ศึกษานิเทศก์กับการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข
ศึกษานิเทศก์กับการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข
การศึกษาในยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้วิถีชีวิต การเรียนรู้ และการทำงานต้องปรับตัวสู่รูปแบบใหม่ ในบริบทนี้ ศึกษานิเทศก์ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการปรับตัวและพัฒนาสมรรถนะให้สอดคล้องกับความท้าทายใหม่
ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่: ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
เฟรมเวิร์คการนิเทศสำหรับยุคดิจิทัล
การนิเทศในโลกยุคใหม่ต้องประกอบด้วยสี่องค์ประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ ดังนี้
ประการแรก คือ การเข้าใจเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ศึกษานิเทศก์ต้องมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการนิเทศ ไม่ใช่เพียงแค่รู้จักใช้ แต่ต้องสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม
ประการที่สอง คือ การจัดการข้อมูลสารสนเทศรายบุคคล ศึกษานิเทศก์ต้องมีข้อมูลผู้บริหาร ครู และนักเรียนที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ในการวางแผนและปรับปรุงการนิเทศให้ตรงตามความต้องการ
ประการที่สาม คือ การทำงานแบบเรียลไทม์ หรือออนไลน์ ศึกษานิเทศก์ต้องสามารถนิเทศได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดเฉพาะการพบปะแบบเดิม
ประการสุดท้าย คือ การบริหารจัดการการนิเทศอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การเรียนรู้ การติดตามประเมินผล จนถึงการจัดการข้อมูลร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบการนิเทศที่หลากหลาย
การนิเทศยุคใหม่มีสองรูปแบบหลักที่ศึกษานิเทศก์ต้องเชี่ยวชาญดังนี้
รูปแบบแรก คือ การนิเทศแบบ Synchronous หรือการนิเทศแบบนัดหมายเวลา เช่น การประชุมผ่าน Zoom การอบรมแบบเรียลไทม์ หรือการสนทนาแบบสดๆ ที่ต้องมีการตอบสนองทันที
รูปแบบที่สอง คือ การนิเทศแบบ Asynchronous หรือการนิเทศแบบไม่จำเป็นต้องนัดหมายเวลา เช่น การโพสต์วิดีโอใน YouTube การแชร์เนื้อหาใน Facebook หรือการส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งผู้รับการนิเทศสามารถเข้าถึงได้ตามความสะดวก
การปรับแนวทางตามบริบท
ศึกษานิเทศก์ต้องมีความสามารถในการปรับวิธีการตามความพร้อมของผู้รับการนิเทศ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่ไม่มีเทคโนโลยี ต้องใช้เอกสารกระดาษเป็นหลัก
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่มีอินเทอร์เน็ตจำกัด แต่รับส่งข้อมูลได้ สามารถใช้ LINE หรือ Google Workspace
กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มที่มีอินเทอร์เน็ตดี แต่การโต้ตอบจำกัด เหมาะกับการใช้ Google Classroom หรือ Office 365
กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่มีทั้งอินเทอร์เน็ตดี และการโต้ตอบสูง สามารถใช้การนิเทศแบบผสมผสาน (Blended Learning) หรือการประชุมออนไลน์แบบ Realtime ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การเชื่อมโยงนโยบายสู่การปฏิบัติ
ภารกิจ 3 มิติของศึกษานิเทศก์
ศึกษานิเทศก์มีบทบาทส 3 ด้าน เป็นหลักที่ต้องทำงานอย่างสมดุล ดังนี้
ด้านแรก คือ Agenda-Based หรืองานตามนโยบายต่างๆ เช่น โครงการโรงเรียนวิถีพุทธ การส่งเสริมหน้าที่พลเมือง ซึ่งเป็นงานที่มาจากนโยบายระดับชาติ หรือนโนบายต่าง ๆ จากกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. เป็นต้น
ด้านที่สอง คือ Function-Based หรืองานตามหน้าที่ เช่น การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ การประเมินผล ซึ่งเป็นงานหลักของศึกษานิเทศก์ตามมาตรฐานตำแหน่ง
ด้านสุดท้าย คือ Area-Based หรืองานตามพื้นที่รับผิดชอบ เช่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ เครือข่ายโรงเรียน ซึ่งต้องดูแลตามเขตพื้นที่หรือสาขาวิชาที่รับผิดชอบ
หลักการสำคัญในการปฏิบัติงาน
หลักการสำคัญที่ศึกษานิเทศก์ต้องยึดถือคือ “ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย” ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นผู้ส่งสาร ลดภาระงาน และบูรณาการโครงการต่างๆ ให้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เพิ่มภาระให้กับครูและโรงเรียน
การนิเทศที่มีประสิทธิภาพควรต้องมีการพิจารณาตามแนวทาง TPACK Framework ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
Technology Knowledge (ความรู้เรื่องเทคโนโลยี)
Pedagogy Knowledge (ความรู้เรื่องการสอนและการนิเทศ)
Content Knowledge (ความรู้เนื้อหาวิชาการ)
การผสมผสานสามองค์ประกอบนี้จะทำให้การนิเทศมีคุณภาพและตอบสนองความต้องการได้อย่างแท้จริง
TPACK Framework สำหรับการนิเทศที่มีประสิทธิภาพ
TPACK Framework เป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับศึกษานิเทศก์ในการพัฒนาการนิเทศให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการผสมผสานความรู้ 3 ด้านเข้าด้วยกัน โดยมีรายละเอียดและตัวอย่างประกอบ ดังนี้
1. Technology Knowledge (TK) – ความรู้เรื่องเทคโนโลยี คือ ความเข้าใจและทักษะในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการแก้ปัญหาเมื่อเทคโนโลยีมีปัญหา
ตัวอย่างความรู้ที่ศึกษานิเทศก์ควรมี
- การใช้ Google Workspace (Google Meet, Google Classroom, Google Drive)
- การใช้ Microsoft Teams และ PowerPoint
- การใช้แอปพลิเคชัน LINE, Facebook สำหรับการสื่อสาร
- การบันทึกและตัดต่อวิดีโอด้วย Camtasia หรือ OBS
- การใช้ Padlet, Mentimeter สำหรับการมีส่วนร่วม
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
ศึกษานิเทศก์รู้จักใช้ Google Forms สร้างแบบสำรวจความต้องการการพัฒนาของครู และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจาก Google Sheets เพื่อวางแผนการอบรม
2. Pedagogy Knowledge (PK) – ความรู้เรื่องการสอนและการนิเทศ คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ วิธีการสอน และเทคนิคการนิเทศที่มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างความรู้ที่ศึกษานิเทศก์ควรมี
- ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Adult Learning Theory)
- เทคนิคการให้ข้อมูลป้อนกลับแบบสร้างสรรค์
- การจัดการกลุ่มและการสร้างแรงจูงใจ
- หลักการของ Active Learning
- การประเมินผลแบบหลากหลาย (Multi-assessment)
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
ศึกษานิเทศก์ใช้เทคนิค “Think-Pair-Share” ในการอบรมครู โดยให้ครูคิดปัญหาการสอนเป็น
รายบุคคลก่อน จากนั้นหารือเป็นคู่ แล้วแชร์กับกลุ่มใหญ่
3. Content Knowledge (CK) – ความรู้เนื้อหาวิชาการ คือ ความรู้ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาวิชาการที่รับผิดชอบ และการเข้าใจหลักสูตรแกนกลาง
ตัวอย่างความรู้ที่ศึกษานิเทศก์ควรมี
- หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
- มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดในกลุ่มสาระที่รับผิดชอบ
- วิทยาการใหม่ๆ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
- แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรระดับสากล
- กรอบ 21st Century Skills
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
ศึกษานิเทศก์กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการสอนแบบ STEM Education และ
สามารถแนะนำครูให้สอนเรื่องกลศาสตร์โดยการทำโครงงานสร้างหุ่นยนต์
การผสมผสาน 3 องค์ประกอบ: ตัวอย่างการนิเทศที่ควรจะเป็น
เคส 1: การนิเทศการสอนวิทยาศาสตร์ออนไลน์
สถานการณ์: ครูวิทยาศาสตร์ต้องสอนเรื่อง “การสังเคราะห์แสง” แบบออนไลน์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
การนิเทศด้วย TPACK
Technology Knowledge (TK):
- แนะนำการใช้ PhET Simulation สำหรับจำลองกระบวนการสังเคราะห์แสง
- สอนการใช้ Google Jamboard เพื่อให้นักเรียนร่วมกันวาดแผนผังแสดงกระบวนการ
- แนะนำการบันทึกหน้าจอด้วย OBS เพื่อทำ VDO สำหรับทบทวน
Pedagogy Knowledge (PK):
- ใช้วิธี “5E Model” (Engage-Explore-Explain-Elaborate-Evaluate)
- เริ่มด้วยการถามปัญหา “ทำไมใบไม้เป็นสีเขียว?” เพื่อกระตุ้นความสนใจ
- จัดกิจกรรม Breakout Rooms ให้นักเรียนสำรวจข้อมูลเป็นกลุ่มย่อย
Content Knowledge (CK):
- เข้าใจว่าเรื่องการสังเคราะห์แสงเชื่อมโยงกับตัวชี้วัด ม.4/4
- รู้ว่าแนวคิดที่ผิดที่นักเรียนมักมี คือ คิดว่าพืชหายใจออกซิเจนเสมอ
- เข้าใจว่าต้องเชื่อมโยงกับเรื่องโซ่อาหารในระบบนิเวศด้วย
เคส 2: การนิเทศการสอนคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถหลากหลาย
สถานการณ์: ครูคณิตศาสตร์มีปัญหาการสอนเรื่อง “การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว” เพราะนักเรียนในห้องมีความสามารถที่แตกต่างกันมาก
การนิเทศด้วย TPACK:
Technology Knowledge (TK):
- แนะนำการใช้ Khan Academy สำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนเพิ่มเติม
- ใช้ GeoGebra เพื่อแสดงกราฟสมการให้เห็นภาพ
- สร้าง Google Sites เป็นคลังความรู้ที่มีเนื้อหาหลายระดับ
Pedagogy Knowledge (PK):
- ใช้ “Differentiated Instruction” จัดกิจกรรมหลากหลายระดับ
- ประยุกต์ “Peer Tutoring” ให้นักเรียนเก่งช่วยสอนเพื่อน
- ใช้ “Formative Assessment” ประเมินความเข้าใจระหว่างสอน
Content Knowledge (CK):
- เข้าใจว่าสมการเชิงเส้นเป็นพื้นฐานสำคัญของพีชคณิต
- รู้ว่าข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือ การย้ายข้างสมการผิด
- เข้าใจการเชื่อมโยงกับเรื่องฟังก์ชันในระดับที่สูงขึ้น
เคส 3: การนิเทศการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทย
สถานการณ์: ครูภาษาไทยพบว่านักเรียนชั้น ป.4 อ่านไม่คล่อง และไม่เข้าใจสิ่งที่อ่าน
การนิเทศด้วย TPACK:
Technology Knowledge (TK):
- แนะนำการใช้แอป “อ่านดี” สำหรับฝึกอ่านคล่อง
- ใช้ Flipgrid ให้นักเรียนบันทึกการอ่านออกเสียง
- สร้างเกมทาย Reading Comprehension ด้วย Kahoot
Pedagogy Knowledge (PK):
- ใช้วิธี “Guided Reading” แบ่งกลุ่มตามระดับความสามารถ
- ประยุกต์ “Think Aloud” สอนกลยุทธ์การคิดขณะอ่าน
- ใช้ “Story Mapping” ช่วยให้นักเรียนเข้าใจโครงสร้างเรื่อง
Content Knowledge (CK):
- เข้าใจพัฒนาการทางภาษาของเด็กอายุ 9-10 ปี
- รู้จักหลักการสอนอ่าน Phonics และ Whole Language
- เข้าใจมาตรฐานการเรียนรู้ด้านการอ่านของหลักสูตรแกนกลาง
ประโยชน์ของการใช้ TPACK Framework
- การนิเทศมีความสมบูรณ์ – ครอบคลุมทุกมิติที่สำคัญ
- การแก้ปัญหาเฉพาะจุด – สามารถระบุได้ว่าครูขาดความรู้ด้านใด
- การพัฒนาที่ยั่งยืน – ครูได้รับการพัฒนาทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เทคนิค
- การปรับตัวตามยุคสมัย – สามารถประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษานิเทศก์
- ประเมินตนเองก่อน – ศึกษานิเทศก์ควรประเมินความรู้ความสามารถของตนเองใน 3 ด้าน
- พัฒนาอย่างต่อเนื่อง – เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
- เรียนรู้จากครู – บางครูอาจมีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากกว่า
- สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ – ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์
การนิเทศที่ใช้ TPACK Framework จะทำให้การพัฒนาครูมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง
การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เมื่อพบปัญหาหรืออุปสรรคในการปฏิบัติงาน ศึกษานิเทศก์ควรยึดหลักการสำคัญสามประการ ดังนี้
ประการแรก คือ “บ่นขึ้นข้างบน ไม่บ่นลงข้างล่าง” หมายถึง การรายงานปัญหาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แต่ไม่ใช่บ่นให้ผู้รับการนิเทศฟัง
ประการที่สอง คือ การมองหาสาเหตุรากเหง้าของปัญหา ต้องศึกษาปัญหาให้ลึกซึ้งก่อนหาทางแก้ไข ไม่ใช่แก้ปัญหาแบบผิวเผิน
ประการสุดท้าย คือ การพูดในเชิงบวก แม้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่าง แต่ก็ต้องสื่อสารในแง่บวกกับผู้รับการนิเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี และบรรลุวัตถุประสงค์ของการนิเทศ
โรงเรียนแห่งความสุข: เป้าหมายสูงสุด
5 ปัจจัยแห่งความสุข
ตามแนวคิดของ UNESCO ในปี 2010 โรงเรียนแห่งความสุข มี 5 ปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้
ปัจจัยแรก คือ มิตรภาพและความสัมพันธ์ในโรงเรียน ทุกคนในชุมชนโรงเรียนต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการสื่อสารที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์
ปัจจัยที่สอง คือ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่อบอุ่นและเป็นมิตร ทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางจิตใจ
ปัจจัยที่สาม คือ เสรีภาพของผู้เรียน ความคิดสร้างสรรค์ และการมีส่วนร่วม นักเรียนต้องได้รับโอกาสในการแสดงออกและมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ
ปัจจัยที่สี่ คือ การทำงานเป็นหมู่คณะและความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโรงเรียน
ปัจจัยสุดท้าย คือ ทัศนคติและคุณลักษณะเชิงบวก การมองโลกในแง่ดีและการสร้างแรงบันดาลใจให้กัน
จิตวิทยาเชิงบวกในการศึกษา
การพัฒนาโรงเรียนแห่งความสุขต้องอิงตามหลักจิตวิทยาเชิงบวก 6 ประการ ดังนี้ 1) ปัญญาและความรู้ ซึ่งรวมถึงความคิดสร้างสรรค์และความอยากรู้อยากเห็น ต่อด้วยการควบคุมอารมณ์ 2) การให้อภัยและการจัดการอารมณ์ของตนเอง 3) ความกล้าหาญในการเผชิญกับความท้าทาย 4) ความยุติธรรมในการปฏิบัติต่อผู้อื่น 5) อุดมคติ ความชื่นชมในความงามและความกตัญญู และ6) ความรัก ความเป็นมนุษย์ และความหวัง
บทบาทและความคาดหวัง
มุมมองจากครู
ครูมีความคาดหวังต่อศึกษานิเทศก์ในหลายด้าน พวกเขาต้องการให้ศึกษานิเทศก์เป็นกัลยาณมิตร พี่เลี้ยง และผู้นำทางวิชาการอย่างแท้จริง การนิเทศต้องเน้นคุณภาพและการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การสั่งการแบบบนลงล่าง
ครูต้องการให้ศึกษานิเทศก์เป็นกระบอกเสียงและผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ พร้อมทั้งพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถสนับสนุนและช่วยเหลือครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มุมมองจากผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษามีความคาดหวังที่ชัดเจนต่อศึกษานิเทศก์ พวกเขาต้องการให้ศึกษานิเทศก์เป็นผู้นำทางวิชาการอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ตรวจสอบ การให้คำปรึกษาและสนับสนุนต้องมีประสิทธิภาพและตรงประเด็น
การประสานงานต้องราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การนิเทศต้องตอบสนองความต้องการของโรงเรียนแต่ละแห่ง ไม่ใช่แบบเดียวกันทั้งหมด ผู้บริหารต้องการให้ศึกษานิเทศก์ช่วยลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และทำงานด้วยจิตวิญญาณความเป็นนักการศึกษาอย่างแท้จริง
การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ศึกษานิเทศก์เองก็มีความต้องการในการพัฒนาตนเอง พวกเขาต้องการพัฒนาความเป็นผู้นำทางวิชาการ รับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง และสร้างเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง
การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการพัฒนาระบบการนิเทศตามบริบทโรงเรียนเป็นสิ่งที่ศึกษานิเทศก์ให้ความสำคัญและต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การประเมินผลงานที่มีประสิทธิภาพ
หลักการสำคัญในการพัฒนา PA
การพัฒนา Performance Appraisal ของศึกษานิเทศก์ต้องยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ
ประการแรก คือ ความต่อเนื่อง ต้องทำในประเด็นเดียวกันอย่างน้อยสามปีติดต่อกัน เพื่อให้เห็นผลการพัฒนาอย่างชัดเจน
ประการที่สอง คือ การประสานงาน ต้องสอดคล้องกับนโยบายผู้บริหารระดับต่างๆ และ
ประการสุดท้าย คือ การทำงานร่วมกัน ต้องประสานกับผู้บริหารสถานศึกษาก่อนลงสู่ครู เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับร่วมกัน
สมรรถนะที่ต้องแสดงให้เห็น
ศึกษานิเทศก์ต้องแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะใน 2 ด้านหลัก
ด้านแรก คือ สมรรถนะการนิเทศ ซึ่งรวมถึงการจัดการเรียนรู้และประกันคุณภาพ การพัฒนาสมรรถนะ งานพี่เลี้ยง การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การระดมทรัพยากร และภาวะผู้นำแบบร่วมกัน
ด้านที่สอง คือ ผลลัพธ์การนิเทศ ซึ่งต้องแสดงให้เห็นถึงผลที่เกิดขึ้นกับสถานศึกษา ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน และผลที่เกิดขึ้นกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยรวม
ทิศทางการพัฒนาในอนาคต
ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด เป็นกัลยาณมิตรที่ทำงานร่วมกับครูและผู้บริหารอย่างมีความสุข และเป็นผู้ที่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ
ความหมายของคำว่า “ศึกษานิเทศก์” นั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ “ศึกษา” หมายถึงการพัฒนาตนเอง และ “นิเทศ” หมายถึงการส่งเสริมสนับสนุนผู้อื่น ดังนั้น ศึกษานิเทศก์จึงมีหน้าที่พัฒนาตนเองเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือผู้อื่นให้เติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน
เมื่อศึกษานิเทศก์ปฏิบัติตามหลักการและแนวทางเหล่านี้อย่างจริงจัง จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ได้อย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงระบบการศึกษา แต่เป็นการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับเด็กและเยาวชนของชาติ
ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและการทุ่มเทของศึกษานิเทศก์แต่ละคน ที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติ ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง และระหว่างปัจจุบันกับอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวังสำหรับการศึกษาไทย
แหล่งอ้างอิง: EP.4 ศึกษานิเทศก์กับการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข โดย ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา จัดโดยหน่วยศึกษานิเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไลฟ์สดเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2025
Comments
Powered by Facebook Comments