แนวทางการออกแบบการสอนด้วย ADDIE Model เพื่อพัฒนาทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
แนวทางการออกแบบการสอนด้วย ADDIE Model เพื่อพัฒนาทักษะความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) หมายถึง ความสามารถในการระบุเพื่อทำความเข้าใจ และสามารถคาดการณ์ปัญหา หรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่กำหนด ถือได้ว่าเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจ และใช้ในการแก้ปัญหา เนื่องจากช่วยให้ผู้เรียนสามารถระบุ และแก้ไขปัญหาในเชิงรุกได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น จึงกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนา
ผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะมีความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) อย่างมากสามารถตรวจจับ หรือค้นพบความผิดปกติ และความคลาดเคลื่อนที่ผู้อื่นอาจพลาดไป และผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะยังสามารถคาดการณ์ผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากหลักสูตรการดําเนินการ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะนี้จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประเมินความเสี่ยง และระบุทางเลือกอื่นในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ
โดยรวมแล้วความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) เป็นทักษะที่จําเป็นในหลาย ๆ ด้านของชีวิต รวมถึง ธุรกิจ การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าหาปัญหา และความท้าทายด้วยความคิดที่สำคัญ และค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์เพื่อเอาชนะภารกิจต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตได้
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) หมายถึง ความสามารถในการระบุ และทำความเข้าใจปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่กำหนด โดยสามารถอนุมานได้ว่าเป็นเหมือนกับการมีความรู้สึกสัมผัสที่ 6 สำหรับใช้ในการการรับรู้ปัญหาก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้เรียนที่มีความไวต่อปัญหาที่ดีจะสังเกตเห็นรูปแบบได้ก่อน และสามารถทํานายผลลัพธ์เชิงลบที่เป็นไปได้ และจะสามารถค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น ทักษะนี้ถือเป้นเป็นทักษะที่สำคัญของผู้เรียน สำหรับใช้ในการตัดสินใจ และเพื่อการแก้ปัญหาในหลาย ๆ ด้านของชีวิตของตนเอง
องค์ประกอบของการพัฒนาความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
1. การรับรู้สถานการณ์ (Situational Awareness) การตระหนักถึงสภาพแวดล้อม และบริบทของสถานการณ์ที่กําหนดเป็นองค์ประกอบสําคัญของความไวต่อปัญหา มันเกี่ยวข้องกับการสังเกต และใส่ใจในรายละเอียด และสังเกตเห็นรูปแบบความผิดปกติ และความคลาดเคลื่อนที่ผู้อื่นอาจพลาด
2. ความคาดหวัง (Anticipation) ความคาดหวัง คือ ความสามารถในการคาดการณ์ปัญหา หรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบเชิงลบของหลักสูตรการดำเนินการที่แตกต่างกัน และการประเมินความเป็นไปได้ของผลลัพธ์เหล่านี้
3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) การคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ และประเมินข้อมูล เพื่อการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ทักษะนี้ต้องการให้มีบุคคลที่จะตรวจสอบมุมมองที่แตกต่างกันประเมินหลักฐาน และทำการสรุปเชิงตรรกะ
4. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับการสร้างโซลูชันที่แปลกใหม่ และสร้างสรรค์สำหรับปัญหา ทักษะนี้ต้องการให้บุคคลคิดนอกกรอบใช้จินตนาการของพวกเขา และคิดหาแนวคิดและแนวทางใหม่ ๆ
5. ความกระตือรือร้น (Proactivity) ความกระตือรือร้นเพื่อการทํางานเชิงรุกมีความเกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หรือลดผลกระทบให้น้อยที่สุด ทักษะนี้ต้องการให้บุคคลต้องดำเนินการก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น เช่น การพัฒนาแผนฉุกเฉิน การเตรียมทรัพยากรสํารอง หรือการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
แนวทางการสอนเพื่อพัฒนาความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity)
1. กรณีศึกษา (Case Studies) การใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสอนความไวของปัญหา ด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ในชีวิตจริง และพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเรียนรู้วิธีคาดการณ์ปัญหา และหาทางแก้ไขได้จากวิธีนี้
2. การเล่นตามบทบาท (Role-Playing) แบบฝึกหัดสวมบทบาทช่วยให้นักเรียนสามารถฝึกความไวของปัญหาในสภาพแวดล้อมจําลอง ด้วยบทบาทที่แตกต่างกัน และการทำงานผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ นักเรียนสามารถพัฒนาการรับรู้สถานการณ์ และเรียนรู้วิธีคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และใช้มาตรการป้องกัน
3. การเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) การเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวข้องกับการทำงานเป็นกลุ่ม และการอภิปราย ซึ่งนักเรียนแบ่งปันความคิด และข้อมูลเชิงลึก ด้วยการทำงานร่วมกัน นักเรียนสามารถเรียนรู้จากกันและกัน และพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหา เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานเชิงรุก
4. การระดมสมอง (Brainstorming) การระดมสมองเป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างแนวคิด และแนวทางแก้ไขปัญหา โดยการส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความคิดให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องตัดสิน หรือวิจารณ์นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาได้
5. การปฏิบัติแบบไตร่ตรอง (Reflective Practice) การฝึกไตร่ตรองเกี่ยวข้องกับการไตร่ตรองประสบการณ์ที่ผ่านมา และการเรียนรู้จากนักเรียน ด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนไตร่ตรองประสบการณ์ของตนเอง และระบุว่านักเรียนสามารถคาดการณ์ และหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างไร นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหาได้
6. ข้อเสนอแนะและการประเมินผล (Feedback and Evaluation) การให้ข้อเสนอแนะ และการประเมินผลเกี่ยวกับทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน สามารถช่วยให้นักเรียนปรับปรุงได้ด้วยการให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ และกระตุ้นให้นักเรียนได้ไตร่ตรองถึงประสิทธิภาพของตนเอง นักเรียนสามารถระบุพื้นที่ ที่นักเรียนต้องการปรับปรุง และพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหาต่อไป
ด้วยการใช้วิธีการสอนเหล่านี้นักเรียนจะสามารถพัฒนาทักษะความไวต่อปัญหา (Problem Sensitivity) และมีความพร้อมมากขึ้นในการคาดการณ์ และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัว และอาชีพของตนเอง
ตารางเปรียบเทียบกิจกรรมการออกแบบการเรียนการสอนโดย ADDIE Model ระหว่าง การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)
กิจกรรมการออกแบบการเรียนการสอนโดย ADDIE Model | วิธีการ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) | ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) |
การวิเคราะห์ (Analysis) | ระบุความต้องการการเรียนรู้กําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ระบุลักษณะ และความต้องการของผู้เรียน | ระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นวิเคราะห์ปัจจัยสถานการณ์ระบุขอบเขตของปัญหา |
ออกแบบ (Design) | พัฒนาเป้าหมาย และวัตถุประสงค์การสอนเลือกกลยุทธ์ และวิธีการสอนพัฒนาเนื้อหา และสื่อการสอน | พัฒนาสถานการณ์ และกรณีศึกษาระบุวัสดุ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง เลือกกลยุทธ์การสอนที่เหมาะสม |
การพัฒนา (Development) | สร้าง และพัฒนาสื่อการสอนสร้างการประเมิน และประเมินผล, สร้างแผนการสอนและกิจกรรม | สร้างกรณีศึกษา และสถานการณ์พัฒนาวัสดุ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง, สร้างแผนการสอนและกิจกรรม |
การนําไปใช้ (Implementation) | จัดการเรียนการสอนอำนวยความสะดวกในการทำงานกลุ่ม และการอภิปราย, ติดตามความคืบหน้าของนักเรียน | อำนวยความสะดวกในการทำงานกลุ่มและการอภิปรายให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำ, ติดตามความคืบหน้า |
การประเมิน (Evaluation) | ประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน, ประเมินประสิทธิผลของการเรียนการสอน, แก้ไขการออกแบบการเรียนการสอนตามความจําเป็น | ประเมินประสิทธิผลของแนวทางประเมินการพัฒนาทักษะความไวของปัญหา, แก้ไขการออกแบบการเรียนการสอนตามความจำเป็น |
โดยสรุปทั้งแนวทางวิธีการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และความไวของปัญหา (Problem Sensitivity) ใช้ ADDIE Model เพื่อออกแบบและพัฒนาสื่อการสอนและวิธีการ อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นและวิธีการของทั้งสองวิธีแตกต่างกัน การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เน้นการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่มีส่วนร่วมกับนักเรียนในกระบวนการเรียนรู้ ในขณะที่ความไวของปัญหา (Problem Sensitivity)มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะเพื่อคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและเชิงรุก ทั้งสองวิธีเป็นไปตามแบบจําลอง ADDIE เพื่อวิเคราะห์ออกแบบพัฒนานําไปใช้ และประเมินสื่อการสอนและวิธีการ อย่างไรก็ตามกิจกรรม และวิธีการเฉพาะที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนของโมเดล ADDIE ผู้สอนควรมีการปรับให้เหมาะกับจุดสนใจเฉพาะของแต่ละแนวทาง
กิจกรรมแบบจำลอง ADDIE ที่ออกแบบมาเพื่อสอนทักษะความไวของปัญหาในชั้นเรียน
1. กิจกรรมการวิเคราะห์ (Analysis Activity) เริ่มต้นชั้นเรียนโดยการวิเคราะห์ขอบเขต และลักษณะของความไวของปัญหาเหตุใดจึงสำคัญ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างไร ผู้สอนดำเนินกิจกรรมโดยให้นักเรียนได้ใคร่ครวญ หรือวิเคราะห์ประสบการณ์ของตนเอง และระบุปัญหาที่นักเรียนได้พบ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการมองการณ์ไกลที่ดีขึ้น
2. กิจกรรมการออกแบบ (Design Activity) ผู้สอนนำเสนอ หรือแนะนําแนวคิดของความไวต่อปัญหา และให้กรณีศึกษา หรือตัวอย่างในชีวิตจริงแก่นักเรียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีการระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และคาดการณ์ก่อนที่จะเกิดขึ้น จากนั้นแบ่งกลุ่มย่อยให้นักเรียนได้ทำงานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากกรณีศึกษาที่จัดทำ และพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น
3. กิจกรรมการพัฒนา (Development Activity) ผู้สอนออกแบบกิจกรรมการเรียรู้โดยให้แต่ละกลุ่มได้รับการสร้างสถานการณ์ที่กำหนดจากผู้สอน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ทักษะความไวต่อปัญหา นักเรียนควรได้รับการพัฒนาทักษะนี้จากการพัฒนากรณีศึกษาที่มีปัญหา และหาแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้เพื่อแก้ปัญหา
4. กิจกรรมการนําไปใช้ (Implementation Activity) นักเรียนจะแบ่งปันสถานการณ์ของตนเองกับชั้นเรียนและในแต่ละกลุ่มจะนําเสนอวิธีแก้ปัญหาของตนเอง ในการอภิปรายในชั้นเรียนควรมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพของ วิธีการแก้ปัญหา หรือ ทางแก้ปัญหา หรือ ทางออกของปัญหาที่เสนอ และข้อจำกัด หรือข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น
5. กิจกรรมการประเมิน (Evaluation Activity) ผู้สอนออกแบบกิจกรรมการเรียรู้โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ประเมินประสิทธิผลของทักษะความไวของปัญหา ที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์ และวิเคราะห์ว่าแนวทางของตนเอง จะสามารถปรับปรุงได้อย่างไร นักเรียนควรให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับงานของกันและกัน เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนเข้าใจแนวคิด และสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปได้ว่าการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกในชั้นเรียนจำนวน 1 ชั่วโมงนี้ ผู้สอนสามารถใช้โมเดล ADDIE เพื่อให้แนวทางที่มีโครงสร้าง และครอบคลุมในการสอนทักษะความไวต่อปัญหา ส่งเสริมให้นักเรียนวิเคราะห์ขอบเขต และลักษณะของความอ่อนไหวของปัญหา ออกแบบและพัฒนาสถานการณ์จำลอง และประยุกต์ใช้การเรียนรู้ของนักเรียน ผ่านการอภิปรายกลุ่ม และการนำเสนอ ในชั้นเรียนยังมีองค์ประกอบการประเมินที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ไตร่ตรองถึงประสิทธิภาพของแนวทางของนักเรียน และทำการปรับปรุงหากจำเป็น
ซึ่งทักษะนี้จะตอบโจทย์ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ตัวชี้วัดที่ 3 ผลงานหรือผลการปฏิบัติสะท้อนความสามารถ ในการเรียนรู้ (Cognitive Abilities) ตามวัยและลักษณะของผู้เรียน ในข้อย่อยที่ 4) กระบวนการคิดเชิงเหตุผล หรือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ จากทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้
1) ความยืดหยุ่นในการคิด หรือการคิดเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ
2) ความคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดเชิงนวัตกรรม
3) กระบวนการสืบเสาะหาความหมาย หรือกระบวนการตัดสินใจ
4) กระบวนการคิดเชิงเหตุผล หรือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ
5) กระบวนการคิดเชิงระบบ
ลองนำมาพิจารณาเพื่อนำไปใช้สอนกันครับ
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ID Line : Musicmankob
Comments
Powered by Facebook Comments