จากงานประจำสู่งานวิจัย (R2R): ถอดรหัสการปฏิรูปการนิเทศการศึกษาไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
จากงานประจำสู่งานวิจัย (R2R): ถอดรหัสการปฏิรูปการนิเทศการศึกษาไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ในยุคที่โลกการศึกษาเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน บทบาทของ “ศึกษานิเทศก์” ได้ถูกยกระดับจากการเป็นเพียงผู้ตรวจเยี่ยมหรือผู้ประเมิน สู่การเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการ” (Academic Leader) ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการขับเคลื่อนคุณภาพสถานศึกษา การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา ด้วยการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R)” ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ สพฐ. จึงเปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่มอบเครื่องมือและกระบวนทัศน์ใหม่ให้แก่ศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนภารกิจประจำวันให้กลายเป็นงานวิจัยที่สร้างสรรค์และทรงพลัง นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
บทความนี้จะเจาะลึกเนื้อหาจากการอบรม พร้อมขยายความด้วยข้อมูลเชิงวิชาการ เพื่อเป็นคู่มือสำหรับศึกษานิเทศก์ในการนำแนวคิด R2R ไปใช้ยกระดับการทำงานและสร้างความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ
นิยามใหม่ 10 บทบาทศึกษานิเทศก์: ผสานกรอบสมรรถนะสู่การปฏิบัติจริง
การอบรมได้ฉายภาพบทบาทของศึกษานิเทศก์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานและสมรรถนะที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด ที่เน้นย้ำถึงการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การทำงานเป็นเครือข่าย และการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยสามารถถอดรหัสออกมาเป็น 10 บทบาทที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
- นักวิจัย (Researcher): เป็นหัวใจของแนวคิด R2R คือการเปลี่ยนปัญหาหน้างานให้เป็นโจทย์วิจัยที่มีระเบียบวิธีที่น่าเชื่อถือ
- ครูของครู (Teacher/Instructor): ถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะการสอนที่ทันสมัย เช่น เทคนิคการสอนแบบ Active Learning, การใช้เทคโนโลยีในชั้นเรียน
- นวัตกร (Innovator): สร้างสรรค์หรือประยุกต์ใช้เครื่องมือและกระบวนการนิเทศใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความท้าทายในปัจจุบัน
- นักออกแบบ (Designer): สามารถออกแบบ การนิเทศที่แตกต่างและหลากหลาย (Differentiated Supervision) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยอมรับว่าครูแต่ละคนมีประสบการณ์และความต้องการที่ต่างกัน จึงไม่สามารถใช้วิธีนิเทศแบบเดียวกับทุกคนได้
- เพื่อนคู่คิด (Peer/Friend): สร้างความสัมพันธ์บนฐานของความไว้วางใจ (Trust-Based Relationship) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนิเทศประสบความสำเร็จ
- ผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-Long Learner): พัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความเป็นผู้นำทางวิชาการ (Academic Supremacy)
- โค้ช (Coach): ใช้กระบวนการโค้ชชิ่งเพื่อกระตุ้นให้ครูเกิดการไตร่ตรอง (Reflection) และค้นพบแนวทางแก้ปัญหาด้วยตนเอง
- พี่เลี้ยง (Mentor): ให้คำแนะนำและดูแลครูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครูบรรจุใหม่ เพื่อช่วยให้ปรับตัวและเติบโตในวิชาชีพ
- ผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator): ประสานงานและจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น การจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
- ผู้บริหาร (Administrator): เข้าใจในบริบทการบริหารจัดการ ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึกแนวคิด R2R: เมื่อ “ปัญหา” คือบ่อเกิดแห่ง “ปัญญา”
Routine to Research (R2R) คือปรัชญาการทำงานที่เชื่อว่าการพัฒนาที่ดีที่สุดเกิดจากการแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานจริง ไม่ใช่ทฤษฎีที่แยกส่วนออกจากบริบท แนวคิดนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการสาธารณสุขของไทย และกำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในวงการศึกษา
หลักการสำคัญของ R2R:
- ผู้ปฏิบัติคือผู้รู้ดีที่สุด: ศึกษานิเทศก์ที่คลุกคลีกับปัญหาหน้างาน คือ ผู้ที่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาได้ดีที่สุด
- เริ่มจากคำถามง่าย ๆ: จุดเริ่มต้นของ R2R ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่เกิดจากคำถามที่ว่า “เราจะทำงานตรงนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?”
- เน้นผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้จริง: เป้าหมายสูงสุดของ R2R คือการได้มาซึ่งองค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่สามารถนำกลับไปพัฒนางานประจำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ผู้ปฏิบัติคือผู้รู้ดีที่สุด: ศึกษานิเทศก์ที่คลุกคลีกับปัญหาหน้างาน คือ ผู้ที่เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาได้ดีที่สุด
เริ่มจากคำถามง่าย ๆ: จุดเริ่มต้นของ R2R ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่เกิดจากคำถามที่ว่า “เราจะทำงานตรงนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?”
เน้นผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้จริง: เป้าหมายสูงสุดของ R2R คือการได้มาซึ่งองค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่สามารถนำกลับไปพัฒนางานประจำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตัวอย่างการแปลงงานประจำสู่งานวิจัย:
- งานประจำ: การนิเทศติดตามโครงการโรงเรียนคุณธรรม
- คำถาม R2R: “ทำไมบางโรงเรียนดำเนินโครงการได้สำเร็จ แต่บางโรงเรียนยังไม่เห็นผลชัดเจน? มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความสำเร็จ?”
- ประเด็นวิจัย: “การศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการดำเนินโครงการโรงเรียนคุณธรรมในเขตพื้นที่การศึกษา…”
ถอดรหัสสู่การปฏิบัติ: แนวทางการพัฒนางานวิจัยจาก 3 ห้องเรียนผู้เชี่ยวชาญ
การอบรมได้จำลองห้องเรียนปฏิบัติการ 3 รูปแบบ เพื่อให้เห็นแนวทางการทำวิจัย R2R ที่ชัดเจน
ห้องที่ 1: การวิจัยเชิงประเมินโครงการด้วย CPPIEST Model
การประเมินโครงการไม่ใช่แค่การแจกแบบสอบถามความพึงพอใจหลังจบงาน แต่เป็นกระบวนการวิจัยที่เป็นระบบเพื่อวัดคุณค่าของโครงการอย่างรอบด้าน โมเดล CPPIEST ที่วิทยากรแนะนำ คือเครื่องมือที่ทรงพลังในการประเมินโครงการให้ครบทุกมิติ
องค์ประกอบ | คำอธิบาย | ตัวอย่างคำถามการประเมิน |
Context | บริบทและความจำเป็น | – โครงการนี้สอดคล้องกับนโยบายชาติและยุทธศาสตร์ของเขตพื้นที่หรือไม่? – มีความจำเป็นเร่งด่วนเพียงใด? |
Input | ปัจจัยนำเข้า/ทรัพยากร | – งบประมาณ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และเวลาที่ใช้ มีความเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่? |
Process | กระบวนการดำเนินงาน | – กิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นไปตามแผนหรือไม่? – มีประสิทธิภาพและราบรื่นเพียงใด? |
Product | ผลผลิตที่เกิดขึ้นทันที | – ผู้เข้าร่วม (ครู) มีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์หรือไม่? |
Impact | ผลกระทบที่ตามมา | – ความรู้และทักษะของครูได้ถูกนำไปใช้จริงในชั้นเรียนและส่งผลกระทบต่อนักเรียนอย่างไร? |
Effectiveness | ประสิทธิผล/ความสำเร็จ | – โครงการทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจเพียงใด? – ครูหรือโรงเรียนได้รับรางวัลหรือการยอมรับหรือไม่? |
Sustainability | ความยั่งยืน | – ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีความต่อเนื่องยั่งยืนหรือไม่ หรือเป็นเพียงผลระยะสั้น? |
Transportability | การขยายผล | – รูปแบบความสำเร็จของโครงการนี้สามารถนำไปปรับใช้หรือขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นได้หรือไม่? |
ห้องที่ 2: การวิจัยและพัฒนา “หลักสูตรเสริม” (Enhancing Curriculum)
นี่คือการทำงานเชิงรุกที่ศึกษานิเทศก์เปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบนวัตกรรมการพัฒนาครู โดยมีขั้นตอนที่เป็นระบบตามหลักการวิจัยและพัฒนา (R&D)
- R1 (Research Phase 1): ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการจำเป็น (Need Assessment) ของครู เพื่อให้ได้ข้อมูลมาออกแบบหลักสูตร
- D1 (Development Phase 1): สร้าง “ร่างหลักสูตรเสริม” และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ (Experts) ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
- R2 (Research Phase 2): นำร่างหลักสูตรไปทดลองใช้ (Try-out) กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก เพื่อหาข้อบกพร่องและเก็บข้อมูลเบื้องต้น
- D2 (Development Phase 2): ปรับปรุงหลักสูตรตามข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้ จนได้เป็น “หลักสูตรฉบับสมบูรณ์”
- R3 (Research Phase 3): นำหลักสูตรฉบับสมบูรณ์ไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย และประเมินประสิทธิผลของหลักสูตร
ห้องที่ 3: การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศ (Supervisory Innovation)
ห้องเรียนนี้มุ่งเน้นการสร้างรูปแบบการนิเทศใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความท้าทายในปัจจุบัน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การเขียนชื่อเรื่องวิจัยที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางการวิจัยทั้งกระบวนการ
สูตรการเขียนชื่อเรื่องวิจัย R&D:
(1. นวัตกรรมที่พัฒนา) + (2. เพื่อพัฒนาสมรรถนะเป้าหมาย) + (3. ของกลุ่มเป้าหมาย/ในบริบท)
- ตัวอย่างเดิม: “การนิเทศเพื่อพัฒนาการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น”
- ตัวอย่างที่ทรงพลังขึ้น: “การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบผสมผสานเทคโนโลยี (1) เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ (2) สำหรับครูสังคมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา (3)“
ชื่อเรื่องที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยมีกรอบการทำงานที่ไม่หลงทาง และสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจเป้าหมายของงานวิจัยได้อย่างรวดเร็ว
บทสรุป: จากแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ
การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา ด้วยการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) ได้มอบพิมพ์เขียวที่ชัดเจนให้แก่ศึกษานิเทศก์ในการเปลี่ยนความท้าทายจากงานประจำให้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองและระบบการศึกษา ถึงเวลาแล้วที่ศึกษานิเทศก์ไทยจะก้าวข้ามบทบาทเดิม ๆ และสวมบทบาทของ “นักวิจัยเชิงปฏิบัติการ” ที่สร้างสรรค์องค์ความรู้จากหน้างานจริง การเดินทางนี้อาจต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้เพิ่มเติม แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ใช่เพียงผลงานทางวิชาการเพื่อความก้าวหน้าส่วนตน แต่คือ “นวัตกรรม” ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ทัดเทียมนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง: การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสมรรถนะการนิเทศการศึกษา ด้วยการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) โดยความร่วมมือระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ สพฐ. จัดโดยหน่วยศึกษานิเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไลฟ์สดเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2025
https://www.youtube.com/live/xaXAGjWU7vI?si=y8rDvt3iHKdjUGYa
Comments
Powered by Facebook Comments