fbpx
Digital Learning Classroom
Active LearningDPAการพัฒนาผู้เรียนการเรียนรู้เชิงรุก

แนวทางการออกแบบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) ตามแนวทางของ Bloom’s Taxonomy

แชร์เรื่องนี้

แนวทางการออกแบบการสอนเพื่อพัฒนาทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) ตามแนวทางของ Bloom’s Taxonomy

ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)

ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) หมายถึง ความสามารถในการระบุเพื่อทำความเข้าใจ และสามารถคาดการณ์ปัญหา หรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่กำหนด ถือได้ว่าเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจ และใช้ในการแก้ปัญหา เนื่องจากช่วยให้ผู้เรียนสามารถระบุ และแก้ไขปัญหาในเชิงรุกได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น จึงกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนา

ผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะมีความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) อย่างมากสามารถตรวจจับ หรือค้นพบความผิดปกติ และความคลาดเคลื่อนที่ผู้อื่นอาจพลาดไป และผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะยังสามารถคาดการณ์ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากหลักสูตรการดําเนินการ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประเมินความเสี่ยง และระบุทางเลือกอื่นในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ

โดยรวมแล้วความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) เป็นทักษะที่จําเป็นในหลาย ๆ ด้านของชีวิต รวมถึง ธุรกิจ การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าหาปัญหา และความท้าทายด้วยความคิดที่สำคัญ และค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์เพื่อเอาชนะภารกิจต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตได้

ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) หมายถึง ความสามารถในการระบุ และทำความเข้าใจปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่กำหนด โดยสามารถอนุมานได้ว่าเป็นเหมือนกับการมีความรู้สึกสัมผัสที่ 6 สำหรับใช้ในการการรับรู้ปัญหาก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้เรียนที่มีความไวต่อปัญหาที่ดีจะสังเกตเห็นรูปแบบได้ก่อน และสามารถทํานายผลลัพธ์เชิงลบที่เป็นไปได้ และจะสามารถค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น ทักษะนี้ถือเป้นเป็นทักษะที่สำคัญของผู้เรียน สำหรับใช้ในการตัดสินใจ และเพื่อการแก้ปัญหาในหลาย ๆ ด้านของชีวิตของตนเอง

องค์ประกอบของการพัฒนาความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)

องค์ประกอบของการพัฒนาความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)

1. การรับรู้สถานการณ์ (Situational Awareness) การตระหนักถึงสภาพแวดล้อม และบริบทของสถานการณ์ที่กําหนดเป็นองค์ประกอบสําคัญของความไวต่อปัญหา มันเกี่ยวข้องกับการสังเกต และใส่ใจในรายละเอียด และสังเกตเห็นรูปแบบความผิดปกติ และความคลาดเคลื่อนที่ผู้อื่นอาจพลาด

2. ความคาดหวัง (Anticipation) ความคาดหวัง คือ ความสามารถในการคาดการณ์ปัญหา หรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบเชิงลบของหลักสูตรการดำเนินการที่แตกต่างกัน และการประเมินความเป็นไปได้ของผลลัพธ์เหล่านี้

3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) การคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ และประเมินข้อมูล เพื่อการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ทักษะนี้ต้องการให้มีบุคคลที่จะตรวจสอบมุมมองที่แตกต่างกันประเมินหลักฐาน และทำการสรุปเชิงตรรกะ

4. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับการสร้างโซลูชันที่แปลกใหม่ และสร้างสรรค์สำหรับปัญหา ทักษะนี้ต้องการให้บุคคลคิดนอกกรอบใช้จินตนาการของพวกเขา และคิดหาแนวคิดและแนวทางใหม่ ๆ

5. ความกระตือรือร้น (Proactivity) ความกระตือรือร้นเพื่อการทํางานเชิงรุกมีความเกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หรือลดผลกระทบให้น้อยที่สุด ทักษะนี้ต้องการให้บุคคลต้องดำเนินการก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น เช่น การพัฒนาแผนฉุกเฉิน การเตรียมทรัพยากรสํารอง หรือการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

แนวทางการสอนเพื่อพัฒนาความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity)

แนวทางการสอนเพื่อพัฒนาความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity)

1. กรณีศึกษา (Case Studies) การใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสอนความไวของปัญหา ด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ในชีวิตจริง และพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเรียนรู้วิธีคาดการณ์ปัญหา และหาทางแก้ไขได้จากวิธีนี้

2. การเล่นตามบทบาท (Role-Playing) แบบฝึกหัดสวมบทบาทช่วยให้นักเรียนสามารถฝึกความไวของปัญหาในสภาพแวดล้อมจําลอง ด้วยบทบาทที่แตกต่างกัน และการทำงานผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ นักเรียนสามารถพัฒนาการรับรู้สถานการณ์ และเรียนรู้วิธีคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และใช้มาตรการป้องกัน

3. การเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) การเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวข้องกับการทำงานเป็นกลุ่ม และการอภิปราย ซึ่งนักเรียนแบ่งปันความคิด และข้อมูลเชิงลึก ด้วยการทำงานร่วมกัน นักเรียนสามารถเรียนรู้จากกันและกัน และพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหา เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานเชิงรุก

4. การระดมสมอง (Brainstorming) การระดมสมองเป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างแนวคิด และแนวทางแก้ไขปัญหา โดยการส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความคิดให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องตัดสิน หรือวิจารณ์นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาได้

5. การปฏิบัติแบบไตร่ตรอง (Reflective Practice) การฝึกไตร่ตรองเกี่ยวข้องกับการไตร่ตรองประสบการณ์ที่ผ่านมา และการเรียนรู้จากนักเรียน ด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนไตร่ตรองประสบการณ์ของตนเอง และระบุว่านักเรียนสามารถคาดการณ์ และหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างไร นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหาได้

6. ข้อเสนอแนะและการประเมินผล (Feedback and Evaluation) การให้ข้อเสนอแนะ และการประเมินผลเกี่ยวกับทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน สามารถช่วยให้นักเรียนปรับปรุงได้ด้วยการให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ และกระตุ้นให้นักเรียนได้ไตร่ตรองถึงประสิทธิภาพของตนเอง นักเรียนสามารถระบุพื้นที่ ที่นักเรียนต้องการปรับปรุง และพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหาต่อไป

          ด้วยการใช้วิธีการสอนเหล่านี้นักเรียนจะสามารถพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) และมีความพร้อมมากขึ้นในการคาดการณ์ และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัว และอาชีพของตนเอง

ตารางเปรียบเทียบกิจกรรมการสอนระหว่าง การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)และ ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)

กิจกรรมการออกแบบการเรียนการสอนโดย Bloom’s Taxonomyการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
การจดจำ (Remembering)แบบทดสอบ, เกม, บัตรคำศัพท์, การระดมความคิด, การอภิปราย, การสะท้อนการระดมสมองกรณีศึกษาการอภิปราย
ความเข้าใจ (Understanding)การแสดงบทบาทสมมติ, งานกลุ่ม, แผนผังแนวคิด, แผนที่ความคิด, ห้องเรียนแบบพลิกกลับกรณีศึกษา, การแสดงบทบาทสมมติ, การฝึกไตร่ตรอง, การระดมความคิด
การนำไปใช้ (Applying)การแก้ปัญหา, การจําลอง, การทดลอง, การเรียนรู้แบบโครงงาน, การเรียนรู้จากการสอบถามกรณีศึกษา, การแสดงบทบาทสมมติ, การระดมความคิด, การฝึกไตร่ตรอง
การวิเคราะห์ (Analyzing)กรณีศึกษา, การแก้ปัญหา, การเรียนรู้ตามโครงการ, การอภิปราย, การทำงานเป็นกลุ่มกรณีศึกษา, การแสดงบทบาทสมมติ, การฝึกไตร่ตรอง, การระดมความคิด
การประเมินผล (Evaluating)การประเมินเพื่อน, การประเมินตนเอง, การนำเสนอ, การอภิปราย, การจำลองกรณีศึกษา, การแสดงบทบาทสมมติ, การฝึกไตร่ตรอง, การระดมความคิด
การสร้างสรรค์ (Creating)การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน, การคิดเชิงออกแบบ, การเรียนรู้ร่วมกัน, พื้นที่สร้าง, การเล่าเรื่องแบบดิจิทัลการแสดงบทบาทสมมติ, การระดมความคิด, การไตร่ตรอง, กรณีศึกษา

โดยสรุปทั้งวิธีการ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) โดยใช้แนวทางการออกแบบการสอนของ Bloom’s Taxonomy เพื่อออกแบบกิจกรรมการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้น และวิธีการของทั้งสองวิธีแตกต่างกัน การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เน้นกิจกรรมเชิงโต้ตอบที่มีส่วนร่วมกับนักเรียนในกระบวนการเรียนรู้ ในขณะที่ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะเพื่อคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและเชิงรุก ทั้งสองวิธีใช้วิธีการสอน และกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อดึงดูดนักเรียนในระดับต่าง ๆ ของอนุกรมวิธานของ Bloom แต่กิจกรรมและวิธีการเฉพาะที่ใช้นั้น ผู้สอนควรมีการปรับให้เหมาะกับจุดสนใจเฉพาะของแต่ละวิธี

ตัวอย่างการออกแบบการสอนทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) ในชั้นเรียนตามแนวทางของ Bloom’s Taxonomy

งการออกแบบการสอนทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) ในชั้นเรียนตามแนวทางของ Bloom’s Taxonomy

1. กิจกรรมเพื่อการจดจำ (Remembering) เริ่มชั้นเรียนด้วยการสนทนาสั้น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่นักเรียนอาจประสบปัญหาที่อาจป้องกันได้ด้วยการมองการณ์ไกลที่ดีขึ้น ผู้สอนเปิดโอกาสให้นักเรียนจดบันทึกประสบการณ์ของนักเรียนลงในสมุดบันทึก หรือบนแผ่นกระดาษใบงาน หรือใบความรู้

2. กิจกรรมการสร้างความเข้าใจ (Understanding) แนะนําแนวคิดของความไวของปัญหา และวิธีที่จะช่วยให้นักเรียนได้คาดการณ์ และหาทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อาจใช้กรณีศึกษา และยกตัวอย่างในชีวิตจริงเพื่ออธิบายแนวคิดโดยละเอียด

3. กิจกรรมการนำไปใช้ (Applying) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และให้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยออกแบบกิจกรรมที่เน้นให้นักเรียนต้องคิดเชิงรุก และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ผู้สอนกระตุ้น และส่งเสริมให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มจัดทํารายการปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และแนวทางแก้ไขสำหรับสถานการณ์ที่กำหนด

4. กิจกรรมการวิเคราะห์ (Analyzing) ให้แต่ละกลุ่มนําเสนอสถานการณ์ และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขที่นักเรียนระบุ ผู้สอนกระตุ้น และส่งเสริมการอภิปรายในชั้นเรียน และการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

5. กิจกรรมการประเมินผล (Evaluating) ผู้สอนออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ประเมินประสิทธิผลของแนวทางแก้ไขที่เสนอโดยแต่ละกลุ่ม และระบุข้อจํากัด หรือข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น

6. กิจกรรมการสร้างสรรค์ (Creating) ให้นักเรียนทำงานเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อพัฒนาแผนปฏิบัติการสําหรับสถานการณ์ที่ตนเองเลือกซึ่งในขั้นนี้นนักเรียนจะได้ใช้ทักษะความไวของปัญหาที่นักเรียนได้เรียนรู้ ในขั้นนี้นักเรียนควรจะระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และหาแนวทางแก้ไขที่สร้างสรรค์เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านั้นได้

7. การไตร่ตรอง (Reflecting) ผู้สอนควรจบชั้นเรียนด้วยแบบฝึกหัดการไตร่ตรองสั้น ๆ ซึ่งนักเรียนจะสามารถแบ่งปันความคิดเกี่ยวกับความสําคัญของความไวต่อปัญหา และวิธีที่นักเรียนได้วางแผนที่จะใช้ทักษะที่นักเรียนได้เรียนรู้ในชีวิตประจําวัน

          ด้วยการใช้ระดับต่าง ๆ ของ Bloom’s Taxonomy แผนการสอนนี้ออกแบบมาเพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบเชิงรุก และช่วยให้นักเรียน ได้พัฒนาทักษะความไวต่อปัญหาผ่านกิจกรรม และวิธีการที่หลากหลาย

ซึ่งทักษะนี้จะตอบโจทย์ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ตัวชี้วัดที่ 3 ผลงานหรือผลการปฏิบัติสะท้อนความสามารถ ในการเรียนรู้ (Cognitive Abilities) ตามวัยและลักษณะของผู้เรียน ในข้อย่อยที่ 4) กระบวนการคิดเชิงเหตุผล หรือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ จากทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้

1) ความยืดหยุ่นในการคิด หรือการคิดเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ

2) ความคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดเชิงนวัตกรรม

3) กระบวนการสืบเสาะหาความหมาย หรือกระบวนการตัดสินใจ

4) กระบวนการคิดเชิงเหตุผล หรือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ

5) กระบวนการคิดเชิงระบบ

ลองนำมาพิจารณาเพื่อนำไปใช้สอนกันครับ

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด

ID Line : Musicmankob

Comments

comments

Powered by Facebook Comments

ติดต่อ ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
error: Content is protected !!