Digital Learning Classroom
บทความศึกษานิเทศก์

แนวทางการสื่อสารสำหรับศึกษานิเทศก์: พลิกวิกฤตความเข้าใจผิดสู่พลังแห่งการนิเทศที่สร้างสรรค์

แชร์เรื่องนี้

แนวทางการสื่อสารสำหรับศึกษานิเทศก์: พลิกวิกฤตความเข้าใจผิดสู่พลังแห่งการนิเทศที่สร้างสรรค์

บทนำ: พลังการสื่อสาร

ความท้าทายในการสื่อสารเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในทุกวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบุคลากรในตำแหน่งผู้นำทางการศึกษาอย่างศึกษานิเทศก์ ความรู้สึกที่ว่าแม้จะมีเจตนาดีในการให้คำแนะนำหรือนำเสนอนโยบาย แต่ผู้รับสารกลับรู้สึกเหมือนถูกตำหนิ ตีความไปคนละทาง หรือไม่ให้ความสนใจ เป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนประสิทธิภาพของการนิเทศและสร้างความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น 1 

แนวคิดแบบจำลองการสื่อสารของ อัลเบิร์ต เมห์ราเบียน (Albert Mehrabian) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ซึ่งระบุว่าในการสื่อสารความรู้สึกและทัศนคติ องค์ประกอบของสารจะถูกรับรู้ผ่านคำพูด (Verbal) เพียง 7%, น้ำเสียง (Vocal) 38% และภาษากาย (Visual/Body Language) ถึง 55% 1 อย่างไรก็ตาม การนำตัวเลขนี้มาสรุปว่า “คำพูดไม่สำคัญ” ถือเป็นการตีความที่คลาดเคลื่อนและเป็นอันตรายต่อวิชาชีพที่ต้องอาศัยความแม่นยำของสารอย่างยิ่ง

งานวิจัยของเมห์ราเบียนมีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง โดยเป็นการทดลองในสถานการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อศึกษาการสื่อสารความรู้สึก (เช่น ชอบ-ไม่ชอบ) โดยใช้คำพูดเพียงคำเดียว (เช่น “ที่รัก” หรือ “แย่มาก”) และจงใจทำให้องค์ประกอบทั้งสามขัดแย้งกัน 7 ข้อค้นพบที่แท้จริงจึงไม่ใช่การด้อยค่าของคำพูด แต่เป็นการค้นพบความสำคัญของ

ความสอดคล้องกัน (Congruence) กล่าวคือ เมื่อคำพูด น้ำเสียง และภาษากายขัดแย้งกัน ผู้รับสารจะเชื่อสัญชาตญาณและให้น้ำหนักกับอวัจนภาษา (น้ำเสียงและภาษากายรวม 93%) มากกว่าความหมายตามตัวอักษรของคำพูด (7%) 7

ดังนั้น ปัญหาที่ศึกษานิเทศก์เผชิญจึงไม่ได้เกิดจาก “คำพูดที่มีความหมายแค่ 7%” แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดจาก “ความไม่สอดคล้องกัน” ระหว่างสารที่ตั้งใจจะสื่อกับวิธีการนำเสนอ ตัวอย่างเช่น ศึกษานิเทศก์อาจกล่าวว่า “ผมมาเพื่อช่วยสนับสนุนนะครับ” (คำพูด 7%) แต่น้ำเสียงกลับเร่งรีบ ภาษากายดูปิดกั้น และสายตาจับจ้องหาข้อผิดพลาด ครูผู้รับการนิเทศจะรับรู้ถึงสาร 93% ที่แฝงเร้นอยู่ ซึ่งคือความรู้สึกกดดัน การตรวจสอบ และการตัดสิน มากกว่าเจตนาดีที่ถูกเปล่งออกมาเป็นคำพูด การยึดติดกับความเชื่อผิดๆ ว่าคำพูดไม่สำคัญ อาจทำให้ศึกษานิเทศก์ละเลยการขัดเกลาสาระสำคัญที่ต้องการจะสื่อ และมุ่งเน้นเพียงการปรับปรุงท่าทีภายนอก ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้

รายงานฉบับนี้จึงไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อลดทอนความสำคัญของคำพูด แต่จะนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ศึกษานิเทศก์สามารถบูรณาการและจัดวางองค์ประกอบการสื่อสารทั้ง 100%—คือ คำพูด น้ำเสียง และภาษากาย—ให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างสารที่ชัดเจน ทรงพลัง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในวงการศึกษา

ส่วนที่ 1: รากฐานของการนิเทศที่ทรงพลัง – ศิลปะแห่งการฟังอย่างลึกซึ้ง

ก่อนที่ศึกษานิเทศก์จะคาดหวังให้ผู้อื่นรับฟังตนเองได้นั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยมเสียก่อน การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ไม่ใช่เพียงการได้ยินเสียง แต่เป็นกระบวนการที่สร้างความไว้วางใจ รวบรวมข้อมูลเชิงลึก และที่สำคัญที่สุดคือทำให้คู่สนทนาเปิดใจและพร้อมรับฟังมุมมองของเราในลำดับถัดไป 11 บทบาทของศึกษานิเทศก์ไม่ใช่แค่การ “บอก” แต่คือการ “วินิจฉัย” ความต้องการที่แท้จริงของผู้รับการนิเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการฟังอย่างลึกซึ้งเท่านั้น

แก่นแท้ของการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

การฟังอย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

การให้ความสนใจอย่างเต็มที่ (Be Fully Present): นี่คือรากฐานที่สำคัญที่สุด หมายถึงการหยุดกิจกรรมอื่นทั้งหมด วางโทรศัพท์มือถือ ปิดการแจ้งเตือนต่างๆ และมอบสมาธิทั้งหมดให้กับคู่สนทนา การสบตาอย่างเหมาะสม (Maintain eye contact) และการแสดงออกว่ากำลังตั้งใจฟัง เป็นการส่งสัญญาณแห่งความเคารพและให้เกียรติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 15

การไม่ด่วนตัดสิน (Withhold Judgment): การฟังอย่างตั้งใจเรียกร้องให้เรามีใจที่เปิดกว้าง พักอคติ ความเชื่อ หรือความคิดเห็นส่วนตัวไว้ชั่วคราว และหลีกเลี่ยงการคิดหาคำตอบหรือข้อโต้แย้งขณะที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ เป้าหมายในขั้นนี้คือการทำความเข้าใจโลกในมุมมองของเขา ไม่ใช่การพยายามยัดเยียดมุมมองของเราเข้าไป 11

การสะท้อนและทวนความ (Reflect and Paraphrase): นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการยืนยันความเข้าใจ เป็นการสรุปสิ่งที่ได้ยินด้วยภาษาของเราเอง แล้วถามกลับไปเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เช่น “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ประเด็นคือคุณครูรู้สึกกังวลกับนโยบายใหม่นี้ เพราะยังไม่ได้รับคู่มือการปฏิบัติที่ชัดเจนใช่ไหมครับ” เทคนิคนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าเราตั้งใจฟัง แต่ยังเปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้ขยายความหรือแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน 11

การใช้คำถามปลายเปิดเพื่อความกระจ่าง (Ask Clarifying, Open-Ended Questions): ควรหลีกเลี่ยงคำถามที่ตอบได้แค่ “ใช่/ไม่ใช่” และหันมาใช้คำถามที่กระตุ้นให้เกิดการอธิบายเพิ่มเติม เช่น “พอจะเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นให้ฟังได้ไหมครับ” หรือ “ผลกระทบที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” คำถามลักษณะนี้จะเปลี่ยนพลวัตของการสนทนาจากการ “ซักฟอก” ไปสู่การ “สำรวจ” ร่วมกัน 11

การสรุปความ (Summarize): เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง หรือถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ควรมีการสรุปประเด็นหลัก ความรู้สึกที่เกิดขึ้น และข้อตกลงหรือแนวทางปฏิบัติที่จะทำต่อไป เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกันและเห็นภาพรวมที่ชัดเจนก่อนจบบทสนทนา 11

การสังเกตอวัจนภาษา (Pay Attention to Non-Verbal Cues): ขณะที่รับฟัง ให้สังเกตภาษากาย น้ำเสียง และสีหน้าของคู่สนทนา เพราะสิ่งเหล่านี้มักจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงได้มากกว่าคำพูด 11

กรณีศึกษา: การเปลี่ยนความขัดแย้งสู่ความร่วมมือด้วยการฟัง

ลองพิจารณาสถานการณ์ที่ศึกษานิเทศก์ (ศน.) เข้าพบครูที่แสดงท่าทีต่อต้านแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่

บทสนทนาแบบเดิม (ไม่ใช้ Active Listening)

  • ศน.: “สวัสดีครับคุณครู วันนี้ผมมาติดตามเรื่องการใช้ Active Learning ตามนโยบายใหม่นะครับ”
  • ครู: (ถอนหายใจ) “ค่ะ ก็พยายามอยู่ แต่ภาระงานอื่นมันเยอะมาก ไม่มีเวลาเตรียมการสอนหรอกค่ะ”
  • ศน.: “เรื่องเวลาเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดการนะครับ เราต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับนโยบาย เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญ” (เริ่มต้นให้คำแนะนำทันที)
  • ผลลัพธ์: ครูรู้สึกว่า ศน. ไม่เข้าใจปัญหาของตนเอง มองว่านโยบายเป็นภาระ และปิดกั้นการสื่อสารมากขึ้น

บทสนทนาแบบใหม่ (ใช้ Active Listening)

  • ศน.: “สวัสดีครับคุณครู วันนี้ผมอยากจะมาพูดคุยและรับฟังเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ครับ”
  • ครู: (ถอนหายใจ) “ค่ะ ก็พยายามอยู่ แต่ภาระงานอื่นมันเยอะมาก ไม่มีเวลาเตรียมการสอนหรอกค่ะ”
  • ศน.: “ฟังดูแล้วเหมือนคุณครูกำลังรู้สึกหนักใจกับภาระงานโดยรวมในตอนนี้ใช่ไหมครับ” (สะท้อนความรู้สึก)
  • ครู: “ใช่ค่ะ ไหนจะงานเอกสาร งานโครงการพิเศษ แล้วยังต้องมาปรับการสอนใหม่ทั้งหมดอีก”
  • ศน.: “พอจะเล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมได้ไหมครับว่า ‘ภาระงานอื่น’ ที่คุณครูพูดถึงมีอะไรบ้าง” (ใช้คำถามปลายเปิด)
  • ผลลัพธ์: บทสนทนานี้อาจนำไปสู่การค้นพบว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ “การต่อต้านนโยบาย” แต่เป็น “ภาวะหมดไฟ” หรือ “การขาดการสนับสนุน” ในด้านอื่น ศน. ที่รับฟังอย่างลึกซึ้งจะเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตรวจราชการ” ไปเป็น “ผู้สนับสนุนและพันธมิตร” โดยอาจช่วยประสานงานเพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็น หรือจัดหาทรัพยากรเพิ่มเติม เมื่อครูรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือ เขาย่อมมีแนวโน้มที่จะเปิดใจรับแนวทางใหม่ๆ มากขึ้น 18

การฟังอย่างตั้งใจจึงไม่ใช่แค่เทคนิคการสื่อสาร แต่เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่สำคัญยิ่งสำหรับงานนิเทศ ปัญหาที่ครูพูดออกมามักเป็นเพียงอาการของรากเหง้าปัญหาที่ลึกกว่า เช่น ความรู้สึกไม่มั่นคง การไม่ได้รับการยอมรับ หรือการขาดแคลนทรัพยากร ศึกษานิเทศก์ที่ตอบสนองเพียงผิวเผินจะให้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน แต่ศึกษานิเทศก์ที่รับฟังเพื่อค้นหา “ความต้องการที่ซ่อนเร้น” จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ สร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และเปลี่ยนบทบาทของตนเองจากผู้ตรวจสอบให้กลายเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจ

ส่วนที่ 2: เปลี่ยนการ “ตำหนิ” เป็นการ “ชี้แนะ” – กรอบการสื่อสารเพื่อสร้างความร่วมมือ

เมื่อต้องให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) หรือพูดคุยในประเด็นที่ละเอียดอ่อน การสื่อสารที่ขาดความระมัดระวังมักนำไปสู่การตั้งแง่ต่อต้านและทำลายความสัมพันธ์ การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication – NVC) ซึ่งพัฒนาโดยมาร์แชลล์ โรเซนเบิร์ก (Marshall Rosenberg) คือกรอบการทำงานที่ทรงพลังในการแสดงออกอย่างซื่อสัตย์โดยไม่กล่าวโทษ และรับฟังความต้องการที่แท้จริงเบื้องหลังคำพูดของอีกฝ่าย 22 NVC เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเปลี่ยนบทสนทนาที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งให้กลายเป็นการพูดคุยเพื่อความร่วมมือ

องค์ประกอบ 4 ประการของ NVC พร้อมตัวอย่างทางการศึกษา

กระบวนการของ NVC ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งช่วยให้ผู้พูดสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและลดการตีความในแง่ลบจากผู้ฟัง

  1. การสังเกต (Observation): ขั้นตอนนี้คือการระบุข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยปราศจากการประเมิน การตัดสิน หรือการเหมารวม หลักการสำคัญคือ “พูดในสิ่งที่กล้องวิดีโอสามารถบันทึกได้” 25
  • คำพูดที่ควรเลี่ยง (การตัดสิน): “คุณครูไม่เคยเตรียมสื่อการสอนล่วงหน้าเลย”
  • คำพูดแบบ NVC (การสังเกต): “จากการนิเทศชั้นเรียนเมื่อเช้านี้ ผมสังเกตว่าสื่อสำหรับกิจกรรมที่สองยังไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ และใช้เวลาประมาณ 5 นาทีในการแจกจ่ายให้กับนักเรียนครับ” 26
  1. ความรู้สึก (Feeling): คือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ตัวเรา อันเป็นผลมาจากการสังเกตนั้นๆ เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตนเอง แทนที่จะกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุ 24
  • คำพูดที่ควรเลี่ยง (การกล่าวโทษ): “การกระทำของคุณครูทำให้ผมเป็นห่วงชั้นเรียนมาก”
  • คำพูดแบบ NVC (ความรู้สึก): “เมื่อผมเห็นสถานการณ์นั้น ผมรู้สึกเป็นกังวลครับ…”
  1. ความต้องการ (Need): นี่คือหัวใจของ NVC เป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกของเราเข้ากับ “ความต้องการสากล” ของมนุษย์ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความต้องการเหล่านี้เป็นคุณค่าที่เป็นสากล เช่น ความเป็นระเบียบ ประสิทธิภาพ การได้รับการสนับสนุน ความเข้าใจ หรือประสิทธิผล 24
  • คำพูดแบบ NVC (ความต้องการ): “…เพราะผมมีความต้องการให้นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมกับบทเรียนได้อย่างเต็มที่”
  1. การร้องขอ (Request): คือการบอกสิ่งที่เราต้องการให้อีกฝ่ายปฏิบัติอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม และเป็นไปในเชิงบวก ที่สำคัญคือต้องเป็น “คำขอ” ไม่ใช่ “คำสั่ง” ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้โดยไม่รู้สึกผิด 24
  • คำพูดที่ควรเลี่ยง (คำสั่งที่คลุมเครือ): “คุณครูต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้”
  • คำพูดแบบ NVC (การร้องขอ): “ไม่ทราบว่าคุณครูจะสะดวกใจไหม หากเราจะลองมานั่งคุยกันถึงขั้นตอนการเตรียมการสอนสำหรับคาบต่อไป เพื่อช่วยกันวางแผนและหาแนวทางที่จะทำให้การจัดกิจกรรมราบรื่นขึ้น” 29

การประยุกต์ใช้ NVC ในสถานการณ์จริง

สถานการณ์: ศึกษานิเทศก์ต้องการแจ้งให้หัวหน้ากลุ่มสาระฯ ทราบว่าเขาส่งรายงานสรุปโครงการล่าช้ากว่ากำหนด

การสื่อสารแบบเดิม (อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง):

  • “หัวหน้าครับ ทำไมรายงานยังไม่เสร็จอีกครับ นี่เลยกำหนดมาหลายวันแล้วนะ แบบนี้จะทำให้ภาพรวมของเขตพื้นที่เสียหาย” (กล่าวโทษ, ตัดสิน, สร้างแรงกดดัน)

การสื่อสารแบบ NVC:

  • (สังเกต) “หัวหน้าครับ ผมตรวจสอบข้อมูลล่าสุดและพบว่ารายงานสรุปโครงการที่กำหนดส่งวันศุกร์ที่แล้ว ตอนนี้ผมยังไม่ได้รับครับ”
  • (ความรู้สึก) “ผมรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย”
  • (ความต้องการ) “เพราะผมต้องการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดให้ทันการประชุมใหญ่ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เราสามารถนำเสนอผลงานได้อย่างสมบูรณ์”
  • (ร้องขอ) “จึงอยากจะขอรบกวนสอบถามว่า พอจะมีอะไรให้ผมช่วยสนับสนุนเพื่อให้รายงานเสร็จสิ้นภายในวันพุธนี้ได้บ้างไหมครับ หรือมีอุปสรรคอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้บ้าง”

การใช้ NVC ไม่ได้หมายความว่าเราจะอ่อนข้อหรือยอมแพ้ แต่เป็นการเปลี่ยนจุดยืนของบทสนทนา จากการเผชิญหน้าเพื่อหาว่า “ใครผิด” ไปสู่การทำงานร่วมกันเพื่อหาว่า “เราจะแก้ปัญหานี้ร่วมกันได้อย่างไร” โดยที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ได้ NVC เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการนิเทศแบบ “อำนาจนำ (Power-Over)” ที่เน้นการสั่งการและควบคุม ไปสู่การนิเทศแบบ “อำนาจร่วม (Power-With)” ที่เน้นการสร้างความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน 31 ซึ่งเป็นแนวทางที่มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและแท้จริงได้มากกว่า

ส่วนที่ 3: เครื่องมือให้ข้อมูลป้อนกลับที่สร้างสรรค์และนำไปใช้ได้ทันที

การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของศึกษานิเทศก์ แต่ก็เป็นจุดที่เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายที่สุดเช่นกัน คำติชมที่คลุมเครืออย่าง “ดีแล้ว แต่ต้องกระตือรือร้นกว่านี้” แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะผู้รับไม่รู้ว่าต้องปรับปรุงพฤติกรรมใดอย่างเป็นรูปธรรม

ปัญหาของรูปแบบการให้ข้อมูลป้อนกลับที่ล้าสมัย

รูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ “แบบจำลองแซนด์วิช” (Sandwich Feedback Model) ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลป้อนกลับโดยเริ่มจากคำชม ตามด้วยคำวิจารณ์ และปิดท้ายด้วยคำชมอีกครั้ง 33 แม้จะมีเจตนาที่ดีในการรักษาน้ำใจ แต่ผลการศึกษาและประสบการณ์ในทางปฏิบัติชี้ว่ารูปแบบนี้มักไม่มีประสิทธิภาพ เพราะอาจสร้างความสับสน ผู้รับสารมักจะจดจำแต่คำชมตอนต้นและตอนท้าย ทำให้แก่นของการวิจารณ์ถูกลดทอนความสำคัญลง หรือในทางกลับกัน ผู้รับสารที่ฉลาดพอจะมองออกว่าคำชมเป็นเพียงส่วนประกอบที่ดูไม่จริงใจ และจะรอฟังแต่คำว่า “แต่…” ซึ่งสร้างความวิตกกังวลและความไม่ไว้วางใจในระยะยาว 34

SBI Model: เครื่องมือเพื่อความชัดเจนและการลงมือปฏิบัติ

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แบบจำลอง SBI ซึ่งพัฒนาโดย Center for Creative Leadership จึงเป็นทางเลือกที่เหนือกว่าในการให้ข้อมูลป้อนกลับที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และไม่ตัดสินตัวบุคคล 33

S – Situation (สถานการณ์): ระบุสถานการณ์ให้ชัดเจน โดยอ้างอิงถึงเวลาและสถานที่ที่เกิดพฤติกรรมนั้นขึ้น เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับมีความเป็นรูปธรรมและอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง 38

  • ตัวอย่าง: “ในการประชุม PLC เมื่อบ่ายวันพุธที่ผ่านมา…”

B – Behavior (พฤติกรรม): อธิบายพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยใช้คำกริยาที่แสดงการกระทำ หลีกเลี่ยงการตีความหรือตัดสินบุคลิกและเจตนาของบุคคล 38

  • ตัวอย่าง: “…ตอนที่คุณครูสมชายกำลังนำเสนอความกังวลเกี่ยวกับปัญหานักเรียนขาดความสนใจ คุณครูได้พูดแทรกขึ้นกลางคัน และยกเหตุผล 3 ข้อว่าทำไมแนวคิดของคุณครูสมชายถึงใช้ไม่ได้ผล”

I – Impact (ผลกระทบ): อธิบายผลกระทบที่พฤติกรรมนั้นมีต่อตัวคุณ, ทีม, หรือเป้าหมายของงาน โดยใช้ “I-statement” เพื่อเชื่อมโยงพฤติกรรมเข้ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น 35

  • ตัวอย่าง: “ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผมคือ ผมรู้สึกว่าบรรยากาศของความร่วมมือในการประชุมลดน้อยลง และผมสังเกตว่าหลังจากนั้นไม่มีใครเสนอความคิดเห็นใหม่ๆ อีกเลยตลอดการประชุม”

การใช้ SBI เพื่อการเสริมแรงเชิงบวก

จุดเด่นของ SBI คือสามารถใช้เพื่อเสริมแรงพฤติกรรมเชิงบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ซึ่งมักจะได้ผลดีกว่าคำชมลอยๆ

  • ตัวอย่าง: “(S) จากการสังเกตการณ์สอนเมื่อเช้านี้ (B) ผมเห็นคุณครูใช้เทคนิค ‘คิด-จับคู่-แลกเปลี่ยน’ (Think-Pair-Share) ก่อนที่จะเรียกให้นักเรียนตอบคำถาม (I) ผลที่ตามมาคือ นักเรียนเกือบทุกคนในห้องมีส่วนร่วมในการพูดคุย และคำตอบที่พวกเขาแบ่งปันก็มีความลุ่มลึกและผ่านการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากครับ”

ตารางเปรียบเทียบรูปแบบการให้ข้อมูลป้อนกลับ

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ตารางด้านล่างนี้ได้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของรูปแบบการให้ข้อมูลป้อนกลับทั้งสามแบบ

เกณฑ์ (Criteria)คำติชมทั่วไป
(Vague Feedback)
แบบจำลองแซนด์วิช
(Sandwich Model)
แบบจำลอง SBI
(SBI Model)
ความชัดเจน (Clarity)ต่ำ – เป็นการพูดโดยรวม ไม่เฉพาะเจาะจงปานกลาง – ประเด็นสำคัญอาจถูกกลบด้วยคำชมสูง – เฉพาะเจาะจงและอิงตามข้อเท็จจริง
การนำไปปฏิบัติ (Actionability)ต่ำ – ไม่ชัดเจนว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรต่ำ – อาจมุ่งเน้นที่คำชมมากกว่าการลงมือทำสูง – ระบุพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยนหรือทำซ้ำได้ชัดเจน
การตั้งรับ (Defensiveness)สูง – รู้สึกเหมือนถูกโจมตีตัวตนปานกลาง – อาจรู้สึกว่าถูกชักจูงหรือไม่จริงใจต่ำ – มุ่งเน้นที่พฤติกรรม ไม่ใช่บุคลิกภาพ
ตัวอย่าง (Example)“คุณครูต้องทำงานเป็นทีมให้มากกว่านี้”“คุณเป็นครูที่เก่งมาก แต่คุณมักจะพูดคนเดียวในที่ประชุม ยังไงก็สู้ๆ นะครับ”“(S) ในการประชุมเมื่อวานนี้ (B) คุณครูได้พูดนำเสนอเป็นเวลา 10 นาทีโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นแสดงความเห็น (I) ซึ่งส่งผลให้เรามีเวลาไม่พอสำหรับวาระการประชุมอื่นๆ ครับ”

การเปลี่ยนมาใช้เครื่องมืออย่าง SBI จะช่วยให้การให้ข้อมูลป้อนกลับของศึกษานิเทศก์เปลี่ยนจากการ “ตัดสิน” ไปสู่การ “อธิบาย” ซึ่งช่วยลดแรงต่อต้านและเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างแท้จริง

ส่วนที่ 4: การนำเสนอในที่ประชุม – จากผู้บรรยายนโยบายสู่ผู้นำการสนทนาเชิงกลยุทธ์

การนำเสนอนโยบายหรือแนวปฏิบัติใหม่ๆ ในที่ประชุมมักเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย หลายครั้งที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ ไม่สนใจ หรือแม้กระทั่งต่อต้าน สาเหตุสำคัญไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาเสมอไป แต่อยู่ที่วิธีการนำเสนอ ศึกษานิเทศก์ที่ประสบความสำเร็จจะเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก “ผู้บรรยายนโยบาย” ไปเป็น “ผู้นำการสนทนาเชิงกลยุทธ์” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายทอดข้อมูล

4.1 รากฐานที่สำคัญ: การวิเคราะห์ผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง

ความล้มเหลวของการนำเสนอส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้นำเสนอมุ่งเน้นที่ “สิ่งที่ตนเองอยากจะพูด” มากกว่า “สิ่งที่ผู้ฟังต้องการจะฟัง” 13 ก่อนที่จะวางแผนเนื้อหา ศึกษานิเทศก์ต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง (ครู, ผู้บริหาร) อย่างละเอียดในมิติต่างๆ 40:

  • ความท้าทาย (Pains): พวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาอะไร ภาระงาน, ความกดดัน, หรือความคับข้องใจใดที่พวกเขามีอยู่
  • ความคาดหวัง (Gains): อะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ แรงจูงใจ, เป้าหมาย, หรือความสำเร็จที่พวกเขามองหาคืออะไร
  • ความต้องการ (Needs): พวกเขาต้องการการสนับสนุน, ทรัพยากร, หรือการยอมรับในด้านใด
  • รูปแบบการสื่อสารที่พึงพอใจ (Communication Preferences): พวกเขาชอบการสื่อสารแบบเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ, แบบตัวต่อตัวหรือผ่านช่องทางดิจิทัล

4.2 การวางโครงสร้างเพื่อสร้างผลกระทบ

การนำเสนอที่มีประสิทธิภาพควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนและโน้มน้าวใจ:

  • เริ่มต้นด้วย “ทำไม” (Start with ‘Why’): อธิบายเหตุผลและความสำคัญของนโยบายนี้ มันจะช่วยแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของ พวกเขา ได้อย่างไร การสร้างความเชื่อมโยงกับบริบทของผู้ฟังตั้งแต่ต้นจะทำให้พวกเขาเปิดใจรับฟังมากขึ้น 13
  • ตามด้วย “อะไร” (Move to ‘What’): อธิบายแก่นของนโยบายหรือแนวคิดอย่างกระชับและชัดเจน ใช้ภาษาที่เรียบง่าย หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ไม่จำเป็น และจำกัดประเด็นสำคัญไว้เพียง 3-5 ข้อ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ 41
  • จบด้วย “อย่างไร” (End with ‘How’): ระบุขั้นตอนต่อไปที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ผู้ฟังควรจะเดินออกจากห้องประชุมโดยรู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรต่อไป 39

4.3 พลังของการเล่าเรื่อง

ข้อมูลและสถิติอาจให้ความรู้ แต่เรื่องเล่าสร้างความรู้สึกร่วม ข้อเท็จจริงบอก แต่เรื่องเล่าขายไอเดีย การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของเรื่องเล่า โดยมีตัวละครที่ผู้ฟังเข้าถึงได้ (เช่น ครูคนหนึ่ง), ความท้าทายที่ต้องเผชิญ (เช่น ปัญหานักเรียนในห้องเรียน), และแนวทางแก้ไข (นโยบายใหม่ในฐานะเครื่องมือ) จะทำให้สารนั้นน่าจดจำและสร้างแรงบันดาลใจได้มากกว่าการบรรยายข้อเท็จจริงแบบแห้งๆ 13

4.4 การออกแบบสื่อนำเสนอที่มีประสิทธิภาพ

สไลด์ควรเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้พูด ไม่ใช่มาแทนที่ผู้พูด ควรยึดหลัก “เพิ่มภาพ ลดคำ” (Maximize Visuals, Minimize Verbosity) 44

  • ใช้รูปภาพที่มีคุณภาพสูง, แผนภูมิที่เข้าใจง่าย และตัวอักษรขนาดใหญ่ที่อ่านได้ชัดเจน 42
  • นำเสนอเพียงหนึ่งแนวคิดหลักต่อหนึ่งสไลด์ เพื่อไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกว่าข้อมูลอัดแน่นเกินไป 44
  • หลีกเลี่ยงการอ่านข้อความยาวๆ จากสไลด์โดยตรง เพราะจะทำให้การนำเสนอน่าเบื่อและขาดพลัง 42

4.5 การนำเสนอและการสร้างการมีส่วนร่วม

  • อวัจนภาษา: ท่วงท่าที่มั่นคง, การสบตาผู้ฟัง, การปรับระดับเสียงและความเร็วในการพูด และการใช้ท่าทางประกอบอย่างเป็นธรรมชาติ จะช่วยสื่อถึงความกระตือรือร้นและความเชื่อมั่นในเนื้อหาที่นำเสนอ ซึ่งเป็นการสร้างความสอดคล้อง (Congruence) ที่กล่าวถึงในบทนำ 13
  • การอำนวยความสะดวกในการสนทนา: การนำเสนอไม่ใช่การแสดงเดี่ยว ควรออกแบบให้มีช่วงเวลาสำหรับคำถามและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 45 ลองเปลี่ยนจากการบอกเล่าเป็นการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดการแก้ปัญหาร่วมกัน เช่น “จากแนวทางนี้ เราจะนำไปปรับใช้ในบริบทของโรงเรียนเราได้อย่างไรบ้าง” 13
  • การรับมือกับความเห็นต่าง: มองความเห็นต่างว่าเป็นมุมมองที่มีคุณค่า ไม่ใช่การโจมตี ใช้ประโยคเช่น “เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากครับ เรามาลองพิจารณาเรื่องนี้เพิ่มเติมกัน” และใช้ทักษะการฟังอย่างตั้งใจเพื่อทำความเข้าใจข้อกังวลของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง 46

ท้ายที่สุดแล้ว บทบาทของศึกษานิเทศก์ในที่ประชุมไม่ใช่การเป็น “ผู้นำเสนอ” แต่คือการเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดความหมายร่วมกัน” เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่การถ่ายทอดข้อมูลให้ครบถ้วน แต่คือการสร้างความเข้าใจร่วมกันและพันธสัญญาที่จะลงมือทำ การนำเสนอที่ใช้เวลา 10 นาที แต่จุดประกายให้เกิดการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์นาน 30 นาที ถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่าการบรรยาย 40 นาทีที่จบลงด้วยความเงียบ นี่คือการเปลี่ยนมาตรวัดความสำเร็จของการนำเสนอโดยสิ้นเชิง

ส่วนที่ 5: ความชัดเจนในยุคดิจิทัล – มารยาทและกลยุทธ์การสื่อสารผ่านแชทและอีเมล

ในยุคที่การสื่อสารส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล การเข้าใจผิดจากข้อความสั้นๆ หรืออีเมลที่ตีความได้หลายแง่มุมกลายเป็นปัญหาที่พบบ่อยสำหรับศึกษานิเทศก์ การสื่อสารดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความชัดเจน การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และการเคารพเวลาและสมาธิของผู้รับสาร

เลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน

การเลือกช่องทางการสื่อสารที่ถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด 49:

  • อีเมล (Email): เหมาะสำหรับข้อความที่เป็นทางการ, การให้ข้อมูลที่มีรายละเอียดซับซ้อน, การส่งเอกสารสำคัญ และเมื่อต้องการหลักฐานการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร 50
  • แชท (Chat/Instant Messaging – เช่น LINE, Microsoft Teams): เหมาะสำหรับการประสานงานที่รวดเร็ว, การแจ้งข่าวสารด่วน, การสอบถามข้อมูลสั้นๆ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ ควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยในหัวข้อที่ซับซ้อนหรือละเอียดอ่อนผ่านช่องทางนี้ 51

มารยาทในการสื่อสารผ่านแชทและข้อความ

  1. ชัดเจนและกระชับ: เข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้อความสั้นและมุ่งเน้นเพียงหัวข้อเดียวต่อครั้ง เพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าใจและตอบสนองได้ทันที 52
  2. รักษาน้ำเสียงที่เป็นมืออาชีพ: ใช้ไวยากรณ์และเครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้คำย่อที่เข้าใจเฉพาะกลุ่ม, คำสแลง, หรือการพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดซึ่งอาจดูเหมือนการตะคอก 52 การใช้อิโมจิควรทำอย่างระมัดระวังให้เหมาะสมกับบริบทและความสัมพันธ์ 51
  3. เคารพขอบเขตเวลา: หลีกเลี่ยงการส่งข้อความที่ไม่เร่งด่วนนอกเวลางาน เพื่อเป็นการเคารพเวลาส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 51 การตอบกลับเพื่อยืนยันการรับทราบข้อความ เช่น “รับทราบครับ/ค่ะ” เป็นสิ่งสำคัญในการปิดวงจรการสื่อสาร 52
  4. การจัดการแชทกลุ่ม: เชิญเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกลุ่มเท่านั้น ใช้แชทกลุ่มเพื่อการประสานงานในทีม ไม่ใช่เพื่อการให้ข้อมูลป้อนกลับรายบุคคลหรือการสนทนาเรื่องที่ละเอียดอ่อน 52

มารยาทในการสื่อสารผ่านอีเมลสำหรับบุคลากรทางการศึกษา

  1. หัวเรื่อง (Subject Line) คือกุญแจสำคัญ: เขียนหัวเรื่องที่ชัดเจน กระชับ และบ่งบอกถึงเนื้อหาของอีเมลอย่างตรงไปตรงมา เช่น “สรุปผลการนิเทศการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ป.6 โรงเรียน XYZ” สิ่งนี้ช่วยให้ผู้รับสามารถจัดลำดับความสำคัญของอีเมลได้ง่ายขึ้น 57
  2. โครงสร้างที่เป็นทางการ: ใชคำขึ้นต้นอย่างเป็นทางการ (เช่น “เรียน คุณครูสมศรี”), จัดย่อหน้าเนื้อหาให้อ่านง่าย, และลงท้ายด้วยคำลงท้ายที่เป็นทางการพร้อมระบุชื่อเต็ม, ตำแหน่ง, และข้อมูลติดต่อของคุณ (Signature) 57
  3. ชัดเจนและตอบทุกคำถาม: เขียนให้ตรงประเด็น ตอบคำถามทุกข้อจากอีเมลฉบับก่อนหน้า และคาดการณ์คำถามที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า เพื่อลดการส่งอีเมลโต้ตอบไปมาโดยไม่จำเป็น 57
  4. น้ำเสียงและความเป็นมืออาชีพ: ตรวจทานอีเมลเพื่อหาข้อผิดพลาดก่อนส่งเสมอ น้ำเสียงควรแสดงความเคารพและเป็นมืออาชีพ สำหรับหัวข้อที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางอารมณ์ การแนะนำให้พูดคุยทางโทรศัพท์หรือนัดพบเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการโต้เถียงผ่านอีเมลที่อาจเกิดการตีความผิดพลาดได้ง่าย 58
  5. ระมัดระวังการใช้ “ตอบกลับทั้งหมด” (Reply All): ใช้ฟังก์ชันนี้ก็ต่อเมื่อทุกคนในรายชื่อผู้รับเดิมจำเป็นต้องทราบข้อมูลการตอบกลับของคุณจริงๆ เท่านั้น 59

มารยาทในการสื่อสารดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของความสุภาพ แต่เป็นกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ “ภาระทางความคิด” (Cognitive Load) และแสดงความเคารพต่อเวลาของเพื่อนร่วมงาน ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ศึกษานิเทศก์ที่สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางดิจิทัล จะสร้างชื่อเสียงในด้านความสามารถและความใส่ใจ เมื่อครูหรือผู้บริหารได้รับข้อความจากศึกษานิเทศก์ท่านนี้ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะเปิดอ่านและให้ความสนใจทันที เพราะพวกเขามั่นใจว่าข้อความนั้นจะมีความเกี่ยวข้อง ชัดเจน และเคารพเวลาของพวกเขา ซึ่งประสิทธิภาพนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการประสานงานที่รวดเร็วขึ้น การดำเนินโครงการที่ราบรื่นขึ้น และความสัมพันธ์ในการทำงานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

บทสรุป: บูรณาการทักษะสู่บทบาท “ศึกษานิเทศก์โค้ช”

การเดินทางผ่านแนวทางการสื่อสารสำหรับศึกษานิเทศก์ได้เผยให้เห็นว่า ปัญหา “พูดแล้วคนไม่ฟัง” ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการบูรณาการทักษะที่หลากหลาย ตั้งแต่รากฐานของการฟังอย่างลึกซึ้ง, ความแม่นยำและความเห็นอกเห็นใจของการสื่อสารอย่างสันติ (NVC) และ SBI, พลังในการโน้มน้าวของการนำเสนอเชิงกลยุทธ์, ไปจนถึงความชัดเจนที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล

ทักษะเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องมือที่แยกส่วนจากกัน แต่เป็นองค์ประกอบที่หลอมรวมกันเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของการนิเทศ นั่นคือบทบาทของ “ศึกษานิเทศก์โค้ช” (Supervisor as Coach) 62

  • โค้ชจะ ฟัง มากกว่าพูด เพื่อทำความเข้าใจบริบทและความต้องการที่แท้จริง (Active Listening)
  • โค้ชจะใช้ คำถามที่ทรงพลัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิดไตร่ตรอง แทนที่จะให้คำตอบสำเร็จรูป (Active Listening, NVC)
  • โค้ชจะให้ ข้อมูลป้อนกลับ ที่สร้างศักยภาพและความเป็นเจ้าของในการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การสร้างการพึ่งพิง (SBI)
  • โค้ชจะ สร้างแรงบันดาลใจ และวิสัยทัศน์ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่การสั่งการให้ปฏิบัติตาม (Presentations, Storytelling)

และที่สำคัญที่สุด โค้ชจะสร้างความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บน ความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน 62

การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้คือคำตอบสุดท้ายของปัญหาที่ศึกษานิเทศก์เผชิญ ทางออกไม่ใช่การค้นหาวิธีมหัศจรรย์ที่จะ “ทำให้” คนอื่นฟัง แต่คือการพัฒนาตนเองให้กลายเป็นผู้นำและนักสื่อสารที่ผู้คน “ต้องการ” ที่จะรับฟัง การเป็นบุคคลที่แสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ, มอบแนวทางที่มีคุณค่าอย่างชัดเจน, เคารพในมุมมองของผู้อื่น, และมุ่งเน้นการเติบโตไปด้วยกัน คือหัวใจสำคัญของการนิเทศที่สร้างสรรค์และยั่งยืน เพราะเป้าหมายสูงสุดของการสื่อสารไม่ใช่เพียงเพื่อให้ตนเองเป็นที่เข้าใจ แต่เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ 22

Works cited

  1. รู้จักเทคนิค ‘The 7-38-55 Rule’ วิธีสื่อสารให้คนอินมากกว่าแค่คำพูด – creative talk, accessed September 29, 2025, https://creativetalkconference.com/the-7-38-55-rule/
  2. Case Studies and Scenarios | Welcome to the College of Early Childhood Educators, accessed September 29, 2025, https://www.college-ece.ca/members/case-studies-and-scenarios/
  3. Educational supervisor’s perceptions of their role in supporting residents’ learning: a qualitative study – PMC, accessed September 29, 2025, https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10693950/
  4. people-shift.com, accessed September 29, 2025, https://people-shift.com/articles/mehrabians-7-38-55-communication-model/#:~:text=Albert%20Mehrabian’s%207%2D38%2D55,the%20body%20language%20we%20use%20(
  5. Mehrabian’s Communication Theory – Experianta, accessed September 29, 2025, https://experianta.com/directory/concepts/mehrabians-communication-theory/
  6. กฎ 7-38-55: เคล็ดลับการสื่อสารที่ทรงพลัง – KCT Academy Thailand, accessed September 29, 2025, https://kctathailand.com/%E0%B8%81%E0%B8%8E-7-38-55-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97/
  7. Albert Mehrabian – Wikipedia, accessed September 29, 2025, https://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Mehrabian
  8. Diving Beyond the Surface, Reading Beyond the Numbers: A Re-look at Mehrabian’s Communication Model (Part 1) | by Keng Sheng Chew | Medium, accessed September 29, 2025, https://medium.com/@cksheng74/diving-beyond-the-surface-reading-beyond-the-numbers-a-re-look-at-mehrabians-communication-model-53b27cae8711
  9. The Mehrabian Myth and The Real Secret to Effective Communication, part 1 – PCA global, accessed September 29, 2025, https://www.pca-global.com/information/the-mehrabian-myth-p1/
  10. The 7-38-55 Percent Rule: Why It’s Important – Progressive Dental Marketing, accessed September 29, 2025, https://www.progressivedentalmarketing.com/continuing-education/the-7-38-55-percent-rule-why-its-important/
  11. Use Active Listening Skills to Coach Others – CCL.org, accessed September 29, 2025, https://www.ccl.org/articles/leading-effectively-articles/coaching-others-use-active-listening-skills/
  12. ทำไมคุณจำเป็นต้องเรียนรู้การฟังอย่างตั้งใจ – LHH Thailand, accessed September 29, 2025, https://www.lhh.co.th/why-do-you-need-to-learn-active-listening/
  13. 7 Strategies to Get People to Listen to You at Work – Engagedly, accessed September 29, 2025, https://engagedly.com/blog/strategies-to-get-people-to-listen-to-you-at-work/
  14. How to Practice Active Listening in Meetings – Training Industry, accessed September 29, 2025, https://trainingindustry.com/articles/leadership/how-to-practice-active-listening-in-meetings/
  15. Effective active listening: Examples, techniques & exercises – Asana, accessed September 29, 2025, https://asana.com/resources/active-listening
  16. 7 Active Listening Techniques For Better Communication – Verywell Mind, accessed September 29, 2025, https://www.verywellmind.com/what-is-active-listening-3024343
  17. การรับฟังอย่างตั้งใจ ควรทำอย่างไรบ้าง – Empathy Sauce, accessed September 29, 2025, https://empathysauce.com/2020/06/17/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88/
  18. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) คืออะไร? ฝึกฝนอย่างไรดี? – SELminder, accessed September 29, 2025, https://selminder.com/knowledge-hub/relationship-skills/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88-active-listening/
  19. Active Listening for Managers: A Tool for Better Engagement – Strengthify, accessed September 29, 2025, https://www.strengthify.com/insights/active-listening-for-managers-a-tool-for-better-engagement
  20. Active Listening: 5 Ways Supervisors Can Demonstrate This Important Skill | SOS Podcast, accessed September 29, 2025, https://blog.amequity.com/longshore-insider/article/podcast-active-listening-5-ways-supervisors-can-demonstrate-this-important-skill
  21. การฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) อาวุธลับฉบับครูแนะแนว, accessed September 29, 2025, https://guidancehubth.com/knowledge/147
  22. Life Enriching Education – Center for Nonviolent Communication, accessed September 29, 2025, https://www.cnvc.org/store/life-enriching-education
  23. Using Nonviolent Communication in the Classroom – Tyler Clementi Foundation, accessed September 29, 2025, https://tylerclementi.org/using-nonviolent-communication-in-the-classroom/
  24. Your Complete Nonviolent Communication Guide – Positive Psychology, accessed September 29, 2025, https://positivepsychology.com/non-violent-communication/
  25. The four NVC steps in practice – Empathic Way Europe, accessed September 29, 2025, https://www.empathiceurope.com/the-four-nvc-steps-in-practice/
  26. A Guide to Non-violent Communication – CultureAlly, accessed September 29, 2025, https://www.cultureally.com/blog/nonviolent-communication-a-guide-to-empathetic-conversation
  27. สรุปหนังสือ Nonviolent Communication: สื่อสารอย่างสันติ ให้ทุกฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการ, accessed September 29, 2025, https://thezepiaworld.com/2021/03/13/nonviolent-communication/
  28. The Four Steps of Nonviolent Communication: A Guide to Transforming Relationships, accessed September 29, 2025, https://www.alignedhealingministry.com/the-four-steps-of-nonviolent-communication-a-guide-to-transforming-relationships/
  29. Non Violent Communication (NVC) Model, accessed September 29, 2025, https://www.ucop.edu/ombuds/_files/nvc-model-requesting-change-remove.pdf
  30. Four Steps of Nonviolent Communication – Ed Psych Insight, accessed September 29, 2025, https://www.epinsight.com/post/nonviolent-communication
  31. NVC Schools – Nonviolent Communication Education, accessed September 29, 2025, https://nonviolentcommunication.com/learn-nonviolent-communication/nvc-education/
  32. NVC in schools – Connecting2Life – The Art of Dialogue, accessed September 29, 2025, https://www.connecting2life.net/nvc-in-schools/
  33. The 8 Most Effective Feedback Models – Sales Training International, accessed September 29, 2025, https://www.salestrainingint.com/blog/most-effective-feedback-models/
  34. Serving Perfect Feedback Sandwich: Management Kitchen in 2025 – Bordio, accessed September 29, 2025, https://bordio.com/blog/feedback-sandwich/
  35. LPT: Use the SBI feedback method instead of the Sandwich method : r/LifeProTips – Reddit, accessed September 29, 2025, https://www.reddit.com/r/LifeProTips/comments/uy2vud/lpt_use_the_sbi_feedback_method_instead_of_the/
  36. 4 Feedback Models That Work – SBI, BOOST, Pendleton & Sandwich – YouTube, accessed September 29, 2025, https://www.youtube.com/watch?v=W8EQzRb0HMA
  37. From Novice to Expert: Discover the 12 Essential Models for Feedback Mastery – Medium, accessed September 29, 2025, https://medium.com/illumination/from-novice-to-expert-discover-the-12-essential-models-for-feedback-mastery-6a670042a62f
  38. Effective Feedback: Two Models for Managers – Leading Edge, accessed September 29, 2025, https://www.leadingedge.org/resource/effective-feedback-two-models-for-managers
  39. Presentation Best Practices – Schools2030, accessed September 29, 2025, https://schools2030.org/wp-content/uploads/2022/12/all-slides.pdf
  40. การสื่อสารสำหรับศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ » – Digital Learning Classroom, accessed September 29, 2025, https://krukob.com/web/sv-36/
  41. Classroom Teaching Tips | Ohio University, accessed September 29, 2025, https://www.ohio.edu/medicine/about/offices/faculty-learning-advancement/classroom-teaching-tips
  42. Improving Presentation Style – Center for Teaching and Learning – Washington University, accessed September 29, 2025, https://ctl.wustl.edu/resources/improving-presentation-style-in-lectures/
  43. How did you become more eloquent in meetings? : r/ProductManagement – Reddit, accessed September 29, 2025, https://www.reddit.com/r/ProductManagement/comments/1h7scdl/how_did_you_become_more_eloquent_in_meetings/
  44. 8 Tips to Power-Up Your Classroom Presentations – Edutopia, accessed September 29, 2025, https://www.edutopia.org/blog/8-tips-classroom-presentation-jason-cranford-teague
  45. Delivering Effective Teaching Presentations, accessed September 29, 2025, https://www.mcw.edu/-/media/MCW/Education/Academic-Affairs/OEI/Faculty-Quick-Guides/Delivering-Effective-Teaching-Presentations.pdf
  46. 7 เทคนิคการสื่อสารในที่ประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ – KCT Academy Thailand, accessed September 29, 2025, https://kctathailand.com/7-effective-meeting-communication-techniques/
  47. 5 Simple Things You Can Do To Get People To Speak Up In Meetings – Proteus Leader, accessed September 29, 2025, https://proteusleader.com/resources/text/5-simple-things-you-can-do-to-get-people-to-speak-up-in-meetings
  48. แชร์ทริคจัดการประชุมอย่างไรให้ราบรื่น และเทคนิคการพูดนำเสนอให้น่าสนใจ – CW Tower, accessed September 29, 2025, https://cwtower.com/th/lifestyle/how-to-hold-a-meeting/
  49. 5 เทคนิคสื่อสารในทีมให้เวิร์ก เสริมพลังการทำงานร่วมกัน – BASE Playhouse, accessed September 29, 2025, https://www.baseplayhouse.co/blog/communication-for-teamwork
  50. การฝึกอบรมและความช่วยเหลือของ Gmail – ศูนย์การเรียนรู้ Google Workspace, accessed September 29, 2025, https://support.google.com/a/users/answer/9259748?hl=th
  51. 20 Rules of Professional Texting Etiquette for Employees – ContactMonkey, accessed September 29, 2025, https://www.contactmonkey.com/blog/business-texting-etiquette-rules
  52. Corporate Professional Texting Etiquette: The Ultimate Guide – Whippy AI, accessed September 29, 2025, https://www.whippy.ai/blog/corporate-professional-texting-etiquette
  53. แนะนำระบบ chat สำหรับคุยงานในองค์กรโดยเฉพาะ – ZORT, accessed September 29, 2025, https://zortout.com/blog/chat-for-enterprise-collaboration
  54. Text Message Examples and Ready-to-Use Templates for Workplace Communication, accessed September 29, 2025, https://www.udext.com/blog/text-message-examples-business-templates-
  55. Business Texting Etiquette: Dos and Don’ts of Texting Customers and Prospects – TextUs, accessed September 29, 2025, https://textus.com/blog/business-text-messaging-etiquette
  56. 10 วิธีสื่อสารกับพนักงานในองค์กร ให้มีประสิทธิภาพ – Popticles.com, accessed September 29, 2025, https://www.popticles.com/business/10-ways-for-better-employee-communication/
  57. 10 Rules of Email Etiquette for Teachers – Professional Learning Board, accessed September 29, 2025, https://k12teacherstaffdevelopment.com/tlb/10-rules-of-email-etiquette-for-teachers/
  58. Email Etiquette | Miami University, accessed September 29, 2025, https://miamioh.edu/howe-center/hwc/writing-resources/handouts/types-of-writing/email-etiquette.html
  59. 10 rules for email etiquette | The Law Society of NSW, accessed September 29, 2025, https://www.lawsociety.com.au/resources/resources/career-hub/10-rules-email-etiquette
  60. Email Etiquette – Maryland State Education Association, accessed September 29, 2025, https://marylandeducators.org/career-resources/professional-development/in-the-workplace/email-etiquette/
  61. Email Tips for Effective Teacher-Family Communication – Teaching Channel, accessed September 29, 2025, https://www.teachingchannel.com/k12-hub/blog/teacher-parent-email/
  62. เทคนิคการนิเทศ: การสอนงาน (Coaching) – Panchalee’s Blog, accessed September 29, 2025, https://panchalee.wordpress.com/2009/07/27/coaching/
  63. ใบความรู้ที่ 1.1 เรื่อง “เทคนิคการนิเทศแบบชี้แนะ(Coaching Techniques)”, accessed September 29, 2025, https://pound1983.wordpress.com/wp-content/uploads/2012/06/utq-225.pdf
  64. สสวท. เสริมศักยภาพศึกษานิเทศก์ ด้วยหลักสูตร “ผู้แนะนำการเรียนรู้” เพื่อร่วมปรับบทบาทครูผู้สอนเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้, accessed September 29, 2025, https://www.ipst.ac.th/news/76392/coaching.html
  65. การพัฒนารูปแบบการโค้ชโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อส – ThaiJO, accessed September 29, 2025, https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/download/257765/173446/977552
  66. “การนิเทศการศึกษา” หนึ่งตัวช่วยในการพัฒนาสม – ThaiJo, accessed September 29, 2025, https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/download/248267/172396/938183
  67. การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวัด – ระบบสารสนเทศบัณฑิตวิทยาลัย – มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, accessed September 29, 2025, https://gsmis.snru.ac.th/e-thesis/file_att1/2023022362632233108_fulltext.pdf

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!