แนวทางการเตรียมเอกสาร “การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568”
แนวทางการเตรียมเอกสาร “การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568”
คำแนะนำการเตรียมตัวสำหรับองค์ประกอบการประเมิน
ภาพรวมการประเมิน (200 คะแนน)
- ผลงาน = 50 คะแนน (25%)
- ความสามารถในการนิเทศการศึกษา = 150 คะแนน (75%)
- เกณฑ์ผ่าน = ต้องได้ร้อยละ 60 ของแต่ละองค์ประกอบ
ส่วนที่ 1: การประเมินผลงาน (50 คะแนน)

แนวทางการเขียนรายงาน “ด้านผลงาน” เพื่อให้ท่านสามารถนำเสนอผลงานที่ภาคภูมิใจได้อย่างเป็นระบบ สอดคล้องเชื่อมโยง และสร้างความประทับใจให้คณะกรรมการ จนสามารถได้คะแนนในระดับสูงที่สุดดังนี้ครับ
หัวใจสำคัญของส่วนนี้ไม่ใช่แค่การแสดง “รางวัล” แต่เป็นการ “เล่าเรื่องราว” เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ให้เห็นถึงกระบวนการคิด การแก้ปัญหา และผลลกระทบที่เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมครับ
แนวทางการเขียนผลงานหรือรางวัลที่ภาคภูมิใจ (ไม่เกิน 2 หน้า A4)
เพื่อให้ได้คะแนนในระดับ “นำเสนอครบถ้วนทุกประเด็น สอดคล้องเชื่อมโยง มากที่สุด” (50 คะแนน) ท่านควรเรียบเรียงเนื้อหาตาม 5 ประเด็นหลัก ดังนี้ครับ
1. ความเป็นมา/ปัญหา
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ท่านต้องชี้ให้เห็น “เหตุผล” ที่ทำให้ท่านต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้
ระบุปัญหาให้ชัดเจน: ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนหรือโรงเรียนของท่านคืออะไร? (เช่น ผลสัมฤทธิ์นักเรียนต่ำในวิชา…, นักเรียนขาดทักษะการคิดวิเคราะห์, นักเรียนไม่กล้าแสดงออก, ปัญหาพฤติกรรม ฯลฯ)
แสดงข้อมูลสนับสนุน (ถ้ามี): อาจอ้างอิงข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น คะแนนเฉลี่ย O-NET, ผลการประเมินภายใน, หรือข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ผลจากการสังเกตการณ์สอน, การพูดคุยกับนักเรียน เพื่อทำให้ปัญหามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
กำหนดเป้าหมาย: จากปัญหานั้น ท่านตั้งเป้าหมายในการพัฒนาหรือแก้ไขไว้อย่างไร?
ตัวอย่าง:
“จากการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้น ป.5 พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาในการแก้โจทย์ปัญหาที่มีความซับซ้อน โดยมีคะแนนเฉลี่ยในเรื่องนี้ต่ำกว่าเกณฑ์เพียงร้อยละ 45 ข้าพเจ้าจึงตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้โจทย์ปัญหาของนักเรียนให้สูงขึ้น”
2. วิธีดำเนินการ
ส่วนนี้คือการแสดง “กึ๋น” หรือกระบวนการที่ท่านใช้ในการแก้ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น
อธิบายแนวคิด/นวัตกรรม: ท่านใช้นวัตกรรม, รูปแบบการสอน, หรือเทคนิคอะไรในการดำเนินงาน (เช่น Active Learning, Project-Based Learning, STEM, การวิจัยในชั้นเรียน)
ลำดับขั้นตอนให้ชัดเจน: อธิบายขั้นตอนการทำงานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การวางแผน (Plan), การลงมือปฏิบัติ (Do), การตรวจสอบ (Check), และการปรับปรุง (Act)
ระบุบทบาทของท่าน: แสดงบทบาทของท่านในฐานะผู้ออกแบบ, ผู้ริเริ่ม, และผู้ดำเนินการให้ชัดเจน
ตัวอย่าง:
“ข้าพเจ้าได้นำเทคนิค การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) มาใช้ โดยออกแบบสถานการณ์ปัญหาที่ใกล้ตัวนักเรียน 5 เรื่อง และดำเนินกิจกรรม 7 ขั้นตอน ตั้งแต่การทำความเข้าใจปัญหา, การระดมสมอง, การเรียนรู้ด้วยตนเอง, จนถึงขั้นสรุปและประเมินผล โดยข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator)”
3. ผลการดำเนินงาน
นี่คือส่วนที่ต้องแสดง “หลักฐาน” ความสำเร็จของสิ่งที่ท่านทำลงไป ต้องวัดผลได้และเห็นเป็นรูปธรรม
เสนอผลเชิงปริมาณ: ระบุผลลัพธ์เป็นตัวเลขที่ชัดเจน เช่น
- “คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเฉลี่ยร้อยละ 30”
- “นักเรียนร้อยละ 85 มีผลการประเมินทักษะการแก้ปัญหาอยู่ในระดับดีขึ้นไป”
เสนอผลเชิงคุณภาพ: อธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในด้านอื่นๆ เช่น
- “นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น จากการสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน”
4. ประโยชน์ที่ได้รับ
อธิบายผลกระทบในวงกว้างที่เกิดขึ้นจากผลงานของท่าน
ต่อผู้เรียน: นักเรียนได้พัฒนาทักษะอะไรบ้างนอกเหนือจากความรู้ในตำรา (เช่น ทักษะการสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม, การคิดสร้างสรรค์)
ต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ: ท่านได้นำผลงานนี้ไปขยายผลหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูผ่านช่องทางใดบ้าง (เช่น PLC, การนิเทศภายใน, การเป็นวิทยากร)
ต่อสถานศึกษา: ผลงานของท่านสร้างชื่อเสียงหรือกลายเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของโรงเรียนอย่างไร
5. พัฒนาต่อยอดจากผลงานหรือรางวัลที่ได้รับ
ส่วนสุดท้ายนี้แสดงถึง “วิสัยทัศน์” และการเป็นผู้เรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่งของท่าน
แผนในอนาคต: ท่านมีแผนจะนำผลงานหรือองค์ความรู้ที่ได้นี้ไปพัฒนาต่อยอดอย่างไร?
สร้างความยั่งยืน: ท่านจะทำอย่างไรให้แนวทางนี้ถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในโรงเรียน?
ตัวอย่าง:
“จากความสำเร็จนี้ ข้าพเจ้ามีแผนที่จะพัฒนาชุดกิจกรรม PBL ให้ครอบคลุมทุกหน่วยการเรียนรู้ และสร้างเป็น นวัตกรรมต้นแบบของโรงเรียน พร้อมทั้งจัดทำเป็นคู่มือเผยแพร่ให้แก่ครูผู้สอนในระดับชั้นอื่นๆ ผ่านกระบวนการ PLC เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ยั่งยืนต่อไป”
การเขียนให้ครบทั้ง 5 ประเด็นและร้อยเรียงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้กรรมการเห็นศักยภาพของท่านได้อย่างเต็มที่ครับ
2. ด้านความสามารถในการนิเทศการศึกษา = 150 คะแนน

คุณลักษณะส่วนบุคคล (40 คะแนน)
ผมจะอธิบายแนวทางการเตรียมตัวสำหรับองค์ประกอบ “คุณลักษณะส่วนบุคคล” (คะแนนเต็ม 40 คะแนน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน “ด้านความสามารถในการนิเทศการศึกษา” นะครับ
ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการประเมิน “ความเป็นตัวตน” ของท่านในบทบาทศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะแสดงออกมาระหว่างการปฏิบัติการนิเทศ (Role Play) ต่อหน้าคณะกรรมการ เป็นคะแนนที่สะท้อนบุคลิกภาพ วุฒิภาวะ และอุดมการณ์ของท่านโดยตรง
เพื่อให้ท่านเตรียมตัวได้อย่างดีที่สุด ผมจะอธิบายรายละเอียดและให้คำแนะนำในแต่ละข้อย่อย ดังนี้ครับ
แนวทางการเตรียมตัวเพื่อแสดง “คุณลักษณะส่วนบุคคล”
บุคลิก ลักษณะ ท่วงที วาจา (10 คะแนน)
ส่วนนี้คือ “ภาพลักษณ์ภายนอก” และการสร้างความประทับใจแรกพบ (First Impression) กรรมการจะมองหาความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือจากท่าน
- การแต่งกาย (ก): แต่งกายด้วยชุดสุภาพสากลนิยมที่ดูเป็นมืออาชีพ เช่น ชุดสูท หรือชุดข้าราชการที่สะอาดเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะของการประเมินที่เข้มข้น
- กิริยาท่าทาง (ข): แสดงออกถึงความนอบน้อม มีสัมมาคารวะ (การไหว้, การแสดงความเคารพ) นั่งหรือยืนด้วยท่าทางที่สง่าและมั่นคง สบตาผู้พูดอย่างเป็นธรรมชาติ และแสดงออกถึงการเป็นผู้ฟังที่ดี (Active Listening) เช่น การพยักหน้า, การโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
- การใช้ภาษา (ค): ใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง ชัดเจน สุภาพ และให้เกียรติผู้รับการนิเทศเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเชิงตัดสิน ตำหนิ หรือแสดงอำนาจเหนือกว่า ควรใช้ภาษาเชิงบวกและสร้างสรรค์ เช่น “เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากครับ/ค่ะ เราลองมาช่วยกันดูว่าจะพัฒนาต่อได้อย่างไร”
- การปฏิสัมพันธ์ (ง): สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปลอดภัย ทำให้ผู้รับการนิเทศ (บทบาทสมมติ) รู้สึกไว้วางใจที่จะพูดคุยถึงปัญหาอย่างเปิดอก ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
วุฒิภาวะทางอารมณ์และปฏิภาณในการแก้ปัญหา (10
คะแนน)
ส่วนนี้วัด “ความนิ่ง” และ “ความคม” ของสติปัญญาในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
- การควบคุมอารมณ์ (ก): กรรมการอาจจำลองสถานการณ์ที่กดดัน เช่น ผู้รับการนิเทศไม่ให้ความร่วมมือ หรือแสดงความเห็นขัดแย้ง ท่านต้องรักษาความสงบ สุขุม และไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวหรือหงุดหงิด
- การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (ข): เมื่อเจอปัญหาที่ไม่คาดฝัน อย่าตื่นตระหนก ให้ใช้หลักการ “หยุดคิด ถาม และหาทางออกร่วมกัน” เช่น “ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ/ค่ะ จากปัญหานี้ที่เพิ่งเกิดขึ้น เราอาจจะต้องกลับมาทบทวนแผนกันใหม่ ท่านมีความคิดเห็นเบื้องต้นอย่างไรบ้างครับ/คะ”
- การตอบคำถามที่ตรงประเด็น (ค): ฟังคำถามของกรรมการหรือผู้รับการนิเทศให้จบและจับประเด็นสำคัญ ตอบให้ตรงคำถาม กระชับ และชัดเจน
- การมีปฏิภาณไหวพริบ (ง): คือความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์มาใช้ตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาด เช่น การยกตัวอย่างทฤษฎี, งานวิจัย หรือกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้กับปัญหาตรงหน้า
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เจตคติ และอุดมการณ์ความเป็นศึกษานิเทศก์ (10 คะแนน)
ส่วนนี้จะสะท้อน “จิตวิญญาณ” และ “ความเชื่อ” ในวิชาชีพของท่าน
- ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (ก): ในระหว่างการนิเทศ พยายามเสนอแนะแนวทางหรือเครื่องมือใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากตำรา ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาแบบเดิมๆ อาจเป็นการเสนอให้ใช้แอปพลิเคชัน, การออกแบบกิจกรรมใหม่ๆ, หรือการบูรณาการข้ามศาสตร์
- เจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ (ข): แสดงออกถึงความรัก ความศรัทธา และความภาคภูมิใจในวิชาชีพครูและศึกษานิเทศก์ พูดถึงเพื่อนครูและผู้เรียนด้วยทัศนคติเชิงบวก มองเห็นศักยภาพมากกว่าปัญหา
- อุดมการณ์ความเป็นศึกษานิเทศก์ (ค): อุดมการณ์ของท่านต้องฉายชัดออกมาจากคำพูดและการกระทำ เช่น ความเชื่อที่ว่า “ครูทุกคนพัฒนาได้” หรือ “หัวใจของการนิเทศคือการพัฒนานักเรียน” ซึ่งควรเป็นแก่นคิดเดียวกับที่ท่านเขียนไว้ในเอกสารวิสัยทัศน์
ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย จิตสำนึกรักชาติ… และคุณธรรมจริยธรรม (๑๐ คะแนน)
ส่วนนี้ไม่ได้ทดสอบการท่องจำ แต่เป็นการประเมิน “คุณค่าภายใน” และการเป็นข้าราชการที่ดี
- วิธีการแสดงออก: ท่านไม่จำเป็นต้องพูดถึงประวัติศาสตร์โดยตรงตลอดเวลา แต่คุณค่าเหล่านี้สามารถสอดแทรกอยู่ในการกระทำและคำพูดได้ เช่น
- การพูดถึงความเสียสละของครูเพื่อส่วนรวม (จิตสำนึก)
- การเชื่อมโยงกิจกรรมการเรียนรู้กับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ความจงรักภักดี)
- การเน้นย้ำเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและความโปร่งใสในการทำงาน (คุณธรรมจริยธรรม)
คำแนะนำสุดท้าย: การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือ การฝึกซ้อม ลองจำลองสถานการณ์การนิเทศกับเพื่อนครู และขอความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา การฝึกซ้อมจะช่วยให้ท่านแสดงคุณลักษณะทั้งหมดนี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและมั่นใจที่สุดในวันประเมินจริงครับ
แนวทางการเตรียมตัว
1. บุคลิก ลักษณะ ท่วงที วาจา (10 คะแนน)
การเตรียมตัว:
- การแต่งกาย: สุภาพ เป็นทางการ ชุดครูมาตรฐาน สะอาด รีดเรียบร้อย
- ท่าทาง: ยืนตรง เดินมั่นใจ ไหว้ให้เป็น
- น้ำเสียง: ชัดเจน ไพเราะ มีน้ำหนัก ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
- สายตา: สบตากรรมการทุกท่าน มีความมั่นใจ
- รอยยิ้ม: ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เหมาะสมกับบริบท
เทคนิคพิเศษ:
- ฝึกหน้ากระจก 15-20 นาทีทุกวัน
- ถ่ายวิดีโอตัวเองแล้วดูซ้ำ
- ขอคนใกล้ชิดให้ feedback
2. วุฒิภาวะทางอารมณ์และปฏิภาณในการแก้ปัญหา (10 คะแนน)
การเตรียมตัว:
สถานการณ์ที่อาจเจอ:
- กรรมการถามคำถามยาก/กวนใจ → ตอบด้วยความสุขุม ไม่หงุดหงิด
- ถูกถามเรื่องที่ไม่รู้ → ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ประเด็นนี้ผมยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ แต่จะศึกษาเพิ่มเติม”
- มีข้อโต้แย้ง → รับฟังอย่างเปิดใจ ไม่โต้เถียง
เทคนิค STAR:
- Situation = อธิบายสถานการณ์
- Task = งานที่ต้องทำ
- Action = การกระทำของคุณ
- Result = ผลลัพธ์ที่ได้
ตัวอย่างเตรียมเล่า:
“ครั้งหนึ่งมีครูท่านหนึ่งไม่ยอมรับฟัง feedback จากการนิเทศ ผมจึง… (ใช้หลักจิตวิทยา/การสื่อสาร) …ผลคือครูท่านนั้นเปลี่ยนแนวคิดและพัฒนาการสอนได้”
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เฉตคติ และอุดมการณ์ความเป็นศึกษานิเทศก์ (10 คะแนน)
การเตรียมตัว:
แสดงความคิดริเริ่ม:
- นำเสนอนวัตกรรมที่เคยพัฒนา
- ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์
- แสดงการใช้เทคโนโลยีในการนิเทศ
เฉตคติ (Attitude) ที่ดี:
- แสดงจิตวิญญาณความเป็นครู
- ให้เห็นความใส่ใจในการพัฒนาครู
- แสดงความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ
อุดมการณ์ศึกษานิเทศก์: ท่องให้ขึ้นใจ:
- “ศึกษานิเทศก์คือผู้นำทางวิชาการที่ช่วยพัฒนาครูให้สอนดีขึ้น”
- “เป้าหมายสูงสุดคือคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก”
- “ใช้กระบวนการโค้ช ไม่ใช่การสั่ง”
4. ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย จิตสำนึกเรื่องการรักชาติ รักประเทศ (10 คะแนน)
เตรียมความรู้:
ประวัติศาสตร์ชาติไทย:
- เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ (เช่น การปฏิรูปการศึกษา ร.5)
- วันสำคัญของชาติ
- พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการศึกษา
จิตสำนึกรักชาติ:
- หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
- การนำหลักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาใช้ในการศึกษา
- บทบาทของการศึกษาในการสร้างพลเมืองดี
เทคนิค: เตรียมเชื่อมโยงประวัติศาสตร์กับการนิเทศ เช่น:
“จากหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ผมนำมาใช้ในการนิเทศครูด้วยการ…”
ทักษะและวิธีการนิเทศการศึกษา (10 คะแนน)

ผมจะขออธิบายแนวทางการเตรียมตัวสำหรับองค์ประกอบ “ทักษะและวิธีการนิเทศการศึกษา” (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) ซึ่งถือเป็น “หัวใจของการทดสอบภาคปฏิบัติ” เลยทีเดียวครับ
ส่วนนี้ต้องการวัดความสามารถของท่านในการนำความรู้ด้านการนิเทศมาใช้จริงตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผน (Plan), การลงมือปฏิบัติ (Do), ไปจนถึงการติดตามและประเมินผล (See) กรรมการต้องการเห็นภาพของ “ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ” ที่ทำงานอย่างเป็นระบบและมีหลักการ
ผมจะอธิบายรายละเอียดและให้คำแนะนำในแต่ละข้อย่อย เพื่อให้ท่านเตรียมตัวได้อย่างดีที่สุดครับ
แนวทางการเตรียมตัวด้าน “ทักษะและวิธีการนิเทศการศึกษา”
การวางแผนการนิเทศการศึกษา (10 คะแนน)
ส่วนนี้ประเมินจากเอกสาร “แผนการนิเทศการศึกษา” ที่ท่านต้องจัดเตรียมและนำเสนอต่อคณะกรรมการ แผนนี้เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่สะท้อนกระบวนการคิดของท่านทั้งหมด
(ก) การวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็น:
ควรทำอย่างไร: กำหนดสถานการณ์/ปัญหาที่สมมติขึ้นมาให้ชัดเจนและสมจริงที่สุด เช่น “ครู ก. สอนวิชาภาษาไทยชั้น ป.4 แต่พบปัญหานักเรียนอ่านจับใจความไม่ได้” ท่านต้องแสดงให้เห็นว่าท่าน “รู้” ปัญหานี้ได้อย่างไร (เช่น จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์, การสังเกตการณ์สอนเบื้องต้น)
(ข) การวางแผนการนิเทศการศึกษา:
ควรทำอย่างไร: เขียนเป้าหมายการนิเทศให้ชัดเจนและวัดผลได้ เช่น “เพื่อพัฒนากระบวนการสอนอ่านจับใจความของครู ก. และยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในเรื่องนี้ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80”
(ค) กำหนดวิธีการนิเทศ:
ควรทำอย่างไร: ระบุรูปแบบ/โมเดลการนิเทศที่ท่านจะใช้ให้ชัดเจน (นี่คือส่วนสำคัญที่แสดงถึงความรู้จริง) เช่น “การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision)” หรือ “การนิเทศแบบชี้แนะ (Coaching)” ซึ่งแสดงถึงการทำงานร่วมกับครูอย่างเป็นระบบ
(ง) เครื่องมือ สื่อการนิเทศ:
ควรทำอย่างไร: ระบุเครื่องมือที่จะใช้ให้สอดคล้องกับวิธีการนิเทศ เช่น “1. แบบสังเกตการณ์สอน 2. แบบบันทึกการสนทนาสะท้อนผล (Reflection Log) 3. คลิปวิดีโอตัวอย่างการสอนอ่านจับใจความแบบ B-SLIM”
การปฏิบัติการนิเทศการศึกษา (30 คะแนน)
นี่คือช่วงเวลาของการแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) ที่มีน้ำหนักคะแนนสูงที่สุด ท่านต้องนำแผนที่เขียนไว้มาปฏิบัติให้กรรมการเห็น
(ก) ปฏิบัติการนิเทศตามแผนการนิเทศการศึกษา:
ควรทำอย่างไร: เริ่มต้นการนิเทศโดยอ้างอิงถึงแผนที่ท่านวางไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านทำงานอย่างเป็นขั้นตอนและมีเป้าหมาย
(ข) การมีส่วนร่วมของผู้รับการนิเทศ:
ควรทำอย่างไร: ใช้เทคนิคการตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับการนิเทศ (บทบาทสมมติ) ได้คิดและเสนอแนวทางด้วยตนเอง หลีกเลี่ยงการสั่งหรือสอน แต่ให้ใช้การ “ชวนคุย ชวนคิด” เช่น “จากที่สังเกตชั้นเรียน คุณครูเห็นจุดไหนที่เป็นความท้าทายบ้างครับ/คะ”
(ค) ผู้นิเทศมีแนวทางในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย:
ควรทำอย่างไร: เมื่อพบปัญหา อย่าเสนอทางออกเพียงทางเดียว แต่ให้เสนอเป็น “ตะกร้าของทางเลือก” (Basket of Options) เช่น “เรื่องนี้เราอาจจะลองใช้เทคนิคการสอนแบบ A หรืออาจจะปรับสื่อเป็นแบบ B หรือลองจัดกลุ่มนักเรียนแบบ C ก็ได้นะครับ/คะ”
(ง) ผู้นิเทศสามารถเสนอแนะแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง:
ควรทำอย่างไร: ทุกข้อเสนอแนะต้อง “จับต้องได้” และ “ทำได้จริง” ในบริบทของโรงเรียนทั่วไป ไม่ใช่ข้อเสนอที่เลื่อนลอยหรือต้องใช้งบประมาณสูงเกินจริง
การติดตามและประเมินผลการนิเทศการศึกษา (10 คะแนน)
ในช่วงท้ายของการปฏิบัติการนิเทศ ท่านต้องพูดถึง “ขั้นต่อไป” เพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการนิเทศของท่านครบวงจร
(ก) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลมีความหลากหลาย:
ควรทำอย่างไร: อธิบายว่าท่านจะติดตามความสำเร็จอย่างไร โดยใช้เครื่องมือมากกว่า 1 ชนิด เช่น “ครั้งหน้าเราจะมาสังเกตชั้นเรียนอีกครั้ง และอาจจะขอดูชิ้นงานของนักเรียนประกอบด้วยนะครับ/คะ”
(ข) วิธีการประเมินผลสอดคล้องเหมาะสมตามแผนการนิเทศการศึกษา:
ควรทำอย่างไร: วิธีการประเมินต้องตอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผน เช่น ถ้าเป้าหมายคือการอ่านจับใจความ ก็ต้องประเมินจากผลการอ่านของนักเรียน
(ค) วิธีการประเมินผลโดยเน้นการมีส่วนร่วม:
ควรทำอย่างไร: เน้นย้ำว่าการประเมินผลคือ “การสะท้อนผลร่วมกัน” ไม่ใช่การตัดสิน เช่น “หลังจากที่คุณครูลองนำเทคนิคใหม่ไปใช้แล้ว เราจะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งเพื่อดูผลลัพธ์และวางแผนขั้นต่อไปด้วยกัน”
การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการ ซ้อมบทบาทสมมติ โดยยึดแผนการนิเทศที่ท่านเขียนขึ้นมาเป็นบท จะช่วยให้ท่านแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและครบถ้วนตามเกณฑ์การประเมินครับ
การใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี (30 คะแนน)

ผมจะอธิบายแนวทางการเตรียมตัวสำหรับองค์ประกอบ “การใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี” (คะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน) ครับ
ส่วนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ท่านจะแสดงให้คณะกรรมการเห็นว่า ท่านเป็น “ศึกษานิเทศก์ยุคดิจิทัล” ที่มีความทันสมัย สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการนิเทศและการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้คะแนนเต็มในส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หากท่านเตรียมตัวมาอย่างดีตามกรอบการพิจารณาทั้ง 3 ข้อ ดังนี้ครับ
แนวทางการเตรียมตัวเพื่อทำคะแนนสูงสุด (๓๐ คะแนน)
เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม ท่านต้องแสดงให้เห็นว่าท่านมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 3 ข้อ ซึ่งต้องเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน
1. การใช้สื่อฯ สอดคล้องกับแผนการนิเทศการศึกษา
หัวใจสำคัญ: เทคโนโลยีที่ท่านนำเสนอต้องไม่ใช่ของสวยงามที่นำมาโชว์ลอยๆ แต่ต้องเป็น “เครื่องมือที่ตอบโจทย์” ปัญหาที่ระบุไว้ในแผนการนิเทศของท่าน
ควรทำอย่างไร:
ในเอกสารแผนการนิเทศ: ต้องระบุให้ชัดเจนเลยว่า ท่านจะใช้สื่อหรือเทคโนโลยีอะไร และเพื่อแก้ปัญหาอะไร เช่น “จากปัญหาที่ครูไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนในวิชาประวัติศาสตร์ได้ ในการนิเทศครั้งนี้จะนำเสนอการใช้ Google Earth เพื่อสร้างเส้นทางตามรอยประวัติศาสตร์ และใช้ Padlet เป็นกระดานสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบเรียลไทม์”
ในการปฏิบัติ (Role Play): เมื่อถึงเวลาแสดงบทบาทสมมติ ให้กล่าวอ้างอิงถึงแผนเสมอ เช่น “ตามที่ระบุไว้ในแผนนะครับ/คะ ว่าเราจะมาดูเครื่องมือที่จะช่วยให้นักเรียนตื่นตัวมากขึ้น วันนี้เลยนำตัวอย่างการใช้ Kahoot! มาให้ดูครับ/ค่ะ”
๒. การใช้สื่อฯ มีความหลากหลาย
หัวใจสำคัญ: แสดงให้เห็นว่าท่านมี “กล่องเครื่องมือ” (Toolkit) ที่หลากหลาย สามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ได้ยึดติดกับโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง
ควรทำอย่างไร:
เตรียมนำเสนอสื่อหรือเทคโนโลยี อย่างน้อย 2-3 รูปแบบ ที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานต่างกัน เช่น:
- สื่อเพื่อการนำเสนอและระดมสมอง: เช่น Canva สำหรับทำ Infographic สรุปบทเรียน, Mentimeter สำหรับทำโพลล์หรือ Word Cloud สำรวจความเห็นนักเรียน
- สื่อเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และตรวจสอบความเข้าใจ: เช่น Kahoot!, Quizizz สำหรับเกมตอบคำถาม, Google Forms สำหรับทำแบบทดสอบ
- สื่อเพื่อการสร้างสรรค์และทำงานร่วมกัน: เช่น Padlet สำหรับบอร์ดแสดงความคิดเห็น, Google Docs/Slides สำหรับการทำงานกลุ่มร่วมกัน, CapCut สำหรับการตัดต่อวิดีโอสั้นๆ เพื่อการเรียนรู้
ไม่จำเป็นต้องนำเสนอทั้งหมด แต่ควรพูดถึงและยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าท่านรู้จักและเลือกใช้เป็น
๓. มีความสามารถในการใช้สื่อฯ ได้เป็นอย่างดี
หัวใจสำคัญ: ท่านต้องแสดงออกถึงความ “คล่องแคล่วและมั่นใจ” ในการใช้เครื่องมือเหล่านั้น การติดขัดหรือเกิดปัญหาทางเทคนิคจะทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงทันที
ควรทำอย่างไร:
ซ้อม ซ้อม และซ้อม: ฝึกซ้อมการใช้โปรแกรมที่จะนำเสนอจนคล่องเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม: เตรียมไฟล์ทุกอย่างให้พร้อมเปิดใช้งานได้ทันที อย่ามาเสียเวลาค้นหาไฟล์ต่อหน้ากรรมการ
มีแผนสำรอง: เตรียมแผนรับมือหากเกิดปัญหาเฉพาะหน้า เช่น อินเทอร์เน็ตล่ม ควรมีภาพสไลด์ที่จับหน้าจอ (Screenshot) ขั้นตอนการใช้งานเตรียมไว้ หรือบันทึกไฟล์แบบออฟไลน์ไว้ด้วย
เน้นประโยชน์ทางการศึกษา ไม่ใช่สอนใช้โปรแกรม: เวลาสาธิต อย่าเน้นแค่ว่า “ต้องคลิกตรงไหน” แต่ให้เน้นว่า “ฟังก์ชันนี้จะช่วยแก้ปัญหาการสอนหรือส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างไร”
สรุปเคล็ดลับ: จงนำเสนอตัวเองในฐานะ “ผู้อำนวยความสะดวกทางเทคโนโลยี” ที่สามารถเลือก (Select), ใช้ (Use), และแนะนำ (Suggest) สื่อและนวัตกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ครูทำงานได้ง่ายขึ้นและนักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความสุขครับ
แนวทางการเตรียมตัว:
เครื่องมือที่ควรรู้:
- Google Forms / Microsoft Forms = สร้างแบบสอบถาม
- Google Meet / Zoom = นิเทศออนไลน์
- Google Sheets / Excel = วิเคราะห์ข้อมูล
- สื่อวิดีโอการสอน = Coaching
- Google Classroom = แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- Canva / PowerPoint = นำเสนอ
นวัตกรรมการนิเทศที่ควรรู้:
- Coaching & Mentoring
- Peer Observation (ครูดูครู)
- Lesson Study
- Professional Learning Community (PLC)
- Classroom Walkthrough
เตรียมพูดถึง:
“ผมใช้ Google Forms สร้างแบบประเมินตนเองก่อนนิเทศ ใช้ Classroom เป็นชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และใช้ Coaching Model GROW ในการสนทนากับครู”
การสรุปผลการปฏิบัติการนิเทศการศึกษาที่สะท้อนผลการนิเทศต่อครูหรือสถานศึกษา (20 คะแนน)

ผมจะอธิบายแนวทางการเขียน “เอกสารสรุปผลการปฏิบัติการนิเทศ” (คะแนนเต็ม 3 คะแนน) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบภาคปฏิบัติครับ
เอกสารฉบับนี้เปรียบเสมือนบทสรุปที่สะท้อน “ความคม” ในการคิดวิเคราะห์และทักษะการสะท้อนผลของท่าน ไม่ใช่แค่การบรรยายว่าได้ทำอะไรไปบ้าง แต่คือการ “สังเคราะห์” ให้เห็นถึงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงและแนวทางการพัฒนาในอนาคตอย่างเป็นระบบ การเขียนที่ดีจะทำให้คณะกรรมการเห็นว่า ท่านสามารถจบกระบวนการนิเทศได้อย่างสมบูรณ์และเป็นมืออาชีพ
แนวทางการเขียน “สรุปผลการปฏิบัติการนิเทศ” (ไม่เกิน 2 หน้า A4)
เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม 30 คะแนน ท่านต้องเขียนรายงานให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันทั้ง 4 ประเด็นตามกรอบการพิจารณา ดังนี้
1. สอดคล้องกับแผนการนิเทศฯ ที่แสดงถึงการแก้ปัญหาและความต้องการจำเป็น
หัวใจสำคัญ: เป็นการ “ปิดลูป” กระบวนการทำงานของท่าน โดยยืนยันว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นได้ตอบโจทย์ปัญหาที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น
ควรเขียนอย่างไร:
- เริ่มต้นด้วยการทบทวนปัญหา: ย่อหน้าแรกควรเริ่มต้นโดยการอ้างอิงกลับไปยัง “ปัญหา” และ “เป้าหมาย” ที่ท่านระบุไว้ใน แผนการนิเทศการศึกษา
- ตัวอย่าง: “จากแผนการนิเทศการศึกษาที่มุ่งพัฒนาทักษะการใช้คำถามระดับสูงเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ในชั้นเรียนของคุณครู [ชื่อสมมติ] นั้น ผลการปฏิบัติการนิเทศสามารถสรุปได้ดังนี้…”
2. มีกระบวนการนิเทศที่สะท้อนผลต่อการจัดการเรียนการสอนของครู
หัวใจสำคัญ: อธิบาย “การเดินทาง” หรือกระบวนการที่ท่านกับคุณครูได้ทำร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน “วิธีคิด” และ “วิธีสอน” ของครู
ควรเขียนอย่างไร:
- เล่ากระบวนการโดยย่อ: อธิบายขั้นตอนการทำงานร่วมกัน เช่น “กระบวนการนิเทศเริ่มต้นจากการสร้างความไว้วางใจ (Rapport) ตามด้วยการสังเกตชั้นเรียน และใช้เทคนิคการสะท้อนผลแบบโค้ชชิ่ง (Coaching) โดยใช้คำถามนำเพื่อให้คุณครูได้ค้นพบแนวทางการพัฒนาด้วยตนเอง”
- ระบุผลที่เกิดกับ “ครู”: ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการนี้ส่งผลต่อครูอย่างไร เช่น “กระบวนการดังกล่าวทำให้คุณครูเกิดความตระหนักรู้ (Awareness) ในรูปแบบการสอนของตน และเห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนวิธีการตั้งคำถามจากคำถามระดับความจำไปสู่คำถามระดับวิเคราะห์และประเมินค่า”
3. สรุปผลการปฏิบัติการนิเทศที่สะท้อนผลต่อครูหรือสถานศึกษา
หัวใจสำคัญ: นี่คือส่วนที่ต้องแสดง “ผลลัพธ์” หรือ “ความสำเร็จ” ที่เป็นรูปธรรมที่สุด
ควรเขียนอย่างไร:
- ระบุ “ผลลัพธ์” ที่จับต้องได้: ผลที่เกิดขึ้นกับครู, นักเรียน, หรือสถานศึกษาคืออะไร?
- ตัวอย่างผลต่อครู: “ส่งผลให้คุณครูสามารถออกแบบและใช้คำถามระดับสูงในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น”
- ตัวอย่างผลต่อนักเรียน (ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของครู): “จากการสังเกตการณ์ครั้งล่าสุด พบว่านักเรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น และสามารถตอบคำถามที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ได้ดีขึ้น”
- ตัวอย่างผลต่อสถานศึกษา: “แนวปฏิบัติที่ดีนี้ได้ถูกนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวง PLC ของกลุ่มสาระฯ เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาการสอนของครูท่านอื่นๆ ต่อไป”
4. แนวทางการแก้ปัญหาและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการนิเทศ
หัวใจสำคัญ: แสดงวิสัยทัศน์ของท่านในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่ใช่การทำงานที่จบลงในครั้งเดียว
- ควรเขียนอย่างไร:
- ยอมรับความท้าทายที่ยังคงอยู่ (ถ้ามี): การนิเทศที่ดีไม่ใช่การแก้ได้ทุกปัญหาในครั้งเดียว การระบุถึงความท้าทายที่ยังเหลืออยู่จะแสดงถึงความจริงใจ เช่น “แม้ว่าการใช้คำถามจะดีขึ้น แต่ยังมีความท้าทายในการกระตุ้นให้นักเรียนกลุ่มอ่อนมีส่วนร่วม”
- ให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์สำหรับอนาคต: ระบุ “ก้าวต่อไป” ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์
- ตัวอย่าง: “ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาในระยะต่อไป คือ 1) การนิเทศติดตามเพื่อเสริมพลังอย่างต่อเนื่องในอีก 1 เดือนข้างหน้า 2) การสนับสนุนสื่อ/แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการจัดกิจกรรมแบบกลุ่ม และ 3) การนำเสนอความสำเร็จของคุณครูในเวทีของโรงเรียนเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ”
การเขียนสรุปผลที่ดีคือการบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จของการทำงานร่วมกัน ที่เริ่มต้นจากปัญหา นำไปสู่กระบวนการ จนเกิดผลลัพธ์ และมีแผนสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนครับ
การเตรียมตัว:
เตรียม Portfolio ผลงาน:
- Before & After = แสดงการเปลี่ยนแปลงของครู/โรงเรียน
- Data & Evidence = ตัวเลขผลการเรียน ความพึงพอใจ
- รางวัลที่ได้รับ = ของครูที่นิเทศ, โรงเรียน
- Best Practice = ตัวอย่างที่ประสบผลสำเร็จ
โครงสร้างการนำเสนอ:
สภาพปัญหาเดิม → กระบวนการนิเทศ → ผลลัพธ์ → ผลกระทบ → Sustainability
ตัวอย่าง:
“นิเทศการจัดการเรียนรู้ Active Learning ใน 5 โรงเรียน
- ก่อนนิเทศ: ครูใช้วิธีบรรยาย 80%
- หลังนิเทศ 1 ภาคเรียน: ครูใช้ Active Learning 65%
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น 12%
- ครูได้รับรางวัล KSP 3 คน
- สร้าง PLC ที่ยั่งยืน”
อธิบายเพิ่มเติมส่วนที่ 2: ความสามารถในการนิเทศการศึกษา (150 คะแนน)
A. คุณลักษณะส่วนบุคคล (40 คะแนน)
เหมือนส่วนที่ 1 ข้อ 1-4 แต่จะประเมินจากการนำเสนอแผนและการตอบคำถาม
Tips เพิ่มเติม:
- แสดงความเป็นผู้นำโดยไม่เป็นผู้บังคับ
- แสดงความเป็นโค้ชมากกว่านักบริหาร
- เน้นการสร้างแรงบันดาลใจให้ครู
ทักษะและวิธีการนิเทศการศึกษา (100 คะแนน)
1. การวางแผนการนิเทศการศึกษา (5 คะแนน)
แผนการนิเทศที่ดีต้องมี:
1. หลักการและเหตุผล
- ทำไมต้องนิเทศเรื่องนี้
- เชื่อมโยงนโยบาย สพฐ./สพป./สพม.
2. วัตถุประสงค์
- ระบุให้ชัดเจน วัดผลได้
3. กลุ่มเป้าหมาย
- ครู/โรงเรียน ระบุจำนวนชัดเจน
4. ระยะเวลา
- แบ่งเป็น Timeline ชัดเจน
5. วิธีการนิเทศ
- ระบุกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน
6. เครื่องมือ/สื่อ
- ระบุให้ครบถ้วน
7. การประเมินผล
- มีเครื่องมือชัดเจน
8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
- เป็นรูปธรรม
ตัวอย่างหัวข้อแผน:
- “การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ Active Learning”
- “การใช้สื่อดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้”
- “การวัดและประเมินผลตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ”
2. การวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็น (6 คะแนน)
เครื่องมือวิเคราะห์:
1. SWOT Analysis
- Strengths = จุดแข็ง
- Weaknesses = จุดอ่อน
- Opportunities = โอกาส
- Threats = อุปสรรค
2. ข้อมูลพื้นฐาน (Data)
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- ผลการประเมินครู
- แบบสำรวจความต้องการ
3. Gap Analysis
สภาพที่เป็น → สภาพที่ควรจะเป็น → ช่องว่าง (Gap) → แนวทางแก้ไข
ตัวอย่าง:
“จากการวิเคราะห์ พบว่า:
- ครู 70% ยังสอนแบบเดิม
- ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าเป้า 15%
- ครูต้องการพัฒนาทักษะ Active Learning → ดังนั้นจึงนิเทศเรื่องนี้”
3. การกำหนดกรองความเหมาะสมเบื้องต้น (9 คะแนน)
เตรียมพูดถึง:
การคัดเลือกเป้าหมาย:
- ใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกครู/โรงเรียน
- ลำดับความสำคัญ/เร่งด่วน
- ความพร้อมของครู
การกำหนดระยะเวลา:
- เหมาะสมกับบริบท
- ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
การจัดลำดับความสำคัญ:
Priority Matrix:
- เร่งด่วน + สำคัญ → ทำก่อน
- ไม่เร่งด่วน + สำคัญ → วางแผน
- เร่งด่วน + ไม่สำคัญ → มอบหมาย
- ไม่เร่งด่วน + ไม่สำคัญ → ทำทีหลัง
4. การปฏิบัติพัฒนาทักษะ (10 คะแนน)
หลักการนิเทศสมัยใหม่:
1. GROW Model (Coaching)
- Goal = เป้าหมาย
- Reality = สภาพความเป็นจริง
- Options = ทางเลือก
- Will/Way Forward = ความมุ่งมั่น/ก้าวต่อไป
2. Clinical Supervision (5 ขั้นตอน)
- Pre-Conference = ประชุมก่อนสอน
- Observation = สังเกตการสอน
- Analysis = วิเคราะห์
- Post-Conference = ประชุมหลังสอน
- Post-Conference Analysis = วิเคราะห์ผล
3. Developmental Supervision ปรับวิธีการตามระดับพัฒนาการของครู:
- ครูใหม่ → Directive (บอก)
- ครูปานกลาง → Collaborative (ร่วมกัน)
- ครูเก่ง → Non-directive (ให้ค้นพบเอง)
5. ปฏิบัติการนิเทศการศึกษาตามแผนการนิเทศการศึกษา (12 คะแนน)
ขั้นตอนการนิเทศที่ดี:
ก่อนนิเทศ (Before):
- แจ้งครูล่วงหน้า
- อธิบายวัตถุประสงค์
- สร้างบรรยากาศที่ดี
- ทำ Rapport (สานสัมพันธ์)
ระหว่างนิเทศ (During):
- สังเกตอย่างเป็นระบบ
- จดบันทึกข้อมูล
- ใช้เครื่องมือประเมิน
- ไม่แทรกแซงการสอน
หลังนิเทศ (After):
- ให้ feedback แบบ Sandwich
- เริ่มด้วยจุดเด่น
- ข้อควรปรับปรุง (แบบสร้างสรรค์)
- จบด้วยกำลังใจ
- ใช้คำถาม Coaching
- ร่วมกันหาแนวทาง
6. การมีส่วนร่วมของผู้รับการนิเทศ (18 คะแนน)
กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วม:
1. Empowerment (เสริมพลัง)
- ให้ครูเป็นเจ้าของปัญหา
- ให้ครูเป็นผู้หาคำตอบ
- นิเทศก์เป็นผู้อำนวยการ
2. PLC (Professional Learning Community)
- สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้
- ครูช่วยครู
- แลกเปลี่ยนเรียนรู้
3. Peer Coaching
- ครูสอนครู
- Buddy System
ตัวอย่างเทคนิค:
“ใช้คำถาม Open-Ended เช่น:
- ‘คุณครูคิดว่าส่วนไหนของการสอนวันนี้ที่ประทับใจที่สุด’
- ‘ถ้าสอนใหม่ คุณครูอยากปรับอะไร’
- ‘คุณครูต้องการความช่วยเหลืออะไร'”
7. ผู้นิเทศมีแนวทางในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย (25 คะแนน)
แสดงความเป็น Facilitator:
เครื่องมือแก้ปัญหา:
- Think-Pair-Share
- Brainstorming
- Mind Mapping
- Fishbone Diagram (แก้ปัญหาเชิงระบบ)
- Action Research
ทางเลือกในการแก้ปัญหา: เตรียม 3-5 ทางเลือกสำหรับทุกปัญหา
ตัวอย่าง: ปัญหาครูสอนน่าเบื่อ
- จัด Workshop Active Learning
- ให้ดูงานโรงเรียนต้นแบบ
- จับคู่กับครูที่เก่ง (Mentoring)
- ให้ศึกษาออนไลน์ + นำเสนอ
- Action Research ในชั้นเรียน
8. ผู้นิเทศสามารถเสนอและแนวทางการแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง (15 คะแนน)
แนวทางต้อง:
เป็นรูปธรรม = บอกได้ว่าทำอย่างไร
ปฏิบัติได้จริง = ไม่เหลาะเหลว ไม่ต้องใช้งบเยอะ
วัดผลได้ = มีตัวชี้วัดชัดเจน
ยั่งยืน = สามารถทำต่อได้
สูตร SMART:
- Specific = เฉพาะเจาะจง
- Measurable = วัดผลได้
- Achievable = ทำได้จริง
- Relevant = เกี่ยวข้อง
- Time-bound = มีกำหนดเวลา
ตัวอย่าง:
ไม่ดี: “ครูควรพัฒนาตัวเอง”
ดี: “ครูลองใช้กิจกรรม Think-Pair-Share ในบทเรียนหน้า พร้อมบันทึกผล แล้วเราคุยกันอีกครั้งใน 2 สัปดาห์”
การติดตามและประเมินผลการนิเทศการศึกษา (10 คะแนน)
เครื่องมือติดตาม:
1. แบบสังเกต/Checklist
- สังเกตการเปลี่ยนแปลง
2. แบบสอบถาม
- ความพึงพอใจ
- การนำไปใช้
3. สัมภาษณ์
- ครู / ผู้บริหาร / นักเรียน
4. Portfolio
- เก็บหลักฐานการพัฒนา
5. ข้อมูลผลสัมฤทธิ์
- เปรียบเทียบก่อน-หลัง
การประเมินผล 4 ระดับ (Kirkpatrick Model):
- Reaction = ครูพอใจไหม
- Learning = ครูได้ความรู้ไหม
- Behavior = ครูเปลี่ยนพฤติกรรมไหม
- Result = ผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นไหม
กลยุทธ์การนำเสนอแผนนิเทศ
โครงสร้างการนำเสนอ (15-20 นาที)
1. เปิดเรื่อง (2 นาที)
- สวัสดี แนะนำตัว
- ภาพรวมแผน
2. หลักการและเหตุผล (2 นาที)
- ทำไมเลือกเรื่องนี้
- เชื่อมโยงนโยบาย
3. การวิเคราะห์ปัญหา (3 นาที)
- ข้อมูล สถิติ
- Gap Analysis
4. วิธีการนิเทศ (5 นาที) สำคัญที่สุด
- ขั้นตอนชัดเจน
- เครื่องมือ/นวัตกรรม
- ยกตัวอย่างเทคนิค
5. การประเมินผล (2 นาที)
- เครื่องมือ
- ตัวชี้วัด
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ (2 นาที)
- เป้าหมายชัดเจน
7. สรุปและถาม-ตอบ (4 นาที)
Tips สำคัญ
DO
- พูดด้วยความมั่นใจ แต่ไม่หยิ่ง
- ยิ้มแย้ม สบตากรรมการ
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ
- ยกตัวอย่างประสบการณ์จริง
- แสดงความเป็นโค้ช ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา
- เน้นการพัฒนาครู → พัฒนานักเรียน
- มี Backup Plan ถ้าถูกถามแย้ง
DON’T
- ไม่พูดเร็วเกินไป
- ไม่อ่านสไลด์ตรง ๆ
- ไม่โต้แย้งกรรมการ
- ไม่พูดลอย ๆ ไม่มีเหตุผล
- ไม่ใช้คำว่า “บังคับ, สั่ง, ต้อง” กับครู
- ไม่แสดงความเป็น Boss
Checklist ก่อนสอบ
สัปดาห์ก่อนสอบ:
- [ ] ท่องแผนนิเทศจนคล่อง
- [ ] เตรียม Slide/เอกสาร
- [ ] ฝึกพูดหน้ากระจก
- [ ] ศึกษานโยบาย สพฐ. ล่าสุด
- [ ] เตรียมตัวอย่างประสบการณ์จริง 5-10 เรื่อง
- [ ] ตรวจเช็คเอกสารทั้งหมด
วันก่อนสอบ:
- [ ] พักผ่อนให้เพียงพอ
- [ ] เตรียมเสื้อผ้า
- [ ] ตรวจสอบสถานที่สอบ
- [ ] อ่านแผนนิเทศอีกรอบ
วันสอบ:
- [ ] มาก่อนเวลา 30 นาที
- [ ] แต่งกายเรียบร้อย
- [ ] สงบจิตใจ มั่นใจ
- [ ] ยิ้มแย้ม ทักทาย
สรุป: การประเมินนิเทศการศึกษาไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ต้องแสดงให้เห็นถึง:
- ความเป็นครู = จิตวิญญาณความเป็นครู
- ความเป็นผู้นำ = นำด้วยการให้บริการ (Servant Leadership)
- ความเป็นโค้ช = เสริมพลัง ไม่บังคับ
- ความเป็นนักพัฒนา = มุ่งพัฒนาครู → พัฒนาเด็ก
ผมได้จัดทำตัวอย่าง “ประวัติและประสบการณ์ที่แสดงถึงการพัฒนาตนเองเกี่ยวกับการเป็นผู้นำทางวิชาการ” ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูผู้มีปณิธานอันแรงกล้าที่จะก้าวสู่บทบาทศึกษานิเทศก์
เอกสารฉบับนี้ได้บูรณาการแนวคิดการนิเทศสมัยใหม่เข้ากับกรอบการประเมินผลงานตามภาพที่ท่านแนบมา (ความเป็นมา > วิธีดำเนินการ > ผลลัพธ์ > ประโยชน์ > การต่อยอด) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเป็นผู้นำทางวิชาการที่จับต้องได้และสอดคล้องกับสิ่งที่คณะกรรมการมองหา ท่านสามารถคัดลอกเนื้อหานี้ไปวางในโปรแกรม Microsoft Word และปรับแก้ให้เป็นเรื่องราวและประสบการณ์ของท่านเองได้เลยครับ
แนวทางการเขียนเอกสารองค์ประกอบที่ 1

ผมจะอธิบายแนวทางการเขียนเอกสาร “ประวัติและประสบการณ์” เพื่อให้ท่านสามารถจัดทำเอกสารที่น่าสนใจ สะท้อนศักยภาพ และผ่านการพิจารณาในเกณฑ์ “เหมาะสม”
เอกสารส่วนนี้เปรียบเสมือน “ประตูบานแรก” ที่จะสร้างความประทับใจให้คณะกรรมการ เป็นการคัดกรองเบื้องต้นที่สำคัญมาก ท่านต้องนำเสนอตัวเองในฐานะ “ว่าที่ผู้นำทางวิชาการ” ไม่ใช่แค่การบอกเล่าประวัติทั่วไป แต่เป็นการเล่าเรื่อง (Storytelling) การเดินทางบนเส้นทางสายวิชาชีพของท่านครับ
แนวทางการเขียน “ประวัติและประสบการณ์” (ความยาวไม่เกิน 5 หน้า A4)
ให้แบ่งเนื้อหาในเอกสาร 5 หน้านี้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ตาม “กรอบการพิจารณา” ดังนี้ครับ
ส่วนที่ 1: ประวัติส่วนตัว (ควรใช้พื้นที่ประมาณ 0.5 – 1 หน้า)
ส่วนนี้ไม่ใช่แค่การกรอกข้อมูล แต่เป็นการสรุปภาพรวมและปูพื้นเรื่องราวที่มาที่ไปของท่าน
บทสรุปเชิงบริหาร (Executive Summary): เริ่มต้นด้วยการย่อหน้าแนะนำตัวสั้นๆ ที่สรุปว่าท่านเป็นใคร มีปรัชญาในการทำงานอย่างไร และมีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ต้องการสมัครเป็นศึกษานิเทศก์
ประวัติการศึกษาและเส้นทางวิชาชีพ:
- ระบุวุฒิการศึกษาที่สำคัญ โดยอาจเชื่อมโยงว่าความรู้ที่ได้เรียนมาส่งผลต่อการพัฒนางานในปัจจุบันอย่างไร
- นำเสนอเส้นทางรับราชการโดยสรุป ไม่ต้องใส่รายละเอียดทั้งหมด แต่เน้นตำแหน่งหรือหน้าที่สำคัญที่หล่อหลอมให้ท่านเติบโตทางวิชาการ
ความเชี่ยวชาญพิเศษ: ระบุความถนัดหรือความเชี่ยวชาญของท่าน เช่น “มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)” หรือ “การวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาผู้เรียน”
เคล็ดลับ: จงเขียนให้น่าสนใจและเชื่อมโยงมาสู่ “เหตุผล” ที่ท่านเหมาะสมกับตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ให้กรรมการเห็นว่าทุกช่วงชีวิตของท่านได้เตรียมความพร้อมมาเพื่อบทบาทนี้
ส่วนที่ 2: ประสบการณ์การพัฒนาตนเองเกี่ยวกับการเป็นผู้นำทางวิชาการหรือการพัฒนาการศึกษา (ควรใช้พื้นที่ประมาณ 2 หน้า)
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของเอกสารส่วนนี้ ท่านต้องแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ “ให้” และเป็นผู้ “นำ” ไม่ใช่แค่ผู้ “รับ” หรือผู้ “ตาม”
เลือกผลงานที่โดดเด่น: คัดเลือกโครงการ, ผลงาน, หรือบทบาทที่ท่านเคย “ริเริ่ม” หรือ “เป็นแกนนำหลัก” มา 2-3 เรื่อง
เล่าเรื่องแบบ STAR Method
- S (Situation): สภาพปัญหาในโรงเรียน/ห้องเรียนตอนนั้นคืออะไร?
- T (Task): ท่านได้รับมอบหมายหรือตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้น?
- A (Action): ท่านลงมือทำอะไรบ้าง? แสดงบทบาทผู้นำอย่างไร? (เช่น ออกแบบนวัตกรรม, เป็นประธานโครงการ, เป็นวิทยากรอบรมเพื่อนครู, ทำวิจัยในชั้นเรียนแล้วนำผลมาขยายผล)
- R (Result): ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร? (เช่น ผลสัมฤทธิ์นักเรียนดีขึ้น, เพื่อนครูนำเทคนิคไปใช้, ได้รับรางวัล)
ตัวอย่างบทบาทที่ควรนำเสนอ:
- การเป็นหัวหน้าโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล, โรงเรียนคุณธรรม ฯลฯ
- การเป็นประธานกลุ่มสาระฯ และได้ริเริ่มโครงการใหม่ๆ
- การเป็นวิทยากรแกนนำ/พี่เลี้ยง (Mentor) ให้กับเพื่อนครู
- การพัฒนานวัตกรรม/สื่อการสอนที่ได้ผลดีจนมีการนำไปขยายผล
เคล็ดลับ: เน้น “บทบาทผู้นำ” ของท่านให้ชัดเจน ใช้คำว่า “ข้าพเจ้าได้ริเริ่ม…”, “ข้าพเจ้าเป็นแกนนำในการ…”, “ข้าพเจ้าได้ออกแบบ…” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของผลงานและความคิดริเริ่ม
ส่วนที่ 3: ประสบการณ์การเป็นผู้นำในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพ (ควรใช้พื้นที่ประมาณ 1.5 – 2 หน้า)
ส่วนนี้ต้องการวัดภาวะผู้นำในเชิง “แนวราบ” และการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการ PLC (Professional Learning Community)
บทบาทการเป็นผู้นำ PLC:
- อธิบายว่าท่านเคยมีบทบาทในการ “ก่อตั้ง” หรือ “ขับเคลื่อน” ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียนอย่างไร
- ท่านทำหน้าที่เป็น Model Teacher (ครูต้นแบบ), Buddy Teacher (ครูคู่คิด), หรือ Facilitator (ผู้อำนวยความสะดวก) ในวง PLC หรือไม่ อย่างไร?
กระบวนการและผลลัพธ์:
- เล่ากระบวนการ PLC ที่ท่านเป็นผู้นำ ตั้งแต่การค้นหาปัญหา, การออกแบบกิจกรรมการสอน, การสังเกตการณ์สอน, และการสะท้อนผล
- ผลลัพธ์จากการทำ PLC คืออะไร? (เช่น เกิดนวัตกรรมการสอนใหม่ๆ, ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนลดลง, เพื่อนครูเกิดความสามัคคีและช่วยเหลือกัน)
การขยายผล: ท่านได้นำความรู้หรือนวัตกรรมที่เกิดจากวง PLC ไปเผยแพร่ในระดับที่กว้างขึ้นหรือไม่ เช่น นำเสนอในเวทีวิชาการ, จัดอบรม, หรือเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์
เคล็ดลับ: จงแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ใช่แค่ผู้เข้าร่วมประชุม แต่เป็น “ผู้ขับเคลื่อน” ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มเพื่อนครู และทำให้ PLC ไม่ใช่แค่ “เอกสาร” แต่เป็นการ “ปฏิบัติ” ที่เกิดผลจริง
ข้อแนะนำสำหรับเอกสารหลักฐานประกอบ (ไม่เกิน 25 หน้า)
- คัดเฉพาะที่สำคัญ: เลือกหลักฐานที่สอดคล้องกับเรื่องที่ท่านเล่าใน 5 หน้าแรกเท่านั้น
- จัดหมวดหมู่: จัดเรียงหลักฐานตาม 3 หัวข้อข้างต้น เพื่อง่ายต่อการพิจารณา
- ตัวอย่างหลักฐานที่ดี: คำสั่งแต่งตั้งเป็นคณะทำงาน/ประธานโครงการ, ภาพถ่ายขณะท่านกำลังเป็นวิทยากรหรือกำลังนำกิจกรรม, ปกรายงานวิจัย, เกียรติบัตรรางวัลที่สอดคล้องกับผลงาน, สำเนาบันทึก PLC ที่ท่านเป็นผู้นำ
ตัวอย่างที่ 1 การเขียนประวัติและประสบการณ์ที่แสดงถึงการพัฒนาตนเองเกี่ยวกับการเป็นผู้นำทางวิชาการ
เสนอเพื่อประกอบการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์
ชื่อ-สกุล: (นาย/นาง/นางสาว)……………………………………………………………
ตำแหน่งปัจจุบัน: ครู วิทยฐานะ……………………………………. โรงเรียน………………………………………..
ส่วนที่ 1: ปณิธานและเส้นทางสู่การเป็นผู้นำทางวิชาการ
ข้าพเจ้าเริ่มต้นเส้นทางอาชีพครูด้วยความเชื่อมั่นว่า “ครูคือวิศวกรผู้สร้างอนาคตของชาติ” และห้องเรียนคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ตลอดระยะเวลาการทำงาน ข้าพเจ้าไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาตนเอง แสวงหาองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการสอนของตนเองเสมอมา
จากการเป็นผู้ “รับ” การนิเทศ สู่การเป็นผู้ “ให้” คำปรึกษาแก่เพื่อนครู ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกประการหนึ่งของความเป็นครู คือการได้เห็นเพื่อนร่วมวิชาชีพเติบโตและประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน จุดเปลี่ยนนี้เองที่หล่อหลอมให้ข้าพเจ้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองจากบทบาทครูผู้สอนสู่การเป็น “ผู้นำทางวิชาการ” ผู้พร้อมที่จะเป็นกัลยาณมิตรและเพื่อนร่วมทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษาต่อไป
ส่วนที่ 2: ประสบการณ์การพัฒนาตนเองสู่ความเป็นผู้นำทางวิชาการ
เพื่อเตรียมความพร้อมสู่บทบาทที่ท้าทายยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้เข้ารับการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอในหลักสูตรที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำทางวิชาการ ดังนี้
- การเป็นผู้นำกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC): ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ ทำให้เข้าใจหลักการและสามารถออกแบบกระบวนการ PLC ที่นำไปสู่การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
- ศาสตร์แห่งการโค้ชเพื่อการพัฒนา (Coaching for Development): ศึกษาและฝึกฝนทักษะการโค้ช การตั้งคำถามที่ทรงพลัง และการให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้เพื่อนครูสามารถค้นพบศักยภาพและแนวทางการพัฒนาของตนเอง
- การออกแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning Design): เข้ารับการอบรมจากสถาบันชั้นนำ เพื่อเรียนรู้เทคนิคการสอนที่หลากหลาย เช่น Problem-Based Learning, Project-Based Learning และ Gamification เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และขยายผลในสถานศึกษา
- การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา (Educational Technology): พัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น Google for Education, Microsoft Teams, และแอปพลิเคชันเพื่อการสร้างสื่อการสอน เพื่อเป็นต้นแบบและให้คำปรึกษาแก่เพื่อนครู
ส่วนที่ 3: ประสบการณ์การเป็นผู้นำในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพ
จากองค์ความรู้ที่สั่งสม ข้าพเจ้าได้ริเริ่มและเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งโครงการที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจและสะท้อนถึงบทบาทผู้นำทางวิชาการได้ชัดเจนที่สุดคือ “โครงการยกระดับผลสัมฤทธิ์และทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วย Active Learning ผ่านกระบวนการ PLC” โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ความเป็นมา/ปัญหา
จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนย้อนหลัง 3 ปี พบว่าคะแนนเฉลี่ยในรายวิชาหลักอยู่ในระดับคงที่ นักเรียนส่วนใหญ่ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา เมื่อสังเกตการณ์ในชั้นเรียนพบว่าครูยังคงเน้นการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก ทำให้นักเรียนเป็นผู้รับฝ่ายเดียว ขาดการมีส่วนร่วม และไม่เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ข้าพเจ้าในฐานะหัวหน้ากลุ่มสาระฯ จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนรู้ของคณะครู
2. วิธีดำเนินการ (ในบทบาทผู้นำ)
ข้าพเจ้าได้นำเสนอโครงการนี้ต่อผู้บริหารและได้รับความเห็นชอบ จึงได้ดำเนินการในฐานะผู้นำกระบวนการ (Facilitator) ดังนี้
- ขั้นที่ 1 (Find the Team): จัดตั้งทีม PLC โดยเชิญชวนครูในกลุ่มสาระฯ และครูต่างกลุ่มสาระที่สนใจเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ
- ขั้นที่ 2 (Find the Problem): นำทีม PLC ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Dive) ถึงสาเหตุของปัญหา จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “กระบวนการสอนที่ไม่ส่งเสริมการคิด” คือรากของปัญหา
- ขั้นที่ 3 (Find the Solution): จัดกิจกรรม “Mini-Workshop” ให้ความรู้และชวนเพื่อนครูออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่เน้น Active Learning โดยข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นโค้ชและให้คำปรึกษาในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้
- ขั้นที่ 4 (Action & Observation): เพื่อนครูนำแผนไปทดลองใช้ในชั้นเรียน โดยมีข้าพเจ้าและสมาชิกทีม PLC เข้าร่วมสังเกตการณ์ (แบบกัลยาณมิตร) เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับการสะท้อนผล
- ขั้นที่ 5 (Reflection & Feedback): นำผลที่ได้จากการสังเกตชั้นเรียนมาสะท้อนคิดร่วมกันในวง PLC อย่างสร้างสรรค์ เพื่อหาจุดเด่นและแนวทางการปรับปรุงแผนการสอนในวงจรต่อไป
3. ผลการดำเนินงาน
หลังจากดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา 1 ภาคเรียน เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงประจักษ์ ดังนี้
- ด้านผู้เรียน: คะแนนทดสอบหลังเรียน (Post-test) ในหน่วยการเรียนรู้ที่ใช้ Active Learning สูงกว่าคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) อย่างมีนัยสำคัญ และผลการประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรม พบว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ “ดี” ถึง “ดีมาก”
- ด้านครู: ครูผู้เข้าร่วมโครงการ 100% รายงานว่ามีความมั่นใจในการจัดกิจกรรม Active Learning มากขึ้น และเกิดวัฒนธรรมการเปิดชั้นเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
- ด้านนวัตกรรม: เกิดแผนการจัดการเรียนรู้ต้นแบบ Active Learning จำนวน 15 แผนงาน ซึ่งได้รับการเผยแพร่ผ่านคลังความรู้ของโรงเรียน
4. ประโยชน์ที่ได้รับ
โครงการนี้ไม่เพียงแต่ยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน แต่ยังสร้างประโยชน์ในภาพรวม คือ “การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร” จากการทำงานแบบแยกส่วน สู่การทำงานร่วมกันเป็นทีม เกิดความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่คณะครู ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบอย่างยั่งยืน
5. การพัฒนาต่อยอดจากผลงาน
จากความสำเร็จของโครงการ ข้าพเจ้าได้นำเสนอผลงานในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับสหวิทยาเขต และได้รับการติดต่อจากโรงเรียนเครือข่ายเพื่อขอเป็นวิทยากรให้ความรู้ ข้าพเจ้าจึงมีแผนที่จะ:
- ขยายผล (Scale Up): พัฒนาโครงการสู่ระดับชั้นและกลุ่มสาระฯ อื่นๆ ทั่วทั้งโรงเรียน
- สร้างเครือข่าย (Scale Out): จัดตั้งเครือข่าย PLC ระหว่างโรงเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกันในระดับเขตพื้นที่ฯ
ส่วนที่ 4: สรุปและปณิธาน
ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ได้หล่อหลอมให้ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย “ผู้นำทางวิชาการ” ที่มีความรู้ความสามารถ มีใจเปิดกว้าง และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับครูอย่างกัลยาณมิตร
ข้าพเจ้ามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทั้งหมด มาประยุกต์ใช้ในบทบาทของ “ศึกษานิเทศก์” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริม และขับเคลื่อนให้ครูและสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ สร้างสรรค์ห้องเรียนให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขและการเรียนรู้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนซึ่งเป็นอนาคตของชาติต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(……………………………………………………)
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ…………………………………….
ตัวอย่างที่ 2 “รายงานผลงานดีเด่นเชิงวิชาการ” ในรูปแบบที่ท่านสามารถนำไปปรับใช้กับผลงานของตนเองได้เลย โดยออกแบบให้โดยเน้น “นำเสนอครบถ้วนทุกประเด็น สอดคล้องเชื่อมโยง มากที่สุด” ซึ่งเน้นการเล่าเรื่องความสำเร็จอย่างเป็นระบบและเห็นภาพชัดเจน
รายงานผลงานดีเด่นประกอบการพิจารณาคัดเลือก
ตำแหน่งศึกษานิเทศก์
เรื่อง: การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดแก้ปัญหาและจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โดย: [ชื่อ-สกุลของท่าน]
ตำแหน่ง: ครู วิทยฐานะ [วิทยฐานะของท่าน]
โรงเรียน: [ชื่อโรงเรียนของท่าน]
1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา
โรงเรียน [ชื่อโรงเรียนของท่าน] ตั้งอยู่ในบริบทชุมชนที่มีประเด็นด้านการจัดการขยะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นโดยตรง จากการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีสภาพปัญหาที่น่ากังวล ดังนี้
- ปัญหาด้านทักษะกระบวนการ: นักเรียนยังขาดทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่สามารถนำความรู้ที่เรียนในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาที่พบเจอในชีวิตจริงได้ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการท่องจำเนื้อหาเพื่อการสอบเป็นหลัก
- ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์: คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในสาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ และสาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง
- ปัญหาด้านจิตสำนึก: นักเรียนขาดความตระหนักรู้และความเข้าใจในปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเอง ทำให้ขาดจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถแก้ปัญหาทั้งสามด้านไปพร้อมกัน โดยเชื่อว่าการให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงในบริบทของชุมชน จะช่วยสร้างการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและมีความหมายอย่างแท้จริง
2. วิธีดำเนินการ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ข้าพเจ้าได้ออกแบบและดำเนิน “โครงการนักสืบสายน้ำ รักษ์ชุมชน” โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) ร่วมกับแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน ดังนี้
ขั้นที่ 1: การวางแผนและออกแบบ (Plan & Design)
- วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และเชื่อมโยงมาตรฐานตัวชี้วัดในกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ฯ คณิตศาสตร์ และการงานอาชีพ
- ออกแบบหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ จำนวน 8 สัปดาห์ โดยมีหัวข้อหลักคือ “การจัดการขยะและคุณภาพน้ำในชุมชนของเรา”
- สร้างชุดเครื่องมือการเรียนรู้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้, ใบกิจกรรม, แบบสังเกตพฤติกรรม, แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ขั้นที่ 2: การดำเนินกิจกรรม (Implementation)
- สัปดาห์ที่ 1-2 (กระตุ้นและตั้งคำถาม): นำนักเรียนลงพื้นที่สำรวจปัญหาขยะในชุมชนและบริเวณแหล่งน้ำใกล้โรงเรียน ให้นักเรียนระดมสมองและตั้งคำถามสำคัญของโครงการว่า “เราจะช่วยลดปัญหาขยะและปรับปรุงคุณภาพน้ำในชุมชนของเราได้อย่างไร?”
- สัปดาห์ที่ 3-6 (สืบค้นและลงมือทำ): นักเรียนแบ่งกลุ่มทำงานตามความสนใจ
- กลุ่มวิเคราะห์คุณภาพน้ำ (Science): เรียนรู้วิธีการเก็บตัวอย่างน้ำและใช้ชุดทดสอบพื้นฐานเพื่อวัดค่า pH และความขุ่น
- กลุ่มออกแบบนวัตกรรม (Technology & Engineering): ออกแบบและสร้างสิ่งประดิษฐ์จากขยะรีไซเคิล เช่น เครื่องดักไขมันอย่างง่าย, ถังหมักชีวภาพจากเศษอาหาร
- กลุ่มรณรงค์และเก็บข้อมูล (Mathematics): สำรวจและเก็บข้อมูลปริมาณขยะในโรงเรียน สร้างแผนภูมิและกราฟเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณ และออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์
- สัปดาห์ที่ 7-8 (สรุปและนำเสนอผลงาน): นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปองค์ความรู้และผลการดำเนินงาน จัดทำเป็นรายงานและแผงโครงงาน จากนั้นนำเสนอผลงานในงาน “ตลาดนัดวิชาการรักษ์ชุมชน” โดยเชิญผู้ปกครองและคนในชุมชนเข้าร่วมรับฟัง
3. ผลการดำเนินงาน
ผลจากการดำเนินโครงการตลอดระยะเวลา 1 ภาคเรียน ปรากฏผลสำเร็จที่น่าพอใจทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนี้
- ผลเชิงปริมาณ:
- นักเรียนร้อยละ 92 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
- คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนในหน่วยการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 35
- ปริมาณขยะที่ต้องทิ้งในโรงเรียนลดลงร้อยละ 20 เนื่องจากมีการนำขยะไปรีไซเคิลและทำปุ๋ยหมัก
- ผลเชิงคุณภาพ:
- นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น สามารถระบุปัญหา ตั้งสมมติฐาน และหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นขั้นตอนได้
- นักเรียนแสดงออกถึงความกระตือรือร้นและความมั่นใจในการเรียนรู้มากขึ้น บรรยากาศการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความสุข
- เกิดจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม นักเรียนนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ที่บ้าน เช่น การคัดแยกขยะ
4. ประโยชน์ที่ได้รับ
โครงการนี้ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ
- ต่อผู้เรียน: นักเรียนได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ทั้งการคิดวิเคราะห์, การทำงานร่วมกัน, ความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสาร ทำให้การเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในตำรา
- ต่อครูผู้สอน: ข้าพเจ้าได้พัฒนาตนเองสู่การเป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” (Facilitator) และได้สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูผ่านกระบวนการ PLC
- ต่อสถานศึกษา: โรงเรียนได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองและชุมชนในฐานะสถานศึกษาที่เน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและใส่ใจต่อประเด็นในท้องถิ่น
- ต่อชุมชน: ชุมชนเกิดความตระหนักในปัญหาขยะและคุณภาพน้ำมากขึ้น และได้เห็นศักยภาพของเยาวชนในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา
5. การพัฒนาต่อยอดจากผลงานหรือรางวัลที่ได้รับ
จากความสำเร็จของโครงการ ข้าพเจ้าได้วางแผนการพัฒนาและขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น ดังนี้
- ระดับสถานศึกษา: เผยแพร่ผลงานและรูปแบบการสอนนี้ให้แก่คณะครูในโรงเรียนผ่านกิจกรรม PLC เพื่อเป็นต้นแบบในการนำไปปรับใช้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ และพัฒนาให้เป็น “หลักสูตรสถานการณ์” ที่เชื่อมโยงกับปัญหาในท้องถิ่น
- ระดับเครือข่าย: จัดทำคู่มือการสอนและสื่อดิจิทัล (E-Book, VDO Clip) เผยแพร่บนเว็บไซต์ของโรงเรียน เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่โรงเรียนในเครือข่ายสหวิทยาเขตที่สนใจ
- ระดับเขตพื้นที่การศึกษา: นำเสนอผลงานนี้ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับเขตพื้นที่ฯ และพร้อมที่จะเป็นวิทยากรแกนนำ เพื่อขยายผลนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและเชื่อมโยงกับชุมชนต่อไปในอนาคต
แนวทางการเขียนวิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์

การเขียน “วิสัยทัศน์” เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะไม่ใช่แค่การเขียนเรียงความ แต่เป็นการนำเสนอ “พิมพ์เขียว” การทำงานในอนาคตของท่านให้คณะกรรมการเห็นภาพ
เอกสารวิสัยทัศน์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องมือคัดกรองที่สะท้อนถึงความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ ความคิดเชิงระบบ และอุดมการณ์ของท่านได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ท่านสามารถเขียนวิสัยทัศน์ได้อย่างคมชัดและตรงตามเกณฑ์การประเมิน ผมขอแนะนำแนวทางโดยละเอียดตามกรอบการพิจารณาในภาพ ดังนี้ครับ
แนวทางการเขียน “วิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์” (ความยาวไม่เกิน 2 หน้า A4)
ก่อนอื่น ท่านต้องมี “แก่นความคิดหลัก (Core Idea)” ที่จะร้อยเรียงทั้ง 3 หัวข้อเข้าด้วยกัน เช่น “ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงห้องเรียนด้วยกระบวนการ PLC และเทคโนโลยีดิจิทัล” แก่นความคิดนี้จะทำให้วิสัยทัศน์ของท่านมีเอกภาพและน่าจดจำ
จากนั้น ให้แบ่งเนื้อหาการเขียนออกเป็น 3 ส่วนหลักตามกรอบการพิจารณา ดังนี้
ส่วนที่ 1: วิสัยทัศน์ด้าน “การนิเทศการศึกษา”
ส่วนนี้ต้องการวัดความเข้าใจใน “หัวใจ” ของงานศึกษานิเทศก์ในยุคปัจจุบัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: การนิยามการนิเทศแบบเดิมๆ เช่น การไปตรวจเยี่ยม, การจับผิด, การประเมินผลเพียงอย่างเดียว
สิ่งที่ควรเขียน (แสดงความเป็นไปได้และเหมาะสม):
- นำเสนอภาพลักษณ์ของท่านในฐานะ “กัลยาณมิตรทางวิชาการ”: แสดงเจตคติที่จะทำงานร่วมกับครูในฐานะ “โค้ช” (Coach) หรือ “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) เพื่อพัฒนาการสอนร่วมกัน
- ระบุรูปแบบการนิเทศที่ชัดเจน: ท่านอาจอ้างอิงรูปแบบการนิเทศที่ทันสมัย เช่น การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision), การนิเทศแบบชี้แนะ (Coaching), หรือการนิเทศที่เน้นห้องเรียนเป็นฐาน (Classroom-Based Supervision)
- เชื่อมโยงสู่เป้าหมายสูงสุด: เน้นย้ำว่าเป้าหมายของการนิเทศไม่ใช่แค่การพัฒนาครู แต่คือการยกระดับคุณภาพและผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน (Student Outcomes)
ตัวอย่างการเขียน:
“ข้าพเจ้ามีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นศึกษานิเทศก์ที่ใช้ กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะและเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) โดยมุ่งทำงานเคียงข้างคุณครูในฐานะกัลยาณมิตรทางวิชาการ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์สภาพปัญหาของผู้เรียน ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และร่วมกันสะท้อนผลการปฏิบัติงานในชั้นเรียนอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ”
ส่วนที่ 2: วิสัยทัศน์ด้าน “การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา”
ส่วนนี้ต้องการเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นของท่าน ว่านอกจากการนิเทศในห้องเรียนแล้ว ท่านจะสนับสนุน “ระบบ” ของโรงเรียนและเขตพื้นที่ฯ อย่างไร
สิ่งที่ควรเขียน (แสดงความเป็นไปได้และเหมาะสม):
- การขับเคลื่อน PLC: แสดงบทบาทในการเป็นแกนนำหรือผู้สนับสนุนให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่เข้มแข็ง ทั้งในระดับโรงเรียนและระหว่างโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขต
- การพัฒนาหลักสูตร: ท่านจะมีส่วนช่วยสนับสนุนโรงเรียนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่นและความต้องการของผู้เรียนได้อย่างไร
- การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี: ท่านจะทำหน้าที่เป็น “ผู้สืบค้นและส่งต่อ” นวัตกรรม สื่อ หรือเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ทันสมัยให้แก่โรงเรียนได้อย่างไร
- การสร้างเครือข่าย: ท่านจะสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการระหว่างโรงเรียน หรือระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงานภายนอกได้อย่างไร
ตัวอย่างการเขียน:
“ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและส่งเสริมให้เกิด เครือข่าย PLC ที่เข้มแข็ง ในกลุ่มโรงเรียนที่รับผิดชอบ เพื่อเป็นเวทีให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) นอกจากนี้ จะทำหน้าที่สืบค้นและนำร่องการใช้ นวัตกรรมและสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ มาสนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก”
ส่วนที่ 3: วิสัยทัศน์ด้าน “การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ”
ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะกรรมการต้องการเห็น “ศึกษานิเทศก์ผู้ไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้” (Lifelong Learner)
สิ่งที่ควรเขียน (แสดงความเป็นไปได้และเหมาะสม):
- การแสวงหาความรู้: ท่านมีแผนจะพัฒนาตนเองให้ทันต่อองค์ความรู้ใหม่ๆ และนโยบายการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร (เช่น การเข้าร่วมอบรม, การศึกษาต่อ, การอ่านงานวิจัย)
- การพัฒนาทักษะที่จำเป็น: ระบุทักษะที่ท่านต้องการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อการเป็นศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพ เช่น ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อการนิเทศ, ทักษะการโค้ชขั้นสูง, ทักษะการทำวิจัยเพื่อพัฒนางาน
- การสร้างองค์ความรู้: แสดงความมุ่งมั่นที่จะไม่เป็นเพียง “ผู้ใช้” ความรู้ แต่จะเป็น “ผู้สร้าง” องค์ความรู้ด้วย เช่น การทำงานวิจัยในชั้นเรียน/การวิจัยทางการนิเทศ, การเขียนบทความทางวิชาการ หรือการพัฒนาต้นแบบ/นวัตกรรมการนิเทศ
ตัวอย่างการเขียน:
“เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ข้าพเจ้ามุ่งมั่นที่จะ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทักษะด้าน การวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษา เพื่อใช้วางแผนการนิเทศอย่างมีหลักฐานเชิงประจักษ์ และตั้งเป้าหมายที่จะสร้างสรรค์ งานวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศ ที่สอดคล้องกับบริบทของเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อสร้างองค์ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาชีพสืบไป”
ขอให้ท่านนำแนวทางนี้ไปปรับใช้และเขียนวิสัยทัศน์ที่เป็นตัวของท่านเองอย่างดีที่สุด แสดงให้คณะกรรมการเห็นทั้งความรู้ ความสามารถ และ “หัวใจ” ของความเป็นครูที่พร้อมจะเติบโตไปสู่บทบาทใหม่ครับ
ตัวอย่างที่ 1 วิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์
วิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์
“เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ครูพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศในศตวรรษที่ 21”
1. ด้านความรู้เรื่องการนิเทศการศึกษา
1.1 หลักการนิเทศที่ยึดมั่น
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าการนิเทศการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต้องเปลี่ยนจาก “การตรวจสอบ” สู่ “การพัฒนา” โดยใช้แนวคิด Coaching & Mentoring เป็นหัวใจสำคัญ ศึกษานิเทศก์ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบหาข้อผิดพลาด แต่เป็นพี่เลี้ยงที่คอยเดินเคียงข้างครู ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมพัฒนาไปด้วยกัน
การนิเทศของข้าพเจ้าจะยึดหลัก “3 เข้า” ตามแนวพระราชดำริ คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา โดยเริ่มจากการเข้าใจบริบทของครูแต่ละคน เข้าถึงปัญหาที่แท้จริง และร่วมกันพัฒนาแนวทางที่เหมาะสม ไม่ใช่การนำแนวทางเดียวมาบังคับใช้กับทุกคน
1.2 กระบวนการนิเทศที่เป็นระบบ
ข้าพเจ้าจะนำ Clinical Supervision Model มาใช้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ (1) การประชุมก่อนการสอน เพื่อทำความเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน (2) การสังเกตการสอนด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย (3) การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นกลาง (4) การประชุมหลังการสอนด้วยการใช้คำถาม Coaching เช่น “คุณครูรู้สึกอย่างไรกับบทเรียนนี้” “ส่วนไหนที่ภูมิใจที่สุด” และ (5) การวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาต่อ
นอกจากนี้ ข้าพเจ้าจะส่งเสริมให้เกิด Professional Learning Community (PLC) ในโรงเรียน โดยสร้างวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูด้วยครู ผ่านกิจกรรม Peer Observation, Lesson Study และ Co-teaching ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
1.3 การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ในยุคดิจิทัล ข้าพเจ้าจะบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการนิเทศ เช่น การใช้ Google Forms สำรวจความต้องการ การใช้ Google Classroom เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การใช้ Video Coaching ให้ครูได้ดูตัวเองสอนและสะท้อนคิด และการใช้ Data Analytics วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อให้การนิเทศตรงจุดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา
2.1 การพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้
ข้าพเจ้ามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนรู้ที่ “เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยส่งเสริมการใช้ Active Learning เช่น Project-Based Learning, Problem-Based Learning และ Inquiry-Based Learning ให้นักเรียนได้ลงมือทำ คิดวิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การท่องจำตายตัว
ข้าพเจ้าจะสนับสนุนให้ครูออกแบบการเรียนรู้ที่บูรณาการทักษะในศตวรรษที่ 21 ทั้ง 4C’s (Critical Thinking, Creativity, Collaboration, Communication) และทักษะดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถอยู่รอดและประสบความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2.2 การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนา
ข้าพเจ้าจะส่งเสริมให้ครูใช้การวัดและประเมินผลที่หลากหลาย ทั้ง Formative Assessment (ประเมินเพื่อพัฒนา) และ Authentic Assessment (ประเมินจากสภาพจริง) มากกว่าการสอบข้อเขียนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เห็นพัฒนาการที่แท้จริงของผู้เรียนในทุกมิติ
2.3 การสร้างเครือข่ายและแหล่งเรียนรู้
ข้าพเจ้าจะเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ เพื่อนำทรัพยากรและโอกาสมาสู่โรงเรียน เช่น การจัด Workshop โดยผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาดูงานโรงเรียนต้นแบบ และการสร้างแหล่งเรียนรู้ในชุมชน
3. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
3.1 การเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต
ข้าพเจ้าเชื่อว่า “ศึกษานิเทศก์ที่ดีต้องเป็นผู้เรียนรู้ก่อน” ดังนั้นข้าพเจ้าจะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องผ่าน (1) การอ่านหนังสือและงานวิจัยทางการศึกษา (2) การเข้าร่วมอบรมสัมมนาทั้งในและต่างประเทศ (3) การศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านหลักสูตรและการสอน และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับศึกษานิเทศก์ทั้งในและต่างประเทศผ่าน Social Media และ Professional Network
ข้าพเจ้าจะติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการศึกษา เช่น AI in Education, Learning Analytics, Virtual Reality และ Gamification เพื่อนำมาปรับใช้ให้ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทไทย
3.2 การทำวิจัยและพัฒนา
ข้าพเจ้าจะส่งเสริมให้ครูทำ Action Research ในชั้นเรียน และข้าพเจ้าเองจะทำวิจัยเรื่อง “รูปแบบการนิเทศที่มีประสิทธิภาพในบริบทไทย” เพื่อสร้างองค์ความรู้และแบ่งปันผ่านการตีพิมพ์วารสารวิชาการและการนำเสนอในงานประชุมวิชาการ
3.3 การสร้างภาพลักษณ์วิชาชีพ
ข้าพเจ้าจะรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ดีทั้งด้านความรู้ ความประพฤติ และจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ข้าพเจ้าจะใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ในการเผยแพร่นวัตกรรมการศึกษาและสร้างเครือข่ายวิชาชีพ
สรุป: เป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า
ภายในระยะเวลา 5 ปี ข้าพเจ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ
ด้านการนิเทศ: พัฒนาครูในความรับผิดชอบให้ 100% มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ Active Learning และครูอย่างน้อย 50% สามารถเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนครูได้
ด้านผลลัพธ์: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% และนักเรียนมีความสุขกับการเรียนรู้
ด้านนวัตกรรม: สร้างนวัตกรรมการนิเทศอย่างน้อย 3 รูปแบบที่สามารถขยายผลได้ และมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับชาติอย่างน้อย 2 เรื่อง
ด้าน PLC: สร้าง Professional Learning Community ที่เข้มแข็งในทุกโรงเรียน โดยครูมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และความร่วมมือจากทุกฝ่าย เป้าหมายเหล่านี้สามารถเป็นจริงได้ และจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น
“ศึกษานิเทศก์ที่ดีไม่ได้สร้างครูที่เก่ง แต่สร้างครูที่รักการเรียนรู้และมุ่งมั่นพัฒนาตนเองตลอดชีพ”
หมายเหตุ: วิสัยทัศน์นี้เป็นแนวทางที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นจะปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ โดยจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการพัฒนาครูและผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเสมอ
(ลงชื่อ) ………………………………………………..
(…………………………………………………..)
ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งศึกษานิเทศก์
วันที่ ……….. เดือน ……………………. พ.ศ. ………….
จุดเด่นของวิสัยทัศน์ฉบับนี้
- ครบ 3 ด้านตามที่กำหนด – การนิเทศ, การส่งเสริมการศึกษา, การพัฒนาตนเอง
- เป็นรูปธรรม – มีตัวเลข เป้าหมายชัดเจน วัดผลได้
- ทันสมัย – เน้น Digital, PLC, Active Learning
- ปฏิบัติได้จริง – ไม่เหลาะเหลว ไม่ต้องใช้งบเยอะ
- แสดงความเป็นผู้นำ – แต่ไม่หยิ่ง เน้นการให้บริการ
- ยั่งยืน – เน้นการสร้างระบบที่อยู่ได้
ท่านสามารถนำไปปรับแต่งให้เข้ากับประสบการณ์และบริบทของท่านเองได้ครับ!
ตัวอย่างที่ 2 “วิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์”
เอกสารนี้ถูกออกแบบมาให้ “คม ชัด ลึก และทำได้จริง” โดยสะท้อนบทบาทของศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ในฐานะ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางวิชาการ” และ “เพื่อนร่วมทางวิชาชีพ (Professional Learning Partner)” ของครูและผู้บริหาร
ตัวอย่างเอกสารวิสัยทัศน์การเป็นศึกษานิเทศก์
(สำหรับยื่นประกอบการคัดเลือกฯ)
ชื่อ-สกุล: ………………………………………………………………….
สังกัด: ………………………………………………………………….
วิสัยทัศน์
“กัลยาณมิตรนิเทศ สร้างสรรค์ห้องเรียนแห่งความสุข สู่คุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21”
(Supervisory Friend, Creating Happy Classrooms for 21st-Century Learners)
1. หลักการและปรัชญาการนิเทศการศึกษา
ข้าพเจ้าเชื่อว่า หัวใจของการนิเทศการศึกษา คือ การสร้างความสัมพันธ์เชิงกัลยาณมิตรบนพื้นฐานของความไว้วางใจ เพื่อปลดล็อกศักยภาพของครูและผู้บริหาร นำไปสู่การสร้างห้องเรียนที่เปี่ยมด้วยความสุขและคุณภาพอย่างยั่งยืน ข้าพเจ้าจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนบทบาทของศึกษานิเทศก์จากผู้ประเมิน (Evaluator) สู่การเป็น “เพื่อนร่วมทางวิชาชีพ” ที่พร้อมให้การสนับสนุน ชี้แนะ และร่วมเรียนรู้ไปกับสถานศึกษา โดยยึดหลักการนิเทศที่เรียกว่า “GROWTH Model” ซึ่งมีแนวทางดังนี้
- G – Goal-Oriented Partnership (สร้างเป้าหมายร่วมกัน): เริ่มต้นจากการรับฟังและวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของสถานศึกษา เพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจนและเป็นเจ้าของร่วมกัน
- R – Reflective Coaching (ชี้แนะผ่านการสะท้อนคิด): ใช้กระบวนการ Coaching และการตั้งคำถามที่ทรงพลัง กระตุ้นให้ครูได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานของตนเอง ค้นพบแนวทางการแก้ปัญหา และเกิดความตระหนักรู้ในการพัฒนาตนเองจากภายใน
- O – On-site Support (สนับสนุนถึงหน้างาน): เน้นการลงพื้นที่เพื่อร่วมสังเกตการณ์ในชั้นเรียน (Classroom Observation) และให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Feedback) ไม่ใช่เพื่อการจับผิด แต่เพื่อการพัฒนาร่วมกัน
- W – Whole School Approach (ขับเคลื่อนทั้งระบบโรงเรียน): ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่เข้มแข็ง เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันของบุคลากรทั้งโรงเรียน
- T – Technology Enhanced (เติมเต็มด้วยเทคโนโลยี): ส่งเสริมและเป็นแบบอย่างในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้และการนิเทศ เพื่อลดภาระงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
- H – Happiness & Well-being (ใส่ใจในความสุข): ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของครูและนักเรียน ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” โดยเชื่อว่าครูที่มีความสุขจะสามารถสร้างห้องเรียนแห่งความสุขได้
2. แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา
เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ข้าพเจ้ามีแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับนโยบายของ สพฐ. ดังนี้
ด้านผู้เรียน:
- ส่งเสริมการจัด การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ คิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
- ผลักดันให้สถานศึกษาสร้าง ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่เข้มแข็ง โดยเชื่อมโยงกับระบบ School Health HERO เพื่อดูแลสุขภาพจิตและความปลอดภัยรอบด้าน
- สนับสนุนการเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด (Anywhere Anytime) ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และส่งเสริมการใช้ระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเพิ่มโอกาสและความยืดหยุ่นทางการศึกษา
ด้านครูและบุคลากรทางการศึกษา:
- ลดภาระครู โดยการส่งเสริมการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการวัดผลและประเมินผล การจัดทำแผนการสอน และงานเอกสารที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ครูมีเวลาทุ่มเทกับการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มที่
- สร้างเครือข่าย PLC ทั้งในระดับโรงเรียนและระหว่างโรงเรียน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และขอคำปรึกษา
- จัดกิจกรรม “คลินิกนิเทศ” (Supervisory Clinic) ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ เพื่อให้คำปรึกษาเฉพาะทางตามความต้องการของครูเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย
ด้านสถานศึกษาและผู้บริหาร:
- ทำหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ (Strategic Advisor)” โดยนำข้อมูลสารสนเทศ (Data-Informed) มาช่วยผู้บริหารในการวางแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
- ประสานงาน เชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้และทรัพยากร จากหน่วยงานภายนอก ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียน
3. การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
เพื่อให้เป็นศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ข้าพเจ้ามีแผนการพัฒนาตนเองและวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
- Up-skill & Re-skill: ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะศาสตร์ด้านการโค้ช (Coaching), จิตวิทยาการให้คำปรึกษา, และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการนิเทศ
- ทำวิจัยปฏิบัติการ (Action Research): ทำวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบและนวัตกรรมการนิเทศการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และเผยแพร่ผลงานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาชีพ
- สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้: เข้าร่วมการประชุม สัมมนา และสร้างเครือข่ายกับศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices)
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยวิสัยทัศน์ หลักการ และแนวทางที่ชัดเจน ประกอบกับความมุ่งมั่นทุ่มเท จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ศึกษานิเทศก์ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขอให้ท่านจัดทำเอกสารด้วยความมั่นใจและแสดงตัวตนของท่านออกมาให้ดีที่สุดครับ ขอให้โชคดีครับ
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
เอกสารเพิ่มเติม
ว 5/68 หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกฯ ศึกษานิเทศก์
https://docs.google.com/document/d/1N-BpfG9Bwvx9hO7dTHCuFTAcxp2d8XSdOnJ5GdeK7RQ/edit?usp=sharing
Comments
Powered by Facebook Comments