียนเรื่องของ ลักษณะคล้ายๆ แบบนี้ เรื่องของการจัดการงานนิเทศสำหรับนักนิเทศยุคใหม่ เป็นนักนิเทศยุคเก่า แต่ผ่านประสบการณ์การนิเทศ หากบรรยายเรียนมาประมาณเกือบ 4,000 ครั้ง เยอะมาก ทำงานมาเยอะมาก จะใช้ประสบการณ์จาก 4,000 ครั้งมาสกัดความรู้ทั้งหลายว่า ตอนคอนแทคครู หากครูเก่งเราทำยังไง หากครูอ่อนทำไง ครูปานกลางทำยังไง หากครูมีความเครียดแบบนี้ ครูเครียดเราจะทำยังไง ครูลองดีเราจะทำยังไง มันเจอมาหมดแล้ว ครูที่ลองดีขึ้นมาถามในห้องประชุมแบบลองดี มันเจอมาหมดทุกอย่าง จะเขียนเรื่องของเทคนิคนิเทศสำหรับครูในยุคดิจิทัล แต่จะใช้ยุคดิจิทัลเข้าไปด้วย แปลว่าเองศึกษาเรื่องการใช้ Course Box ศึกษาทุกอย่าง การใช้โปรแกรมต่าง ๆ ใช้ Gamma แอปที่พรีเซนต์อยู่นี่ ใช้ทุกอย่างที่เป็น AI ใช้ AI ใช้ไอทีเก่ง จะลดเวลามหาศาลในชีวิตทำงานได้เยอะ
นี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ใครใช้ AI ใช้ไอทีเก่ง จะลดเวลามหาศาลในชีวิตทำงานได้เยอะ เวลามีเท่ากัน 24 ชั่วโมง ทำงานได้มากกว่าคนอื่น ส่วนหนึ่งเพราะใช้ AI ใช้ไอทีช่วย ระบบฐานข้อมูลทุกอย่างอยู่ที่ Portfolio ห้องเรียนโปรแกรมที่เป็นคณบดีมีทั้งหมด 8 วิชาเอก 4 ปริญญาตรี 6 ปริญญาโท-เอก ทุกโปรแกรมกำกับโดยระบบออนไลน์หมด กำกับคุณภาพแบบออนไลน์หมดเลย นั่งกำกับงานจากบ้านได้ เมื่อวานตอนเย็นก็ประชุมอาจารย์เพื่อสอนการการสร้าง Course Box ได้ นั่งควบคุมงานจากบ้านได้หมด คณะ อธิการก็โทรมาคุยกับได้ตลอดเวลา แต่เข้าไปบ้าง หากมีประชุม On-site ก็ต้องไปเข้าประชุมบ้าง ก็เป็นธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ใช้ออนไลน์
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา
หลักการสำคัญในการสร้างบารมีทางวิชาการ
อาชีพนี้เป็นอาชีพที่สำคัญ หากเราพัฒนาตน พัฒนางานอย่างจริงจัง อย่างมีหลักวิชา ทุกคนจะสร้างบารมีทางวิชาการได้ บารมีทางอำนาจเมื่อใดเป็น ผอ.เขตหมด อำนาจเมื่อใดเกษียณก็หมดทันที เป็นอธิบดีเกษียณปุ๊บหมดทันที แต่บารมีทางวิชาการไม่หมด
พยายามพิสูจน์ตนเองว่า หากเป็นอธิบดี บารมีสายอำนาจมันคงจบตั้งแต่วันที่เกษียณ แต่บารมีทางวิชาการไม่หมด คนยังปรึกษาเรา ยังเข้าพบเรา ยังเยี่ยมเรา ต้องการคำแนะนำกับเรา แต่แน่นอน เราต้องอ่านหนังสือสม่ำเสมอ ต้องอ่านสม่ำเสมอ ก่อนไปประชุมต้องเตรียม Literature สม่ำเสมอ ไม่ไปประชุมแบบว่างเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ศึกษานิเทศก์จะต้องทำ การประชุมบ่อยในกรม ต้องขอวาระแล้วก็เตรียมพิมพ์ไปก่อนเลย เรื่องวาระนี้จะพูดว่าไง วาระนี้จะพูดว่าไง และจะ Research-based Research-based หมายถึงว่ารีวิว Literature มาก่อนไปประชุม แล้วก็จะเฉียบคมมากในความเป็นนักนิเทศที่เฉียบคม เรียกว่า Research-based supervision สร้างบารมีได้
กฎ 3 ข้อในการขับเคลื่อนชีวิต
มีกฎ 3 ข้อในการขับเคลื่อนชีวิต
ข้อที่ 1 อ่านหนังสือเยอะๆ ชีวิตจะเปลี่ยน นี่กฎข้อแรก อ่านหนังสือวันละ 50 หน้า อาทิตย์ละ 250 เป็นครูโรงเรียนบ้านไผ่ ผมอ่านหนังสือวันละ 50 หน้า อาทิตย์ละ 250 ต้องครบ 250
ข้อที่ 2 คืออย่าอยู่แบบลอยๆ ขอให้ตั้งเป้า ตั้งเป้า 26 ต้องจบโท 32 ต้องจบเอก มีเรื่องเดียวที่พลาดในชีวิตและพลาดอย่างมาก คือไม่ได้ตั้งเป้าว่าอายุเท่าไหร่ควรจะมีเงินสักเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งเป้าด้านไฟแนนเชียล ตั้งเป้าเรื่องการเรียนเป็นหลัก
ข้อที่ 3 ให้ทำงานหนักเพื่อสู่เป้า (with good mental health) ให้ทำงานหนักสู่เป้า ให้ทำงานหนักเพื่อชีวิตมั่นคง อย่าทำงานหนักเพื่อรวย คำสอนนี้ทำให้ไม่รวย ให้ทำงานหนักเพื่อครอบครัวมั่นคง อย่าเพื่อรวย
จาก 3 กฎ 3 ข้อ 1 อ่านเยอะชีวิตเปลี่ยน 2 อย่าอยู่แบบลอยๆ ขอให้ตั้งเป้า ควรตั้งเป้าว่าอายุเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ให้ครูในเขตพื้นที่ ครูใหม่ ครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ให้ตั้งเป้าว่าตั้งเป้าที่ประมาณจะเป็นครูเชี่ยวชาญประมาณอายุ 32 เกือบๆทุกคนตั้งเป้าที่อายุ 32 หมด เขาจะเป็นครูเชี่ยวชาญครูผู้ช่วย 2 ปี เป็นครู คศ.1 แค่ 3 ปี เพราะเขาจะลดด้วยภาษาอังกฤษ เขาจะเป็นครู คศ.2 แค่ 3 ปี ลดด้วยภาษาอังกฤษอีกครั้งนึง เขาจะเป็นครู คศ.3 แค่ 3 ปี ลดด้วยปริญญาโท แล้วจะขึ้นเชี่ยวชาญในปีที่ 11 อายุประมาณ 32 ทุกคนตั้งเป้าแบบนั้น ให้ตั้งเป้า หลักที่ 1 อ่านเยอะ หลักที่ 2 ไม่ลอย ๆ ตั้งเป้า หลักที่ 3 ทำงานหนักสู่เป้า งานหนักไม่เคยทำให้คนตาย ที่ตายส่วนใหญ่เส้นเลือดฝอยแตกตายเพราะเครียด ไม่ได้ตายเพราะหนัก หนักไม่ตาย หากหนักโดยไม่เครียด ยังไงก็ไม่ตาย นี่คือ 3 กฎในชีวิต
การใช้เทคโนโลยีในงานนิเทศ
ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากในงานนิเทศ มีเครื่องมือที่ช่วยเหลือได้อย่างมหาศาล DeepSeek แปลว่าแชท GPT ของ DeepSeek ที่ช่วยได้อย่างมหาศาล Gemini คือ AI ของ Google Claude คือ AI ของ Microsoft Gamma แอป Gamma แอปคือเป็น AI ที่สร้าง PowerPoint ให้ทันแบบรวดเร็ว 5 นาทีได้ PowerPoint ทันที พอท่านเชิญมาบรรยาย เอาเนื้อหาไปใส่ปุ๊บ ๆ ก็จะได้ PowerPoint ประมาณ 3 นาทีเสร็จทุกชุด Gamma แอปจะช่วยเราได้อย่างดี
พวกนี้จะช่วยเราได้ ในความเป็นศึกษานิเทศก์ เมื่อใดที่ท่านร่างจดหมายเป็นภาษาไทย ต้องการแปลงเป็นภาษาอังกฤษ ท่านลองถาม ChatGPT ดู มันแปลงให้ท่านแบบภาษาเฉียบคมมาก ภาษาเฉียบคมมาก นี่เป็นประโยชน์กับท่าน สิ่งเหล่านี้ศึกษานิเทศก์ไม่ใช้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องใช้
การประยุกต์ใช้โมเดล Think-Pair-Share
เมื่อใดที่โยนคำถามให้ทุกคน ให้คิดด้วยตัวเองก่อน และเสนอเปเปอร์ตัวเอง แต่ในชีวิตจริงไม่สามารถทำงานเองได้ ให้ Small group ถกกัน หลังจากคิดตัวเองเสร็จแล้ว โพสต์ขึ้นบอร์ดแล้ว ให้คิดกันเป็นกลุ่ม เพื่อหาข้อสรุปกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน หลังจากนั้นกลุ่ม 5 คนมานำเสนอในห้อง เพื่อให้เป็นแนวคิดเดียว กลุ่มเดียว นี่เป็นแนวคิดของ Think-Pair-Share แปลว่าคิดก่อน Think first ตรงนี้หมายถึง Small group ได้ คิดเป็น ไม่ใช่จับคู่ 2 คน แปลว่าจับเป็นกลุ่มย่อยได้ Share แปลว่าแชร์ในคลาสใหญ่ แชร์ในคลาสใหญ่ เป็นแนวคิดของ Dr. Lyman Dr. Lyman ที่เสนอให้ ซึ่งเหมาะกับคนไทยที่ไม่รับผิดชอบ
หากเมื่อใดไปสั่งงานให้ครูทำงานเป็นกลุ่ม คิดว่าผลงานกลุ่มที่ออกมา เป็นผลงานของกลุ่มทั้ง 7 คนไหม มันเป็นผลงานของกลุ่มที่มีชื่อ 7 คน แต่จริงๆคนทำมีแค่ 2-3 คน Dr. Lyman พยายามแก้ปัญหาด้วยการ Think-Pair-Share เป็นคอนเซปต์ของเขาที่เขาคิดมาจากมหาวิทยาลัย Maryland และปัจจุบันเราเอามาใช้กันเยอะ
การประเมินงานวิจัยและผลงานทางวิชาการ
ในรายงานการวิจัยการประเมินมี 2 กองคะแนน กองแรกคือถูกต้อง ครบถ้วน สร้างสรรค์ 50% คะแนน กองที่ 2 ประโยชน์ 50%
1. ถูกต้องตามหลักวิชา รวมทั้งถูกต้องตามสารบันด้วย คำผิดคำถูก หากผิดบ่อยมากก็หักคะแนนได้ อารมณ์เสียไม่ได้หักคะแนน แต่อารมณ์เสีย พอมันเจอคำผิดบ่อยก็อารมณ์เสีย คนอ่านจะอารมณ์เสีย ความถูกต้อง ถูกต้องตามหลักวิชา ครบถ้วนสมบูรณ์ หากท่านส่งเป็นรายงานการวิจัยไป เขาจะอ่านของท่านในเรื่อง Sampling Design Measurement Design Statistical Design ก็ดูท่านว่าพูดครบ 3 ดีไซน์ของการวิจัยหรือเปล่า วัตถุประสงค์ของการวิจัยมี 2 ข้อ ตอบครบทั้ง 2 ข้อหรือเปล่า ครบถ้วนสมบูรณ์
2. สร้างสรรค์หรือเปล่า ความสร้างสรรค์ ความสร้างสรรค์ของการวิจัยเขาจะดูที่ความเป็นมาของปัญหาในบทที่ 1 ท่านกล่าวถึงปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเป็นวิกฤตของประเทศ แสดงว่าไปเลือกปัญหาแท้ คนนี้สร้างสรรค์ ความเป็นมาของปัญหา และในที่สุดเลือกวิธีประกันคุณภาพแบบ 100% การอ่าน ดูวิธีการก็กิจกรรมในบทที่ 3 สร้างสรรค์มาก กิจกรรมการประกันคุณภาพการอ่าน กิจกรรมการประกันคุณภาพการเป็นนักอ่าน กิจกรรมสร้างสรรค์มาก ดูในบทที่ 2 ท้ายๆหรือบทที่ 3 จะดูกิจกรรมสร้างสรรค์หรือไม่ กระบวนการเก็บข้อมูล ท่านมีเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม และแบบสอบถามนั้นผ่าน Google Form เฮ้ย คนนี้สร้างสรรค์ในการเก็บข้อมูลทันยุค มีการจัดโฟกัสกรุ๊ปด้วย โฟกัสกรุ๊ปออนไลน์เพื่อยืนยันข้อสรุปจากการวิจัย ไอ้คนนี้สร้างสรรค์ในวิธีการวิจัย
3. ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ตามกระบวนการวิจัย ครบถ้วนสมบูรณ์ในการตอบคำถามวิจัย และลีลาสร้างสรรค์ สร้างสรรค์ในความเป็นมาของปัญหา สร้างสรรค์ในวิธีดำเนินการวิจัย สร้างสรรค์ในกระบวนการวิจัย ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตรงนี้สร้างสรรค์ให้ไปเลย 50 คะแนน ส่วนใหญ่มักจะให้ 35-45 ประมาณ 70-90% มาดูประโยชน์ คุณค่าของผลงาน
ตัวประโยชน์ 50% เลย เมื่อใดท่านใช้ PAR วิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ท่านง่ายมากที่จะได้คะแนน เพราะว่าอะไร ผลต่อนักเรียน ผลงานนิเทศของท่าน ผลประโยชน์ต่อครู ท่านอธิบายชัดเลย ครู 9 คนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ครู 9 คนได้ความรู้ ครู 9 คนได้ทักษะวิจัย ครู 9 คนเขียนรายงานการวิจัยได้ ครู 9 คนเปลี่ยนลีลาการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ผลต่อครู ครูก็เอาคนเอ่ยชื่อได้ด้วย ผลต่อนักเรียน ท่านไปเอาผลต่อนักเรียนที่ครู 9 คนนั้นสอนอยู่ได้ เกิดผลต่อเด็กดังต่อไปนี้ ความพอใจของเด็กสูงขึ้น ความพอใจของครูก็สูงขึ้น
ท่านเป็นศึกษานิเทศก์คนเดียวไปทำงาน และเกิดประโยชน์กับโรงเรียนตั้ง 9 โรง กับครูตั้ง 9 คน กับนักเรียนตั้ง 2,000 กว่าคน ท่านคือเป็นนักนิเทศที่ควรได้ 50% คะแนนประโยชน์ แล้วแถมท่านไปพรีเซนต์ต่อวงวิชาการแล้ว ไปนำเสนอในที่ประชุมซิมโพเซียมของเขตพื้นที่ คะแนนประโยชน์ต่อวงวิชาการก็ได้อีก ตรงนี้เราต้องนึกว่า คะแนนมันมีถูกต้อง ครบถ้วน สร้างสรรค์ดูอะไร
สร้างสรรค์นี่ดูจากความเป็นมาของปัญหา สร้างสรรค์ในวิธีการวิจัย สร้างสรรค์ในวิธีการเก็บข้อมูล ประโยชน์ ประโยชน์ต่อเด็ก ประโยชน์ต่อครู หากท่านทำคู่มือใดๆ และท่านไปเก็บประโยชน์กับครูอย่างเดียว ครูพอใจ มันก็จบที่ประโยชน์กับครู แต่หากท่านเมื่อใดท่านนิเทศการสอนเพื่อให้ครูเปลี่ยนการสอน ผลอ้างได้ตั้งไปผลถึงครู ผลไปถึงเด็กได้หมดเลย ได้หมดทุกอย่าง
บทสรุป
การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาในยุคดิจิทัลต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของนวัตกรรม การประยุกต์ใช้วิธีการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน
กุญแจสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่การเลือกปัญหาที่ตรงกับปัญหาแท้จริง การมีฐานทฤษฎีที่มั่นคง การสร้างนวัตกรรมที่มีความใหม่และทันยุค และที่สำคัญคือความยั่งยืนในการพัฒนา การใช้วิธี PAR ช่วยให้ครูมีส่วนร่วมในฐานะนักวิจัยร่วม ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถูกนิเทศ ทำให้เกิดความเป็นเจ้าของและความต่อเนื่องในการพัฒนา
สำหรับศึกษานิเทศก์ในยุคใหม่ การสร้างบารมีทางวิชาการมีความสำคัญมากกว่าการพึ่งพาอำนาจตำแหน่ง การใช้ Research-based Supervision การอ่านหนังสือสม่ำเสมอ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และการทำงานหนักแต่ไม่เครียด เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ
เทคโนโลยี AI และเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยลดเวลาในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างไม่จำกัด การเรียนรู้และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับศึกษานิเทศก์ยุคใหม่
ท้ายที่สุด การยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาพื้นฐาน เช่น ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก การพัฒนาครูให้มีศักยภาพสูง และการสร้างระบบนิเทศที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ศึกษานิเทศก์ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เกิดขึ้นจริงในระดับพื้นที่
ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิงการบรรยายจากท่าน ดร.สุพักตร์ พิบูลย์
https://www.youtube.com/live/kswVvSZATHs?si=uP4v8Pv8YwZq7btH
จากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาสู่คุณภาพผู้เรียนให้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำอย่างยั่งยืน
รูปแบบออนไลน์ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568
หน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ.
Comments
Powered by Facebook Comments