Digital Learning Classroom
บทความศึกษานิเทศก์

การปฏิรูปวิชาชีพศึกษานิเทศก์ไทย: บทบาทใหม่เพื่ออนาคตการศึกษา

แชร์เรื่องนี้

การปฏิรูปวิชาชีพศึกษานิเทศก์ไทย: บทบาทใหม่เพื่ออนาคตการศึกษา

ร่วมสร้างอนาคตการศึกษาไทย ด้วยบทบาทใหม่ของศึกษานิเทศก์

การศึกษาไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการยกระดับคุณภาพ โดยเฉพาะบทบาทของศึกษานิเทศก์ที่เคยเป็น “ครูของครู” แต่ปัจจุบันกลับสูญเสียความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากครูผู้สอน

ปัญหาปัจจุบันของศึกษานิเทศก์

การเปลี่ยนแปลงของบทบาท – เดิมศึกษานิเทศก์เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญสูง ที่ได้รับความเคารพและเข้าโรงเรียนเพื่อให้คำแนะนำการเรียนการสอน แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่มาตรวจงาน ติดตามโครงการ มากกว่าการนิเทศที่แท้จริง

ปัญหาโครงสร้างและภาระงาน – การปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงทำให้หน่วยศึกษานิเทศต้องรับภาระงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานนิเทศ ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าโรงเรียนและนิเทศจริงๆ ได้

การขาดแคลนบุคลากร – ปัจจุบันขาดศึกษานิเทศก์อยู่จำนวนมาก โดยมีตำแหน่งว่างอยู่ประมาณ 1,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ

แนวทางการปฏิรูปศึกษานิเทศก์ยุคใหม่

รองศาสตราจารย์ ดร.ประวิทย์ เอราวัณ เลขาธิการสภาการศึกษา ได้นำเสนอแนวทางการปฏิรูปที่ครอบคลุม ดังนี้

ทักษะใหม่ที่จำเป็น

ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่ต้องมี 4 ทักษะหลัก:

  1. ความสามารถทางวิชาการสูง
  2. ทักษะการวิจัยและสร้างองค์ความรู้ใหม่
  3. ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
  4. ทักษะภาษาอังกฤษที่ดี เพื่อเชื่อมโยงกับองค์ความรู้ทั่วโลก

การเปิดช่องทางใหม่สู่วิชาชีพ

แทร็ก 1: เส้นทางจากครู (เดิม) – ครูที่มีความเชี่ยวชาญสูงสามารถเข้าสู่ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ได้ผ่านระบบ Hunting System แทนการสอบแข่งขัน

แทร็ก 2: เส้นทางใหม่สำหรับผู้มีความรู้ความสามารถสูง – เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าสู่วิชาชีพ

คุณสมบัติสำหรับแทร็กใหม่

  • จบการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก
  • มีประสบการณ์การจัดการเรียนรู้หรือการทำงานเกี่ยวกับการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี
  • ความสามารถทางภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า B2
  • มีทักษะดิจิทัล
  • มีงานวิจัยตีพิมพ์ในระดับชาติหรือนานาชาติ

ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

  • ปริญญาโท: เงินเดือนเริ่มต้น 32,000 บาท
  • ปริญญาเอก: เงินเดือนเริ่มต้น 35,000 บาท
  • มีระยะเวลาทดลองงาน 1-2 ปี ก่อนได้รับวิทยฐานะ
  • สามารถเลือกสมัครได้ตามเขตพื้นที่ที่ต้องการ

การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่

ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่จะไม่ใช่ผู้ไปอบรมครู แต่จะเป็น:

  • นักวิจัยและพัฒนา ที่สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน
  • ที่ปรึกษาและเพื่อนคู่คิด ของครูผู้สอน
  • ผู้เชื่อมโยงความรู้ จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติในห้องเรียน

โครงการใหญ่เพื่ออนาคตการศึกษาไทย

ระบบติดตามพัฒนาการเด็ก (Tracking System)

สภาการศึกษากำลังพัฒนาระบบติดตามเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อ:

  • ป้องกันการออกกลางคันของนักเรียน (Zero Drop Out)
  • สร้าง Portfolio พัฒนาการของเด็กแต่ละคน
  • ช่วยให้การพัฒนาเด็กเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

การยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ

เน้น 2 เรื่องหลัก:

  1. การพัฒนาภาษาอังกฤษของคนไทย
  2. การส่งเสริม STEM Education

โครงการผลิตครู English Program

แผนการผลิตครูที่สามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษได้ทุกวิชา เพื่อ:

  • ขยายห้องเรียน EP ไปสู่ 50% ของโรงเรียนในประเทศ
  • ให้เด็กจนได้เรียน English Program โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
  • สร้างครูระบบปิดประมาณ 5,000 คน

การดูแลเด็กหัวกะทิ

จากข้อมูล PISA พบว่าเด็กไทยประมาณ 15% มีศักยภาพสูง แต่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงมีแผน:

  • สร้างระบบคัดเลือกเด็กเก่งเข้าโรงเรียนที่มีศักยภาพสูง
  • ใช้ผล O-NET เป็นเกณฑ์การคัดเลือก
  • ให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่อยู่ใน 15% แรกของประเทศ

การปฏิรูปวิชาชีพศึกษานิเทศก์ไทย: บทบาทใหม่เพื่ออนาคตการศึกษา

การศึกษาไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องของวิชาชีพศึกษานิเทศก์ที่เคยมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ครูของครู” แต่ในยุคปัจจุบันกลับพบว่าวิชาชีพนี้กำลังประสบปัญหาหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวม

ปัญหาและความท้าทายของศึกษานิเทศก์ในปัจจุบัน

เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบของบุคลากรในวิชาชีพครู จะพบว่ามี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ครูผู้สอน ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ ในอดีตศึกษานิเทศก์เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีความสามารถสูงในการชี้แนะและแนะนำการเรียนการสอน รวมถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ค่านิยมของครูเองก็ไม่ค่อยอยากจะเป็นศึกษานิเทศก์เท่าไร่ เนื่องจากหลายประการ ประการแรกคือภาระงานของศึกษานิเทศก์ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงทำให้โครงสร้างของหน่วยศึกษานิเทศเปลี่ยนแปลงไป งานที่ปฏิบัติไม่ใช่งานศึกษานิเทศที่แท้จริง แต่กลายเป็นงานโครงการต่างๆ งานรายงานนโยบาย ทำให้ศึกษานิเทศก์ไม่ได้เข้าโรงเรียนและไม่ได้นิเทศจริง

สาเหตุไม่ได้มาจากตัวศึกษานิเทศก์ทั้งหมด แต่เป็นระบบที่ทำให้วิชาชีพถอยถดลง ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ปัจจุบันมีตำแหน่งศึกษานิเทศก์ว่างอยู่ประมาณ 1,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ

แนวทางการปฏิรูปศึกษานิเทศก์ยุคใหม่

จากการศึกษาและวิจัยทั้งในด้านการทบทวนบทบาทศึกษานิเทศก์แนวใหม่จากหลักฐานทางวิชาการ และการวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับบทบาทศึกษานิเทศก์ที่แท้จริง พบว่าศึกษานิเทศก์ยุคใหม่หากจะได้รับการยอมรับและทำงานที่ตรงกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน จะต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการหลัก

ประการแรกคือ มีความสามารถทางวิชาการ 

ประการที่สองคือ มีทักษะการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือทักษะการวิจัย 

ประการที่สามคือ มีทักษะในการค้นหาความรู้ต่างๆ และใช้เทคโนโลยีได้ คือทักษะทางเทคโนโลยีดิจิทัล 

ประการที่สี่คือ มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีที่จะสามารถเชื่อมโยงกับองค์ความรู้ทั่วโลกได้

การสร้างเส้นทางใหม่สู่วิชาชีพศึกษานิเทศก์

จากชุดทักษะใหม่ที่กำหนดขึ้น เกิดคำถามต่อมาว่าจะได้คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มาได้อย่างไร หากจำกัดเฉพาะครูเท่านั้น อาจไม่ได้คนที่มีความสามารถครบรอบด้านตามที่ต้องการ ดังนั้นจึงได้สร้างเส้นทางใหม่ของการเข้าสู่วิชาชีพศึกษานิเทศก์

เส้นทางเดิมซึ่งเป็นกระแสหลักยังคงมีอยู่เหมือนเดิม คือการจากครูที่เก่งขึ้นมาเป็นศึกษานิเทศก์ แต่เพิ่มเส้นทางใหม่โดยการรวมนักวิชาการที่เก่งในเรื่องเหล่านี้เข้ามาเลย โดยบรรจุจากความสามารถสูง

สำหรับเส้นทางใหม่นี้ มีคุณสมบัติคือ มีประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาหรือหน่วยงานทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 5 ปี มีประสบการณ์การทำวิจัย การทำงานกับโรงเรียน หรือการพัฒนาการศึกษามาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการเรียนการสอน การพัฒนาคุณภาพการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี

คุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องจบปริญญาโทหรือปริญญาเอก มีความสามารถทางภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า B2 ขึ้นไป สื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีทักษะดิจิทัล และมีงานวิจัยตีพิมพ์ในระดับชาติหรือนานาชาติ

ผลตอบแทนและสวัสดิการ

สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกและบรรจุเป็นศึกษานิเทศก์ หากจบปริญญาโทจะได้เงินเดือนประมาณ 32,000 บาท หากจบปริญญาเอกจะได้ประมาณ 35,000 บาท โดยไม่ได้เริ่มต้นจากขั้นต้นตามปกติ แต่ได้รับการปรับขึ้น 5 ขั้น

มีระบบทดลองงาน โดยหากจบปริญญาโทจะต้องบรรจุเข้ามา 2 ปีในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ที่ยังไม่มีวิทยฐานะ หากจบปริญญาเอกจะต้องเข้ามา 1 ปี หลังจากนั้นจะถูกประเมิน และเมื่อประเมินผ่านจะเข้าสู่วิทยฐานะตามปกติ โดยสามารถเข้าเป็นศึกษานิเทศก์ชำนาญการได้เลย

ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ สามารถเลือกสมัครได้ตามเขตพื้นที่ที่ต้องการ ไม่ต้องมาสมัครรวมกันแล้วค่อยย้าย แต่สามารถไปสมัครได้ตามเขตที่ประกาศรับได้เลย ตามนโยบายพื้นถิ่นของรัฐมนตรี

กระบวนการคัดเลือกแบบใหม่

กระบวนการคัดเลือกจะใช้ระบบ Hunting System คือการไปท่าทามคนที่เก่งและเหมาะสม ไม่ใช่การเปิดรับสมัครแบบมาสอบแข่งขัน วิธีการคัดเลือกจะลงไปทำปฏิบัติการจริงในโรงเรียน เป็นการนิเทศจริง และให้คณะกรรมการทั้งจากเขต ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูที่รับการนิเทศร่วมประเมินว่าคนนี้เหมาะสมหรือไม่

กระบวนการนี้เป็นการให้เกียรติกับผู้ที่จะมาเป็นศึกษานิเทศก์ และเป็นวิธีการที่แตกต่างจากการสอบแข่งขันแบบเดิม ซึ่งจะทำให้ได้คนที่มีความสามารถจริงในการปฏิบัติงาน

การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่

ศึกษานิเทศก์ยุคใหม่จะมีบทบาทที่แตกต่างจากเดิม ไม่ใช่การไปอบรมครู ไม่ใช่การไปพัฒนาครู แต่เป็นการออกแบบกระบวนการต่างๆ นวัตกรรม งานวิจัย เพื่อเอาไปสนับสนุนการทำงานของครู เป็นการทำงานในลักษณะของผู้จัดการ (Manager) ไม่ใช่คนงาน (Worker)

บทบาทใหม่นี้เน้นการผลิตผลงานวิจัย การสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ในห้องเรียนได้จริง มีการวิจัยพัฒนา มีกระบวนการในการทำให้ลงไปสู่ห้องเรียนและไปช่วยครู เป็นการทำงานเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ใครเก่งกว่ากัน

โครงการใหญ่เพื่ออนาคตการศึกษา

นอกจากการปฏิรูปศึกษานิเทศก์แล้ว ยังมีโครงการสำคัญอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการ เช่น การสร้างระบบติดตาม (Tracking System) เด็กตั้งแต่แรกเกิด วันแรกที่คลอดออกมาได้เลข 13 หลัก จะติดตามเด็กและรวบรวมข้อมูลพัฒนาการทุกเรื่องทางด้านร่างกาย สังคม จิตใจ ตามกรอบของ UNICEF

เมื่อเด็กอายุ 2 ขวบเข้าสู่โรงเรียน เข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จะเก็บข้อมูลการพัฒนาต่อไป และส่งข้อมูลต่อเข้าสู่การศึกษาขั้นพื้นฐานจนผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาหลายเรื่อง เช่น เรื่อง Drop Out หรือ Zero Drop Out โดยไม่ต้องมานั่งค้นหา

การยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ในด้านการยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีการมุ่งเน้น 2 เรื่องหลัก คือ การอัปเกรดเรื่องภาษาอังกฤษของคนไทย และการเน้นเรื่อง STEM Education

จากผลการทดสอบ PISA พบว่าเด็กไทยมีความสามารถที่เรียกว่าเป็นเด็กหัวกะทิหรือช้างเผือกอยู่ร้อยละ 15 หมายความว่าในเด็กที่เกิดมาแสนคน จะมีเด็กอยู่ในระดับหัวกะทิ 15,000 คน ปัญหาคือเราปล่อยเด็กพวกนี้ไปตามยถากรรม

จึงมีแนวคิดในการจัดโควต้าให้เด็กกลุ่มนี้เข้าโรงเรียนที่มีความสามารถสูง เช่น โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โดยการคัดเลือกจาก O-NET หากเด็กอยู่ในระดับ 85% ขึ้นไปของประเทศ จะได้รับทุนและการสนับสนุนที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด เพราะถือว่าเป็นความหวังของประเทศ

โครงการผลิตครู English Program

มีแผนการผลิตครูระบบปิดให้เป็น English Program หมายความว่า ครูคณิตศาสตร์ ครูวิทยาศาสตร์ ครูสังคม ครูทุกวิชาสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษได้ โดยให้ทุนเรียนตั้งแต่ต้น และอาจมีการเพิ่มศักยภาพในเรื่องเงินเดือนให้สูงกว่าปกติ เนื่องจากต้องสอนเป็นครู 2 ภาษา

เป้าหมายคือการขยายห้องเรียน EP (English Program) ให้ 50% ของโรงเรียนในประเทศไทยเป็น EP โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โดยให้ครูเหล่านี้เข้าไปสอน หากผลิตครูระบบปิดได้ประมาณ 5,000 คน และหากมหาวิทยาลัยใดสามารถสอนโปรแกรมเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษได้ จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณ

โดยเฉพาะครูประถมศึกษาต้องเป็น English Program ผ่านนักเรียนทุนโครงการครูพัฒนาท้องถิ่นหรือโครงการอื่นๆ เป็นระบบปิด โดยคัดเด็กตั้งแต่ ม.3 ขึ้นมาเรียน ม.6 แล้วปีต่อให้เขาไปเป็นครูต่อ และบรรจุให้รับราชการ

บทสรุปและแนวทางข้างหน้า

การปฏิรูปศึกษานิเทศก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยในวงกว้าง แนวทางที่นำเสนอนี้เป็นการกล้าลองเรื่องใหม่ๆ และจะมีการประเมินผลต่อไป หากได้ผลจริงและมี Impact ต่อการพัฒนาคุณภาพจริง ก็จะเป็นแนวทางที่ดี

สำคัญคือการทำงานบนหลักวิชาการและหลักวิชาชีพ ไม่ใช่การยึดติดกับความคิดเดิม และต้องกล้าเปลี่ยนแปลงเมื่อจำเป็น หากไม่ได้ผลก็สามารถปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกได้

ในปัจจุบันเด็กไทยเกิดไม่ถึง 500,000 คนต่อปี เหลือน้อยลงจากเดิมที่เคยเป็นล้านคน ดังนั้นต้องทำให้ 500,000 คนนี้มีคุณภาพสูงสุด ไม่ให้ตกหล่น และได้รับการดูแลอย่างดีตั้งแต่เด็ก โดยมีข้อมูลสนับสนุน เพราะในอนาคตจำนวนคนจะไม่พอใช้แล้ว จึงต้องทำให้มีคุณภาพที่สุด

การปฏิรูปครั้งนี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของการศึกษาไทย ที่ต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพสูง มีทักษะที่เหมาะสมกับยุคสมัย และสามารถพัฒนาเด็กไทยให้มีศักยภาพเต็มที่ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่อไป

บทสรุป

การปฏิรูปศึกษานิเทศก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยให้มีคุณภาพสูงขึ้น การเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีความสามารถสูงเข้าสู่ระบบการศึกษา พร้อมกับการสร้างระบบการดูแลและพัฒนาผู้เรียนอย่างครอบคลุม จะช่วยให้การศึกษาไทยก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสได้

ผู้ที่สนใจสมัครเป็นศึกษานิเทศก์ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (กศส.)


บทความนี้สรุปจากการสนทนาระหว่างรองศาสตราจารย์ ดร.ประวิทย์ เอราวัณ เลขาธิการสภาการศึกษา กับอาจารย์วิริยะ ชัยพานิช ในรายการออนไลน์
ไลฟ์สดเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2025 ร่วมสร้างอนาคตการศึกษาไทย ด้วยบทบาทใหม่ของศึกษานิเทศก์

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!