การวิจัยและพัฒนาทางการนิเทศการศึกษา: แนวทางสู่นวัตกรรมการศึกษาที่ยั่งยืน
การวิจัยและพัฒนาทางการนิเทศการศึกษา: แนวทางสู่นวัตกรรมการศึกษาที่ยั่งยืน
บทนำ
ในยุคที่การศึกษาไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีความฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำอย่างยั่งยืน บทบาทของศึกษานิเทศจึงมีความสำคัญมากขึ้น การวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ทางการนิเทศการศึกษาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย
บทความนี้นำเสนอแนวทางการวิจัยและพัฒนาทางการนิเทศการศึกษาที่ได้จากการอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา โดยรองศาสตราจารย์ ดร.ชวลิตชู กำแพง จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจัดขึ้นโดยหน่วยศึกษานิเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ความหมายและแนวคิดของการวิจัยและพัฒนา
นิยามต้นฉบับและการพัฒนา
การวิจัยและพัฒนา (R&D) มีที่มาจากแนวคิดของ Borg & Gall (1989) ซึ่งให้นิยามว่าเป็น “กระบวนการที่เป็นระบบ (Systematic) ที่ผสมผสานการประเมินความต้องการ (need assessment) การออกแบบและพัฒนา (Design and Development) และการทดสอบ (Testing) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ (Create Product)”
ในบริบทการศึกษาสมัยใหม่ นิยามนี้ได้รับการพัฒนาให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ
- เป้าหมาย: การได้นวัตกรรม (Innovation) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
- กระบวนการ: การใช้กระบวนการวิจัยในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน
- หลักการ: ทุกขั้นตอนต้องเป็นงานวิจัยที่มีระเบียบวิธี
ความแตกต่างจากวิจัยประเภทอื่น
การวิจัยและพัฒนาแตกต่างจากวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) อย่างชัดเจน โดยงานวิจัยเชิงปฏิบัติการจะโฟกัสที่การแก้ปัญหาปัจจุบันทันด่วน มีผลลัพธ์เป็นการแก้ปัญหา แต่ไม่ได้โชว์ตัวผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน
ในขณะที่การวิจัยและพัฒนาจะโฟกัสที่การสร้างนวัตกรรม มีผลลัพธ์เป็นผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบ และมีกระบวนการหลายขั้นตอนที่ทุกขั้นตอนเป็นงานวิจัย
ที่มาและแนวทางการสร้างนวัตกรรม
ประเภทของนักสร้างนวัตกรรม
ผู้สร้างนวัตกรรมทางการศึกษาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
1. สายนักทฤษฎี (“สายวัดบ้าน”)
- เป็นผู้ที่อ่านตำราและมีหลักการทางทฤษฎีเป็นจำนวนมาก
- รู้จักหลักการต่างๆ และสามารถนำไปสู่การออกแบบนวัตกรรมได้
2. สายนักปฏิบัติ (“สายวัดป่า”)
- เป็นผู้ที่ทำงานมานานและมีประสบการณ์มากมาย
- เมื่อพบปัญหาในการปฏิบัติงาน จึงต้องการหาสิ่งใหม่ๆ มาเติมเต็ม
โครงสร้างการสร้างนวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมทางการศึกษามีโครงสร้างที่เป็นลำดับขั้น ดังนี้:
ปรัชญาการศึกษา (ความเชื่อ)
↓
จิตวิทยาการศึกษา (ทฤษฎี)
↓
หลักการ (Principles)
↓
วิธีการ/โมเดล (Methods/Models)
↓
เทคนิค (Techniques)
โครงสร้างนี้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่ดีต้องมีรากฐานทางปรัชญาและทฤษฎีที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถพัฒนาเป็นวิธีการและเทคนิคที่มีประสิทธิภาพได้
หลักการโค้ชสำหรับศึกษานิเทศ
ความเชื่อพื้นฐาน 3 ประการ
ในการทำงานนิเทศ การเป็นโค้ชเป็นแนวทางสำคัญที่ศึกษานิเทศควรยึดถือ โดยมีความเชื่อพื้นฐาน 3 ประการ:
1. ไม่มีใครรู้ห้องเรียนนั้นดีเท่ากับครูที่สอนในห้องนั้น
- ต้องใช้ Deep Listening (การฟังอย่างลึกซึ้ง)
- เข้าไปฟังก่อนที่จะให้คำแนะนำ
2. ทุกโรงเรียนมีความสำเร็จซ่อนอยู่
- ใช้ Appreciative Inquiry (การสืบค้นเชิงชื่นชม)
- ถามเรื่องความสำเร็จแทนการโฟกัสที่ปัญหา
3. การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา
- ยึดทฤษฎี 10% (ห่านนำฝูง)
- ไม่คาดหวังผลเร็วเกินไป
หลักการโค้ช 7 ประการ
- เชื่อในครู ให้เขาพูดก่อน – สร้างความไว้วางใจและเปิดโอกาสให้ครูแสดงความคิดเห็น
- ให้เขาตั้งเป้าหมายเอง (Goal Setting) – ส่งเสริมความเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบ
- อย่าตัดสินใจแทน ยกตัวอย่างให้ – ให้ทางเลือกและประสบการณ์เป็นแนวทาง
- ใช้คำถามเสริมพลัง (Empowering Questions) – ใช้คำถามที่กระตุ้นการคิดเชิงบวก
- ให้ตัวเลือก ไม่บังคับ – เคารพในการตัดสินใจของครู
- ใช้ภาษาทางบวก (I Message แทน You Message) – สื่อสารด้วยความเข้าใจและเคารพ
- Happy Together – สร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นสุข
กระบวนการออกแบบ R&D: 3 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 1: การตั้งชื่องานวิจัย
การตั้งชื่องานวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ โดยศึกษานิเทศสามารถใช้กรอบ PA (Performance Appraisal) เป็นตัวตั้ง พร้อมทั้งใช้สูตรการตั้งชื่อ:
“พัฒนา A ตามแนวคิด B เพื่อส่งเสริม C”
โดยที่:
- A = นวัตกรรม (รูปแบบ/ระบบ/หลักสูตร/กระบวนการ)
- B = หลักการ (อาจมีหลายตัว B+)
- C = ผลลัพธ์ (ต้องแตะถึงผู้เรียนด้วย)
ตัวอย่างการตั้งชื่อ: “รูปแบบการนิเทศตามแนวทางภาวะผู้นำร่วม (Collective Leadership) เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสมรรถนะ”
จากชื่อนี้จะได้คีย์เวิร์ดสำคัญ 3 ตัว คือ รูปแบบการนิเทศ, ภาวะผู้นำร่วม, และการจัดการเรียนรู้ตามสมรรถนะ
ขั้นตอนที่ 2: การออกแบบตาราง R&D
ตารางการออกแบบ R&D ประกอบด้วย 5 คอลัมน์หลัก:
| ขั้นตอน | วัตถุประสงค์ | วิธีดำเนินการ | แหล่งข้อมูล | ผลที่ได้ |
โดยมีขั้นตอนหลัก 4 ขั้น:
ขั้นที่ 1: การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
- วัตถุประสงค์: ศึกษาแนวคิดทฤษฎี A, B, C / สภาพปัจจุบันปัญหา / แนวทาง
- วิธีการ: Document Study, Focus Group, สัมภาษณ์เชิงลึก
- แหล่งข้อมูล: เอกสารงานวิจัย, ศึกษานิเทศ, ผู้ทรงคุณวุฒิ
- ผลที่ได้: แนวคิดทฤษฎี, ปัญหา, แนวทาง
ขั้นที่ 2: การพัฒนานวัตกรรม
- วัตถุประสงค์: พัฒนารูปแบบการนิเทศ
- วิธีการ: ประชุมเชิงปฏิบัติการ, ประเมินร่างโดยผู้เชี่ยวชาญ
- แหล่งข้อมูล: ผลจากขั้นที่ 1, ผู้เชี่ยวชาญ
- ผลที่ได้: รูปแบบการนิเทศ (ร่าง)
ขั้นที่ 3: การทดลองใช้
- วัตถุประสงค์: ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ
- วิธีการ: Action Research (วงจรรายเดือน)
- แหล่งข้อมูล: ครู, นักเรียน (กลุ่มเป้าหมาย)
- ผลที่ได้: ผลการทดลองใช้ทั้งครูและนักเรียน
ขั้นที่ 4: การประเมิน
- วัตถุประสงค์: ประเมินรูปแบบการนิเทศ
- วิธีการ: ประเมินตาม Input-Process-Output (ไม่ใช่ CIPP Model)
- แหล่งข้อมูล: ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม
- ผลที่ได้: รูปแบบการนิเทศ (ฉบับสมบูรณ์)
ขั้นตอนที่ 3: การเขียนรายงาน
การเขียนรายงานจะใช้ตารางที่ออกแบบไว้เป็นโครงสร้าง:
- วัตถุประสงค์การวิจัย: นำมาจากคอลัมน์วัตถุประสงค์
- ขอบเขต: นำมาจากแหล่งข้อมูล + ตัวแปร + ระยะเวลา
- นิยามศัพท์: นิยามคีย์เวิร์ด A, B, C
- บทที่ 3: เขียนตามขั้นตอน 4 ขั้น
สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงระหว่างขั้นตอน โดยผลจาก R1 ต้องนำไปสู่ D1 และต้องแสดงที่มาที่ไปของนวัตกรรมอย่างชัดเจนในลำดับ: หลักการ → องค์ประกอบ → ขั้นตอน →เครื่องมือการประเมิน
ประเด็นสำคัญในการปฏิบัติ
การจัดการกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก
สำหรับการทำ R&D กับกลุ่มขนาดเล็ก เช่น การศึกษาพิเศษ 5 คน สามารถทำได้โดยใช้ Single Subject Design และต้องอธิบายเหตุผลการเลือกกลุ่มอย่างชัดเจน ไม่ใช่ข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถทำวิจัยได้
การหาคุณภาพเครื่องมือ
สำหรับเครื่องมือใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ความเที่ยงตรง (Validity) มีความสำคัญมากกว่าความเชื่อมั่น (Reliability) เนื่องจากความเชื่อมั่นจะหาได้เมื่อมีการใช้ซ้ำเท่านั้น
การเลือกรูปแบบการส่งผลงาน
สำหรับการส่งผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ แนะนำให้ส่งรายงานวิจัย R&D ที่มีนวัตกรรมเป็นผลผลิต มากกว่าการส่งรายงานนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว
การใช้รูปแบบที่มีอยู่แล้ว
การใช้รูปแบบเก่า เช่น Guided Inquiry ทำได้ แต่ต้องเติมหลักการใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่เข้าไป เพื่อให้เกิดการ “คิดค้นปรับเปลี่ยน” ตามเกณฑ์ของความเป็นเชี่ยวชาญ
การนำไปใช้และการติดตาม
การประยุกต์ใช้ในงานนิเทศ
ศึกษานิเทศต้องนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปใช้อย่างเป็นระบบ โดยต้องมีผลต่อคุณภาพครู ผู้บริหาร และผู้เรียนอย่างชัดเจน การรายงานผลควรดำเนินการในไตรมาส 3 และ 4 เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
หน่วยศึกษานิเทศได้วางแผนกิจกรรมต่อเนื่อง ได้แก่:
- การคัดเลือกศึกษานิเทศที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี
- Symposium Online สำหรับการนำเสนอผลงาน
- การรับชมย้อนหลังผ่าน YouTube และ Facebook
บทสรุป
การวิจัยและพัฒนาทางการนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน แต่สามารถนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จของการดำเนินงาน R&D ขึ้นอยู่กับการเข้าใจหลักการ การวางแผนที่ดี และการปฏิบัติที่เป็นระบบ
ศึกษานิเทศที่ต้องการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาควรเริ่มต้นจากการศึกษาทำความเข้าใจแนวคิดและหลักการที่ถูกต้อง จากนั้นจึงประยุกต์ใช้กระบวนการ 3 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ พร้อมทั้งยึดหลักการโค้ชในการทำงานกับครูและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและสร้างประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง: การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา ครั้งที่ 3 เรื่อง “การวิจัยและพัฒนาทางการนิเทศการศึกษา” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ชวลิตชู กำแพง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดโดยหน่วยศึกษานิเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วันที่ 22 มิถุนายน 2567
Comments
Powered by Facebook Comments