Digital Learning Classroom
การพัฒนาผู้เรียนบทความวิทยฐานะเชี่ยวชาญหลักการและแนวคิด

การวิเคราะห์มาตรฐานความรู้ครูปฐมวัย ฉบับ พ.ศ. 2568: มาตรฐานที่ 6 ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัว

แชร์เรื่องนี้

การวิเคราะห์มาตรฐานความรู้ครูปฐมวัย ฉบับ พ.ศ. 2568: มาตรฐานที่ 6 ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัว

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 


__________________________________

ส่วนที่ 1: บทนำ – นิยามใหม่ของครูปฐมวัยในฐานะผู้จัดการระบบนิเวศ

1.1 บริบทใหม่ของมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568

การประกาศใช้ “ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 1 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย ข้อบังคับนี้มีเป้าประสงค์ชัดเจนในการยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยให้มี “สมรรถนะทางวิชาชีพที่ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน” 3

มาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัยฉบับใหม่นี้ กำหนดมาตรฐานหลักไว้ 3 ด้าน ได้แก่ 1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3. มาตรฐานการปฏิบัติตน 3 ในบรรดามาตรฐานความรู้ทั้งหมดที่กำหนดไว้ “มาตรฐานลำดับที่ 6: ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัวที่เกี่ยวข้อง” นับเป็นมาตรฐานที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการทำงานของครูปฐมวัยมากที่สุด

รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบของมาตรฐานที่ 6 อย่างเจาะลึก โดยบูรณาการเข้ากับมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพที่เกี่ยวข้อง (ข้อ 1.2.3) เพื่อแสดงให้เห็นว่า ข้อบังคับคุรุสภา พ.ศ. 2568 กำลังนิยามบทบาทของครูปฐมวัยใหม่ จากเดิมที่เป็น “ผู้สอน” (Instructor) หรือ “ผู้จัดประสบการณ์” ภายในห้องเรียน สู่การเป็น “ผู้จัดการระบบนิเวศ” (Ecosystem Manager) หรือ “ผู้ประสานงานระบบ” (System Coordinator) ที่ต้องทำงานเชิงรุกกับสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเด็ก

1.2 ความจำเป็นเชิงทฤษฎี: ทำไม “ระบบนิเวศ” จึงสำคัญ

แนวคิดของมาตรฐานที่ 6 สอดคล้องอย่างยิ่งกับทฤษฎีระบบนิเวศ (Ecological Systems Theory) ซึ่งระบุว่าพัฒนาการของมนุษย์ไม่สามารถแยกขาดออกจากบริบทหรือสภาพแวดล้อมที่ห่อหุ้มตัวเด็กได้ การพัฒนาเด็กปฐมวัยจึงเป็น “มิติเชิงนิเวศ” (Ecological Dimension) 4 ที่การแทรกแซงหรือส่งเสริมพัฒนาการใดๆ จะต้องพิจารณาองค์รวมทั้งหมด ไม่ใช่เพียงการมุ่งเน้นที่ตัวเด็กแต่เพียงฝ่ายเดียว

ระบบนิเวศรอบตัวที่ใกล้ชิดที่สุดอย่าง “บ้าน” (ครอบครัว) และ “ชุมชน” คือปัจจัยชี้ขาดในการสร้าง “สุขภาวะ” (Well-being) ของเด็ก 5 สภาพแวดล้อมในชุมชน เช่น การเป็นชุมชนที่ปลอดภัย ปลอดบุหรี่ หรือมีแหล่งอาหารที่มีโภชนาการดี 6 ล้วนส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็ก ดังนั้น การที่ครูปฐมวัยจะพัฒนาเด็กให้เต็มตามศักยภาพได้นั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องมีความรู้และสมรรถนะในการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และทำงานร่วมกับระบบนิเวศเหล่านี้

1.3 ถอดรหัสมาตรฐานที่ 6: การบูรณาการ “ความรู้”, “สมรรถนะ” และ “ประสบการณ์”

ความลุ่มลึกของข้อบังคับฉบับใหม่นี้ คือการออกแบบให้มาตรฐานความรู้ (ข้อ 6), มาตรฐานการปฏิบัติงาน (ที่เน้นความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน 3), และมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ (ข้อ 1.2.3) ทำงานประสานกันอย่างเป็นเนื้อเดียว มาตรฐานที่ 6 จึงไม่ได้เป็นเพียงองค์ความรู้ที่ต้อง “ท่องจำ” แต่เป็นกลไกที่ต้อง “ปฏิบัติ” โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือประโยชน์สูงสุดของเด็ก 8

กล่าวคือ ครูปฐมวัยต้อง:

  1. “รู้” (สาระความรู้ ข้อ 6.1): ต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าระบบนิเวศ (กฎหมาย, สื่อ, ครอบครัว, ชุมชน) ส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างไร
  2. “ทำได้” (สมรรถนะ ข้อ 6.2): ต้องมีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์, การใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก, และการสร้างความตระหนักรู้ด้านสื่อดิจิทัล
  3. “ปฏิบัติจริง” (ประสบการณ์วิชาชีพ ข้อ 1.2.3): ต้องสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะข้างต้นในสถานการณ์จริง ผ่านการสื่อสารเชิงบวก, การสร้างเครือข่ายสหวิชาชีพ, และการประเมินผลความร่วมมืออย่างเป็นระบบ

ตารางที่ 1 ต่อไปนี้ จะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง (Roadmap) ของรายงานฉบับนี้ โดยจะสังเคราะห์ให้เห็นว่าองค์ประกอบย่อยของมาตรฐานแต่ละส่วน สอดคล้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในระบบนิเวศของเด็กปฐมวัยอย่างไร

ตารางที่ 1: การสังเคราะห์มาตรฐาน “ระบบนิเวศ” (ข้อ 6) และ “ประสบการณ์วิชาชีพ” (ข้อ 1.2.3)

องค์ประกอบระบบนิเวศ (Ecosystem Component)สาระความรู้ (ข้อ 6.1) (ครูต้อง “รู้อะไร”)สมรรถนะ (ข้อ 6.2) (ครูต้อง “ทำอะไรได้”)มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ (ข้อ 1.2.3) (ครูต้อง “ปฏิบัติจริงอย่างไร”)
1. ครอบครัวและผู้ปกครอง– ผลกระทบของครอบครัวต่อพัฒนาการ
– ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง
– สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับครอบครัว– ให้ความรู้ผู้ปกครองเกี่ยวกับพัฒนาการ
– ใช้วิธีการสื่อสารเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ
– ประสานความร่วมมือในการวางแผนและแก้ปัญหา
2. ชุมชนและสังคม– ผลกระทบของชุมชนต่อสุขภาวะ 5
– ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชน
– สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับชุมชน– สร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือ (บ้าน-โรงเรียน-ชุมชน)
3. กฎหมายและนโยบาย– กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย (เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 9, พ.ร.บ. พัฒนาเด็กปฐมวัย 10)– ดูแล, พัฒนา, ปกป้อง, และคุ้มครองสิทธิเด็กปฐมวัยตามที่กฎหมายกำหนด– (ปฏิบัติการคุ้มครองสิทธิเด็กในสถานพัฒนาฯ)
– ประสานความร่วมมือเพื่อผลักดันนโยบายท้องถิ่น 11
4. สื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล– ผลกระทบของสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลต่อเด็ก 12– สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนในการใช้สื่ออย่างรับผิดชอบ 13– ให้ความรู้และคำแนะนำผู้ปกครองในการใช้สื่อดิจิทัล
5. สหวิชาชีพและหน่วยงาน (สาธารณสุข, นักจิตวิทยา ฯลฯ)– บทบาทของหน่วยงานสาธารณสุขและเครือข่ายสหวิชาชีพ [3, 14]– สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง– สร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือกับเครือข่ายสหวิชาชีพ
– ประสานความร่วมมือในการวางแผน (เช่น ส่งต่อ, แก้ปัญหา)

ส่วนที่ 2: การวิเคราะห์เชิงลึก “สาระความรู้” (ข้อ 6.1) – รากฐานความเข้าใจระบบนิเวศ

ส่วนนี้จะวิเคราะห์องค์ความรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ครูปฐมวัย “ต้องมี” เพื่อใช้เป็นรากฐานในการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และแทรกแซงระบบนิเวศที่ซับซ้อนรอบตัวเด็ก การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานข้อ 6.1 กำลังเปลี่ยนครูปฐมวัยจาก “ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน” (Pedagogical Expert) ไปสู่ “ผู้เชี่ยวชาญด้านบริบท” (Contextual Expert)

2.1 ระบบนิเวศรอบตัวที่ส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ (ข้อ 6.1.1)

สาระความรู้ส่วนนี้กำหนดให้ครูต้องเข้าใจระบบนิเวศจุลภาค (Microsystem) ที่สัมผัสกับเด็กโดยตรง

  • ความรู้เกี่ยวกับครอบครัวและชุมชน: ครูต้องมีความรู้ความเข้าใจว่าบริบทของ “บ้าน” และ “ชุมชน” ไม่ใช่เพียงสถานที่อยู่อาศัย แต่เป็นปัจจัยกำหนดสุขภาวะของเด็ก 5 ครูต้องมีความสามารถในการประเมินปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยส่งเสริมในชุมชน เช่น ภาวะโภชนาการ, ความปลอดภัยของพื้นที่, หรือการเข้าถึงบริการสาธารณสุข 11
  • ความรู้เกี่ยวกับระบบสาธารณสุขและสหวิชาชีพ: มาตรฐานใหม่นี้ระบุชัดเจนว่าครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับ “เครือข่ายสหวิชาชีพ” 3 ครูต้องรู้ว่ามีวิชาชีพใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก เช่น นักจิตวิทยาเด็ก 15, นักกิจกรรมบำบัด 14, และบุคลากรสาธารณสุขชุมชน (เช่น อสม., รพ.สต.) 11 ยิ่งไปกว่านั้น ครูต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของแต่ละวิชาชีพ (เช่น นักกิจกรรมบำบัดสามารถประเมิน “ความพร้อมก่อนวัยเรียน” 14) เพื่อให้สามารถคัดกรอง, ให้คำแนะนำผู้ปกครอง, และส่งต่อเด็กได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

2.2 กฎหมาย, นโยบาย, สื่อ, และเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เกี่ยวข้อง (ข้อ 6.1.2)

นี่คือองค์ความรู้ใหม่ที่ถูกเน้นย้ำอย่างชัดเจนในมาตรฐาน พ.ศ. 2568 ซึ่งสะท้อนความท้าทายของโลกยุคปัจจุบัน และยกระดับครูปฐมวัยให้เป็นผู้ปฏิบัติงานที่รอบรู้ด้านกฎหมายและเทคโนโลยี

ความรู้ด้านกฎหมายและนโยบาย (The Legal Framework):

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546: นี่คือเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการทำงานของครู ครู “ต้องรู้” คำจำกัดความทางกฎหมายของ “การเลี้ยงดูโดยมิชอบ” และ “ทารุณกรรม” 9 ความรู้นี้เป็นรากฐานสำคัญในการปฏิบัติสมรรถนะ “การปกป้องสิทธิ” (ข้อ 6.2.2) ประเด็นสำคัญคือ พ.ร.บ. นี้ ตีความคำว่า “ผู้ปกครอง” รวมถึง “บุคคลอื่นซึ่งรับเด็กไว้ในความอุปการะเลี้ยงดู” 9 ซึ่งหมายความว่าในขณะที่เด็กอยู่ในสถานพัฒนาฯ ครูมีสถานะและหน้าที่ทางกฎหมายในการดูแลและป้องกันไม่ให้เด็กได้รับอันตราย 9
  • พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562: ครูต้องรู้ว่ากฎหมายนี้กำหนดให้ “ผู้ดูแลเด็กปฐมวัย” (ผู้ปกครอง) และ “สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย” (โรงเรียน/ศูนย์ฯ) มี “ภารกิจร่วมกัน” ในการพัฒนาเด็ก 10 กฎหมายนี้จึงเป็นฐานทางกฎหมายที่สนับสนุนสมรรถนะ “การสร้างการมีส่วนร่วม” (ข้อ 6.1.3) และให้อำนาจครูในการทำงานเชิงรุกกับผู้ปกครอง
  • นโยบายระดับชาติ: ครูต้องรู้ทิศทางของนโยบายชาติ โดยเฉพาะ “แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564 – 2570” 8 ซึ่งเป็นแผนแม่บทที่เน้น “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” 8 และการบูรณาการการทำงานของ 4 กระทรวงหลัก (สาธารณสุข, พัฒนาสังคมฯ, มหาดไทย, ศึกษาธิการ) 8 การที่ครูมีความรู้นี้ จะทำให้สามารถออกแบบการทำงานในระดับสถานพัฒนาฯ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติได้ 19

ความรู้ด้านสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล (The Digital Ecosystem):

  • ครูต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงผลกระทบของสื่อดิจิทัล ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ โดยเฉพาะผลกระทบต่อ “องค์ประกอบการเรียนรู้ทางสังคม” และ “การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” ของเด็กปฐมวัย 12
  • ครูต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก “ผู้สอนหน้าชั้น” ไปสู่ “ผู้อำนวยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้” (Facilitator) 13 และต้องมีความรู้เชิงเทคนิคในการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม เช่น การใช้แนวคิด “7 ใช้” (ใช้ให้เหมาะกับวัย, ใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ฯลฯ) 13
  • ครูต้องมีจุดยืนทางวิชาชีพที่ชัดเจนว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด “ไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ สามารถมาแทนที่ครูได้” 21 แต่ครูในยุคใหม่ต้องมีความรู้ในการ “ใช้เทคโนโลยีแบบบูรณาการ” 21 เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้

2.3 การมีส่วนร่วมของครอบครัว, ชุมชน, และสังคม (ข้อ 6.1.3)

สาระความรู้ในข้อนี้ คือบทสรุปที่เชื่อมโยงความรู้จากข้อ 6.1.1 และ 6.1.2 เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ครูต้องมีความรู้ความเข้าใจใน “รูปแบบ” (Models) ของการมีส่วนร่วม ว่าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ “แจ้ง” ผู้ปกครองให้ทราบ (Informing) หรือการประชุมผู้ปกครอง 22 แต่ต้องมุ่งไปสู่การสร้าง “หุ้นส่วน” (Partnership) ตามที่ระบุไว้ในแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย 8 และมาตรฐานการปฏิบัติงาน 7 ซึ่งหมายถึงการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและรับผิดชอบต่อพัฒนาการของเด็กร่วมกัน

การวิเคราะห์สาระความรู้ในส่วนที่ 2 นี้ ชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานใหม่ได้สร้าง “ความตึงเครียดเชิงวิชาชีพ” (Professional Tension) ที่ครูปฐมวัยต้องบริหารจัดการ กล่าวคือ ครูต้องมีความรู้ในการ “ใช้สื่อดิจิทัล” 13 เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีความรู้ “ด้านกฎหมาย” 9 เพื่อ “คุ้มครอง” เด็กจากอันตราย ซึ่งสื่อดิจิทัลก็เป็นหนึ่งในความเสี่ยงนั้น สมรรถนะที่แท้จริงของครูจึงไม่ได้อยู่ที่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่คือความสามารถในการ “บริหารจัดการความเสี่ยง” (Risk Management) และ “การสร้างสมดุล” (Balancing) ระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองเด็ก โดยใช้ความรู้ที่รอบด้านจากข้อ 6.1 เป็นฐานในการตัดสินใจ


ส่วนที่ 3: การวิเคราะห์ “สมรรถนะ” (ข้อ 6.2) – การประยุกต์ใช้ความรู้สู่การปฏิบัติ

ในส่วนนี้ จะเป็นการวิเคราะห์ “ความสามารถเชิงปฏิบัติ” (Competencies) ที่ครูปฐมวัยต้องแสดงออกให้เห็น โดยการประยุกต์ใช้ฐานความรู้จากส่วนที่ 2 มาตรฐานข้อ 6.2 นี้ กำหนดให้ครูต้องมี “สมรรถนะการทำงานเชิงรุก” (Proactive Competencies) อย่างชัดเจน ครูไม่สามารถรอให้ปัญหาเกิดขึ้น หรือรอให้ผู้ปกครองเดินเข้ามาปรึกษาอีกต่อไป

3.1 สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับครอบครัว, ชุมชน, สังคม, และหน่วยงาน (ข้อ 6.2.1)

นี่คือสมรรถนะหลักในการ “สร้างเครือข่าย” (Network Building) ครูต้องสามารถนำความรู้เรื่องความสำคัญของระบบนิเวศ (จากข้อ 6.1) มาปฏิบัติการจริงในการ “สร้างเครือข่ายความร่วมมือ” 3

ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: สมรรถนะนี้ไม่ใช่การทำงานในเอกสาร แต่คือการลงมือปฏิบัติ ครูต้องสามารถออกแบบและดำเนิน “โครงการความร่วมมือ” กับชุมชน เช่น การประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือผู้นำชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมจิตอาสาทำความสะอาดพื้นที่ 23 หรือการปฏิบัติการในระดับที่สูงขึ้น เช่น การสร้าง “ระบบฐานข้อมูลปฐมวัยและสื่อสารสนเทศ” ร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขชุมชน เพื่อเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กในพื้นที่ 11 สมรรถนะนี้คือการที่ครูต้องก้าวออกไปนอกรั้วโรงเรียนเพื่อสร้างพันธมิตร

3.2 ดูแล, พัฒนา, ปกป้อง, และคุ้มครองสิทธิเด็กปฐมวัย ตามกฎหมายและนโยบาย (ข้อ 6.2.2)

นี่คือสมรรถนะในการ “เป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์” (Child Advocate) ซึ่งเป็นบทบาทที่ท้าทายอย่างยิ่ง ครูต้องสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จาก พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 9 และ พ.ร.บ. พัฒนาเด็กปฐมวัย 10 ในการปฏิบัติงานประจำวัน

สมรรถนะนี้จะแสดงออกชัดเจนที่สุดเมื่อครูต้อง “ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง และ/หรือ สหวิชาชีพ” 7 เพื่อดูแลเด็กที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง

ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: เมื่อครูสังเกตเห็นเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ 16 หรือมีความเสี่ยงด้านพฤติกรรม สังคม อารมณ์ 14 สมรรถนะของครูคือการไม่พยายาม “แก้ปัญหาเอง” แต่ต้องสามารถ:

  1. ประเมินเบื้องต้น: โดยใช้ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก 15
  2. สื่อสารกับผู้ปกครอง: (ตามมาตรฐานประสบการณ์ 1.2.3 ก)
  3. ส่งต่อและประสานงาน: กับผู้เชี่ยวชาญในเครือข่าย เช่น นักกิจกรรมบำบัด 14 หรือนักจิตวิทยา 15 เพื่อวางแผนการดูแลและพัฒนาเด็กร่วมกัน

สมรรถนะข้อ 6.2.2 นี้ ถือเป็นสมรรถนะที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (Power Dynamic) แบบดั้งเดิม ในบริบททางสังคมที่การแทรกแซงเรื่องในครอบครัวถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างไรก็ตาม มาตรฐาน 6.2.2 และกฎหมาย 9 ได้กำหนดให้การคุ้มครองเด็กเป็น “หน้าที่ตามกฎหมาย” (Legal Duty) ของครู สมรรถนะนี้จึงไม่เพียงต้องการทักษะการปฏิบัติ แต่ยังต้องการ “ความกล้าหาญเชิงจริยธรรม” (Ethical Courage) และจำเป็นต้องอาศัย “เครือข่ายสหวิชาชีพ” 7 เป็นกลไกสนับสนุนที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ครูไม่ถูกโดดเดี่ยวในกระบวนการปกป้องเด็ก

3.3 สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนในการใช้สื่อดิจิทัล (ข้อ 6.2.3)

นี่คือสมรรถนะในการ “เป็นผู้นำทางดิจิทัล” (Digital Leader) ของชุมชน สมรรถนะนี้ไม่ได้หมายความว่าครูต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนโค้ด แต่คือการที่ครูสามารถ ให้การศึกษาและแนะนำ (Educate and Guide) ผู้ปกครองและชุมชน ให้ใช้สื่อดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างสรรค์ 7

ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: ครูต้องสามารถจัด “การประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้ปกครอง” (Parent Workshop) เกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลที่บ้าน โดยใช้เนื้อหาที่ผ่านการวิเคราะห์แล้ว เช่น “7 ใช้” 20 หรือ “4 ข้อท่องในใจครูปฐมวัย” 13 เพื่อสร้าง “แนวปฏิบัติร่วมกัน” (Common Guideline) ระหว่างบ้านและโรงเรียน เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับการปกป้องและส่งเสริมอย่างสอดคล้องกันทั้งสองระบบนิเวศ


ส่วนที่ 4: การบูรณาการสู่ “มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ” (ข้อ 1.2.3) – กลไกขับเคลื่อนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

ในขณะที่ส่วนที่ 2 คือ “ความรู้” และส่วนที่ 3 คือ “สมรรถนะ” ส่วนที่ 4 นี้ คือ “การปฏิบัติงานจริง” (Performance) ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าครูได้บูรณาการความรู้และสมรรถนะมาใช้ในบริบทจริงของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ข้อ 1.2.3 (ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน) พบว่า ข้อบังคับนี้ได้กำหนด “วงจรการบริหารจัดการเครือข่าย” (Network Management Cycle) ที่ชัดเจนสำหรับครูปฐมวัย

4.1 การให้ความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารเชิงบวก (ข้อ 1.2.3 ก)

นี่คือ “เครื่องมือ” (The Tool) ที่สำคัญที่สุดในการสร้างระบบนิเวศ การปฏิบัติงานของครูต้องแสดงออกถึง “การสื่อสารเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ” 3

  • เทคนิคการปฏิบัติ:
  1. การฟังแบบ Two-way 24: ไม่ใช่เพียงการ “แจ้ง” หรือ “สั่ง” ผู้ปกครอง แต่เป็นการ “รับฟัง” แลกเปลี่ยนมุมมอง 25
  2. การใช้ภาษาเชิงบวก 26: เปลี่ยนจากการ “ฟ้อง” ปัญหาของเด็ก หรือตำหนิผู้ปกครอง 25 ไปเป็นการ “เล่ามุมมองเชิงบวกต่อนักเรียน” 25 และ “ขอความร่วมมือ” เพื่อค้นหาแนวทางแก้ปัญหาด้านพัฒนาการร่วมกัน
  3. การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ 27: ครูต้องสามารถอธิบายเรื่อง “พัฒนาการและการเรียนรู้” ที่ซับซ้อน ให้ผู้ปกครองเข้าใจได้โดยง่าย เพื่อสร้างฐานความเข้าใจที่ตรงกัน

4.2 การสร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือ (ข้อ 1.2.3 ข)

นี่คือ “โครงสร้าง” (The Structure) ของระบบนิเวศ ครูต้องแสดงหลักฐานการปฏิบัติงานที่แสดงถึงการ “สร้างระบบเครือข่าย” ที่เป็นรูปธรรม ระหว่าง “โรงเรียน, บ้าน, ชุมชน, และเครือข่ายสหวิชาชีพ”

  • การปฏิบัติงานที่วัดผลได้:
  • เครือข่ายชุมชน: การมีบันทึกข้อตกลง (MOU) หรือโครงการความร่วมมือกับ อบต./เทศบาล 11, การจัดทำ “ฐานข้อมูลสุขภาพเด็ก” ร่วมกับ อสม. 11
  • เครือข่ายสหวิชาชีพ: การมีระบบการส่งต่อ (Referral System) ที่ชัดเจนไปยังนักจิตวิทยา 15 หรือนักกิจกรรมบำบัด 14 และมีการติดตามผล

4.3 การประสานความร่วมมือในการวางแผนและส่งเสริมพัฒนาการ (ข้อ 1.2.3 ค)

นี่คือ “กระบวนการ” (The Process) ของการทำงานในระบบนิเวศ หลังจาก “สร้างเครือข่าย” (1.2.3 ข) แล้ว ครูต้อง “ใช้เครือข่าย” นั้นในการ “วางแผนร่วมกัน” (Co-planning)

  • การปฏิบัติงานที่วัดผลได้: การจัดประชุม “ทีมสหวิชาชีพ” (Case Conference) 14 หรือการประชุม “ผู้ปกครอง-ครู-ชุมชน” 11 เพื่อ “วางแผน” พัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล (Individualized Development Plan – IDP) หรือวางแผนพัฒนาชุมชน (Community Action Plan) เพื่อแก้ปัญหาความเสี่ยงในพื้นที่ 11

4.4 การติดตามและประเมินผลการประสานความร่วมมือ (ข้อ 1.2.3 ง)

นี่คือ “การวัดผล” (The Measurement) ของระบบนิเวศ ครูต้องไม่เพียงแต่ “ทำ” แต่ต้อง “ประเมินผล” ความร่วมมือนั้นด้วยว่าส่งผลดีต่อตัวเด็กจริงหรือไม่

  • การปฏิบัติงานที่วัดผลได้: การใช้เครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เช่น “แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม” 11, “การสังเกต, พูดคุย, สัมภาษณ์” ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 11 หรือการตรวจสอบว่า “ฐานข้อมูลสุขภาพ” 11 ที่สร้างขึ้น มีการอัปเดตและนำไปสู่การลดลงของปัญหาพัฒนาการในพื้นที่หรือไม่

การปฏิบัติตามมาตรฐาน 1.2.3 (ก) ถึง (ง) อย่างเป็นระบบนี้เอง ที่ยกระดับบทบาทของครูปฐมวัยไปสู่การเป็น “ผู้สร้างนโยบายท้องถิ่น” (Local Policy Shaper) โดยไม่รู้ตัว เมื่อครู “ติดตามและประเมินผล” (1.2.3 ง) ความร่วมมือ และได้รับ “ข้อมูลเชิงประจักษ์” (Evidence) เกี่ยวกับปัญหาเด็กในชุมชน 11 ข้อมูลนี้สามารถถูกนำไปใช้ “ผลักดันสู่แผน 3 ปีขององค์การบริหารส่วนตำบล” 11 นี่คือจุดที่ทรงพลังที่สุดของมาตรฐานนี้ ครูไม่ได้จบแค่การสอนในห้องเรียน แต่ข้อมูลจากการปฏิบัติงานของครูสามารถกลายเป็น “ยุทธศาสตร์” (Strategy) ของท้องถิ่นได้ นี่คือการยกระดับบทบาทครูสู่การเป็น “ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงในชุมชน” (Community Change Agent) อย่างแท้จริง


ส่วนที่ 5: บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การวิเคราะห์มาตรฐานความรู้ที่ 6 และมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพที่ 1.2.3 ภายใต้ข้อบังคับคุรุสภา พ.ศ. 2568 3 นำไปสู่ข้อสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับวิชาชีพครูปฐมวัยให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

5.1 สรุปคุณลักษณะ “ครูปฐมวัยในฐานะผู้จัดการระบบนิเวศ”

มาตรฐานฉบับใหม่ได้กำหนดคุณลักษณะของ “ครูปฐมวัยสมรรถนะสูง” (High-Competency ECE Teacher) ไว้อย่างชัดเจนว่า ครูไม่ใช่เพียงผู้ใช้หลักสูตร แต่เป็น “ศูนย์กลาง” (Hub) ที่ทำหน้าที่ประสานงานและบูรณาการระบบนิเวศรอบตัวเด็ก โดยเชื่อมโยง 5 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่:

  1. ครอบครัว (ผ่านการสื่อสารเชิงบวก 25)
  2. ชุมชน (ผ่านการสร้างเครือข่าย 11)
  3. ระบบสาธารณสุขและสหวิชาชีพ (ผ่านการประเมินและส่งต่อ 14)
  4. ระบบกฎหมายและนโยบาย (ผ่านการพิทักษ์สิทธิ์ 9 และการขับเคลื่อนนโยบาย 11)
  5. ระบบดิจิทัล (ผ่านการให้ความรู้และสร้างความตระหนัก 13)

สมรรถนะหลักของครูในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ได้มีเพียง “การสอน” (Pedagogy) แต่ได้ขยายรวมถึง “การสื่อสารเชิงบวก” (Positive Communication) 24, “การสร้างเครือข่าย” (Networking) 3, และ “การบริหารจัดการข้อมูล” (Data Management) 11 เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก

5.2 ข้อเสนอแนะสำหรับสถาบันผลิตครู (Pre-Service)

เพื่อให้บัณฑิตครูปฐมวัยรุ่นใหม่มีความพร้อมตามมาตรฐาน พ.ศ. 2568 สถาบันผลิตครูจำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตรอย่างเร่งด่วน 3

  • การปรับปรุงหลักสูตร: ต้องผนวกรายวิชาที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ตามมาตรฐานที่ 6 เข้าเป็นวิชาบังคับ ได้แก่ “กฎหมายสำหรับครูปฐมวัย” (วิเคราะห์ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 2546 9 และ พ.ร.บ. พัฒนาเด็กปฐมวัย 2562 10), “การสื่อสารเชิงบวกและการทำงานกับผู้ปกครอง” 25, และ “การทำงานกับทีมสหวิชาชีพ” (ทำความเข้าใจบทบาทของนักจิตวิทยา 15 และนักกิจกรรมบำบัด 14)
  • การปฏิรูปการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ: การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ 3 จะต้องไม่จำกัดอยู่แค่ “การฝึกสอน” ในห้องเรียน แต่ต้องกำหนดสมรรถนะให้นักศึกษาต้อง “สร้างเครือข่ายชุมชน” 11 และ “ประสานงานสหวิชาชีพ” 14 เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผล

5.3 ข้อเสนอแนะสำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และครูประจำการ (In-Service)

สำหรับครูประจำการและผู้บริหารสถานศึกษา การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจัง

  • การพัฒนาวิชาชีพ (Professional Development): หน่วยงานต้นสังกัดและคุรุสภาต้องจัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับมาตรฐานใหม่นี้ 3 โดยเน้นทักษะที่นำไปใช้ได้ทันที เช่น เทคนิคการสื่อสารเชิงบวก 25 และแนวทางการให้คำแนะนำผู้ปกครองเรื่องสื่อดิจิทัล 13
  • การสนับสนุนเชิงโครงสร้าง: ผู้บริหารสถานศึกษาต้อง “ปลดล็อก” ครู เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในฐานะผู้จัดการระบบนิเวศได้จริง โดยการจัดสรร “เวลา” (เช่น ลดภาระงานเอกสารที่ไม่จำเป็น) และ “ทรัพยากร” ให้ครูสามารถออกไปสร้างเครือข่ายชุมชน 11 และเข้าร่วมการประชุมทีมสหวิชาชีพ 14 โดยไม่กระทบต่อการจัดประสบการณ์ในห้องเรียน
  • การสร้างวัฒนธรรมองค์กร: สถานพัฒนาฯ ต้องสร้าง “สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย” (Safe Environment) ให้ครูกล้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สิทธิ์” ของเด็ก (สมรรถนะ 6.2.2) โดยมีทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของหน่วยงานให้การสนับสนุนเมื่อเกิดกรณีความขัดแย้ง

5.4 บทสรุปทิ้งท้าย: จาก “ผู้ปฏิบัติการ” สู่ “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง”

โดยสรุป มาตรฐานที่ 6 และมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพที่ 1.2.3 ในข้อบังคับคุรุสภา พ.ศ. 2568 3 ไม่ได้เป็นการเพิ่ม “ภาระงาน” ให้กับครูปฐมวัย แต่เป็นการ “เพิ่มพลัง” (Empowerment) และยกระดับวิชาชีพครูปฐมวัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ครูปฐมวัยไม่ใช่เพียงผู้ปฏิบัติการในห้องเรียน แต่คือบุคลากรวิชาชีพด่านหน้าที่สำคัญที่สุด ในการบูรณาการทุกระบบของสังคมเพื่อสร้างรากฐานทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และเป็น “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” ในระดับชุมชนและสังคมอย่างแท้จริง

Works cited

  1. ราชกิจจานุเบกษา (22 สิงหาคม 2568) เผยแพร่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 – 366 Q-KIDS, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/news-2140/
  2. ราชกิจจานุเบกษา (22 สิงหาคม 2568) เผยแพร่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย …, accessed November 5, 2025, https://obectv.tv/news_detail/52
  3. คุรุสภาชวนศึกษากฏหมายมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย 2568 ด่วน! “อมลวรรณ” เผยข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานว… – วิทยุศึกษา, accessed November 5, 2025, http://www.moeradiothai.net/news/14/7519
  4. “ประสาทวิทยาศาสตร์พัฒนาการเพื่อการพัฒนาและคุ้มครองเด็ก” “การพัฒนาเด็กและการแทรกแซงในมิติเชิงนิเวศ”, accessed November 5, 2025, https://cf.mahidol.ac.th/th/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99/
  5. “นิเวศสื่อสุขภาวะ คือ การจัดระบบนิเวศที่เอื, accessed November 5, 2025, https://dol.thaihealth.or.th/Media/Pdfview/72f02145-8569-ef11-810a-00155d1aab83
  6. พัฒนาการเด็กปฐมวัยผ่านการเรียนรู้จากแปลงผัก นิเวศสื่อสุขภาวะใกล้ๆตัว, accessed November 5, 2025, https://www.thaihealth.or.th/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99/
  7. “บอร์ดคุรุสภา”เห็นชอบร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย “คุรุสภา” ผลักดันร่างมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการจัดการศึกษายุคปัจจุบัน – biz2plus.com, accessed November 5, 2025, https://www.biz2plus.com/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-185656-%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2.html
  8. แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๗๐ – ONEC Backoffice for Administrator, accessed November 5, 2025, http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1903-file.pdf
  9. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ, accessed November 5, 2025, https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/1638170189326-511345003.pdf
  10. พระราชบัญญัติ การ พัฒนา เด็ก ปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๒ – พระราชบัญญัติ สมเด็จ …, accessed November 5, 2025, https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/056/T_0005.PDF
  11. แนวทางการสร้างเครือข่ายชุมชนในการมีส่วนร่วมดูแลเด็กปฐมวัยอย่างยั่งยืน A Guideline to Start Sustainable Community Network to Participate in Eaely Childcare – socadmin | Thammasat University – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, accessed November 5, 2025, https://socadmin.tu.ac.th/uploads/socadmin/file_research/research_Split/20.pdf
  12. รูปแบบการใช้สื่อดิจิทัลกับการเรียนรู้ทางสังคมและการเสริมสร้าง – มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, accessed November 5, 2025, https://libdoc.dpu.ac.th/thesis/Punnarat.Pin.pdf
  13. ครูปฐมวัยกับบทบาทใหม่ ต้องสอนอย่างไร ในยุคที่สื่อดิจิทัล มาแรง!! – สำนักการศึกษา เทศบาลนครนนทบุรี, accessed November 5, 2025, https://education.nakornnont.go.th/news_exchange/detail/28
  14. กิจกรรมบำบัดเพื่อการพัฒนาเด็กและครูปฐมวัย – GotoKnow, accessed November 5, 2025, https://www.gotoknow.org/posts/674473
  15. จิตวิทยาเด็ก อาวุธลับของครูปฐมวัย – Aksorn.com, accessed November 5, 2025, https://www.aksorn.com/child-psychology
  16. การศึกษาบทบาทของครูในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของเด็กวัยอนุบาล ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานการประถมศึกจังหวัดนนทบุรี – Chula Digital Collections, accessed November 5, 2025, https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/23728/
  17. แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2564 – 2570 – FlipHTML5, accessed November 5, 2025, https://fliphtml5.com/wbpvz/fsba/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8.2564_-_2570/
  18. แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2564-2570 – Flip eBook Pages 1-50 | AnyFlip, accessed November 5, 2025, https://anyflip.com/sfjs/lqym/basic
  19. ยุทธศาสตร์พ.ศ. 2562 – 2565, accessed November 5, 2025, https://cf.mahidol.ac.th/th/wp-content/uploads/2019/05/strategy2562.pdf
  20. ครูปฐมวัยกับบทบาทใหม่ ต้องสอนอย่างไร ในยุคที่สื่อดิจิทัล มาแรง!! – Aksorn.com, accessed November 5, 2025, https://www.aksorn.com/al-kindergartenwithdigital-education
  21. ความท้าทายสาหรับครูปฐมวัยกับการเปลี่ยนแปลง, accessed November 5, 2025, https://www.senate.go.th/commission_meeting/readfile/85934/18154/2092/19590
  22. ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 – ครูเชียงราย, accessed November 5, 2025, https://www.kruchiangrai.net/2025/08/25/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2-%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89-4/
  23. โครงการพัฒนาคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลเนินสว่าง, accessed November 5, 2025, https://www.noensawang.go.th/post/000000554-b37b11611a322e11b4caad4786c1a200.pdf
  24. เทคนิคการสื่อสารกับผู้ปกครอง (Communication Skill), accessed November 5, 2025, https://th.rajanukul.go.th/_admin/file-download/D0000075.pdf
  25. 6 เคล็ดลับ เสริมเทคนิคสื่อสารกับผู้ปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ – Learn Education, accessed November 5, 2025, https://www.learneducation.co.th/6-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%B7/
  26. เคล็ดลับในการสื่อสารเชิงบวก – Child Impact, accessed November 5, 2025, https://childimpact.co/learning/positive-communication-house
  27. การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองกับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย – 366 Q-KIDS, accessed November 5, 2025, https://www.366q-kids.com/knowledge/articles-knowledge-1550/
  28. การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองกับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย, accessed November 5, 2025, https://ecd.onec.go.th/knowledge/articles/9092/

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!