แนวทางการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานและการวิเคราะห์กรณีศึกษาเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
แนวทางการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานและการวิเคราะห์กรณีศึกษาเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 4 กันยายน 2568
__________________________________
บทนำ
ความสำคัญของการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
การประเมินเพื่อขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เป็นกระบวนการสำคัญในการรับรองความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของศึกษานิเทศก์ที่ปฏิบัติงานในระดับสูง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด.1 วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญสะท้อนถึงบทบาทของผู้นำทางวิชาการที่มีความสามารถในการวางแผน พัฒนา และขับเคลื่อนการนิเทศการศึกษาอย่างมีกลยุทธ์ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพการจัดการศึกษาในวงกว้าง ทั้งในระดับครู ผู้เรียน และสถานศึกษา.1 การประเมินจึงมุ่งเน้นการพิจารณาทักษะเชิงลึกในการวางแผนและพัฒนางานนิเทศ (ด้านที่ 1) และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมซึ่งเกิดจากการปฏิบัติงานนั้น (ด้านที่ 2) โดยมีเกณฑ์การตัดสินที่เข้มข้น กำหนดให้ผู้ขอรับการประเมินต้องได้รับคะแนนจากกรรมการแต่ละคนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75.1 ดังนั้น การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานและการนำเสนอผลงานจึงต้องแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่แท้จริง สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการองค์ความรู้ และนำเสนอผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบ น่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับมาตรฐานวิทยฐานะระดับเชี่ยวชาญอย่างชัดเจน.
วัตถุประสงค์ของรายงานฉบับนี้
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับศึกษานิเทศก์ที่เตรียมขอรับการประเมินเลื่อนวิทยฐานะเป็นศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ โดยมีเป้าหมายดังนี้
- วิเคราะห์รายงานผลการดำเนินการตามแผนนิเทศบูรณาการโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของนางสาวสกาวรัตน์ จรุงนันทกาล 1 ในฐานะกรณีศึกษา เปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2 สำหรับวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญตามแนวทาง ก.ค.ศ..1
- ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้าง องค์ประกอบสำคัญ และเนื้อหาที่ควรมีในรายงานผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถสะท้อนทักษะและผลลัพธ์ตามเกณฑ์การประเมินระดับเชี่ยวชาญได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน.
- ยกตัวอย่างรูปธรรมจากรายงานของ ศน.สกาวรัตน์ 1 เพื่ออธิบายวิธีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน และการวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและเกณฑ์การให้คะแนนระดับเชี่ยวชาญ.1
- ชี้แนะประเด็นที่ควรเน้นย้ำหรือปรับปรุงในการจัดทำรายงานและการนำเสนอผลงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการผ่านเกณฑ์การประเมินที่ร้อยละ 75.1
ขอบเขตการวิเคราะห์
การวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้จะมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบการประเมิน 2 ด้านหลัก ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด สำหรับการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะศึกษานิเทศก์ 1 ได้แก่:
ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ในการนิเทศการศึกษา หรือการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา (คะแนนเต็ม 40 คะแนน): วิเคราะห์ทักษะและความสามารถในการวางแผน การออกแบบ การดำเนินงาน และการปรับปรุงพัฒนางานนิเทศ โดยพิจารณาตาม 8 ตัวชี้วัดที่กำหนด.1
ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาการนิเทศการศึกษา (คะแนนเต็ม 20 คะแนน): วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานนิเทศ ทั้งต่อตัวศึกษานิเทศก์เอง ครูผู้รับการนิเทศ ผู้เรียน และสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา โดยพิจารณาตาม 4 ตัวชี้วัดที่กำหนด.1
การวิเคราะห์จะใช้ “รายงานผลการดำเนินการตามแผนนิเทศบูรณาการโดยใช้พื้นที่เป็นฐานฯ” ของ ศน.สกาวรัตน์ 1 เป็นกรณีศึกษาหลัก โดยเปรียบเทียบเนื้อหาและหลักฐานที่นำเสนอในรายงาน (โดยเฉพาะส่วนที่ 1 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และกระบวนการนิเทศ และส่วนที่ 2 ผลการดำเนินการตามแผนการนิเทศ) กับเกณฑ์การประเมินสำหรับวิทยฐานะ ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ที่ระบุไว้ในเอกสาร ก.ค.ศ..1
โครงสร้างของรายงานฉบับนี้
รายงานฉบับนี้ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก ดังนี้:
- บทนำ: กล่าวถึงความสำคัญของการประเมิน วัตถุประสงค์และขอบเขตการวิเคราะห์ และโครงสร้างของรายงาน
- ภาพรวมโครงสร้างและองค์ประกอบสำคัญของรายงานผลการปฏิบัติงาน: นำเสนอโครงสร้างรายงานที่แนะนำและองค์ประกอบที่ควรมี เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางวิชาการและข้อกำหนดของ ก.ค.ศ. สำหรับระดับเชี่ยวชาญ.
- การวิเคราะห์รายงานตามเกณฑ์การประเมิน ด้านที่ 1: วิเคราะห์รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ เทียบกับเกณฑ์ 8 ตัวชี้วัดของด้านที่ 1 สำหรับระดับเชี่ยวชาญ พร้อมยกตัวอย่างและข้อเสนอแนะ.
- การวิเคราะห์รายงานตามเกณฑ์การประเมิน ด้านที่ 2: วิเคราะห์รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ เทียบกับเกณฑ์ 4 ตัวชี้วัดของด้านที่ 2 สำหรับระดับเชี่ยวชาญ พร้อมยกตัวอย่างและข้อเสนอแนะ.
- ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับการเขียนรายงานและการนำเสนอ: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การเขียน การเตรียมรายงานในรูปแบบ PDF และการจัดทำไฟล์วีดิทัศน์นำเสนอตามข้อกำหนดของ ก.ค.ศ.
- บทสรุป: สรุปปัจจัยสำคัญในการจัดทำรายงานระดับเชี่ยวชาญ ข้อคิดสำหรับผู้ขอรับการประเมิน และการใช้รายงานกรณีศึกษาเป็นฐานในการเรียนรู้.
ภาพรวมโครงสร้างและองค์ประกอบสำคัญของรายงานผลการปฏิบัติงาน
การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนทักษะและผลลัพธ์การทำงานในระดับสูง รายงานที่ดีควรมีโครงสร้างที่เป็นระบบ มีเนื้อหาสาระครบถ้วนตามเกณฑ์การประเมิน และสามารถสื่อสารความเชี่ยวชาญของผู้ขอรับการประเมินได้อย่างชัดเจน
โครงสร้างรายงานที่แนะนำ
เพื่อให้รายงานมีความสมบูรณ์ตามมาตรฐานทางวิชาการและสอดคล้องกับข้อกำหนดของ ก.ค.ศ. ที่ต้องการ “รายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษาฯ” 1 โครงสร้างรายงานที่แนะนำควรประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary): (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) ส่วนนี้เป็นการสรุปประเด็นสำคัญของรายงานทั้งหมดอย่างกระชับ ประมาณ 1-2 หน้า เพื่อให้ผู้บริหารหรือกรรมการสามารถเห็นภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว ควรครอบคลุมถึงปัญหา ความต้องการ วัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินงาน ผลลัพธ์ที่สำคัญ และข้อเสนอแนะหลัก
- บทนำ (Introduction):
- ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา: อธิบายบริบท สภาพปัญหา หรือความต้องการจำเป็นที่นำไปสู่การพัฒนางานนิเทศในเรื่องที่นำเสนอ โดยอาจอ้างอิงข้อมูลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม นโยบาย หรือผลการประเมินต่างๆ (ดังตัวอย่างในรายงาน ศน.สกาวรัตน์ ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2.1 1).
- วัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน: ระบุวัตถุประสงค์ของการพัฒนางานนิเทศให้ชัดเจน สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการ และสามารถวัดผลได้.1
- ขอบเขตของการดำเนินงาน: กำหนดขอบเขตด้านเนื้อหา ประชากร/กลุ่มเป้าหมาย (ครู, นักเรียน, สถานศึกษา) พื้นที่ และระยะเวลาให้ชัดเจน.1
- นิยามศัพท์เฉพาะ: อธิบายความหมายของคำศัพท์สำคัญที่ใช้ในรายงาน (ถ้ามี).
- ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ: ระบุประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อผู้เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ.
- แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Literature Review): ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับระดับเชี่ยวชาญ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางวิชาการและความเข้าใจในหลักการที่เป็นฐานในการออกแบบและพัฒนางานนิเทศ ควรนำเสนอ:
- แนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศ การพัฒนาครู การจัดการเรียนรู้ นวัตกรรม หรือประเด็นเฉพาะที่ดำเนินการ (เช่น ในกรณี ศน.สกาวรัตน์ อาจกล่าวถึง TPACK, PLC, Lesson Study, Active Learning 1).
- งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนความเป็นมาของปัญหา ความสำคัญของแนวทางที่เลือกใช้ หรือเป็นแนวทางในการออกแบบนวัตกรรม.
- กรอบแนวคิดในการดำเนินงาน (Conceptual Framework) ที่สังเคราะห์จากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัย แสดงความเชื่อมโยงของตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง.
- วิธีการดำเนินงาน (Methodology): อธิบายขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานอย่างละเอียด เป็นระบบ ชัดเจน เพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำไปปฏิบัติซ้ำ หรือตรวจสอบได้ ควรประกอบด้วย:
- การออกแบบการดำเนินงาน: อธิบายรูปแบบการนิเทศหรือนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น (เช่น รูปแบบ 3S3P Supervisory Model ของ ศน.สกาวรัตน์ 1).
- กลุ่มเป้าหมาย: ระบุรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ.
- เครื่องมือที่ใช้: อธิบายเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและการเก็บรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งระบุคุณภาพของเครื่องมือ (ถ้ามี).1
- ขั้นตอนการดำเนินงาน: อธิบายลำดับขั้นตอนการดำเนินงานตามรูปแบบที่ออกแบบไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่การวางแผน (Plan), การนำไปใช้ (Implementation), และการประเมินผล (Evaluation).1
- การเก็บรวบรวมข้อมูล: อธิบายวิธีการเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ.
- การวิเคราะห์ข้อมูล: อธิบายสถิติหรือวิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.
- ผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ (Results and Analysis): นำเสนอผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ โดยเน้นผลที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์การประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2:
- ผลการพัฒนาตามแผน (ด้านที่ 1): นำเสนอผลการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน แสดงให้เห็นถึงทักษะในการวางแผน การใช้กลยุทธ์ การพัฒนานวัตกรรม การแก้ปัญหา การสร้างเครือข่าย และภาวะผู้นำ (ควรมีข้อมูลสนับสนุนแต่ละตัวชี้วัดของด้านที่ 1). รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ นำเสนอส่วนนี้ใน ส่วนที่ 2 ตั้งแต่ข้อ 2.1 ถึง 2.6.1
- ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (ด้านที่ 2): นำเสนอผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อครู ผู้เรียน และสถานศึกษา โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ทั้งเชิงปริมาณ (ตาราง, กราฟ แสดงการเปลี่ยนแปลง) และเชิงคุณภาพ (กรณีศึกษา, ตัวอย่างผลงาน, คำสะท้อนคิด). รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ นำเสนอผลลัพธ์เหล่านี้ในส่วนที่ 2.6 และ 2.7 (ตาราง 51-58).1
- ควรนำเสนอผลอย่างเป็นระบบ ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย อาจใช้ตาราง กราฟ หรือแผนภาพประกอบ.1
- อภิปรายผล (Discussion): ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแสดงความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตีความผลการดำเนินงานในระดับเชี่ยวชาญ ควรประกอบด้วย:
- การอภิปรายผลตามวัตถุประสงค์: สรุปและอภิปรายว่าผลการดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ อย่างไร.
- การเชื่อมโยงกับแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัย: อภิปรายว่าผลที่เกิดขึ้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับแนวคิด ทฤษฎี หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างไร เพราะเหตุใด ซึ่งเป็นการแสดงความลุ่มลึกทางวิชาการ.
- การวิเคราะห์จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา หรือข้อจำกัด: วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ หรือข้อจำกัด/อุปสรรคที่พบในการดำเนินงานอย่างตรงไปตรงมา.
- การแสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม: ส่วนนี้สำคัญมากสำหรับระดับเชี่ยวชาญ ควรอภิปรายให้เห็นว่าในการดำเนินงานนั้น ผู้ขอฯ ได้มีการ “คิดค้น” รูปแบบ/กระบวนการ/นวัตกรรมใหม่, “ปรับเปลี่ยน” แนวทางเดิมให้เหมาะสมกับบริบท หรือ “ริเริ่ม” การดำเนินงานในลักษณะใหม่ อย่างไร และการคิดค้น/ปรับเปลี่ยน/ริเริ่มนั้นส่งผลดีอย่างไร (เชื่อมโยงกับเกณฑ์ข้อ 4-5 ของหลายตัวชี้วัดในด้านที่ 1 ระดับเชี่ยวชาญ 1).
- นัยสำคัญหรือผลกระทบ: อภิปรายถึงนัยสำคัญของผลงาน ผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้าง หรือศักยภาพในการนำไปขยายผล.
- สรุปและข้อเสนอแนะ (Conclusion and Recommendations):
- สรุป: สรุปสาระสำคัญของการดำเนินงานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระชับ.
- ข้อเสนอแนะ: ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมสำหรับการนำผลการดำเนินงานไปใช้ประโยชน์ การพัฒนาต่อยอดในอนาคต หรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (ถ้ามี).
- ภาคผนวก (Appendices): รวบรวมเอกสารหลักฐานประกอบที่สำคัญ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล, แผนการนิเทศโดยละเอียด, ตัวอย่างผลงาน/นวัตกรรม, รูปภาพกิจกรรม, คำสั่งแต่งตั้ง หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง.1
การเน้นเนื้อหาสำหรับระดับเชี่ยวชาญ
รายงานสำหรับระดับเชี่ยวชาญ ไม่ใช่เพียงการนำเสนอสิ่งที่ได้ทำไป แต่ต้องสะท้อนคุณลักษณะของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งหมายถึง
- ความลุ่มลึกทางวิชาการ (Theoretical Depth): แสดงให้เห็นว่าการออกแบบและดำเนินงานตั้งอยู่บนฐานของแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างหนักแน่น สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้มาใช้ได้อย่างเหมาะสม.
- ความเป็นระบบ (Systematic Approach): กระบวนการดำเนินงานต้องมีความชัดเจน เป็นขั้นตอน มีการวางแผน วัดผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง.
- การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem-Solving): สามารถวิเคราะห์ปัญหาการจัดการศึกษาที่มีความซับซ้อน และออกแบบแนวทางการนิเทศเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ.
- ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์/นวัตกรรม (Innovation): แสดงให้เห็นถึง “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม” ในการพัฒนารูปแบบ กลยุทธ์ สื่อ หรือกระบวนการนิเทศ ที่แตกต่างหรือดีกว่าแนวทางเดิม และสามารถแก้ปัญหาหรือยกระดับคุณภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ (ดังที่เน้นในเกณฑ์ระดับเชี่ยวชาญ 1).
- ความเป็นผู้นำ (Leadership): แสดงบทบาทในการนำการเปลี่ยนแปลง การสร้างความร่วมมือ การสร้างเครือข่าย หรือการเป็นแบบอย่างทางวิชาการ (ดังตัวชี้วัดที่ 8 ด้านที่ 1 1).
- ผลกระทบที่ชัดเจนและยั่งยืน (Clear & Sustainable Impact): ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต้องมีความชัดเจน วัดผลได้ และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกที่อาจขยายผลหรือมีความต่อเนื่องในระยะยาว ไม่ใช่เพียงผลระยะสั้น (ดังตัวชี้วัดด้านที่ 2 1).
การเชื่อมโยงกับข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA)
รายงานผลการปฏิบัติงานนี้ จะต้องเป็นผลที่เกิดจากการดำเนินงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement – PA) ที่ผู้ขอฯ ได้ทำไว้กับผู้บังคับบัญชาในช่วงระยะเวลาย้อนหลังที่กำหนด (ปกติ 3 รอบการประเมิน แต่มีข้อยกเว้นตามช่วงเปลี่ยนผ่านหรือพื้นที่พิเศษ 1) และต้องมีผลการประเมิน PA ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 70 สำหรับระดับเชี่ยวชาญ 1). ดังนั้น ในรายงานควรมีการกล่าวถึงหรือแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงว่า การดำเนินงานที่นำเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตาม PA อย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนด.1
การวิเคราะห์รายงานตามเกณฑ์การประเมิน ด้านที่ 1: ทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษาฯ (40 คะแนน)
ด้านที่ 1 เป็นการประเมินทักษะและความสามารถเชิงกระบวนการของศึกษานิเทศก์ในการวางแผน ออกแบบ และดำเนินงานนิเทศอย่างมีกลยุทธ์ สามารถใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ การจัดการศึกษา หรือพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา/หน่วยงานการศึกษา คะแนนเต็มของด้านนี้คือ 40 คะแนน แบ่งเป็น 8 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดละ 5 คะแนน.1 การประเมินจะพิจารณาจากรายงานผลการดำเนินการฯ (PDF) และไฟล์วีดิทัศน์นำเสนอการพัฒนาฯ.1
สำหรับวิทยฐานะ เชี่ยวชาญ เกณฑ์การให้คะแนนในระดับสูง (4 หรือ 5 คะแนน) ของแต่ละตัวชี้วัด มักจะเพิ่มเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับ “การแสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม” และ “การแสดงให้เห็นถึงผล” ของการคิดค้นปรับเปลี่ยนนั้น ซึ่งสะท้อนความคาดหวังที่สูงกว่าระดับชำนาญการพิเศษ.1 การวิเคราะห์รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ 1 ต่อไปนี้ จะพิจารณาเทียบกับเกณฑ์ระดับเชี่ยวชาญเป็นหลัก
ตัวชี้วัดที่ 1: กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ประกันคุณภาพ/การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง)
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องสามารถวิเคราะห์ ออกแบบ และจัดทำแผนการนิเทศได้อย่างเป็นระบบ มีกลยุทธ์หลากหลาย ประเมินและปรับปรุงแผนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน การจัดการเรียนรู้หรือการจัดการศึกษาของผู้รับการนิเทศอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และ แสดงให้เห็นถึงผลการคิดค้น ปรับเปลี่ยน กระบวนการนั้น ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพ.1 การได้ 4 หรือ 5 คะแนน จำเป็นต้องปฏิบัติตามเกณฑ์พื้นฐาน 3 ข้อแรกได้ครบถ้วน และต้องแสดงให้เห็นถึงการคิดค้นปรับเปลี่ยน (ข้อ 4) และผลของการคิดค้นปรับเปลี่ยน (ข้อ 5) อย่างน้อย 1 หรือทั้ง 2 ข้อตามลำดับ.
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์
หลักฐาน: รายงานได้นำเสนอ “รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model” ซึ่งมี 6 ขั้นตอน (Scan, Set Strategies, Start to Improvement, Performance Assessment, Promote, Proud & Develop) และเน้นกระบวนการ “GROUPS Model” (Group, Understand, Plan, Share, Observe, Reflect) ที่เป็นหัวใจในการดำเนินงานพัฒนาครูผ่าน PLC และ Lesson Study.1 รูปแบบนี้แสดงถึงการวางแผนที่เป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจนตั้งแต่การวิเคราะห์สภาพปัญหาไปจนถึงการขยายผล. การดำเนินงานครอบคลุมระยะเวลา 2 ภาคเรียน (ภาคเรียนที่ 2/2564 และ ภาคเรียนที่ 1/2565) แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการพัฒนา.1 กระบวนการภายใน GROUPS Model เช่น การร่วมพัฒนาแผน (Plan, Share) การสังเกตการสอน (Observe) และการสะท้อนผล (Reflect) ล้วนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นระบบ (Systematic) และความต่อเนื่อง (Continuous) ของกระบวนการนิเทศได้เป็นอย่างดี ซึ่งตอบโจทย์เกณฑ์พื้นฐานข้อ 1-3 ได้. อย่างไรก็ตาม การนำเสนออาจยังไม่ได้เน้นย้ำ หรือชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนเพียงพอถึงประเด็น “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” (เกณฑ์ข้อ 4) และ “ผลของการคิดค้นปรับเปลี่ยน” (เกณฑ์ข้อ 5) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระดับเชี่ยวชาญ. รูปแบบ 3S3P และ GROUPS Model แม้จะเป็นระบบ แต่ผู้อ่านอาจมองว่าเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิด PLC และ Lesson Study ที่มีอยู่ทั่วไป มากกว่าจะเป็น “การคิดค้น” รูปแบบใหม่โดย ศน.สกาวรัตน์ เอง หรือเป็นการ “ปรับเปลี่ยน” ที่มีนัยสำคัญจากแนวปฏิบัติเดิม. รายงานไม่ได้อธิบายว่า ศน.สกาวรัตน์ ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการนิเทศ หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่แนะนำแก่ครู อย่างไรบ้างเมื่อเผชิญกับบริบทที่แตกต่างกัน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินงานในแต่ละภาคเรียน/กลุ่ม PLC และผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนนั้นเป็นอย่างไร.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- กระบวนการ 6 ขั้นตอนของ 3S3P Model.1
- กระบวนการ 6 ขั้นตอนย่อยของ GROUPS Model (G-U-P-S-O-R).1
- การดำเนินงานต่อเนื่อง 2 ภาคเรียน โดยมีการปรับรูปแบบกลุ่ม PLC ในภาคเรียนที่ 1/2565 เป็นแบบข้ามสถานศึกษาตามข้อเสนอแนะ.1 (จุดนี้อาจพออ้างอิงถึงการปรับเปลี่ยนได้ แต่ยังไม่ได้วิเคราะห์ผลชัดเจน).
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรมีส่วนที่อธิบายอย่างชัดเจนว่า รูปแบบ 3S3P หรือ GROUPS Model มีจุดใดที่เป็น “การคิดค้น” โดยผู้ขอฯ เอง หรือเป็น “การปรับเปลี่ยน” จากแนวคิด/รูปแบบเดิม (เช่น PLC, Lesson Study) เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะ (เช่น สพม.นนทบุรี, กลุ่มสาระภาษาไทย, การเรียนรู้ยุคใหม่) อย่างไร.
- นำเสนอหลักฐาน หรือการวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นว่า ในระหว่างการดำเนินงาน ได้มีการ “ปรับเปลี่ยน” กระบวนการนิเทศ (เช่น วิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับ, การสนับสนุนครู, การใช้เทคโนโลยี) หรือปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่แนะนำครู เพื่อตอบสนองต่อปัญหา/สถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร.
- วิเคราะห์และนำเสนอ “ผล” ที่เกิดขึ้นจาก “การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน” นั้น ๆ อย่างชัดเจน ว่าส่งผลดีต่อกระบวนการนิเทศ หรือคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของผู้รับการนิเทศอย่างไรบ้าง.
ตัวชี้วัดที่ 2: คุณภาพของหลักสูตรและนักเรียน
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องส่งเสริม สนับสนุน สร้างความรู้ใหม่ และนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาหรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบท ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน กระบวนการนิเทศเพื่อพัฒนาการใช้หลักสูตรหรือกิจกรรมการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ของผู้รับการนิเทศ และ แสดงให้เห็นถึงผลการนิเทศเพื่อการคิดค้น ปรับเปลี่ยน ดังกล่าวที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: การนิเทศมุ่งพัฒนาครูให้เป็น “ครูยุคใหม่ (Modern Teacher)” โดยเน้นสมรรถนะ 3 ด้าน (Pedagogy, Technology, Assessment) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้.1 เป้าหมายการพัฒนาด้านนักเรียนระบุถึง การมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และการมีสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 (3R8C).1 กระบวนการ GROUPS Model มีขั้นตอนการจัดทำแผน (Plan) และการร่วมแบ่งปันแนวคิดในการพัฒนาแผน (Share) ซึ่งเป็นการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูโดยตรง.1 รายงานได้นำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ทั้งด้านความคิดเห็นต่อการเรียนรู้แบบ Active Learning, คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และทักษะในศตวรรษที่ 21.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นการส่งเสริมและพัฒนา “กิจกรรมการเรียนรู้” ของครูผ่านกระบวนการ PLC ได้อย่างชัดเจน และมีการวัดผลที่ผู้เรียนซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย ตอบโจทย์เกณฑ์พื้นฐานข้อ 1-3. อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงไปยัง “การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา” โดยตรงยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก และที่สำคัญคือ การนำเสนอประเด็น “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” (เกณฑ์ข้อ 4) กระบวนการนิเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาการใช้หลักสูตรหรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่แปลกใหม่/แตกต่าง และ “ผล” ของการคิดค้นปรับเปลี่ยนนั้นต่อคุณภาพผู้เรียน (เกณฑ์ข้อ 5) ยังไม่เด่นชัด. การเน้นพัฒนาแผนการสอนตามแนว Active Learning อาจยังไม่ถูกมองว่าเป็นการ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” ในระดับที่ลึกถึงหลักสูตร หรือสร้างสรรค์กิจกรรมที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- เป้าหมายการพัฒนาครูสู่ Modern Teacher และเน้น Active Learning.1
- กระบวนการ PLC (Plan, Share, Observe, Reflect) ที่เน้นการพัฒนาแผนและปรับปรุงการสอน.1
- ผลลัพธ์ด้านผู้เรียนที่วัดผลได้ (ความเห็น, คุณลักษณะ, ทักษะ S21).1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- หากการนิเทศได้ส่งผลให้ครูมีการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยน “หน่วยการเรียนรู้” หรือ “หลักสูตรรายวิชา” (ไม่ใช่แค่แผนการสอนรายคาบ) ควรนำเสนอส่วนนี้ให้ชัดเจนขึ้น.
- นำเสนอกรณีตัวอย่างของ “กิจกรรมการเรียนรู้” ที่ครูได้ “คิดค้น” หรือ “ปรับเปลี่ยน” อย่างสร้างสรรค์อันเป็นผลมาจากการนิเทศ และวิเคราะห์ว่ากิจกรรมนั้นส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนอย่างไร.
- อธิบายว่ากระบวนการนิเทศที่ใช้ มีการ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” อย่างไร เพื่อกระตุ้นให้ครูพัฒนาการใช้หลักสูตรหรือออกแบบกิจกรรมที่เน้นสมรรถนะหรือทักษะศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อมโยงไปยังผลลัพธ์ที่ผู้เรียนอย่างเป็นเหตุเป็นผล.
ตัวชี้วัดที่ 3: การพัฒนาสมรรถนะ
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องสามารถนิเทศให้ผู้รับการนิเทศได้รับการพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงานผ่านการปฏิบัติจริง และผู้รับการนิเทศสามารถนำสมรรถนะนั้นไปพัฒนาผู้เรียนได้ ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน กระบวนการนิเทศเพื่อพัฒนาสมรรถนะของผู้รับการนิเทศให้สามารถจัดการเรียนรู้หรือการจัดการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน และ แสดงให้เห็นผลการนิเทศเพื่อปรับเปลี่ยนสมรรถนะ ของผู้รับการนิเทศที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนนั้น.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: เป้าหมายหลักของโครงการคือการพัฒนาสมรรถนะครูยุคใหม่ (Modern Teacher) ใน 3 ด้าน ได้แก่ กลยุทธ์การสอน (Pedagogy), เทคโนโลยี (Technology), และการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ (Assessment).1 กระบวนการนิเทศใช้ GROUPS Model ซึ่งประกอบด้วย PLC และ Lesson Study ที่เน้นให้ครูลงมือปฏิบัติจริง ตั้งแต่การวางแผน (Plan), การแลกเปลี่ยน (Share), การสอนและสังเกต (Observe), จนถึงการสะท้อนผล (Reflect).1 มีการประเมินสมรรถนะครูก่อนเริ่มโครงการ (อ้างอิงจากการวิเคราะห์ในภาคเรียนที่ 1/2564 1) และหลังการดำเนินงานในแต่ละภาคเรียน (ภาคเรียนที่ 2/2564 และ 1/2565 1) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครูที่เข้าร่วมมีสมรรถนะผ่านเกณฑ์ 100% และส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี. นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริม สนับสนุน (Promote) เช่น การจัดอบรมพัฒนาต่อยอด (Up-skills & Next-skills).1 ผลลัพธ์ที่ผู้เรียนซึ่งเป็นผลจากการที่ครูมีสมรรถนะสูงขึ้น ก็ได้ถูกนำเสนอไว้.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นถึงกระบวนการพัฒนาสมรรถนะครูที่ชัดเจน มีการลงมือปฏิบัติจริง และมีการวัดผลการเปลี่ยนแปลงของสมรรถนะครู รวมถึงผลที่เกิดกับผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์พื้นฐานข้อ 1-3 เป็นอย่างดี. อย่างไรก็ตาม การนำเสนอในประเด็น “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” (เกณฑ์ข้อ 4) กระบวนการนิเทศเพื่อพัฒนาสมรรถนะ และ “ผล” ของการคิดค้นปรับเปลี่ยนนั้น (เกณฑ์ข้อ 5) ยังไม่ถูกเน้นย้ำให้เด่นชัด การใช้ PLC และ Lesson Study แม้จะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็เป็นแนวปฏิบัติที่รู้จักกันทั่วไป รายงานยังไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า ศน.สกาวรัตน์ ได้ “คิดค้น” หรือ “ปรับเปลี่ยน” วิธีการดำเนินงาน PLC, การให้ข้อมูลป้อนกลับ, การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาสมรรถนะ, หรือการสนับสนุนครูในรูปแบบที่แตกต่างหรือมีนวัตกรรมอย่างไร ที่ทำให้กระบวนการพัฒนาสมรรถนะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในบริบทนี้โดยเฉพาะ.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- เป้าหมายการพัฒนาสมรรถนะครู 3 ด้าน (Pedagogy, Technology, Assessment).1
- กระบวนการ GROUPS Model ที่เน้นการปฏิบัติ (Plan-Share-Observe-Reflect).1
- ผลการประเมินสมรรถนะครูที่เพิ่มขึ้น (เปรียบเทียบ ตาราง 2 กับ ตาราง 51, 52).
- กิจกรรมอบรมพัฒนาต่อยอด.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรอธิบายเพิ่มเติมว่ามี “การคิดค้น” หรือ “การปรับเปลี่ยน” ในกระบวนการนิเทศเพื่อพัฒนาสมรรถนะครูอย่างไรบ้าง เช่น การพัฒนาเครื่องมือประเมินสมรรถนะรูปแบบใหม่, การปรับรูปแบบการให้ Feedback ในวง PLC ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การใช้ Platform ออนไลน์ในการพัฒนาสมรรถนะที่แตกต่างจากเดิม, หรือการออกแบบกิจกรรมพัฒนาสมรรถนะที่ตอบโจทย์ครูแต่ละกลุ่มอย่างเฉพาะเจาะจง.
- นำเสนอหลักฐานหรือการวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นว่า “การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน” นั้น ส่งผลให้การพัฒนาสมรรถนะครูมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนได้ดีขึ้นอย่างไร.
ตัวชี้วัดที่ 4: การสอนงานระบบพี่เลี้ยง (Coaching/Mentoring)
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องสามารถเป็นผู้นำในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สะท้อนบทเรียน สร้างแรงบันดาลใจ (เกณฑ์ข้อ 1-3) ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน เพื่อชี้แนะ หรือเป็นพี่เลี้ยง (Coaching/Mentoring) ให้ผู้รับการนิเทศสามารถค้นคว้า ทดลอง และคิดนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้หรือการจัดการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง และ แสดงให้เห็นถึงผลการคิดค้น ปรับเปลี่ยน การนิเทศเชิงพัฒนาคุณภาพฯ ในด้านการทดลองคิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องนั้น.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1
หลักฐาน: หัวใจสำคัญของรูปแบบการนิเทศที่ใช้คือ กระบวนการ PLC ภายใน GROUPS Model โดยเฉพาะในขั้นตอน Share (ร่วมแบ่งปันแนวคิดในการพัฒนาแผน), Observe (ร่วมสังเกตการจัดการเรียนรู้), และ Reflect (ร่วมสะท้อนผล) ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การให้ข้อมูลป้อนกลับ และการสะท้อนคิดร่วมกัน.1 รายงานระบุว่าการดำเนินงานเป็นไปบนฐานความเป็นกัลยาณมิตร.1 บทบาทของศึกษานิเทศก์คือเป็นผู้นำและผู้กระตุ้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม PLC.1 นอกจากนี้ ในขั้น Promote ยังมีการให้คำปรึกษาทางตรง.1 ผลการดำเนินงานในตาราง 4-44 แสดงให้เห็นตัวอย่างข้อเสนอแนะที่ให้แก่ครูในระหว่าง PLC.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงบทบาทของ ศน. ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และผู้ให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback Provider) ในกระบวนการ PLC ได้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการเป็นผู้นำทางวิชาการ (เกณฑ์ข้อ 1-3). อย่างไรก็ตาม การแสดงบทบาทในฐานะ “พี่เลี้ยง” ที่เน้น “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” วิธีการเพื่อให้ผู้รับการนิเทศสามารถ “คิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง” (เกณฑ์ข้อ 4) ยังไม่เด่นชัดนัก. กระบวนการ PLC ที่นำเสนอส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปรับปรุงแผนการสอนและการจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามแนวทาง Active Learning ซึ่งอาจยังไม่ถึงขั้นของการกระตุ้นให้เกิด “นวัตกรรม” ที่แตกต่างหรือแปลกใหม่อย่างชัดเจน และไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคการโค้ช หรือการเป็นพี่เลี้ยงที่ ศน. ใช้เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะ.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- ขั้นตอน Share, Observe, Reflect ใน GROUPS Model.1
- ตัวอย่างข้อเสนอแนะ/แนวทางการพัฒนาต่อยอด ในตาราง 4-44.
- การระบุบทบาท ศน. ในการเป็นผู้นำ/กระตุ้น PLC.1
- การให้คำปรึกษาทางตรง.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรเพิ่มการอธิบายหรือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า ศน. ได้ใช้เทคนิคการโค้ช (Coaching) หรือการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) ที่ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” อย่างไร เพื่อกระตุ้นให้ครูเกิดความคิดสร้างสรรค์ หรือพัฒนานวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ (เช่น การใช้คำถามทรงพลัง (Powerful Questions), การส่งเสริมให้ครูทดลองแนวทางใหม่ๆ ที่ท้าทาย, การเชื่อมโยงครูกับแหล่งเรียนรู้/เครือข่ายภายนอกเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ).
- นำเสนอกรณีศึกษาของครูที่สามารถพัฒนานวัตกรรม หรือมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด/การทำงานอย่างสร้างสรรค์ อันเป็นผลมาจากการโค้ช/การเป็นพี่เลี้ยงของ ศน.
- วิเคราะห์ให้เห็นว่า “ผล” ของการเป็นพี่เลี้ยงในลักษณะนี้ (เกณฑ์ข้อ 5) ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ หรือการคิดนวัตกรรมของครูได้อย่างไร.
ตัวชี้วัดที่ 5: การจัดการเรียนรู้/การแก้ปัญหาของผู้รับการนิเทศ
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องส่งเสริมให้ผู้รับการนิเทศสามารถจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน, ผู้รับการนิเทศนำผลไปใช้พัฒนาผู้เรียน, การนิเทศตรงตามความต้องการจำเป็น (เกณฑ์ข้อ 1-3) ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคิดค้น ปรับเปลี่ยน การนิเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของผู้รับการนิเทศ และ แสดงให้เห็นถึงผลการคิดค้น ปรับเปลี่ยน การนิเทศเชิงพัฒนาที่ส่งผลคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของผู้รับการนิเทศซึ่งส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: การดำเนินงานเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ (Scan) ซึ่งพบประเด็นที่ต้องพัฒนาเร่งด่วน เช่น ครูยังขาดทักษะการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning), และการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง.1 จากนั้นจึงกำหนดกลยุทธ์และรูปแบบการนิเทศ (3S3P/GROUPS) เพื่อมุ่งแก้ปัญหาเหล่านี้.1 กระบวนการ PLC ที่ดำเนินไป (ดังแสดงในตาราง 4-44) แสดงให้เห็นการให้ข้อเสนอแนะแก่ครูเพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ในประเด็นดังกล่าว. ท้ายที่สุด มีการวัดผลลัพธ์ทั้งในส่วนของสมรรถนะครูที่พัฒนาขึ้น 1 และผลที่เกิดกับผู้เรียน 1 เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญหาได้รับการแก้ไขในระดับหนึ่ง.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นถึงกระบวนการนิเทศที่เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัญหา/ความต้องการ และมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่พบได้อย่างชัดเจน มีการติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับทั้งครูและผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ข้อ 1-3. อย่างไรก็ตาม การเน้นย้ำถึง “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” (เกณฑ์ข้อ 4) ในกระบวนการนิเทศเพื่อแก้ปัญหา และการแสดง “ผล” จากการคิดค้นปรับเปลี่ยนนั้น (เกณฑ์ข้อ 5) ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร. การใช้ PLC เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหา แม้จะเป็นแนวทางที่ดี แต่รายงานยังไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า ศน.สกาวรัตน์ ได้ “คิดค้น” หรือ “ปรับเปลี่ยน” วิธีการนิเทศ, การให้การสนับสนุน, หรือการใช้เครื่องมืออย่างไร ที่ถือเป็นแนวทางใหม่หรือมีนวัตกรรมในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยกลุ่มนี้โดยเฉพาะ.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- ผลการวิเคราะห์ปัญหา/ความต้องการ (Scan).1
- การกำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหา.1
- การให้ข้อเสนอแนะในกระบวนการ PLC เพื่อปรับปรุงการสอน.1
- ผลลัพธ์ด้านสมรรถนะครูและผลต่อผู้เรียน.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรอธิบายเพิ่มเติมว่า ในการเผชิญกับปัญหาที่ระบุไว้ (เช่น ครูขาดทักษะ Active Learning หรือ Assessment for Learning) ศน. ได้มี “การคิดค้น” หรือ “การปรับเปลี่ยน” วิธีการนิเทศ หรือเครื่องมือสนับสนุน อย่างไรบ้างที่แตกต่างไปจากการทำ PLC ทั่วไป.
- ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น การออกแบบ Workshop เฉพาะทาง, การพัฒนาเครื่องมือช่วยครูออกแบบกิจกรรม Active Learning, การสร้าง Platform แลกเปลี่ยนแผนการสอนและการประเมิน, หรือการปรับรูปแบบการให้ Feedback ให้เจาะจงกับปัญหารายบุคคลมากขึ้น.
- วิเคราะห์และนำเสนอหลักฐานว่า วิธีการที่ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” นั้น สามารถช่วยแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ของครู และส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนได้ดีขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการเดิมอย่างไร.
ตัวชี้วัดที่ 6: ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องมีเป้าหมายการนิเทศที่ชัดเจน, ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์, สามารถนำสื่อ/นวัตกรรม/เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ (เกณฑ์ข้อ 1-3) ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น ปรับเปลี่ยน พัฒนา สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการนิเทศ ทำให้ผู้รับการนิเทศมีคุณภาพการจัดการเรียนรู้สูงขึ้น และ แสดงให้เห็นถึงผลการคิดค้น ปรับเปลี่ยน พัฒนา สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีนั้นที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รายงานนำเสนอ “รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model” และกระบวนการ “GROUPS Model” เป็นกรอบแนวคิดหลักในการดำเนินงาน.1 หนึ่งในเป้าหมายคือการพัฒนาสมรรถนะด้านเทคโนโลยี (Technology) ของครู.1 ในทางปฏิบัติ มีการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนกระบวนการนิเทศ เช่น การประชุมออนไลน์ผ่าน Google Meet, การสื่อสารและส่งงานผ่าน Line group, และการสังเกตการสอนผ่านคลิปวิดีโอ.1 รายงานระบุว่ามีการพัฒนา “เครื่องมือการนิเทศ จำนวน 9 เครื่องมือ”.1 นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายส่งเสริมให้ครูผลิตผลงานนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นการใช้กรอบแนวคิด (รูปแบบ 3S3P/GROUPS) และเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นในการดำเนินงาน รวมถึงมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการอำนวยความสะดวกกระบวนการนิเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ข้อ 1-3. อย่างไรก็ตาม การจะถือว่ารูปแบบ 3S3P/GROUPS หรือเครื่องมือทั้ง 9 รายการ เป็น “นวัตกรรม” ที่ ศน.สกาวรัตน์ ได้ “คิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือพัฒนา” ขึ้นเองนั้น ยังต้องการการนำเสนอที่เน้นย้ำและให้เหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจนกว่านี้. รายงานยังไม่ได้อธิบายถึงความเป็นมา หรือความโดดเด่น/แตกต่าง (Novelty) ของรูปแบบหรือเครื่องมือเหล่านี้เมื่อเทียบกับแนวปฏิบัติทั่วไป และยังไม่ได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เชื่อมโยง “ผล” ของการใช้นวัตกรรมเหล่านี้กับการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือคุณภาพผู้เรียนอย่างชัดเจน.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- การนำเสนอรูปแบบการนิเทศ 3S3P และ GROUPS Model.1
- รายการเครื่องมือการนิเทศ 9 รายการ.1
- การใช้ Google Meet, Line, คลิปวิดีโอ ในกระบวนการ PLC.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรมีส่วนที่อธิบาย “ความเป็นนวัตกรรม” ของรูปแบบ 3S3P/GROUPS หรือเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นการ “คิดค้น” ขึ้นใหม่ หรือเป็นการ “ปรับเปลี่ยน/พัฒนา” จากสิ่งที่มีอยู่อย่างไร มีความใหม่/แตกต่าง/ดีกว่าแนวทางเดิมในบริบทนี้อย่างไร.
- หากรูปแบบหรือเครื่องมือเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ (เช่น การหาค่า IOC, การทดลองใช้และปรับปรุง) ควรนำเสนอข้อมูลส่วนนี้ด้วยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ.
- นำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ (ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ) ที่แสดงให้เห็นว่า การนำ “นวัตกรรม” (รูปแบบ/เครื่องมือ/เทคโนโลยีที่คิดค้น/ปรับเปลี่ยน) นี้ไปใช้ ส่งผลให้กระบวนการนิเทศมีประสิทธิภาพขึ้น หรือส่งผลให้ครูมีคุณภาพการจัดการเรียนรู้สูงขึ้น และส่งผลต่อผู้เรียนจริง อย่างไร.
ตัวชี้วัดที่ 7: ระดมทรัพยากร เครือข่าย และความร่วมมือ
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องสามารถประสานความร่วมมือ, ใช้เครือข่ายระดมทรัพยากรและความร่วมมือจากภายนอก, ทำให้ผู้รับการนิเทศได้รับประโยชน์ (เกณฑ์ข้อ 1-3) ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และ แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างเครือข่ายนั้นที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รูปแบบการนิเทศใช้กระบวนการ PLC เป็นหลัก ซึ่งโดยธรรมชาติเน้นการสร้างความร่วมมือภายในกลุ่มผู้เข้าร่วม (ประกอบด้วย ครู, ผู้ทรงคุณวุฒิ [ผู้บริหาร/ผู้แทน], และศึกษานิเทศก์).1 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการจัดกลุ่ม PLC แบบข้ามสถานศึกษา เพื่อขยายเครือข่ายการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น.1 นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรม “เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Symposium) แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)” ซึ่งเป็นการสร้างพื้นที่ให้ครูได้นำเสนอผลงานและสร้างเครือข่ายในวงกว้างขึ้น.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นถึงการสร้างความร่วมมือภายในกลุ่ม PLC และมีการขยายผลเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างครูต่างโรงเรียนผ่าน PLC ข้ามสถานศึกษา และ Symposium ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ข้อ 1-3. อย่างไรก็ตาม การนำเสนอในประเด็น “การคิดค้นวิธีการใหม่ๆ” (เกณฑ์ข้อ 4) ในการสร้างเครือข่าย หรือการระดมทรัพยากรจาก “ภายนอกหน่วยงาน” (เช่น มหาวิทยาลัย, ภาคเอกชน, ชุมชน, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง) ยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก รวมถึง “ผล” ของการใช้วิธีการใหม่ๆ (เกณฑ์ข้อ 5) ในการสร้างเครือข่ายต่อคุณภาพผู้เรียนก็ยังไม่ได้ถูกวิเคราะห์อย่างเป็นรูปธรรม.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- โครงสร้างกลุ่ม PLC ที่มีผู้บริหาร/ผู้แทนเข้าร่วม.1
- การจัดกลุ่ม PLC แบบข้ามสถานศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2565.1
- การจัดกิจกรรม Symposium.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
หากมีการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก (มหาวิทยาลัย, ปราชญ์ชาวบ้าน, องค์กรเอกชน ฯลฯ) ในการนิเทศ หรือการระดมทรัพยากร (เช่น งบประมาณ, สื่อ, วิทยากร) ควรนำเสนอส่วนนี้ให้ชัดเจนขึ้น.
หากมี “การคิดค้นวิธีการใหม่ๆ” ในการสร้างหรือบริหารจัดการเครือข่าย (เช่น การใช้ Platform ออนไลน์เฉพาะทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้, การสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายวิชาชีพอื่น, การจัดตั้งชมรมครูภาษาไทย) ควรนำเสนอรายละเอียดของวิธีการนั้นๆ.
วิเคราะห์และนำเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เครือข่ายที่สร้างขึ้น หรือวิธีการสร้างเครือข่ายแบบใหม่นั้น ส่งผลดีต่อการพัฒนาครู หรือส่งผลกระทบต่อไปยังคุณภาพผู้เรียนอย่างไรบ้าง.
ตัวชี้วัดที่ 8: ภาวะผู้นำแบบร่วมกัน (Shared Leadership)
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญต้องส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกัน, เน้นกระบวนการทำงานที่มีส่วนร่วม, แสดงภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพ (เกณฑ์ข้อ 1-3) ที่สำคัญคือ ต้อง แสดงให้เห็นถึงการทำให้เกิดเครือข่ายการทำงานร่วมกัน ของผู้รับการนิเทศหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง และ แสดงให้เห็นถึงผลการทำให้เกิดเครือข่าย การทำงานร่วมกันนั้นที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน.1
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: การใช้กระบวนการ PLC เป็นหัวใจหลักของการนิเทศ ซึ่งเน้นการทำงานเป็นทีม การมีส่วนร่วมของสมาชิกทุกคน (ครู, ผู้ทรงคุณวุฒิ, ศน.) และการเรียนรู้ร่วมกันจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการสะท้อนผล.1 การที่ครูในกลุ่ม PLC ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้นิเทศ (ให้ข้อเสนอแนะเพื่อนครู) และผู้รับการนิเทศ สะท้อนถึงการเรียนรู้ร่วมกันและการกระจายบทบาทความเป็นผู้นำในระดับหนึ่ง.1 บทบาทของ ศน. ถูกระบุว่าเป็นผู้นำและกระตุ้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้.1 การขยายผลไปสู่ PLC ข้ามสถานศึกษา และการจัด Symposium เป็นการส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการทำงานร่วมกันในวงกว้างขึ้น.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานแสดงให้เห็นถึงการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกัน และการมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการ PLC ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตอบโจทย์เกณฑ์ข้อ 1, 2 และส่วนหนึ่งของข้อ 4. อย่างไรก็ตาม การแสดง “ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (เกณฑ์ข้อ 3) ของ ศน. ในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนา การเอาชนะอุปสรรค หรือการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน อาจยังไม่ถูกนำเสนออย่างชัดเจนนัก. นอกจากนี้ “ผล” ของการเกิดเครือข่ายการทำงานร่วมกัน (เกณฑ์ข้อ 5) ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียนในระยะยาว หรือส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสถานศึกษา/เขตพื้นที่ ยังต้องการการนำเสนอหลักฐานและการวิเคราะห์ที่ชัดเจนมากขึ้น.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- โครงสร้างและกระบวนการทำงานของกลุ่ม PLC.1
- บทบาทของ ศน. ในการนำและกระตุ้น PLC.1
- การจัด PLC แบบข้ามสถานศึกษา.1
- การจัดกิจกรรม Symposium.1
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่เชี่ยวชาญ:
- ควรเพิ่มส่วนที่สะท้อนบทบาท “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ของ ศน. ให้ชัดเจนขึ้น เช่น การแสดงวิสัยทัศน์, การริเริ่มผลักดันโครงการ, การสื่อสารสร้างความเข้าใจ, การบริหารจัดการความขัดแย้งหรืออุปสรรค, การสร้างแรงจูงใจ, หรือการส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนของการพัฒนา.
- นำเสนอหลักฐานหรือการวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นถึง “ผลกระทบ” ที่เป็นรูปธรรมของ “เครือข่ายการทำงานร่วมกัน” ที่เกิดขึ้น (เช่น เครือข่าย PLC ข้ามโรงเรียน, เครือข่ายครูแกนนำ, เครือข่ายจาก Symposium) ว่าได้นำไปสู่การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูในวงกว้างขึ้น, การสร้างนวัตกรรมร่วมกัน, การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติในโรงเรียน, หรือส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในระยะยาวอย่างไรบ้าง.
ตารางที่ 1: สรุปการเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 1 กับหลักฐานในรายงาน ศน.สกาวรัตน์ และข้อเสนอแนะสู่ระดับเชี่ยวชาญ
| ตัวชี้วัด | ชื่อตัวชี้วัด | ส่วน/หน้า/ตารางใน ที่เกี่ยวข้อง | ตัวอย่างหลักฐานสำคัญ | ข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับสู่ เชี่ยวชาญพิเศษ |
| 1 | กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ประกันคุณภาพ/พัฒนาต่อเนื่อง) | หน้า 3, 10-14, 22, 25-26, 47 | รูปแบบ 3S3P/GROUPS, การดำเนินงาน 2 ภาคเรียน, กระบวนการ P-S-O-R ใน PLC | เน้นย้ำ “การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน” รูปแบบ/กระบวนการ และแสดง “ผล” ของการปรับเปลี่ยนนั้นให้ชัดเจน |
| 2 | คุณภาพของหลักสูตรและนักเรียน | หน้า 1, 9, 12-13, 24, ตาราง 4-44, ตาราง 53-58 | เป้าหมายพัฒนา Modern Teacher/Active Learning, การพัฒนาแผนใน PLC, ผลลัพธ์ผู้เรียน (ความเห็น, คุณลักษณะ, ทักษะ S21) | เชื่อมโยงการนิเทศกับการพัฒนา “หลักสูตร” หรือ “กิจกรรมการเรียนรู้ที่คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” ให้ชัดขึ้น และวิเคราะห์ผลจากการ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” กระบวนการนิเทศต่อคุณภาพผู้เรียน |
| 3 | การพัฒนาสมรรถนะ | หน้า 1, 6, 9, 12-14, 24, 106-107, ตาราง 2, ตาราง 51-52 | เป้าหมายพัฒนาสมรรถนะ 3 ด้าน, กระบวนการ GROUPS, ผลประเมินสมรรถนะครู, การอบรมต่อยอด | อธิบาย “การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน” ในวิธีการนิเทศเพื่อพัฒนาสมรรถนะ (เช่น เครื่องมือ, รูปแบบ Feedback, Platform) และแสดงผลจากการคิดค้น/ปรับเปลี่ยนนั้น |
| 4 | การสอนงานระบบพี่เลี้ยง (Coaching/Mentoring) | หน้า 13-14, 32, 106, ตาราง 4-44 | กระบวนการ Share, Observe, Reflect ใน PLC, บทบาท ศน. เป็นผู้นำ/กระตุ้น, การให้คำปรึกษาทางตรง, ตัวอย่างข้อเสนอแนะใน PLC | เพิ่มตัวอย่างการใช้เทคนิคโค้ช/พี่เลี้ยงที่ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน” เพื่อกระตุ้น “นวัตกรรม” ของครู และแสดงผลจากการโค้ช/พี่เลี้ยงลักษณะนี้ |
| 5 | การจัดการเรียนรู้/การแก้ปัญหาของผู้รับการนิเทศ | หน้า 7-13, 23-24, ตาราง 1-2, ตาราง 4-44, ตาราง 51-58 | ผลการ Scan ปัญหา, การกำหนดกลยุทธ์, การแก้ปัญหาผ่าน PLC, ผลลัพธ์ครูและนักเรียน | อธิบาย “การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน” วิธีการนิเทศ/เครื่องมือ เพื่อแก้ปัญหาที่พบ นอกเหนือจากการทำ PLC ปกติ และแสดงผลของวิธีการใหม่นั้น |
| 6 | ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม | หน้า 3, 9, 11, 13, 14, 24, 55 | รูปแบบ 3S3P/GROUPS, เครื่องมือ 9 รายการ, การใช้เทคโนโลยีใน PLC, เป้าหมายส่งเสริมครูสร้างนวัตกรรม | อธิบาย “ความเป็นนวัตกรรม” (การคิดค้น/ปรับเปลี่ยน/พัฒนา) ของรูปแบบ/เครื่องมือให้ชัดเจน และแสดงหลักฐานเชื่อมโยง “ผล” ของการใช้นวัตกรรมกับคุณภาพครู/ผู้เรียน |
| 7 | ระดมทรัพยากร เครือข่าย และความร่วมมือ | หน้า 11-12, 14, 47, 108-109, ตาราง 3, ตาราง 22 | โครงสร้างกลุ่ม PLC (มีผู้บริหารร่วม), การจัด PLC ข้ามสถานศึกษา, กิจกรรม Symposium | นำเสนอ “การคิดค้นวิธีการใหม่ๆ” ในการสร้างเครือข่าย หรือการระดมทรัพยากร “ภายนอก” ให้ชัดเจนขึ้น และแสดงผลของวิธีการใหม่ต่อคุณภาพผู้เรียน |
| 8 | ภาวะผู้นำแบบร่วมกัน (Shared Leadership) | หน้า 11-14, 32, 47, 108-109, ตาราง 3, ตาราง 22 | กระบวนการ PLC (ทำงานเป็นทีม, มีส่วนร่วม), บทบาท ศน. เป็นผู้นำ/กระตุ้น, PLC ข้ามสถานศึกษา, Symposium | สะท้อนบทบาท “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ของ ศน. ให้ชัดเจนขึ้น และนำเสนอ “ผลกระทบ” ของ “เครือข่ายการทำงานร่วมกัน” ที่เกิดขึ้นต่อการพัฒนาครู/คุณภาพผู้เรียนในระยะยาว |
การวิเคราะห์รายงานตามเกณฑ์การประเมิน ด้านที่ 2: ผลลัพธ์ในการพัฒนาการนิเทศการศึกษา (20 คะแนน)
ด้านที่ 2 มุ่งเน้นการประเมินผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินงานนิเทศตามที่ได้วางแผนและนำเสนอในด้านที่ 1 คะแนนเต็มของด้านนี้คือ 20 คะแนน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดละ 5 คะแนน.1 เกณฑ์การให้คะแนนสำหรับแต่ละตัวชี้วัด จะพิจารณาจากการปฏิบัติได้หรือปรากฏผลชัดเจนตามเกณฑ์พิจารณาย่อย 5 ข้อ โดยการปฏิบัติได้หรือปรากฏผลชัดเจน 1, 2, 3, 4, หรือ 5 ข้อ จะได้คะแนน 1, 2, 3, 4, หรือ 5 คะแนนตามลำดับ.1 การประเมินจะพิจารณาจากผลงานหรือการปฏิบัติของผู้รับการนิเทศ ที่สะท้อนคุณภาพการจัดการเรียนรู้/การจัดการศึกษา หรือผลการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา/หน่วยงาน ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นและส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน โดยพิจารณาจากไฟล์วีดิทัศน์นำเสนอผลลัพธ์ฯ.1
สำหรับระดับ เชี่ยวชาญ คาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูง ชัดเจน สามารถเชื่อมโยงกลับไปถึงกระบวนการนิเทศได้ และส่งผลกระทบในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญและอาจมีความยั่งยืน.1
ตัวชี้วัดที่ 1: ผลงานหรือผลการปฏิบัติเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: ผลงานหรือผลการปฏิบัติที่นำเสนอต้องเป็นไปตามข้อตกลงการพัฒนางาน (PA), เหมาะสมกับบริบทของผู้รับการนิเทศและสถานศึกษา, สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการจำเป็นในการนิเทศ, เกิดขึ้นจากการปฏิบัติร่วมกันของผู้เกี่ยวข้อง, และมีความเหมาะสม คุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน.1 ในระดับเชี่ยวชาญ การแสดงความเชื่อมโยงเชิงเหตุผลระหว่างกระบวนการนิเทศที่ ศน. ดำเนินการ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญ.
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รายงานได้นำเสนอผลลัพธ์หลัก 2 ส่วน คือ ผลการพัฒนาสมรรถนะครูผู้เข้าร่วมโครงการ 1 และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในชั้นเรียนของครูกลุ่มดังกล่าว.1 ผลลัพธ์เหล่านี้ (เช่น ครูมีสมรรถนะด้าน Pedagogy, Technology, Assessment สูงขึ้น; ผู้เรียนมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อ Active Learning, มีคุณลักษณะและทักษะ S21 ในระดับดี/ดีเยี่ยม) เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากการดำเนินงานนิเทศตามรูปแบบ 3S3P/GROUPS. ผลลัพธ์ด้านสมรรถนะครู สอดคล้องโดยตรงกับปัญหา/ความต้องการที่ระบุในส่วน Scan.1 กระบวนการ PLC ที่ใช้ก็เน้นการปฏิบัติร่วมกันระหว่าง ศน., ผู้ทรงคุณวุฒิ และครู.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานสามารถนำเสนอผลลัพธ์ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานนิเทศได้ค่อนข้างดี ตอบโจทย์เกณฑ์ทั้ง 5 ข้อได้ในระดับหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม การยืนยันอย่างหนักแน่นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นผล โดยตรง และ เพียงอย่างเดียว จากการนิเทศของ ศน. อาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากอาจมีปัจจัยอื่น ๆ (เช่น นโยบายโรงเรียน, การพัฒนาตนเองของครู, บริบทนักเรียน) ที่ส่งผลร่วมด้วย. การนำเสนอควรพยายามแสดงความเชื่อมโยงเชิงเหตุผล (Attribution) ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ว่ากระบวนการนิเทศที่ ศน. ดำเนินการนั้น มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกเหล่านี้อย่างไร.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- ผลการประเมินสมรรถนะครูที่แสดงการพัฒนาขึ้นหลังการนิเทศ.1
- ผลการประเมินด้านต่างๆ ของผู้เรียนในห้องเรียนของครูที่รับการนิเทศ.1
ข้อเสนอแนะเพื่อแสดงผลกระทบให้ชัดเจน:
- เพิ่มการอภิปรายในส่วนของรายงาน (Discussion) เพื่อสร้างความเชื่อมโยงเชิงเหตุผลที่หนักแน่นขึ้นระหว่าง “กิจกรรมการนิเทศ” ที่ทำ (Inputs/Activities) กับ “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้น (Outputs/Outcomes/Impact). อาจใช้ Logic Model หรือแผนภาพแสดงความเชื่อมโยงประกอบ.
- นำเสนอข้อมูลเชิงคุณภาพสนับสนุน เช่น คำสัมภาษณ์ หรือข้อความสะท้อนคิดจากครูหรือผู้บริหาร ที่ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงหรือผลลัพธ์ที่ดีขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการเข้าร่วมโครงการนิเทศ หรือการสนับสนุนจาก ศน. จริง.
- หากมีการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบกับกลุ่มครู/นักเรียนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ (กลุ่มควบคุม) หรือเปรียบเทียบกับข้อมูลฐานก่อนเริ่มโครงการอย่างชัดเจน จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อสรุปเกี่ยวกับผลกระทบจากการนิเทศได้มาก.
ตัวชี้วัดที่ 2: ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาครูในสถานศึกษา
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: การนิเทศต้องส่งผลให้ครูผู้รับการนิเทศเกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ได้แก่ มีทักษะการจัดการเรียนรู้/ทักษะวิชาการ/ทักษะเกี่ยวกับหลักสูตรดีขึ้น, เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน (PLC), มีทักษะการทำงานเป็นทีมและความสามัคคี, แสดงภาวะผู้นำร่วมในการพัฒนาสถานศึกษา, และมีความทุ่มเท ยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพ.1 ระดับเชี่ยวชาญต้องการเห็นผลกระทบที่ชัดเจนและรอบด้านต่อตัวครู.
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รายงานมีข้อมูลเชิงปริมาณที่ชัดเจนแสดงการพัฒนา “ทักษะการจัดการเรียนรู้” ของครู ผ่านผลการประเมินสมรรถนะ 3 ด้าน (Pedagogy, Technology, Assessment) ซึ่งพบว่าครูทุกคนผ่านเกณฑ์ และส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี.1 การดำเนินงานเน้น “กระบวนการ PLC” เป็นหลัก ซึ่งส่งเสริมให้ “เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน” และ “ทักษะการทำงานเป็นทีม” โดยตรง.1 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมและยกย่องครู (ขั้น Proud & Develop) เช่น การมอบเกียรติบัตรครูแกนนำต้นแบบ, การจัดเวที Symposium, และการที่ครูได้รับรางวัลจากการนำเสนอ Best Practice ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จ ความมุ่งมั่น และอาจรวมถึง “ภาวะผู้นำร่วม” ในระดับหนึ่ง.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานนำเสนอหลักฐานที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและสอดคล้องกับเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดนี้ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะ (สมรรถนะ) และการเกิดเครือข่าย PLC. การมีครูได้รับรางวัล Best Practice ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดี. อย่างไรก็ตาม มิติเกี่ยวกับ “ภาวะผู้นำร่วมของครูในการพัฒนาสถานศึกษา” และ “ความทุ่มเท ยึดมั่นในจรรยาบรรณ” อาจยังไม่ได้ถูกนำเสนออย่างชัดเจน หรือวัดผลโดยตรงนัก.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- ผลการประเมินสมรรถนะครูที่ผ่านเกณฑ์ 100%.1
- การดำเนินงานผ่านกลุ่ม PLC จำนวน 18 กลุ่ม (เทอม 2/64) และ 22 กลุ่ม (เทอม 1/65).1
- การมอบเกียรติบัตรครูแกนนำต้นแบบ.1
- การที่ครูได้รับรางวัล Best Practice จากเวที Symposium.1
ข้อเสนอแนะเพื่อแสดงผลกระทบให้ชัดเจน:
- เพิ่มข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อเสริมข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น คำสัมภาษณ์ หรือกรณีศึกษาของครูที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในวิธีคิด, การทำงานร่วมกับเพื่อนครูที่ดีขึ้น, ความรู้สึกเป็นเจ้าของในการพัฒนางาน, หรือการนำความรู้/ทักษะไปขยายผลต่อในโรงเรียน (ซึ่งอาจสะท้อนภาวะผู้นำร่วม).
- หากมีข้อมูลหรือตัวอย่างที่สะท้อนถึงความทุ่มเท หรือการยึดมั่นในจรรยาบรรณของครูที่เพิ่มขึ้น ควรนำมาเสนอประกอบ.
- วิเคราะห์ให้เห็นว่าเครือข่าย PLC ที่เกิดขึ้น มีการทำงานต่อเนื่อง หรือส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับกลุ่มสาระ หรือโรงเรียนอย่างไรบ้าง.
ตัวชี้วัดที่ 3: ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาผู้เรียน
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: การนิเทศต้องส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ได้แก่ ทักษะพื้นฐาน (การสื่อสาร, การเรียนรู้, คุณลักษณะที่พึงประสงค์, ทักษะชีวิต, ทักษะการคิด), คุณภาพชีวิต/สุขภาวะ/พัฒนาการด้านต่างๆ, ทักษะการทำงานบูรณาการ (Cross-functional Skills), โดยผลกระทบต้องเกิดกับผู้เรียนส่วนใหญ่ และมีความต่อเนื่อง ยั่งยืน ส่งผลในระยะยาว.1 ระดับเชี่ยวชาญต้องการเห็นผลกระทบต่อผู้เรียนที่ชัดเจน วัดผลได้ รอบด้าน และมีความยั่งยืน.
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รายงานได้นำเสนอผลการประเมินผู้เรียนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ของครู 1, 2) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1, และ 3) ผลการประเมินทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills).1 ข้อมูลถูกนำเสนอแยกตามภาคเรียน (2/2564 และ 1/2565). ผลการประเมินโดยรวมแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นเชิงบวกในระดับมากที่สุดต่อการจัดการเรียนรู้ของครู และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับดี/ดีเยี่ยม หรือ มาก/มากที่สุด เป็นส่วนใหญ่. ข้อมูลนี้น่าจะครอบคลุมผู้เรียนส่วนใหญ่ที่เรียนกับครูที่เข้าร่วมโครงการ.
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานมีการวัดผลลัพธ์ที่ผู้เรียนในหลายมิติที่สอดคล้องกับเกณฑ์ (เช่น คุณลักษณะ, ทักษะ S21 ซึ่งรวมถึงการสื่อสาร การคิด การทำงานร่วมกัน) และผลลัพธ์ออกมาในทิศทางบวก ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง. อย่างไรก็ตาม การนำเสนอข้อมูลเป็นภาพรวม ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง (Snapshot) ในแต่ละภาคเรียน อาจยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึง “ความต่อเนื่อง” หรือ “ความยั่งยืน” ของผลลัพธ์อย่างชัดเจน. นอกจากนี้ การวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกต่อผู้เรียนกลุ่มต่างๆ (เช่น กลุ่มเก่ง/อ่อน, กลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ) หรือการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนา “ทักษะการทำงานบูรณาการ” ที่ซับซ้อน อาจยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก.
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- ผลสำรวจความคิดเห็นผู้เรียนต่อ Active Learning (ค่าเฉลี่ย 4.60 ทั้งสองภาคเรียน).1
- ผลประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ระดับดีเยี่ยมเฉลี่ย 83.21% และ 84.94%).1
- ผลประเมินทักษะ S21 (ระดับมากที่สุดเฉลี่ย 85.34% และ 85.32%).1
ข้อเสนอแนะเพื่อแสดงผลกระทบให้ชัดเจน:
- หากมีข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (เช่น O-NET, ผลการเรียนเฉลี่ย) ของผู้เรียนกลุ่มนี้ ควรนำมาเสนอประกอบ เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบที่ครอบคลุมขึ้น.
- พยายามวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ผู้เรียนในระยะยาว หากมีข้อมูลเปรียบเทียบก่อน-หลัง หรือเปรียบเทียบระหว่างภาคเรียนอย่างมีนัยสำคัญ.
- อภิปรายถึงกลไก หรือปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้ผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนมีความ “ต่อเนื่องและยั่งยืน” ต่อไปได้อย่างไร.
- หากเป็นไปได้ อาจนำเสนอกรณีศึกษา หรือตัวอย่างผลงานของผู้เรียนที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาทักษะที่ซับซ้อน หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่เด่นชัด.
ตัวชี้วัดที่ 4: ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงคุณภาพสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษา
ความคาดหวังระดับเชี่ยวชาญ: การนิเทศต้องส่งผลกระทบในระดับที่กว้างขึ้น คือ ทำให้ผลลัพธ์ที่ผู้เรียนดีขึ้น, ผู้รับบริการอื่น ๆ (เช่น ผู้ปกครอง ชุมชน) มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น, เกิดผลการทำงานร่วมกันระหว่างครู-ผู้บริหาร-ศน. เพื่อพัฒนาผู้เรียน, ปรากฏผลการพัฒนาสถานศึกษาในด้านวิชาการ, และสถานศึกษาได้รับการยอมรับในคุณภาพจากหน่วยงาน/องค์กรภายนอก.1 ระดับเชี่ยวชาญต้องการเห็นผลกระทบที่ขยายวงจากระดับบุคคล (ครู/นักเรียน) ไปสู่ระดับองค์กร (สถานศึกษา/หน่วยงาน).
การวิเคราะห์รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1:
หลักฐาน: รายงานได้ระบุเป้าหมายการพัฒนาในระดับสถานศึกษาไว้ 2 ข้อ คือ 1) สถานศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยสูงกว่าค่าเป้าหมาย และ 2) ครูได้รับการส่งเสริมให้ผลิตผลงานนวัตกรรม.1 กระบวนการ PLC ที่ใช้ มีองค์ประกอบของ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ซึ่งอาจเป็นผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้แทนเข้าร่วมด้วย 1 ซึ่งสะท้อนถึง “การทำงานร่วมกัน” ในระดับหนึ่ง. การจัดกิจกรรม Symposium เป็นการเผยแพร่ผลงานสู่ภายนอก และการที่ครูได้รับรางวัลก็ถือเป็นการสร้าง “การยอมรับ” ในระดับบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสถานศึกษาได้.1
การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์เชี่ยวชาญ: รายงานมีการกล่าวถึงเป้าหมายระดับสถานศึกษา และมีกิจกรรมที่แสดงการทำงานร่วมกันและการเผยแพร่ผลงาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี. อย่างไรก็ตาม รายงานยังขาดการนำเสนอข้อมูลหรือหลักฐานที่ชัดเจน ที่จะยืนยันว่าการนิเทศครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อ “คุณภาพสถานศึกษาโดยรวม” อย่างเป็นรูปธรรม. เช่น ยังไม่มีข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของ “สถานศึกษา” เปรียบเทียบกับค่าเป้าหมาย, ไม่มีการวิเคราะห์ว่าการนิเทศได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย/แนวปฏิบัติ/วัฒนธรรมองค์กรใน “สถานศึกษา” อย่างไร, หรือไม่มีหลักฐานการยอมรับจากภายนอกที่เกิดขึ้นกับ “สถานศึกษา” โดยตรง (นอกเหนือจากรางวัลระดับบุคคลของครู).
ตัวอย่างรูปธรรมจาก 1:
- เป้าหมายระดับสถานศึกษาด้านผลสัมฤทธิ์และนวัตกรรม.1
- การมีผู้บริหาร/ผู้แทน (ผู้ทรงคุณวุฒิ) เข้าร่วมในกลุ่ม PLC.1
- การจัดกิจกรรม Symposium เพื่อเผยแพร่ผลงาน.1
ข้อเสนอแนะเพื่อแสดงผลกระทบให้ชัดเจน:
- หากมีข้อมูล ควรนำเสนอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (เช่น O-NET, เกรดเฉลี่ย) ในวิชาภาษาไทยของ “สถานศึกษา” ที่เข้าร่วมโครงการ เปรียบเทียบกับค่าเป้าหมาย หรือเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า หรือค่าเฉลี่ยระดับเขต/ประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นผลกระทบระดับสถานศึกษา.
- นำเสนอหลักฐาน หรือการวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นว่า การนิเทศได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน “สถานศึกษา” อย่างไรบ้าง เช่น การนำรูปแบบ PLC ไปปรับใช้ในกลุ่มสาระอื่น, การปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษา, การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ Active Learning, หรือการเปลี่ยนแปลงในผลการประเมินคุณภาพภายใน/ภายนอกของสถานศึกษา.
- รวบรวมหลักฐานการยอมรับจากภายนอกที่เกิดขึ้นกับ “สถานศึกษา” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาคุณภาพการสอนภาษาไทย เช่น รางวัลที่สถานศึกษาได้รับ, การได้รับเชิญเป็นแหล่งเรียนรู้, หรือเสียงสะท้อนจากผู้ปกครอง/ชุมชน.
- หากยังไม่มีข้อมูลเหล่านี้ อาจระบุเป็นข้อเสนอแนะในการติดตามผลระยะต่อไป ว่าจะมีการประเมินผลกระทบในระดับสถานศึกษาอย่างไร.
ตารางที่ 2: สรุปการเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 2 กับหลักฐานในรายงาน ศน.สกาวรัตน์ และข้อเสนอแนะ
| ตัวชี้วัด | ชื่อตัวชี้วัด | ส่วน/หน้า/ตารางใน ที่เกี่ยวข้อง | ตัวอย่างผลลัพธ์สำคัญ | ข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะเพื่อแสดงผลกระทบให้ชัดเจน |
| 1 | ผลงาน/ผลการปฏิบัติเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการนิเทศของ ศน. | ตาราง 51-58 | ผลสมรรถนะครูที่เพิ่มขึ้น, ผลประเมินผู้เรียนเชิงบวก | เพิ่มการอภิปรายเชื่อมโยงเหตุผล (Attribution), ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพสนับสนุน (คำสัมภาษณ์), หรือข้อมูลเปรียบเทียบ (ถ้ามี) |
| 2 | ผลงาน/ผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาครูในสถานศึกษา | หน้า 11-14, 47, 108-110, ตาราง 3, 22, 51-52, ภาพ 5, 7-9 | ผลสมรรถนะครูดีขึ้น, เกิดเครือข่าย PLC, ครูได้รับรางวัล/การยกย่อง | เพิ่มข้อมูลเชิงคุณภาพ (สัมภาษณ์/กรณีศึกษา) เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด/การทำงาน/ภาวะผู้นำ, วิเคราะห์ผลกระทบของเครือข่าย PLC |
| 3 | ผลงาน/ผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาผู้เรียน | ตาราง 53-58 | ผู้เรียนมีความเห็นเชิงบวกต่อ Active Learning, มีคุณลักษณะ/ทักษะ S21 ระดับดี/ดีเยี่ยม | เพิ่มการวิเคราะห์แนวโน้ม/ความยั่งยืน, นำเสนอผลสัมฤทธิ์ (ถ้ามี), วิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกรายกลุ่ม หรือนำเสนอกรณีศึกษา/ผลงานผู้เรียน |
| 4 | ผลงาน/ผลการปฏิบัติส่งผลถึงคุณภาพสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษา | หน้า 9, 24, 108-109, ตาราง 3, 22 | เป้าหมายระดับสถานศึกษา, ผู้บริหารร่วม PLC, การจัด Symposium | นำเสนอข้อมูลผลกระทบระดับ “สถานศึกษา” ให้ชัดเจน (ผลสัมฤทธิ์, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย/แนวปฏิบัติ, ผลประเมินคุณภาพ, การยอมรับจากภายนอก), หากไม่มี ให้ระบุเป็นแนวทางการติดตามผลต่อไป |
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับการเขียนรายงานและการนำเสนอ
เพื่อให้การยื่นขอรับการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญประสบความสำเร็จ นอกจากการดำเนินงานนิเทศให้เกิดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพแล้ว การจัดทำรายงานและการนำเสนอผลงานให้สอดคล้องกับเกณฑ์และสะท้อนความเชี่ยวชาญได้อย่างชัดเจน ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การเขียน (Writing Strategies)
เน้นการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ไม่ใช่เพียงการรายงาน: รายงานระดับเชี่ยวชาญต้องก้าวข้ามการ “เล่า” ว่าทำอะไร ไปสู่การ “วิเคราะห์” ว่า ทำไม ถึงเลือกทำแนวทางนี้ (Rationale) โดยอ้างอิงหลักการ ทฤษฎี หรือข้อมูลเชิงประจักษ์, ผลลัพธ์เป็นอย่างไร (Results) โดยนำเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือ, ปัจจัยใดส่งผลต่อความสำเร็จหรือข้อจำกัด (Analysis), และ ได้เรียนรู้อะไร สามารถนำไปพัฒนาต่อยอด หรือให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายได้อย่างไร (Reflection/Implication). ควรมีการเชื่อมโยงผลการดำเนินงานกลับไปยังแนวคิด ทฤษฎี หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงความลุ่มลึกทางวิชาการ (ดังที่ควรเพิ่มเติมในส่วน Discussion ของรายงาน ศน.สกาวรัตน์).
ชูประเด็น “ความเป็นเชี่ยวชาญ” อย่างชัดเจน: ใช้ภาษาและนำเสนอเนื้อหาที่สะท้อนคุณลักษณะของศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญตามเกณฑ์ ก.ค.ศ. 1 เช่น การแสดงให้เห็นถึง การริเริ่ม (Initiative) โครงการหรือแนวทางใหม่, การคิดค้น (Inventiveness) รูปแบบ/นวัตกรรม, การปรับเปลี่ยน (Adaptation) แนวทางให้เหมาะสมกับบริบทที่ซับซ้อน, ความเป็นผู้นำ (Leadership) ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง, ความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem-Solving) อย่างเป็นระบบ, การสร้างผลกระทบเชิงระบบ (Systemic Impact) ที่ขยายวงกว้าง, และ การคำนึงถึงความยั่งยืน (Sustainability) ของผลลัพธ์. ต้องทำให้กรรมการเห็นชัดเจนว่าผลงานที่นำเสนอนั้น เหนือกว่า การปฏิบัติงานตามมาตรฐานในระดับชำนาญการพิเศษ.
โครงสร้างเชิงตรรกะและเชื่อมโยง: จัดลำดับเนื้อหาในรายงานให้มีความต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผล ตั้งแต่การระบุปัญหา/ความต้องการ, การนำเสนอแนวคิด/ทฤษฎีรองรับ, การอธิบายวิธีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับปัญหาและแนวคิด, การนำเสนอผลลัพธ์ที่ตอบวัตถุประสงค์, ไปจนถึงการอภิปรายผลที่เชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกันอย่างสมเหตุสมผล.
ใช้หลักฐานสนับสนุนที่น่าเชื่อถือและหลากหลาย: ทุกข้อกล่าวอ้าง หรือการนำเสนอผลลัพธ์ ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence) รองรับอย่างชัดเจน. ควรใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ (เช่น สถิติ, คะแนนเฉลี่ย, ร้อยละ, ผลการทดสอบ) และเชิงคุณภาพ (เช่น กรณีศึกษา, ตัวอย่างผลงาน, คำสัมภาษณ์, บันทึกการสังเกต, ข้อความสะท้อนคิด) เพื่อให้เห็นภาพที่สมบูรณ์และรอบด้าน. การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล (เช่น ตารางที่, รูปภาพที่, ภาคผนวก) ต้องชัดเจนและถูกต้อง (ดังที่รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1 ทำได้ดีในการอ้างอิงตารางจำนวนมาก).
การจัดทำรายงาน PDF (PDF Report Preparation – for Side 1 evidence)
ตามข้อกำหนดของ ก.ค.ศ. รายงานผลการดำเนินการฯ ต้องจัดทำในรูปแบบไฟล์ PDF.1 ข้อควรคำนึงในการจัดทำมีดังนี้:
- ความสมบูรณ์ของเนื้อหา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายงานมีองค์ประกอบครบถ้วนตามโครงสร้างที่แนะนำข้างต้น หรือตามรูปแบบมาตรฐานของรายงานทางวิชาการ และมีเนื้อหาครอบคลุมทุกตัวชี้วัดของด้านที่ 1 และเชื่อมโยงไปยังด้านที่ 2.
- ความชัดเจนและความถูกต้อง: นำเสนอข้อมูลด้วยภาษาที่เป็นทางการ ถูกต้องตามหลักวิชาการและหลักภาษา จัดรูปแบบให้อ่านง่าย สบายตา มีหัวข้อชัดเจน ใช้ขนาดและรูปแบบตัวอักษรที่เหมาะสม.
- การอ้างอิง (ถ้ามี): หากมีการนำแนวคิด ทฤษฎี รูปแบบ หรือข้อมูลจากแหล่งอื่นมาใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาตามรูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากล (เช่น APA) เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือและจริยธรรมทางวิชาการ.
- การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ: ใช้ตาราง กราฟ แผนภาพ หรือรูปภาพ ประกอบการอธิบายข้อมูลที่ซับซ้อน หรือเพื่อเน้นย้ำประเด็นสำคัญ ควรจัดรูปแบบให้ชัดเจน มีคำอธิบายประกอบที่ครบถ้วน และสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง (รายงาน ศน.สกาวรัตน์ 1 มีการใช้ตารางจำนวนมาก ซึ่งช่วยในการนำเสนอข้อมูล แต่บางตารางอาจยาวเกินไป ควรพิจารณาเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญ หรือสรุปเป็นกราฟ/แผนภาพเพิ่มเติม).
- ภาคผนวก: เลือกแนบเฉพาะเอกสารหลักฐานที่จำเป็นและสำคัญจริงๆ เพื่อสนับสนุนเนื้อหาในรายงาน ควรจัดหมวดหมู่และระบุลำดับให้ชัดเจน ง่ายต่อการอ้างอิง.
การจัดทำไฟล์วีดิทัศน์ (Video Presentation Guidance)
ก.ค.ศ. กำหนดให้มีการนำเสนอผลงานผ่านไฟล์วีดิทัศน์ 2 ไฟล์.1 การจัดทำวีดิทัศน์ที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่องทางให้กรรมการเห็นภาพการดำเนินงานและผลลัพธ์ได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงได้เห็นบุคลิกภาพและทักษะการสื่อสารของผู้ขอฯ.
ไฟล์ที่ 1 (นำเสนอการพัฒนาฯ – เชื่อมโยงด้านที่ 1):
เนื้อหา: วีดิทัศน์นี้ควรสรุปภาพรวมของการพัฒนางานนิเทศที่นำเสนอในรายงาน PDF โดยเน้นแสดงให้เห็นถึง:
- สภาพปัญหา ที่มา หรือแรงบันดาลใจ: ทำไมจึงต้องทำเรื่องนี้?
- แผนพัฒนา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่ใช้/พัฒนาขึ้น: ทำอะไร อย่างไร? มีความโดดเด่นหรือเป็นนวัตกรรมอย่างไร? (เชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 1 โดยเฉพาะข้อ 1, 4, 6)
- กระบวนการนำไปใช้: ดำเนินการอย่างไร? มีการแก้ปัญหา/ปรับเปลี่ยนระหว่างทางหรือไม่? (เชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 1 โดยเฉพาะข้อ 1, 5)
- การสร้างเครือข่าย/ความร่วมมือ/ภาวะผู้นำ: มีการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างไร? (เชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 1 ข้อ 7, 8)
- ผลลัพธ์เบื้องต้นที่สะท้อนกลับไปที่กระบวนการ (อาจนำเสนอสั้นๆ ก่อนเน้นในไฟล์ที่ 2): สิ่งที่ทำส่งผลอย่างไรบ้าง?
- ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามมาตรฐานวิทยฐานะเชี่ยวชาญ: เน้นย้ำว่าสิ่งที่ทำสะท้อนความเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างไร (เช่น การคิดค้น ปรับเปลี่ยน การแก้ปัญหาซับซ้อน การนำ).
รูปแบบ: นำเสนออย่างกระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น อาจใช้สไลด์นำเสนอที่สรุปประเด็นสำคัญ, ภาพกิจกรรม, คลิปสั้นๆ จากการดำเนินงาน (เช่น บรรยากาศ PLC, การใช้สื่อ/นวัตกรรม), หรือการสาธิต (ถ้ามี) ประกอบการบรรยาย. ควรเป็นการนำเสนอที่ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) ให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยง.
เวลา: ตรวจสอบข้อกำหนดเรื่องความยาวของวีดิทัศน์จาก ก.ค.ศ. (หากมีการกำหนด) และวางแผนการนำเสนอให้รัดกุม ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ.
ไฟล์ที่ 2 (นำเสนอผลลัพธ์ฯ – ด้านที่ 2):
เนื้อหา: วีดิทัศน์นี้ต้องเน้นนำเสนอ “ผลงานหรือผลการปฏิบัติ” ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึง “การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” หรือ “การพัฒนามากขึ้น” อันเป็นผลมาจากการดำเนินงานนิเทศที่เสนอในด้านที่ 1 โดยต้องเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดทั้ง 4 ของด้านที่ 2:
- ผลลัพธ์ที่เกิดจากการนิเทศของ ศน. (ตัวชี้วัด 1): สรุปผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้น.
- ผลกระทบต่อการพัฒนาครู (ตัวชี้วัด 2): แสดงหลักฐานการเปลี่ยนแปลงของครู (ทักษะ, การทำงาน, PLC).
- ผลกระทบต่อการพัฒนาผู้เรียน (ตัวชี้วัด 3): แสดงหลักฐานการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน (ทักษะ, คุณลักษณะ, ผลสัมฤทธิ์).
- ผลกระทบต่อคุณภาพสถานศึกษา/หน่วยงาน (ตัวชี้วัด 4): แสดงหลักฐานการเปลี่ยนแปลงในระดับสถานศึกษา (ถ้ามี).
รูปแบบ: ควรใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มานำเสนอให้เห็นภาพชัดเจน เช่น กราฟแสดงข้อมูลเปรียบเทียบ Before-After หรือแนวโน้มการพัฒนา, ภาพผลงานนักเรียน/ครู, คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่แสดงพฤติกรรม/ทักษะที่เปลี่ยนแปลงไป, คลิปสัมภาษณ์สั้นๆ จากครู ผู้บริหาร หรือนักเรียน เพื่อยืนยันผลลัพธ์. การนำเสนอควรเน้น “ผลกระทบ” (Impact) ที่เกิดขึ้น.
เวลา: ตรวจสอบข้อกำหนดเรื่องความยาว และบริหารเวลาในการนำเสนอผลลัพธ์แต่ละด้านให้เหมาะสม.
คุณภาพโดยรวม:
ด้านเทคนิค: ไฟล์วีดิทัศน์ทั้งสองควรมีคุณภาพของภาพและเสียงที่คมชัด ตัดต่ออย่างราบรื่น ไม่ยาวหรือสั้นจนเกินไป.
ด้านการนำเสนอ: ผู้ขอฯ ควรนำเสนอด้วยความมั่นใจ ใช้ภาษาที่ชัดเจน เป็นทางการ และสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในงานที่ทำและความเป็นมืออาชีพ.
บทสรุป
การขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเป็นศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เป็นกระบวนการที่ท้าทาย แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา. รายงานผลการปฏิบัติงานและการนำเสนอผลงาน ถือเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารความเชี่ยวชาญให้คณะกรรมการประเมินได้รับทราบและพิจารณา.
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
จากผลการวิเคราะห์เกณฑ์การประเมิน 1 และกรณีศึกษาจากรายงานของ ศน.สกาวรัตน์ 1 สามารถสรุปปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประเมินระดับเชี่ยวชาญได้ ดังนี้:
- ความลุ่มลึกทางวิชาการและการออกแบบที่เป็นระบบ: การดำเนินงานนิเทศต้องตั้งอยู่บนฐานแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่หนักแน่น มีการวางแผนและออกแบบกระบวนการอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และมีเหตุผลรองรับ.
- การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์: สามารถวิเคราะห์ปัญหาการจัดการศึกษาที่ซับซ้อน และแสดงให้เห็นถึง “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม” แนวทางการนิเทศที่เหมาะสมกับบริบท เพื่อแก้ไขปัญหาหรือยกระดับคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
- นวัตกรรมและความเป็นผู้นำ: แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาหรือประยุกต์ใช้สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการนิเทศอย่างสร้างสรรค์ และแสดงบทบาทภาวะผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สร้างเครือข่าย และส่งเสริมการทำงานร่วมกัน.
- หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ: ทุกขั้นตอนของการดำเนินงานและผลลัพธ์ที่นำเสนอ ต้องมีข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ (ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ) รองรับอย่างเพียงพอและน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้.
- ผลกระทบที่ชัดเจน ยั่งยืน และขยายผล: ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนิเทศต้องมีความชัดเจน วัดผลได้ และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นจริงต่อครู ผู้เรียน และควรขยายผลไปถึงระดับสถานศึกษา/หน่วยงาน โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องและยั่งยืน.
ข้อคิดสำหรับผู้ขอรับการประเมิน
- การทำงานอย่างต่อเนื่องและบันทึกร่องรอย: ความเชี่ยวชาญเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ควรมีการบันทึกข้อมูล ร่องรอย หลักฐานการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบสม่ำเสมอ เพื่อนำมาใช้ในการเขียนรายงานและนำเสนอ.
- การสะท้อนผลการปฏิบัติงาน (Reflective Practice): การเป็นผู้เชี่ยวชาญต้องมีความสามารถในการสะท้อนคิด วิเคราะห์การทำงานของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อค้นหาจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา และนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสะท้อนคิดนี้ควรปรากฏอยู่ในการอภิปรายผลของรายงานด้วย.
- การเตรียมการนำเสนอ: การนำเสนอผ่านวีดิทัศน์เป็นโอกาสสำคัญ ควรเตรียมการอย่างดี ทั้งด้านเนื้อหา รูปแบบ และทักษะการนำเสนอ เพื่อสื่อสารผลงานและความเชี่ยวชาญให้กรรมการเห็นได้อย่างชัดเจนและน่าประทับใจภายในเวลาที่กำหนด.
ผลการใช้รายงาน ศน.สกาวรัตน์ เป็นฐานในการเรียนรู้
รายงานของ ศน.สกาวรัตน์ 1 ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดทำรายงานผลการนิเทศที่มีโครงสร้างเป็นระบบ มีการนำเสนอรูปแบบและกระบวนการดำเนินงานที่ชัดเจน และมีการรวบรวมข้อมูลผลลัพธ์ทั้งในส่วนของครูและผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดทำรายงานได้เป็นอย่างดี. อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มุ่งหวังจะขอรับการประเมินในระดับ เชี่ยวชาญ ควรนำข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ไปปรับใช้ เพื่อยกระดับการนำเสนอในประเด็นสำคัญที่เกณฑ์ระดับเชี่ยวชาญเน้นย้ำ ได้แก่ การแสดงให้เห็นถึง “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม” การแสดง “ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง” การสร้าง “นวัตกรรม” และการแสดง “ผลกระทบ” ที่ชัดเจน ขยายผล และยั่งยืน เพื่อให้รายงานและการนำเสนอสามารถสะท้อนความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ตามความคาดหวังของ ก.ค.ศ. ได้อย่างสมบูรณ์.
Works cited

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdzvHz1wirkuQUI5Ax4R8fDrQ9qqTKYAPjqP8OC-i4MXYRjdw/viewform
ตัวอย่างแบบฟอร์มรายงานผลการปฏิบัติงานเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชา
ตามหลักเกณฑ์ ว 11/2564
โดย
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
สพม.นครราชสีมา

หน้าปก
ชื่อ-สกุล ผู้ขอรับการประเมิน [ระบุชื่อ-นามสกุล]
ตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะปัจจุบัน [ระบุวิทยฐานะปัจจุบัน]
สังกัด [ระบุหน่วยงานต้นสังกัด]
คำนำ
- กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของการจัดทำรายงานฉบับนี้
- ระบุวัตถุประสงค์หลักของรายงาน (เช่น เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานตาม PA ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนา…)
- กล่าวขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
- แสดงความคาดหวังว่ารายงานจะเป็นประโยชน์อย่างไร
- ลงชื่อผู้จัดทำ
สารบัญ
- แสดงหัวข้อหลักและหัวข้อย่อยทั้งหมด พร้อมเลขหน้า
รายการตาราง (ถ้ามี)
- แสดงชื่อตารางทั้งหมด พร้อมเลขหน้า
รายการรูปภาพ/แผนภาพ (ถ้ามี)
- แสดงชื่อรูปภาพ/แผนภาพทั้งหมด พร้อมเลขหน้า
ส่วนที่ 1
ข้อมูลเบื้องต้นและบริบทการดำเนินงาน
(ปรับหัวข้อให้สอดคล้องกับเนื้อหา อาจเทียบเคียงกับส่วนที่ 1 ของ ศน.สกาวรัตน์)
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
- อธิบายบริบทของหน่วยงาน/พื้นที่รับผิดชอบ
- ระบุสภาพปัญหา หรือความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา/การนิเทศ ที่นำไปสู่การดำเนินงานตาม PA ในเรื่องนี้ (อ้างอิงข้อมูลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม, ผลการประเมิน, นโยบาย ฯลฯ)
- (ข้อเสนอแนะสำหรับระดับเชี่ยวชาญ) วิเคราะห์ปัญหาให้เห็นความซับซ้อน และเชื่อมโยงกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
วัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน
ระบุวัตถุประสงค์หลักและวัตถุประสงค์เฉพาะของการพัฒนางานนิเทศในเรื่องนี้ให้ชัดเจน สอดคล้องกับปัญหา วัดผลได้ 1
เป้าหมายการพัฒนา (เชิงปริมาณและคุณภาพ)
ระบุเป้าหมายที่คาดหวังให้เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ครู ผู้เรียน สถานศึกษา (อ้างอิงจากตัวอย่างเป้าหมาย ด้านครู นักเรียน สถานศึกษา ของ ศน.สกาวรัตน์)
ขอบเขตของการดำเนินงาน
ระบุขอบเขตด้านเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่ และระยะเวลาที่ดำเนินการ 1
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (สำคัญสำหรับระดับเชี่ยวชาญ)
- นำเสนอแนวคิด/ทฤษฎีที่ใช้เป็นฐานในการออกแบบการนิเทศ หรือพัฒนานวัตกรรม (เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้, รูปแบบการนิเทศ, แนวคิด PLC, TPACK ฯลฯ อ้างอิงจากที่ ศน.สกาวรัตน์ กล่าวถึง)
- สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนความสำคัญของปัญหา หรือแนวทางที่เลือกใช้
- (ข้อเสนอแนะ) แสดงให้เห็นถึงการสังเคราะห์แนวคิด/ทฤษฎี สู่กรอบแนวคิดในการดำเนินงาน (Conceptual Framework) ของตนเอง
นิยามศัพท์เฉพาะ (ถ้ามี)
อธิบายความหมายของคำศัพท์สำคัญที่ใช้ในรายงาน
ส่วนที่ 2
วิธีการดำเนินงาน/กระบวนการพัฒนางานนิเทศ
(เทียบเคียงกับส่วนที่ 1 และ 2 ของ ศน.สกาวรัตน์ ที่อธิบายรูปแบบและขั้นตอน)
รูปแบบ/นวัตกรรม/กระบวนการนิเทศที่ใช้
- อธิบายรูปแบบการนิเทศ หรือนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นอย่างละเอียด (เช่น รูปแบบ 3S3P Supervisory Model และ GROUPS Model ของ ศน.สกาวรัตน์)
- (ข้อเสนอแนะสำหรับระดับเชี่ยวชาญ) ชี้ให้เห็นจุดเด่น ความเป็นนวัตกรรม หรือส่วนที่ “คิดค้น/ปรับเปลี่ยน/พัฒนา” ขึ้นเอง ว่าแตกต่างหรือดีกว่าแนวทางเดิมอย่างไร
กลุ่มเป้าหมาย
ระบุรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วม (จำนวน, ลักษณะเฉพาะ ฯลฯ)
เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและการเก็บรวบรวมข้อมูล
- ระบุเครื่องมือที่ใช้ (เช่น แบบสังเกต, แบบประเมิน, แบบสอบถาม)
- (ข้อเสนอแนะ) หากมีการพัฒนาเครื่องมือเอง ควรระบุขั้นตอนการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ (ถ้ามี)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
- อธิบายลำดับขั้นตอนการดำเนินงานตามรูปแบบที่ออกแบบไว้อย่างละเอียด เป็นระบบ (เช่น ขั้นตอน Scan, Set Strategies, Start to Improvement (GROUPS), Performance Assessment, Promote, Proud & Develop ของ ศน.สกาวรัตน์)
- (ข้อเสนอแนะ) ในแต่ละขั้นตอน ควรแทรกการนำเสนอที่สะท้อนตัวชี้วัดด้านที่ 1 (ทักษะการวางแผนฯ) เช่น การวิเคราะห์ปัญหา (ตัวชี้วัด 1, 5), การใช้กลยุทธ์/นวัตกรรม (ตัวชี้วัด 1, 6), การเป็นพี่เลี้ยง/โค้ช (ตัวชี้วัด 4), การสร้างเครือข่าย (ตัวชี้วัด 7), ภาวะผู้นำ (ตัวชี้วัด 8)
การเก็บรวบรวมข้อมูล
อธิบายวิธีการเก็บข้อมูล (เชิงปริมาณ/คุณภาพ, ช่วงเวลา, ผู้เก็บข้อมูล)
การวิเคราะห์ข้อมูล
อธิบายสถิติหรือวิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ส่วนที่ 3
ผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์
(เทียบเคียงกับส่วนที่ 2 ของ ศน.สกาวรัตน์ ที่นำเสนอผลในแต่ละขั้นตอนและผลลัพธ์)
ผลการดำเนินงานตามขั้นตอน/กิจกรรม
- นำเสนอผลที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการนิเทศ (อาจนำเสนอในลักษณะคล้ายตาราง 4-44 ของ ศน.สกาวรัตน์ ที่แสดงผลการนิเทศในแต่ละกลุ่ม PLC)
- (ข้อเสนอแนะ) นำเสนอให้เห็นหลักฐานที่เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านที่ 1 เช่น ผลการใช้กลยุทธ์, ผลการพัฒนานวัตกรรม, ผลการแก้ปัญหา, ผลการสร้างเครือข่าย ฯลฯ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้รับการนิเทศ (ครู)
- นำเสนอผลการพัฒนาสมรรถนะ หรือการเปลี่ยนแปลงของครู (เชิงปริมาณ เช่น คะแนนสมรรถนะ [ตาราง 51-52 ของ ศน.สกาวรัตน์] และเชิงคุณภาพ เช่น กรณีศึกษา, คำสะท้อนคิด)
- เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านที่ 2 ข้อ 2 (ผลต่อการพัฒนาครู)
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน
- นำเสนอผลการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน (เชิงปริมาณ เช่น ผลสัมฤทธิ์, ผลประเมินทักษะ/คุณลักษณะ [ตาราง 53-58 ของ ศน.สกาวรัตน์] และเชิงคุณภาพ เช่น ตัวอย่างผลงาน, พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป)
- เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านที่ 2 ข้อ 3 (ผลต่อการพัฒนาผู้เรียน)
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสถานศึกษา/หน่วยงาน (ถ้ามี)
- นำเสนอผลกระทบในระดับที่กว้างขึ้น (เช่น ผลสัมฤทธิ์ของสถานศึกษา, การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติ, การได้รับการยอมรับ)
- เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านที่ 2 ข้อ 4 (ผลต่อคุณภาพสถานศึกษา)
- (ข้อเสนอแนะ) การนำเสนอผลควรใช้ตาราง กราฟ แผนภาพ ประกอบให้ชัดเจน เข้าใจง่าย และต้องแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงว่าเป็นผลมาจากการนิเทศ (เชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านที่ 2 ข้อ 1)
ส่วนที่ 4
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
(เทียบเคียงกับส่วนที่ 3 ของ ศน.สกาวรัตน์ แต่ควรลงลึกในการอภิปรายมากขึ้น)
สรุปผลการดำเนินงาน
สรุปผลการดำเนินงานและผลลัพธ์ที่สำคัญที่ตอบวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
อภิปรายผล (สำคัญมากสำหรับระดับเชี่ยวชาญ)
- อภิปรายว่าผลที่เกิดขึ้นสอดคล้องหรือแตกต่างจากแนวคิด ทฤษฎี หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างไร เพราะเหตุใด
- วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ ข้อจำกัด หรืออุปสรรคในการดำเนินงาน
- เน้นย้ำ การอภิปรายที่แสดงให้เห็นถึง “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน หรือริเริ่ม” ในการดำเนินงาน และผลที่เกิดจากการคิดค้น/ปรับเปลี่ยนนั้น ว่าส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาหรือยกระดับคุณภาพอย่างไร (เชื่อมโยงเกณฑ์ระดับ 4-5 คะแนน ของด้านที่ 1)
- อภิปรายนัยสำคัญของผลงาน ผลกระทบในวงกว้าง หรือศักยภาพในการขยายผล/ความยั่งยืน
ข้อเสนอแนะ
- ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลไปใช้ประโยชน์
- ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนางานนิเทศในเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต
- ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (ถ้ามี)
บรรณานุกรม (ถ้ามี)
รายการเอกสาร ทฤษฎี งานวิจัย ที่ใช้อ้างอิงในรายงาน (ควรมีสำหรับระดับเชี่ยวชาญ)
ภาคผนวก
เอกสารหลักฐานประกอบที่สำคัญ เช่น
- เครื่องมือที่ใช้ (แบบสอบถาม, แบบสังเกต ฯลฯ)
- แผนการนิเทศโดยละเอียด (ถ้ามี)
- ตัวอย่างผลงาน/นวัตกรรมของครู/นักเรียน
- ภาพกิจกรรมประกอบ
- คำสั่งแต่งตั้ง หรือเอกสารราชการที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
- อื่นๆ ที่จำเป็น
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ภาษา ใช้ภาษาที่เป็นทางการ ถูกต้องตามหลักวิชาการ กระชับ ชัดเจน
- การอ้างอิง หากมีการนำเนื้อหาจากแหล่งอื่นมาใช้ ควรอ้างอิงให้ถูกต้องตามหลักสากล
- หลักฐาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกข้อกล่าวอ้างมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนในรายงานหรือภาคผนวก
- เน้นความเป็นเชี่ยวชาญ สอดแทรกการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และภาวะผู้นำ ตลอดทั้งรายงาน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก
รายงานผลการดำเนินการตามแผนนิเทศบูรณาการโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นางสาวสกาวรัตน์ จรุงนันทกาล ตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.สุพรรณบุรี
https://sites.google.com/view/sornor-sakawrat/ผลงานเชยวชาญ-ศน-ดร-กาว?authuser=0
ไฟล์เอกสาร
Comments
Powered by Facebook Comments

